คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #60 : ความวุ่นวายในเมืองหลวง (1)
หากจะเทียบรสชาติของสุราที่เฒ่าโม่บ่มขึ้น ฉินหลิงก็สามารถชี้ระดับได้ว่าสุราของตาเฒ่าโม่มีคุณภาพพอๆกับสุรากุ๊ยฮวาที่ถานอวี้จี้หมักขึ้นหรืออาจจะมากกว่าหนึ่งระดับเพราะเขาดื่มสุราของถานอวี้จี้เป็นประจำจึงทำให้เขาไม่ให้ความสนใจกับสุราตาเฒ่าโม่มากเท่าไหร่นัก
และระดับแอลกอฮอล์ของสุราดอกเหมยที่ฉินหลิงดื่มไปที่ร้านเฒ่าโม่ยังไม่อาจเทียบเท่าสุราที่เขาหมักขึ้นและจะนำไปประมูลในอีกสองสัปดาห์ข้างหน้า
ฉินหลิงเดินออกมาจากร้านสุราของเฒ่าโม่ด้วยใบหน้าที่มึนเมาก็แฝงตัวเข้าไปภายในตรอกเล็กๆภายในเมือง
ก่อนจะปล่อยพลังปราณสีเขียวที่ดูงดงามออกมาปกคลุมร่างกายเพื่อขับไล่ฤทธิ์ของแอลกอฮอล์
ผู้มีพลังยุทธในขั้นเซียนเทียนนั้นจะมีความสามารถในการควบคุมพลังปราณเพื่อใช้ในการขับพิษออกจากร่างกายได้
ดังนั้นฤทธิ์มึนเมาของสุราจึงไม่ใช่เรื่องยากเลยที่ฉินหลิงจะสามารถขับออกไปได้
หลังจากฉินหลิงหายจากอาการเมามาย เขาก็เดินทางกลับหอการค้าตะวันฉายโดยไม่รู้ตัวเลยว่าเรื่องราวที่เขาทำร้ายองค์ชายสามถูกแพร่กระจายไปทั่วทั้งเมืองหลวงแล้ว
ข่าวลือถูกแพร่กระจายออกไปอย่างรวดเร็วเพราะในเวลาที่ฉินหลิงลงมือทำร้ายผู้ที่เป็นองค์ชายแห่งแคว้นต้าเหยียน
ได้มีเหล่าชาวบ้านรู้เห็นเหตุการณ์ที่ยังอยู่ภายในร้านแห่งนั้นอยู่เป็นจำนวนไม่น้อย
จากข่าวลือที่เสียหายของฉินหลิงจากภายในเมืองไผ่เขียวซึ่งถูกผู้คนลืมเลือนไปแล้ว
เพราะในหนึ่งปีที่ผ่านมาแทบไม่มีผู้ใดได้พบหน้าทายาทตระกูลฉินผู้นี้เลย
แต่ใครจะรู้ หลังจากหายหน้าไปกว่าหนึ่งปี
ชายหนุ่มที่มีชื่อเสียงเลวร้ายเป็นอันดับหนึ่งของเมืองไผ่เขียวกับปรากฏตัวยังภายในเมืองหลวง
และก่อเหตุที่น่าตกตะลึงอย่างการทำร้ายร่างกายคนในราชวงศ์
ชาวบ้านที่ได้ฟังข่าวลือต่างรู้สึกหวาดกลัวชายหนุ่มผู้เป็นทายาทตระกูลฉินจากเมืองไผ่เขียวอย่างยิ่ง
โดยเฉพาะเมื่อข่าวลือที่เลวร้ายจากในอดีตถูกขุดคุ้ยขึ้นมาอีกครั้งจากน้ำมือของกลุ่มอำนาจที่อยู่ฝั่งตรงข้ามตระกูลฉิน
นอกจากชาวบ้านที่คุยโวเรื่องราวของชนชั้นสูงอย่างสนุกปาก
เหล่าขุนนางในราชสำนักที่ได้ยินคำลือก็อดไม่ได้ที่จะรู้สึกตกใจและรวมตัวกันหาทางออกของเรื่องราวนี้
