ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    ฝืนลิขิตฟ้า ท้าสวรรค์

    ลำดับตอนที่ #58 : ความกังวลของผู้ดูแลซู

    • เนื้อหานิยายตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 18.14K
      1.55K
      12 ก.ค. 62

    หลังจากจัดการชายชุดม่วงที่ฉินหลิงไม่รู้เลยว่าเขาเป็นองค์ชาย ฉินหลิงก็รู้สึกสบายใจและเดินขึ้นรถม้าราวกับตนเองไม่ได้ไปก่อเรื่องอะไรมา  แตกต่างจากถานอวี้จี้ที่ยามนี้ภายในแววตาปรากฏความซับซ้อนขึ้น ซึ่งเธอกำลังครุ่นคิดถึงเรื่องราวของคุณชายตระกูลเกาและชายชุดม่วงนั้น ล้วนมีเธอเป็นต้นเหตุทั้งสิ้น หากเธอไม่ออกจากรถม้าเรื่องราวคงไม่เกิดขึ้น

     

    เมื่อเห็นสีหน้าไม่สู้ดีของผู้เป็นหญิงงาม ฉินหลิงก็เข้าใจได้ทันทีว่าเธอต้องโทษตัวเองอีกเป็นแน่ จนเขาต้องคอยเอ่ยปลอบไม่ให้เธอคิดมากและกล่าวว่าเป็นความผิดของชายชุดม่วงที่รนหาที่เอง ไม่เกี่ยวอะไรกับเธอ

     

    ผ่านไปไม่นาน รถม้าของฉินหลิงที่เดินทางอย่างไม่เร่งรีบก็ได้มาถึงหอการค้าตะวันฉาย

     

    หอการค้าตะวันฉายที่มีฉินหลิงเป็นเจ้าของอยู่ครึ่งหนึ่ง ซึ่งสาขาเมืองหลวงของหอการค้าแห่งนี้เรียกได้ว่าใหญ่โตกว่าที่เมืองไผ่เขียวซึ่งเป็นเพียงบ้านไม้สองชั้นนับสิบเท่า

     

    หลังจากได้คำร้องขอของเจ้าเมืองชินโจว ทำให้ฉินหลิงต้องหาวิธีการผลิตตะปูเป็นจำนวนมากเพื่อนำมาทดลองต่อเรือซึ่งทำให้เขาใช้เวลาหลายเดือนกว่าจะหาช่างมาหลอมตะปูได้ และนอกเหนือจากการนำไปสร้างเรือ ฉินหลิงเองก็ยังนำไปใช้ในการก่อสร้าง

     

    ด้วยความคิดที่จะสร้างรากฐานที่ยิ่งใหญ่ให้แก่หอการค้าตะวันฉาย  ฉินหลิงจึงออกแบบร่างโครงสร้างอาคารของหอการค้าสาขาเมืองหลวงเองกับมือ จนเวลานี้ฉินหลิงที่กำลังยืนอยู่ด้านหน้าหอการค้าที่เขาเป็นออกแบบ ก็อดไม่ได้ที่จะครุ่นคิดในใจว่าเขาอาจจะคิดผิดก็ได้ที่วาดแบบพิมพ์เขียวนี้ออกมา

     

    หอการค้าตะวันฉายที่อยู่เบื้องหน้าฉินหลิงนั้นออกแบบโดยใช้โรงโอเปร่าจากโลกเก่าเป็นแนวคิด จึงทำให้ความสูงใหญ่ของหอการค้าแห่งนี้ตั้งสูงโดดเด่นกว่าพื้นที่โดยรอบ จนเป็นที่เตะตาของผู้คนโดยรอบ


    ซึ่งหอการค้าแห่งนี้ตั้งอยู่ใจกลางของเขตตอนใต้ของภายในเมืองหลวงและเขาต้องใช้เงินนับหมื่นตำลึงทองและสมุนไพรหายากอีกหลายชนิดเพื่อจะซื้อที่ดินผืนนี้มาจากขุนนางเก่าแก่ผู้หนึ่ง

     

