ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    ฝืนลิขิตฟ้า ท้าสวรรค์

    ลำดับตอนที่ #60 : ความวุ่นวายในเมืองหลวง (1)

    • เนื้อหาตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 18.61K
      1.47K
      13 ก.ค. 62

    หากจะเทียบรสชาติของสุราที่เฒ่าโม่บ่มขึ้น ฉินหลิงก็สามารถชี้ระดับได้ว่าสุราของตาเฒ่าโม่มีคุณภาพพอๆกับสุรากุ๊ยฮวาที่ถานอวี้จี้หมักขึ้นหรืออาจจะมากกว่าหนึ่งระดับเพราะเขาดื่มสุราของถานอวี้จี้เป็นประจำจึงทำให้เขาไม่ให้ความสนใจกับสุราตาเฒ่าโม่มากเท่าไหร่นัก และระดับแอลกอฮอล์ของสุราดอกเหมยที่ฉินหลิงดื่มไปที่ร้านเฒ่าโม่ยังไม่อาจเทียบเท่าสุราที่เขาหมักขึ้นและจะนำไปประมูลในอีกสองสัปดาห์ข้างหน้า

     

    ฉินหลิงเดินออกมาจากร้านสุราของเฒ่าโม่ด้วยใบหน้าที่มึนเมาก็แฝงตัวเข้าไปภายในตรอกเล็กๆภายในเมือง ก่อนจะปล่อยพลังปราณสีเขียวที่ดูงดงามออกมาปกคลุมร่างกายเพื่อขับไล่ฤทธิ์ของแอลกอฮอล์

     

    ผู้มีพลังยุทธในขั้นเซียนเทียนนั้นจะมีความสามารถในการควบคุมพลังปราณเพื่อใช้ในการขับพิษออกจากร่างกายได้ ดังนั้นฤทธิ์มึนเมาของสุราจึงไม่ใช่เรื่องยากเลยที่ฉินหลิงจะสามารถขับออกไปได้

     

    หลังจากฉินหลิงหายจากอาการเมามาย เขาก็เดินทางกลับหอการค้าตะวันฉายโดยไม่รู้ตัวเลยว่าเรื่องราวที่เขาทำร้ายองค์ชายสามถูกแพร่กระจายไปทั่วทั้งเมืองหลวงแล้ว

     

    ข่าวลือถูกแพร่กระจายออกไปอย่างรวดเร็วเพราะในเวลาที่ฉินหลิงลงมือทำร้ายผู้ที่เป็นองค์ชายแห่งแคว้นต้าเหยียน ได้มีเหล่าชาวบ้านรู้เห็นเหตุการณ์ที่ยังอยู่ภายในร้านแห่งนั้นอยู่เป็นจำนวนไม่น้อย

     

    จากข่าวลือที่เสียหายของฉินหลิงจากภายในเมืองไผ่เขียวซึ่งถูกผู้คนลืมเลือนไปแล้ว เพราะในหนึ่งปีที่ผ่านมาแทบไม่มีผู้ใดได้พบหน้าทายาทตระกูลฉินผู้นี้เลย

     

    แต่ใครจะรู้ หลังจากหายหน้าไปกว่าหนึ่งปี ชายหนุ่มที่มีชื่อเสียงเลวร้ายเป็นอันดับหนึ่งของเมืองไผ่เขียวกับปรากฏตัวยังภายในเมืองหลวง และก่อเหตุที่น่าตกตะลึงอย่างการทำร้ายร่างกายคนในราชวงศ์

     

    ชาวบ้านที่ได้ฟังข่าวลือต่างรู้สึกหวาดกลัวชายหนุ่มผู้เป็นทายาทตระกูลฉินจากเมืองไผ่เขียวอย่างยิ่ง โดยเฉพาะเมื่อข่าวลือที่เลวร้ายจากในอดีตถูกขุดคุ้ยขึ้นมาอีกครั้งจากน้ำมือของกลุ่มอำนาจที่อยู่ฝั่งตรงข้ามตระกูลฉิน

     

    นอกจากชาวบ้านที่คุยโวเรื่องราวของชนชั้นสูงอย่างสนุกปาก เหล่าขุนนางในราชสำนักที่ได้ยินคำลือก็อดไม่ได้ที่จะรู้สึกตกใจและรวมตัวกันหาทางออกของเรื่องราวนี้

     