ขุนนางระดับสูงหลายคนหวาดหวั่นถึงขนาดสั่งปิดจวน
เพราะพวกเขาไม่แน่ใจว่าตระกูลฉินมีเจตนาทำอะไรกันแน่
ซึ่งการที่นายน้อยตระกูลฉินผู้นี้ทำร้ายร่างกายองค์ชาย มันเป็นเหมือนการตบหน้าเหล่าเชื้อพระวงศ์
ดังนั้นพวกเขาคิดไปถึงขั้นที่ว่าตระกูลฉินต้องการก่อกบฏเพื่อปกครองแคว้นแห่งนี้แทนตระกูลหลี่ใช่รึไม่
ซึ่งหากพวกเขาเลือกข้างผิด
ไม่เพียงไม่อาจรักษาชีวิตตนเองได้ แม้แต่ลูกเมียก็ต้องตายตามกันไปทั้งตระกูล
ฉินหลิงที่เดินถึงหน้าหอการตะวันฉายด้วยสีหน้าผ่อนคลาย
เพราะหลังจากได้พูดคุยระบายความรู้สึกต่างๆกับชายแปลกหน้าผู้นั้น ก็ทำให้เขาปลอดโปร่งและตั้งใจกลับมานอนพักอย่างสบายใจ
แต่แทนที่เขาจะเข้าไปยังห้องพักที่ผู้ดูแลซูเยว่เตรียมไว้
เขากับพบกลุ่มคนจำนวนมากที่ยืนราวกับป้อมปราการอยู่ด้านหน้าประตูขนาดใหญ่ของหอการค้าตะวัน
เมื่อผู้ดูแลซูเยว่สังเกตเห็นฉินหลิงเดินเข้ามา
เธอก็รีบวิ่งเข้ามาหาชายหนุ่มอย่างรวดเร็วและเอ่ยถามฉินหลิงทั้งที่ยังหายใจหอบ
“แฮกๆ...ทะ..ท่านตั้งใจจะก่อกบฏจริงๆรึเจ้าคะ ”
ครั้นได้ยินคำถามของหญิงสาว
ฉินหลิงก็เผยสีหน้าไม่เข้าใจ “ เจ้าหมายความว่าอย่างไร ทำไมข้าต้องก่อกบฎด้วย ”
“
ไม่ใช่ว่าวันนี้ท่านไปทำร้ายร่างกายองค์ชายสามมาหรอกรึ เช่นนั้นไม่ได้หมายความว่าท่านต้องการก่อกบฎรึเจ้าคะ ” ซูเยว่เอ่ยกับฉินหลิงด้วยความกังวลใจ เพราะตัวเธอนั้นไม่เคยเข้าใจในความคิดของเจ้านายผู้นี้เลย
ดังนั้นหากเขาอยากจะก่อกบฏจริงๆเธอเองก็ต้องร่วมหอลงโรงไปกับทายาทตระกูลฉินผู้นี้ด้วย
แต่เขากลับไม่เคยเอ่ยถึงแผนการอะไรกับเธอแม้แต่น้อย
“ เช่นนั้นเจ้าเด็กชุดม่วงผู้นั้นก็คือองค์ชายสามสินะ
” ฉินหลิงหรี่ตาลงพร้อมนึกภาพของชายหนุ่มชุดม่วงที่โดนเข้าชกต่อยเมื่อตอนเขาเดินเล่นกับถานอวี้จี้
ก่อนจะมองใบหน้าที่เผยความกังวลของซูเยว่ จึงทำให้ฉินหลิงยิ้มออกมา “ เจ้าไม่ต้องตกใจไปหรอก
ข้าไม่ได้คิดจะก่อกบฏจริงๆหรอก
เพียงแต่เรื่องที่เกิดขึ้นมันเป็นอุบัติเหตุเท่านั้น
พรุ่งนี้เจ้าก็เอาป้ายไปติดที่ใจกลางเมืองว่าข้าสะดุดล้มแล้วมือบังเอิญไปชนกับใบหน้าขององค์ชายสาม
และเรื่องต่างๆที่เกิดขึ้นก็เป็นเพียงอุบัติเหตุ
ข้าไม่ได้มีเจตนาทำร้ายเชื้อพระวงศ์ ”
“ ห๊ะ...ท่านเป็นบ้าไปแล้วหรา
” ซูเยว่อ้าปากค้างและเผลอด่าเจ้านายเธอโดยไม่รู้ตัว