    ไม่เพียงแต่ฉินหลิงที่ยืนตกตะลึง แม้แต่ถานอวี้จี้และคนคุ้มกันทั้งห้าคนก็ตกใจไม่แพ้กัน เพราะพวกเขาไม่คิดเลยว่าหอการค้าตะวันฉายที่เมืองหลวงจะใหญ่โตได้ขนาดนี้ และเมื่อย้อนกลับมาคิดว่าชายที่ยืนอยู่เบื้องหน้าเป็นเจ้าของหอการค้าที่ยิ่งใหญ่ขนาดนี้อยู่ครึ่งหนึ่งและการที่หอการค้าตะวันฉายเติบโตได้ขนาดนี้ก็เป็นเพราะชายหนุ่มผู้นี้ทั้งสิ้น ก็ทำให้พวกเขาอดไม่ได้ที่จะรู้สึกหวาดกลัวกับความสามารถของฉินหลิง

     

    หลังจากยืนแข็งทื่ออยู่พักใหญ่ ฉินหลิงจึงเดินนำเข้าไปยังหอการค้าเบื้องหน้า

     

    “ ขอต้อนรับทุกท่านเข้าสู่หอการค้าตะวันฉาย ไม่ทราบว่าพวกท่านต้องการหาสินค้าอะไรบ้างเจ้าคะ ” หญิงสาวที่สวมสุดสีสันสดใสเดินออกมาต้อนรับกลุ่มฉินหลิงทันทีพร้อมกับใบหน้ายิ้มแย้ม

     

    ฉินหลิงพยักหน้าพอใจกับการต้อนรับเช่นนี้  ก่อนจะมองไปรอบๆก็เห็นถึงผู้คนที่เดินอยู่มากมายและมีคนคอยแนะนำสินค้าต่างๆตามความต้องการ

     

    พนักงานหญิงที่เห็นฉินหลิงมองไปรอบๆด้วยความสนใจก็เข้าใจอย่างรวดเร็วว่าฉินหลิงพึ่งมาครั้งแรก จึงยิ้มออกมาเล็กน้อยและอธิบาย  “ หอการค้าตะวันฉายของเราพึ่งมาเปิดที่เมืองหลวงแห่งนี้ได้ไม่นาน จึงไม่แปลกที่ท่านจะไม่คุ้นเคยกับการค้าแบบใหม่ของเรา ซึ่งร้านของเรามีสินค้าที่รวบรวมมาจากทั่วทั้งแคว้นและบางอย่างที่หาไม่ได้จากแคว้นต้าเหยียนของเรา นอกจากนี้อีกสองอาทิตย์ยังมีการประมูลสินค้าใหม่ที่ด้านในหอการค้า หากนายน้อยสนใจท่านก็สามารถจองบัตรเข้าร่วมได้เจ้าคะ  

     

    การค้าแบบใหม่ที่พนักงานหญิงผู้นี้เอ่ยถึงย่อมเป็นการที่ลูกค้าสามารถเดินเลือกดูสิ่งของได้ตามความต้องการและเมื่อต้องการซื้อสิ่งใดก็เพียงหยิบมาชำระเงินด้านหน้า ซึ่งฉินหลิงนำเอาระบบการเดินซื้อสินค้าเหมือนของห้างสรรพสินค้ามาใช้ดึงดูดความสนใจของผู้คนที่เข้ามา เพราะแทนที่จะเปิดร้านขายแบบสนทนากันเพียงผู้ซื้อและผู้ขาย ไม่สู้ให้ผู้คนที่กำลังเดินดูสินค้าเลือกดูสินค้าเองและบางทีพวกเขาอาจจะถูกใจสินค้าอื่นไปด้วยไม่ดีกว่ารึ

     

    ไม่เพียงได้ดูสินค้าเองกับมือ พวกเขายังสามารถเปรียบเทียบราคาของสินค้าที่หอการค้าตะวันฉายนำมาขายได้อีกด้วย ซึ่งการที่พวกเขาตั้งราคากลางไว้ ก็ทำให้ผู้ที่ซื้อรู้สึกถึงความเป็นธรรมและไม่กลัวโดนโก่งราคาทีหลังอีกด้วย จากความหลากหลายและราคาที่เป็นธรรมจึงทำให้หอการค้าแห่งนี้เติบโตอย่างรวดเร็วภายใต้การแนะนำของฉินหลิง