    ขุนนางระดับสูงหลายคนหวาดหวั่นถึงขนาดสั่งปิดจวน เพราะพวกเขาไม่แน่ใจว่าตระกูลฉินมีเจตนาทำอะไรกันแน่ ซึ่งการที่นายน้อยตระกูลฉินผู้นี้ทำร้ายร่างกายองค์ชาย มันเป็นเหมือนการตบหน้าเหล่าเชื้อพระวงศ์ ดังนั้นพวกเขาคิดไปถึงขั้นที่ว่าตระกูลฉินต้องการก่อกบฏเพื่อปกครองแคว้นแห่งนี้แทนตระกูลหลี่ใช่รึไม่  ซึ่งหากพวกเขาเลือกข้างผิด ไม่เพียงไม่อาจรักษาชีวิตตนเองได้ แม้แต่ลูกเมียก็ต้องตายตามกันไปทั้งตระกูล

     

    ฉินหลิงที่เดินถึงหน้าหอการตะวันฉายด้วยสีหน้าผ่อนคลาย เพราะหลังจากได้พูดคุยระบายความรู้สึกต่างๆกับชายแปลกหน้าผู้นั้น ก็ทำให้เขาปลอดโปร่งและตั้งใจกลับมานอนพักอย่างสบายใจ

     

    แต่แทนที่เขาจะเข้าไปยังห้องพักที่ผู้ดูแลซูเยว่เตรียมไว้  เขากับพบกลุ่มคนจำนวนมากที่ยืนราวกับป้อมปราการอยู่ด้านหน้าประตูขนาดใหญ่ของหอการค้าตะวัน

     

    เมื่อผู้ดูแลซูเยว่สังเกตเห็นฉินหลิงเดินเข้ามา เธอก็รีบวิ่งเข้ามาหาชายหนุ่มอย่างรวดเร็วและเอ่ยถามฉินหลิงทั้งที่ยังหายใจหอบ  “แฮกๆ...ทะ..ท่านตั้งใจจะก่อกบฏจริงๆรึเจ้าคะ 

     

    ครั้นได้ยินคำถามของหญิงสาว ฉินหลิงก็เผยสีหน้าไม่เข้าใจ “ เจ้าหมายความว่าอย่างไร ทำไมข้าต้องก่อกบฎด้วย 

     

    “ ไม่ใช่ว่าวันนี้ท่านไปทำร้ายร่างกายองค์ชายสามมาหรอกรึ  เช่นนั้นไม่ได้หมายความว่าท่านต้องการก่อกบฎรึเจ้าคะ  ” ซูเยว่เอ่ยกับฉินหลิงด้วยความกังวลใจ เพราะตัวเธอนั้นไม่เคยเข้าใจในความคิดของเจ้านายผู้นี้เลย ดังนั้นหากเขาอยากจะก่อกบฏจริงๆเธอเองก็ต้องร่วมหอลงโรงไปกับทายาทตระกูลฉินผู้นี้ด้วย แต่เขากลับไม่เคยเอ่ยถึงแผนการอะไรกับเธอแม้แต่น้อย

     

    “ เช่นนั้นเจ้าเด็กชุดม่วงผู้นั้นก็คือองค์ชายสามสินะ ” ฉินหลิงหรี่ตาลงพร้อมนึกภาพของชายหนุ่มชุดม่วงที่โดนเข้าชกต่อยเมื่อตอนเขาเดินเล่นกับถานอวี้จี้ ก่อนจะมองใบหน้าที่เผยความกังวลของซูเยว่ จึงทำให้ฉินหลิงยิ้มออกมา “ เจ้าไม่ต้องตกใจไปหรอก ข้าไม่ได้คิดจะก่อกบฏจริงๆหรอก เพียงแต่เรื่องที่เกิดขึ้นมันเป็นอุบัติเหตุเท่านั้น พรุ่งนี้เจ้าก็เอาป้ายไปติดที่ใจกลางเมืองว่าข้าสะดุดล้มแล้วมือบังเอิญไปชนกับใบหน้าขององค์ชายสาม และเรื่องต่างๆที่เกิดขึ้นก็เป็นเพียงอุบัติเหตุ ข้าไม่ได้มีเจตนาทำร้ายเชื้อพระวงศ์ ”

     

      ห๊ะ...ท่านเป็นบ้าไปแล้วหรา ” ซูเยว่อ้าปากค้างและเผลอด่าเจ้านายเธอโดยไม่รู้ตัว ท่านไปทำร้ายร่างกายองค์ชายแล้วท่านยังจะให้ข้าส่งคนไปเขียนข้อความล้อเลียนเช่นนี้อีก ไม่สู้ท่านเอากระบี่ไปเชือดคอองค์ชายผู้นั้นดีกว่าทำให้เขาอับอายเช่นนี้