ท่านไปทำร้ายร่างกายองค์ชายแล้วท่านยังจะให้ข้าส่งคนไปเขียนข้อความล้อเลียนเช่นนี้อีก
ไม่สู้ท่านเอากระบี่ไปเชือดคอองค์ชายผู้นั้นดีกว่าทำให้เขาอับอายเช่นนี้
รอยยิ้มที่มีอยู่ของฉินหลิงหุบลงก่อนจะเอ่ยสั่งซูเยว่ด้วยน้ำเสียงจริงจัง
“ ข้าเอาจริงและไม่ได้ล้อเล่นด้วย เจ้าจงส่งคนไปทำตามที่ข้าสั่งซะ ”
เมื่อเห็นท่าทางที่เปลี่ยนไปของเจ้านาย ซูเยว่ก็พยักหน้ารับคำสั่งก่อนจะเอ่ยถาม
“ ท่านบอกเหตุผลที่ทำเช่นนี้กับข้าได้รึไม่เจ้าคะ
”
“ ข้าเองก็ไม่ได้ตั้งใจจะก่อเรื่องกับพวกเชื้อพระวงศ์เหล่านี้หรอกนะ
แต่ในเมื่อเหตุมันเกิดขึ้นไปแล้ว ข้าจำเป็นต้องดูทิศทางลมว่าทางองค์ฮ่องเต้จะตัดสินใจทำอะไรต่อไป
เพราะเรื่องทั้งหมดเกิดจากลูกชายไม่ได้ความของชายผู้นั้นที่บังอาจมาดูหมิ่นผู้หญิงของข้า ” ฉินหลิงเอ่ยด้วยน้ำเสียงไม่พอใจพลางมองไปยังทางทิศเหนือซึ่งเป็นที่ตั้งของพระราชวัง
“ เจ้าคะ ”
ซูเยว่โค้งคารวะให้ฉินหลิงและเงยหน้าขึ้นมองชายหนุ่มเดินเข้าไปที่พักอย่างเงียบงัน
............................
ตระกูลเกา
หนึ่งในสี่ตระกูลใหญ่ที่รับผิดชอบกองห้องเครื่องอยู่ภายในวังหลวง ซึ่งมีพระสนมเสียนเฟยที่เป็นคนของตระกูลเกาคอยสนับสนุนอยู่เบื้องหลัง
และพระสนมเสียนเฟยเองก็มีโอรสพระองค์หนึ่งซึ่งก็คือองค์ชายรองที่มีตระกูลเกาเป็นฐานอำนาจในการแย่งชิงอำนาจกับองค์ชายใหญ่ที่มีตระกูลเว่ยหนุนหลังและตระกูลถังที่เป็นเบื้องหลังขององค์ชายสาม
นอกจากตระกูลหยางที่เป็นตระกูลฝ่ายมารดาขององค์หญิงหลิวเหมย
อีกสามตระกูลใหญ่ต่างสู้รบแย่งชิงอำนาจในการเป็นใหญ่ให้แก่องค์ชายที่พวกเขาให้การสนับสนุนทั้งสิ้น
ภายในเรือนหลักของตระกูลเกา ผู้อาวุโสทั้งตระกูลหลักและตระกูลรองมารวมตัวกันอยู่ที่ห้องนอนของเกาเฉิน
ทายาทสายตรงเพียงผู้เดียวของผู้นำตระกูลเกา
“ ท่านหมอลูกชายข้าเป็นเช่นไรบ้าง
” เกาอีชิงผู้นำตระกูลเกาเอ่ยถามหมอที่มาจากวังหลวงด้วยสีหน้ากังวล
หมอชราที่ตรวจชีพจรเกาเฉินเสร็จก็หันมาพูดกับผู้เป็นเจ้านายแห่งตระกูลเกา “ อาการของนายน้อยเกาคงที่แล้ว
เพียงแต่เสียเลือดมากจึงทำให้ต้องกินยาบำรุงเป็นจำนวนมากเพื่อเพิ่มเลือดที่เสียไป
เดี๋ยวข้าจะเขียนตำรับยาไว้ให้ ส่วนท่านก็ให้บ่าวไปซื้อและต้มให้นายน้อยกิน
ไม่เกินสามวันก็หายเป็นปกติ ”
“ ละ..แล้ว ขาของลูกชายข้าสามารถต่อกลับได้ไหม ”