     

    ฉินหลิงพยักหน้าให้พนักงานหญิงและเอ่ยสั่ง “ ข้าต้องการพบผู้ดูแลซูเยว่ แจ้งว่าฉินหลิงมาถึงแล้ว  

     

    เมื่อพนักงานหญิงได้ยินชื่อฉินหลิงก็เบิกตากว้างด้วยความตกใจอย่างช่วยไม่ได้ เพราะผู้ดูแลซูเปรียบเหมือนต้นแบบของพวกเธอพนักงานหญิงทุกคน และพวกเธอที่ทำงานอยู่ที่นี้ต่างก็รับรู้มาจากคำร่ำลือมาไม่น้อยว่ากลุ่มการค้าจี้หลิงที่เป็นสินค้าหลักของหอการค้าตะวันฉายเป็นของตระกูลฉิน

     

    “ ข้าจะรีบไปแจ้งผู้ดูแลซูให้เจ้าคะ ” เอ่ยจบพนักงานหญิงก็โค้งให้ฉินหลิงและรีบวิ่งไปยังบนชั้นสองของหอการค้าอย่างรวดเร็ว

     

    ผ่านไปไม่นาน หญิงสาวผู้มีใบหน้างดงามก็รีบเดินตามพนักงานมายังที่ฉินหลิงยืนรออยู่อย่างเร่งรีบ

     

    เมื่อซูเยว่สังเกตเห็นฉินหลิง เธอก็โค้งคารวะให้ชายหนุ่ม “ ท่านมาถึงช้ากว่าที่ข้าคิดไว้นะเจ้าคะ  

     

    ฉินหลิงยิ้มออกมาเล็กน้อย  “ มีเรื่องเกิดขึ้นระหว่างนะ อย่าได้สนใจเลย  

     

    “ ท่านไม่เป็นอะไรนะเจ้าคะ ” เมื่อได้ยินว่ามีเรื่องเกิดขึ้น ซูเยว่จึงเอ่ยถามผู้เป็นเจ้านายด้วยความเป็นห่วง ซึ่งแตกต่างจากผู้ที่ติดตามฉินหลิงที่แสดงสีหน้าราวกับว่าให้เธอสมควรสงสารคู่กรณีของชายหนุ่มผู้นี้จะดีกว่า

     

    “ ไม่มีอะไรหรอกข้าจัดการเรียบร้อยแล้ว  รบกวนเจ้าจัดเตรียมที่พักให้คนเหล่านี้ด้วย  ”หลังจากเอ่ยจบฉินหลิงก็หันไปบอกให้ถานอวี้จี้และเสี่ยวหลู่ไปพักผ่อนก่อน ส่วนเขาจะเข้าไปคุยกับคนดูแลหญิงผู้นี้

     

    หลังจากฉินหลิงเดินตามผู้ดูแลหญิงเข้ามาภายในห้องขนาดใหญ่โตบนชั้นสอง เขาก็สังเกตเห็นหมิงฮ่าวนอนหลับด้วยสีหน้าอ่อนเพลียอยู่ที่เตียงตัวเล็ก จึงทำให้ฉินหลิงอดรู้สึกแปลกใจไม่ได้

     

    ทางด้านซูเยว่ที่เห็นสีหน้าประหลาดใจของฉินหลิงก็เอ่ยออกมาด้วยสีหน้าเขินอายเล็กน้อย “ เวลากลางคืนพี่หมิงจะคอยดูแลความปลอดภัยให้ข้า ช่วงเวลานี้ข้าเลยอยากให้เขาไปนอนพัก  แต่เขายังรู้สึกกังวลความปลอดภัยของข้าอยู่  ดังนั้นข้าก็เลยให้เขานอนอยู่ที่ห้องทำงานของข้านะเจ้าคะ  