     

    รอยยิ้มที่มีอยู่ของฉินหลิงหุบลงก่อนจะเอ่ยสั่งซูเยว่ด้วยน้ำเสียงจริงจัง “ ข้าเอาจริงและไม่ได้ล้อเล่นด้วย เจ้าจงส่งคนไปทำตามที่ข้าสั่งซะ ”

     

    เมื่อเห็นท่าทางที่เปลี่ยนไปของเจ้านาย ซูเยว่ก็พยักหน้ารับคำสั่งก่อนจะเอ่ยถาม “ ท่านบอกเหตุผลที่ทำเช่นนี้กับข้าได้รึไม่เจ้าคะ 

     

    “ ข้าเองก็ไม่ได้ตั้งใจจะก่อเรื่องกับพวกเชื้อพระวงศ์เหล่านี้หรอกนะ แต่ในเมื่อเหตุมันเกิดขึ้นไปแล้ว ข้าจำเป็นต้องดูทิศทางลมว่าทางองค์ฮ่องเต้จะตัดสินใจทำอะไรต่อไป เพราะเรื่องทั้งหมดเกิดจากลูกชายไม่ได้ความของชายผู้นั้นที่บังอาจมาดูหมิ่นผู้หญิงของข้า  ” ฉินหลิงเอ่ยด้วยน้ำเสียงไม่พอใจพลางมองไปยังทางทิศเหนือซึ่งเป็นที่ตั้งของพระราชวัง

     

    “ เจ้าคะ ” ซูเยว่โค้งคารวะให้ฉินหลิงและเงยหน้าขึ้นมองชายหนุ่มเดินเข้าไปที่พักอย่างเงียบงัน

     

    ............................

     

    ตระกูลเกา หนึ่งในสี่ตระกูลใหญ่ที่รับผิดชอบกองห้องเครื่องอยู่ภายในวังหลวง ซึ่งมีพระสนมเสียนเฟยที่เป็นคนของตระกูลเกาคอยสนับสนุนอยู่เบื้องหลัง และพระสนมเสียนเฟยเองก็มีโอรสพระองค์หนึ่งซึ่งก็คือองค์ชายรองที่มีตระกูลเกาเป็นฐานอำนาจในการแย่งชิงอำนาจกับองค์ชายใหญ่ที่มีตระกูลเว่ยหนุนหลังและตระกูลถังที่เป็นเบื้องหลังขององค์ชายสาม

     

    นอกจากตระกูลหยางที่เป็นตระกูลฝ่ายมารดาขององค์หญิงหลิวเหมย อีกสามตระกูลใหญ่ต่างสู้รบแย่งชิงอำนาจในการเป็นใหญ่ให้แก่องค์ชายที่พวกเขาให้การสนับสนุนทั้งสิ้น

     

    ภายในเรือนหลักของตระกูลเกา ผู้อาวุโสทั้งตระกูลหลักและตระกูลรองมารวมตัวกันอยู่ที่ห้องนอนของเกาเฉิน ทายาทสายตรงเพียงผู้เดียวของผู้นำตระกูลเกา

     

      ท่านหมอลูกชายข้าเป็นเช่นไรบ้าง ” เกาอีชิงผู้นำตระกูลเกาเอ่ยถามหมอที่มาจากวังหลวงด้วยสีหน้ากังวล

     

    หมอชราที่ตรวจชีพจรเกาเฉินเสร็จก็หันมาพูดกับผู้เป็นเจ้านายแห่งตระกูลเกา  “ อาการของนายน้อยเกาคงที่แล้ว เพียงแต่เสียเลือดมากจึงทำให้ต้องกินยาบำรุงเป็นจำนวนมากเพื่อเพิ่มเลือดที่เสียไป เดี๋ยวข้าจะเขียนตำรับยาไว้ให้ ส่วนท่านก็ให้บ่าวไปซื้อและต้มให้นายน้อยกิน ไม่เกินสามวันก็หายเป็นปกติ 

     

    “ ละ..แล้ว ขาของลูกชายข้าสามารถต่อกลับได้ไหม ” ผู้นำตระกูลเกาเอ่ยถามด้วยน้ำเสียงคาดหวัง

     

    หมอหลวงชราถอนหายใจออกมา “ เรื่องเชื่อมต่ออวัยวะคงมีแต่เทพเซียนเท่านั้นที่ทำได้ ข้าไม่มีความสามารถขนาดนี้จริงๆ ขออภัยท่านด้วย ” เอ่ยจบท่านหมอก็เดินออกจากห้องทิ้งสมาชิกตระกูลเกาให้มองหน้ากันเอง