ผู้นำตระกูลเกาเอ่ยถามด้วยน้ำเสียงคาดหวัง
หมอหลวงชราถอนหายใจออกมา “ เรื่องเชื่อมต่ออวัยวะคงมีแต่เทพเซียนเท่านั้นที่ทำได้
ข้าไม่มีความสามารถขนาดนี้จริงๆ ขออภัยท่านด้วย ”
เอ่ยจบท่านหมอก็เดินออกจากห้องทิ้งสมาชิกตระกูลเกาให้มองหน้ากันเอง
“ ฉินหลิง
ตระกูลฉินของพวกเจ้าจะจองเวรตระกูลเกาของข้าไปถึงเมื่อไหร่ บิดาข้าก็ตายเพราะเจ้าฉินเจิน
ส่วนลูกชายข้าต้องมาพิการเพราะหลานชายของมัน ข้าไม่ขออยู่ร่วมโลกกับมันอีก ”เกาอีชิงตะโกนออกมาเสียงดังด้วยแววตาแดงกล่ำที่เต็มไปด้วยความเคียดแค้น
“ ท่านผู้นำตระกูล โปรดใจเย็นก่อน
พวกเราไม่อาจลงมือกับทายาทตระกูลฉินผู้นี้ได้ ไม่เช่นนั้นหากแม่ทัพใหญ่เกิดโมโหจนขาดสติ
ตระกูลเกาของเราจะถูกทำลายภายในพริบตา ” หนึ่งในผู้อาวุโสที่อยู่ในห้องเอ่ยออกมา
“ พวกเจ้าลองให้มันตัดขาลูกหลานพวกเจ้าไหมละ
” ผู้นำตระกูลเกาโกรธจนไม่สามารถควบคุมสติได้และปลดปล่อยพลังสีฟ้ากระแทกใส่ผู้อาวุโสที่อยู่ในห้องด้วยความเจ็บแค้นที่ลูกชายซึ่งเป็นคนที่เขาตั้งใจจะมอบหมายให้สืบทอดตำแหน่งต่อกลับต้องมากลายเป็นคนพิการ
เมื่อเห็นผู้นำตระกูลเกาโมโหจนขาดสติ
รอยยิ้มของหัวหน้าตระกูลเกาสายรองบังเกิดขึ้นและเอ่ยเสียงดัง “ ท่านผู้นำตระกูลทำเช่นนี้ไม่เท่ากับว่าจะพาตระกูลเราไปสู่ความตายหรอกรึ
และข้ายังได้ยินมาว่าบุตรชายท่านไปหาเรื่องหลานชายท่านแม่ทัพก่อนด้วย หากท่านสั่งสอนคุณชายให้ดีกว่านี้เรื่องคงไม่เกิดหรอก
”
หลังจากที่ผู้อาวุโสในห้องได้ยินคำกล่าวของหัวหน้าตระกูลสายรอง
ก็แสดงสีหน้าไม่พอใจออกมาบวกกับพฤติกรรมที่ไม่เหมาะสมของเกาอีชิง จึงทำให้ชายชราที่อาวุโสที่สุดในห้องพูดขึ้นมา
“ จับตัวผู้นำตระกูลไปสงบสติอารมณ์ซะ ” หลังจากผู้อาวุโสสูงสุดของตระกูลเกาเอ่ยจบ
คลื่นพลังสีฟ้าถูกปลดปล่อยออกมาจากร่างกายของผู้อาวุโสที่อยู่ในห้องถึงห้าคนเพื่อเข้ามาคุมตัวเกาอีชิง
“ ปล่อยข้า
ข้าจะไปฆ่าเจ้าเด็กสารเลวนั้น มันทำให้ลูกข้าต้องพิการ ”
เกาอีชิงสะบัดตัวเองหนีจากเหล่าผู้อาวุโสที่ล้อมรอบด้วยพลังที่เหนือกว่าก่อนจะพุ่งออกไปนอกห้อง
เพียงแต่เมื่อเข้าพุ่งออกไปกลับมีฝ่ามือของผู้ที่ถูกเรียกขานว่าผู้อาวุโสสูงสุดที่ห่อไปด้วยพลังปราณสีน้ำเงินเข้มกระแทกไปยังต้นคอ
จนทำให้ ผู้นำตระกูลเกาที่กำลังขาดสติสลบไปกับพื้น