     

    ฉินหลิงยิ้มออกมาทันทีเมื่อเห็นท่าทางของหญิงสาว “ ข้าเองก็รู้จักพี่หมิงมาไม่น้อย จึงพอรู้ว่าเขาหัวทึบขนาดไหน นอกจากฝึกยุทธแล้ว สิ่งอื่นเขาก็ไม่เข้าใจหรอก  

     

    เมื่อได้ยินคำพูดของผู้เป็นเจ้านาย ซูเยว่ก็พยักหน้าเห็นด้วย เพราะในระหว่างที่เขาอยู่ดูแลปกป้องเธอ ก็ทำให้เธอรู้สึกประทับใจชายผู้นี้อยู่ไม่น้อย แต่ไม่ว่าเธอจะแสดงออกยังไง องครักษ์หัวทึบผู้นี้กลับไม่เข้าใจแม้แต่น้อย

     

    “ ข้าขอฝากให้เจ้าดูแลพี่หมิงแทนข้าด้วย และพวกเจ้าทั้งสองต่างก็ไม่มีญาติผู้ใหญ่แล้ว ข้าหวังว่าพวกเจ้าจะอยู่ดูแลกันและกัน  ส่วนเรื่องของพี่หมิงให้ข้าจัดการเอง ” ฉินหลิงเอ่ยบอกซูเยว่ด้วยน้ำเสียงจริงจัง เพราะอย่างไรองครักษ์หมิงผู้นี้ก็ภักดีกับเขาอย่างแท้จริง ดังนั้นเขาจึงเป็นห่วงอนาคตของพี่ชายผู้นี้ของเขาไม่น้อย และเมื่อเห็นว่าซูเยว่ก็มีใจให้ จึงทำให้เขาตัดสินใจสนับสนุนความสัมพันธ์ของทั้งสอง

     

    ใบหน้าของซูเยว่แดงกล่ำเมื่อได้ยินคำพูดของฉินหลิง “ ขอบคุณท่านมากเจ้าคะที่สนับสนุน  

     

    “ แล้วหอการค้าตะวันฉายแห่งนี้เป็นเช่นไรบ้าง ”  ฉินหลิงเอ่ยถามออกไปเมื่อเห็นการค้าของที่แห่งนี้ดูเหมือนจะเติบโตได้ด้วยดี

     

    ครั้นได้ยินคำถามของฉินหลิง ใบหน้าของผู้ดูแลซูแปรเปลี่ยนไปเป็นเคร่งขรึม “ การค้าของเราเป็นไปด้วยดีเจ้าคะ จากรูปแบบการค้าชนิดใหม่ที่ท่านให้ข้านำมาปรับใช้ก็เป็นที่ชื่นชอบของเหล่าชาวบ้านรวมถึงชนชั้นสูงบางคนที่ไม่อคติกับการต้องเลือกสินค้าที่เดียวกับคนธรรมดา เพียงแต่ในช่วงเวลานี้พวกเราโดนจู่โจมจากหอการค้าคู่แข่งหลายแห่ง ทั้งปล่อยข่าวลือให้พวกเราเสียหายหรือไม่ก็ส่งคนมาก่อความวุ่นวาย ทำให้ข้าปวดหัวไม่น้อยเลยทีเดียว เพราะหากข้าให้คนคุ้มกันใช้กำลังจัดการก็จะเป็นไปตามแผนของอีกฝ่าย  ” เอ่ยจบซูเยว่ก็ถอนหายใจออกมาอย่างเหนื่อยล้ากับการต้องมาเจอคู่แข่งใช้วิธีเช่นนี้ตอบโต้การค้าของพวกเขา

     

    หลักจากได้ยินปัญหาที่หญิงสาวเอ่ยขึ้นมา ฉินหลิงก็นั่งเคาะนิ้วเป็นจังหวะพลางหลับตาครุ่นคิดภายในใจ

     

    ผ่านไปไม่นาน ดวงตาฉินหลิงเปิดขึ้นพร้อมแสงสีเขียวที่ทอประกายขึ้น

     