     

    “ ฉินหลิง ตระกูลฉินของพวกเจ้าจะจองเวรตระกูลเกาของข้าไปถึงเมื่อไหร่ บิดาข้าก็ตายเพราะเจ้าฉินเจิน ส่วนลูกชายข้าต้องมาพิการเพราะหลานชายของมัน ข้าไม่ขออยู่ร่วมโลกกับมันอีก  ”เกาอีชิงตะโกนออกมาเสียงดังด้วยแววตาแดงกล่ำที่เต็มไปด้วยความเคียดแค้น

     

    “ ท่านผู้นำตระกูล โปรดใจเย็นก่อน พวกเราไม่อาจลงมือกับทายาทตระกูลฉินผู้นี้ได้ ไม่เช่นนั้นหากแม่ทัพใหญ่เกิดโมโหจนขาดสติ ตระกูลเกาของเราจะถูกทำลายภายในพริบตา ” หนึ่งในผู้อาวุโสที่อยู่ในห้องเอ่ยออกมา

     

      พวกเจ้าลองให้มันตัดขาลูกหลานพวกเจ้าไหมละ ” ผู้นำตระกูลเกาโกรธจนไม่สามารถควบคุมสติได้และปลดปล่อยพลังสีฟ้ากระแทกใส่ผู้อาวุโสที่อยู่ในห้องด้วยความเจ็บแค้นที่ลูกชายซึ่งเป็นคนที่เขาตั้งใจจะมอบหมายให้สืบทอดตำแหน่งต่อกลับต้องมากลายเป็นคนพิการ

     

    เมื่อเห็นผู้นำตระกูลเกาโมโหจนขาดสติ รอยยิ้มของหัวหน้าตระกูลเกาสายรองบังเกิดขึ้นและเอ่ยเสียงดัง “ ท่านผู้นำตระกูลทำเช่นนี้ไม่เท่ากับว่าจะพาตระกูลเราไปสู่ความตายหรอกรึ และข้ายังได้ยินมาว่าบุตรชายท่านไปหาเรื่องหลานชายท่านแม่ทัพก่อนด้วย  หากท่านสั่งสอนคุณชายให้ดีกว่านี้เรื่องคงไม่เกิดหรอก ”

     

    หลังจากที่ผู้อาวุโสในห้องได้ยินคำกล่าวของหัวหน้าตระกูลสายรอง ก็แสดงสีหน้าไม่พอใจออกมาบวกกับพฤติกรรมที่ไม่เหมาะสมของเกาอีชิง จึงทำให้ชายชราที่อาวุโสที่สุดในห้องพูดขึ้นมา “ จับตัวผู้นำตระกูลไปสงบสติอารมณ์ซะ ” หลังจากผู้อาวุโสสูงสุดของตระกูลเกาเอ่ยจบ คลื่นพลังสีฟ้าถูกปลดปล่อยออกมาจากร่างกายของผู้อาวุโสที่อยู่ในห้องถึงห้าคนเพื่อเข้ามาคุมตัวเกาอีชิง

     

      ปล่อยข้า ข้าจะไปฆ่าเจ้าเด็กสารเลวนั้น มันทำให้ลูกข้าต้องพิการ ” เกาอีชิงสะบัดตัวเองหนีจากเหล่าผู้อาวุโสที่ล้อมรอบด้วยพลังที่เหนือกว่าก่อนจะพุ่งออกไปนอกห้อง เพียงแต่เมื่อเข้าพุ่งออกไปกลับมีฝ่ามือของผู้ที่ถูกเรียกขานว่าผู้อาวุโสสูงสุดที่ห่อไปด้วยพลังปราณสีน้ำเงินเข้มกระแทกไปยังต้นคอ จนทำให้ ผู้นำตระกูลเกาที่กำลังขาดสติสลบไปกับพื้น

     

     “ นำผู้นำตระกูลเกาไปขังไว้ที่คุกใต้ดิน หากเขายังไม่รู้สำนึก ข้าจะเลือกผู้นำตระกูลคนใหม่เอง ส่วนในเวลานี้ข้าจะทำหน้าที่ดูแลตระกูลเกาไปก่อน  ” ผู้อาวุโสสูงสุดของตระกูลเกาปล่อยพลังออกมาเพื่อแสดงความแข็งแกร่งของตนเองก่อนจะเดินจากไป

     

    เมื่อเห็นผู้อาวุโสสูงสุดเดินจากไป ผู้อาวุโสแต่ละคนต่างปรากฏรอยยิ้มขึ้นมา เพราะตอนนี้เกาเฉินทายาทสายตรงเพียงคนเดียวของผู้นำตระกูลถูกทำให้พิการไปแล้ว ดังนั้นบุตรหลานของพวกเขาย่อมมีโอกาสชิงเก้าอี้ตำแหน่งผู้นำตระกูล

     

    ในเวลาเดียวกันกับการทะเลาะวิวาทและแย่งชิงอำนาจภายในตระกูลเกา ชั้นบนสุดของหอหลี่เชียง ซึ่งเป็นสถานที่ของแม่นางอิงอิง หญิงงามอันดับหนึ่งของหอคณิกาแห่งนี้ ที่มีค่าตัวในการแสดงแต่ละครั้งนับร้อยตำลึงทองพักอาศัยอยู่ (หญิงงามในหอคณิกาจะ หมายถึง สตรีที่ไม่ขายเรือนร่าง ขายศิลปะดนตรีหรือการแสดงของตน)

     

    สตรีในชุดดำปรากฏตัวอย่างเงียบงันในห้องชั้นบนสุดของหอคณิกา

     

    “ มีข่าวสำคัญอะไรรึ” เสียงอ่อนหวานของสตรีดังขึ้นจากด้านในของม่านผ้าผืนบางซึ่งกระทบกับแสงเทียนก่อให้เกิดเป็นเงาของสตรีนางหนึ่ง

     

    เมื่อได้ยินคำถามของหญิงสาวด้านใน สตรีที่สวมชุดรัดแน่นสีดำก็คุกเข่าแล้วเอ่ย “ เรียนองค์หญิง เวลานี้มีเรื่องใหญ่เกิดขึ้นภายในเมืองหลวงแห่งนี้พะยะคะ 

     

    “ ข้าบอกเจ้ากี่ครั้งแล้ว เวลานี้ข้าเป็นแม่นางอิงอิง มิใช่องค์หญิงอะไรนั้นซะหน่อย  ” เสียงไม่สบอารมณ์ของผู้เป็นองค์หญิงดังขึ้น

     

    “ พะยะคะ องค์...ท่านอิงอิง 

     

    “ ดีมาก แล้วที่เจ้าบอกว่ามีเรื่องใหญ่ มันคืออะไรรึ ? 

     

    หญิงสาวที่สวมชุดดำรัดรูปเงยหน้ามองผ้าผืนบางที่กั้นพวกเธอทั้งสองไว้  “ ทายาทตระกูลฉิน ฉินหลิงเดินทางมายังเมืองหลวงแล้ว 

     

    “ โอ้... ข้าจำได้  ชายผู้นั้นไม่เลวเลยที่กล้าปฏิเสธนัดดูตัวกับข้า แล้วมันเกี่ยวอะไรกับชายหนุ่มผู้นั้นรึ 

     

    “ หลานชายท่านแม่ทัพผู้นั้นตัดขาคุณชายตระกูลเกาและลงมือทำร้ายร้างกายคนตระกูลเกากว่ายี่สิบคนจนพิการ ไม่เพียงเท่านี้เมื่อตอนกลางวันเขายังลงมือทำร้ายร่างกายองค์ชายสามอย่างหนักอีกด้วยเจ้าคะ 

     

    หลังจากสตรีชุดดำเอ่ยจบ เสียงหัวเราะสดใสของผู้ได้ฉายาหญิงงามอันดับหนึ่งของเมืองหลวงก็ดังขึ้น “ ฮิฮิ ข้าว่าแล้ว เขาต้องไม่ธรรมดาจริงๆด้วย ข้าอยากพบเจอกับชายผู้นั้นจริงๆ พยัคฆ์ที่แอบซ่อนกรงเล็บมานานนับสิบปี จะมีการแสดงอะไรดีๆให้พวกเราดูบ้าง ข้าทนรอแทบไม่ไหวแล้ว  

     

    สตรีในชุดดำก็ก้มหน้าเงียบราวกับหุ่นเชิดที่ไม่ได้สามารถเอ่ยอะไรออกมาได้

     

    “ เอาละ เจ้าก็ไปติดตามข่าวของชายผู้นั้นตลอดเวลาด้วย หากมีอะไรสำคัญให้มารายงานข้าด่วนเลย 

     

    “ เจ้าคะ ”  เอ่ยจบหญิงสาวชุดดำก็หายไปจากในห้องทิ้งให้องค์หญิงเพียงคนเดียวของฮ่องเต้อยู่ตามลำพัง

     

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×