    รอยยิ้มเจ้าเล่ห์ของฉินหลิงปรากฏขึ้น  “ หากว่าหอการค้าพวกนั้นต้องการเล่นแบบนี้ เช่นนั้นพวกเราก็มาเล่นสงคราการค้ากันซักหน่อย  

     

    ซูเยว่ที่เห็นรอยยิ้มเช่นนี้ของฉินหลิงก็ใจสั่นขึ้นมาทันที เพราะในระหว่างหนึ่งปีที่ผ่านมา เธอพบรอยยิ้มเช่นนี้เพียงไม่กี่ครั้ง และทุกครั้งฝ่ายตรงข้ามไม่ตายก็บาดเจ็บหนักทั้งสิ้น “ ท่านต้องการทำอะไรรึเจ้าคะ  

     

    ฉินหลิงไม่ตอบแต่เอ่ยถามอีกฝ่ายแทน “ เจ้าคิดว่าสิ่งใดที่สร้างความหวาดกลัวให้กับฝูงชนได้ที่สุดละ  

     

    ซูเยว่ครุ่นคิดเล็กน้อยก่อนตอบออกมาด้วยความมั่นใจ “ ข้าคิดว่าน่าจะเป็นความตายหรือไม่ก็โรคระบาดเจ้าคะ  

     

    ฉินหลิงส่ายหัวเล็กน้อย “ มันคือสงครามต่างหากที่สร้างความหวาดกลัวให้แก่ชาวบ้านมากที่สุด เพราะเมื่อสงครามเกิดขึ้นผู้คนจะเดือดร้อน ผู้ชายก็จะถูกเกณฑ์ไปเข้ากองทัพ อาหารก็ขาดแคลน และมีการสูญเสียอีกมากมายเกิดขึ้นจนทำใก้คนอดอยาก ไร้ที่อยู่ ต้องเร่ร่อนอย่างหิวโหยซึ่งทุกข์ทรมานกว่าการต้องตายไปหลายเท่านัก  ”

     

    ซูเยว่เผยสีหน้าสงสัยออกมา เพราะเธอเพียงต้องการโต้ตอบหอการค้าฝั่งตรงข้าม แล้วทำไมเจ้านายของเธอผู้นี้ถึงพูดเกี่ยวกับสงครามกัน

     

    เมื่อเห็นสีหน้าไม่เข้าใจของผู้ดูแลสาว ฉินหลิงจึงอธิบายออกไป “ หากเจ้าเคยอ่านตำราเกี่ยวกับประวัติศาสตร์ก็จะสังเกตได้อย่างชัดเจนเลยว่าทุกครั้งที่เกิดสงคราม สิ่งที่มักเป็นปัญหาและขาดแคลนที่สุดย่อมเป็นเสบียงอาหาร ดังคำกล่าวที่ว่าสงครามต้องเดินด้วยท้อง เมื่อกองทัพจะก่อสงครามขึ้นก็จะส่งผลให้พืชผลธัญพืชต่างๆมีราคาสูงขึ้น แต่ด้วยแคว้นของเราที่สงบสุขมานานเกินไป ย่อมทำให้ผู้คนลืมจุดสำคัญเช่นนี้ไปเป็นแน่ ”

     

    “ หรือว่าท่านต้องการกักตุนสินค้า เพื่อเพิ่มราคาของอาหารรึเจ้าคะ ”

     

    ฉินหลิงหัวเราะออกมาเล็กน้อย “ ข้าจะกักตุนสินค้าไปทำไมกัน ไม่ใช่ว่าเรากำลังพูดเรื่องตอบโต้หอการค้าของฝ่ายตรงข้ามอยู่มิใช่รึ  

     

    “ ข้าไม่เข้าใจ ถ้าท่านไม่ต้องการกักตุนสินค้าเพื่อเพิ่มราคาแล้วท่านต้องการทำอะไรกันแน่ และเกี่ยวข้องอะไรกับสงครามละเจ้าคะ  ” ผู้ดูแลสาวเอ่ยออกมาอย่างสับสนเพราะเธอไม่เข้าใจว่าชายหนุ่มเบื้องหน้าต้องการอะไรกันแน่ถึงพูดเช่นนี้

     

    “ เจ้าบอกมาว่าหอการค้าของอีกฝ่ายใส่ร้ายป้ายสีหอการค้าของเราด้วยข่าวลือที่ไม่เป็นความจริงสินะ ดังนั้นข้าจะป้ายสีข่าวลือกลับยังไงละ ”

     

    “ ท่านจะแพร่ข่าวลือกลับยังไงเจ้าคะ ในเมื่อที่เมืองหลวงแห่งนี้ พวกเรายังมีอำนาจไม่มากพอ  ?

     

    “ เจ้าคิดว่าหากมีข่าวลือมาว่าจะเกิดสงครามครั้งใหญ่ แล้วเจ้าที่ทำหน้าที่เป็นผู้ดูแลหอการค้าจะทำอย่างไรต่อไป ?

     

    ซูเยว่หรี่ตามองชายหนุ่มก่อนจะเอ่ยตอบ “ ข้าคงจะกักตุนสินค้าเพื่อเก็งกำไร   พูดจบหญิงสาวก็เบิกตากว้างด้วยความตกใจแล้วเอ่ยออกมาด้วยเสียงสั่น “ หะ...หรือว่าท่านคิดจะให้หอการค้าพวกนั้นกักตุนสินค้าจนทำให้ชาวบ้านเดือดร้อน และทำลายชื่อเสียงของพวกมันรึเจ้าคะ  

     

    ฉินหลิงยิ้มออกมาให้กับหญิงสาวเบื้องหน้าที่เข้าใจได้อย่างรวดเร็ว


    เมื่อได้รับคำยืนยันของผู้เป็นเจ้านาย ซูเยว่ก็ขมวดคิ้วแน่นก่อนจะเอ่ยถาม “ ข้าพอเข้าใจความต้องการของท่าน แต่พวกเราจะรู้ได้อย่างไรละเจ้าคะว่าเมื่อใดจะเกิดสงคราม  

     

    เสียงหัวเราะของฉินหลิงดังขึ้น “ ทำไมต้องรอให้เกิดสงครามจริงๆขึ้นละ ข้าว่าเจ้าคงลืมไปแล้วสินะว่าแซ่ของข้าคือฉิน จากตระกูลของแม่ทัพใหญ่  ดังนั้นหากมีข่าวลือว่าตระกูลฉินออกคำสั่งรวบรวมอาหารอย่างเร่งด่วน เจ้าคิดว่าเหล่าหมาป่าที่หิวโหยจากหอการค้าพวกนั้นมันจะทำเช่นไรต่อไป  

     

    ซูเยว่เบิกตากว้างและสูดลมหายใจลึก “ ถ้าเป็นดังที่ท่านว่า เช่นนั้นหอการค้าอื่นๆคงต้องหาทางรวบรวมหาอาหารเพื่อเก็งกำไรเป็นจำนวนมากจนสร้างความเดือดร้อนให้แก่ชาวบ้าน ซึ่งหากมีหอการค้าของเราที่ยังขายอาหารในราคาปกติก็ย่อมสร้างชื่อเสียงให้ตนเองและทำลายชื่อเสียงของฝ่ายตรงข้ามในคราเดียว ”

     

    “ เช่นนั้นก็ฝากเจ้าจัดการที่เหลือด้วย ข้าจะไปหาเหลาสุราดื่มสักหน่อย  ระหว่างเดินทางมีเรื่องวุ่นวายไม่น้อย    เมื่อเห็นว่าอีกฝ่ายเข้าใจสิ่งที่เขาบอกเเล้ว ฉินหลิงจึงเอ่ยลาเเละเดินจากไป ทิ้งให้ซูเยว่มองตามออกไปพลางคิดในใจว่าทั้งชีวิตของเธอจะไม่มีทางเป็นศัตรูกับชายหนุ่มผู้นี้เป็นอันขาด

     

     

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×