“ นำผู้นำตระกูลเกาไปขังไว้ที่คุกใต้ดิน
หากเขายังไม่รู้สำนึก ข้าจะเลือกผู้นำตระกูลคนใหม่เอง
ส่วนในเวลานี้ข้าจะทำหน้าที่ดูแลตระกูลเกาไปก่อน
”
ผู้อาวุโสสูงสุดของตระกูลเกาปล่อยพลังออกมาเพื่อแสดงความแข็งแกร่งของตนเองก่อนจะเดินจากไป
เมื่อเห็นผู้อาวุโสสูงสุดเดินจากไป
ผู้อาวุโสแต่ละคนต่างปรากฏรอยยิ้มขึ้นมา เพราะตอนนี้เกาเฉินทายาทสายตรงเพียงคนเดียวของผู้นำตระกูลถูกทำให้พิการไปแล้ว
ดังนั้นบุตรหลานของพวกเขาย่อมมีโอกาสชิงเก้าอี้ตำแหน่งผู้นำตระกูล
ในเวลาเดียวกันกับการทะเลาะวิวาทและแย่งชิงอำนาจภายในตระกูลเกา
ชั้นบนสุดของหอหลี่เชียง ซึ่งเป็นสถานที่ของแม่นางอิงอิง
หญิงงามอันดับหนึ่งของหอคณิกาแห่งนี้
ที่มีค่าตัวในการแสดงแต่ละครั้งนับร้อยตำลึงทองพักอาศัยอยู่ (หญิงงามในหอคณิกาจะ
หมายถึง สตรีที่ไม่ขายเรือนร่าง ขายศิลปะดนตรีหรือการแสดงของตน)
สตรีในชุดดำปรากฏตัวอย่างเงียบงันในห้องชั้นบนสุดของหอคณิกา
“ มีข่าวสำคัญอะไรรึ”
เสียงอ่อนหวานของสตรีดังขึ้นจากด้านในของม่านผ้าผืนบางซึ่งกระทบกับแสงเทียนก่อให้เกิดเป็นเงาของสตรีนางหนึ่ง
เมื่อได้ยินคำถามของหญิงสาวด้านใน
สตรีที่สวมชุดรัดแน่นสีดำก็คุกเข่าแล้วเอ่ย “ เรียนองค์หญิง
เวลานี้มีเรื่องใหญ่เกิดขึ้นภายในเมืองหลวงแห่งนี้พะยะคะ ”
“ ข้าบอกเจ้ากี่ครั้งแล้ว
เวลานี้ข้าเป็นแม่นางอิงอิง มิใช่องค์หญิงอะไรนั้นซะหน่อย ” เสียงไม่สบอารมณ์ของผู้เป็นองค์หญิงดังขึ้น
“ พะยะคะ องค์...ท่านอิงอิง ”
“ ดีมาก แล้วที่เจ้าบอกว่ามีเรื่องใหญ่
มันคืออะไรรึ ? ”
หญิงสาวที่สวมชุดดำรัดรูปเงยหน้ามองผ้าผืนบางที่กั้นพวกเธอทั้งสองไว้ “ ทายาทตระกูลฉิน
ฉินหลิงเดินทางมายังเมืองหลวงแล้ว ”
“ โอ้... ข้าจำได้ ชายผู้นั้นไม่เลวเลยที่กล้าปฏิเสธนัดดูตัวกับข้า
แล้วมันเกี่ยวอะไรกับชายหนุ่มผู้นั้นรึ ”
“ หลานชายท่านแม่ทัพผู้นั้นตัดขาคุณชายตระกูลเกาและลงมือทำร้ายร้างกายคนตระกูลเกากว่ายี่สิบคนจนพิการ
ไม่เพียงเท่านี้เมื่อตอนกลางวันเขายังลงมือทำร้ายร่างกายองค์ชายสามอย่างหนักอีกด้วยเจ้าคะ ”
หลังจากสตรีชุดดำเอ่ยจบ
เสียงหัวเราะสดใสของผู้ได้ฉายาหญิงงามอันดับหนึ่งของเมืองหลวงก็ดังขึ้น “ ฮิฮิ ข้าว่าแล้ว
เขาต้องไม่ธรรมดาจริงๆด้วย ข้าอยากพบเจอกับชายผู้นั้นจริงๆ
พยัคฆ์ที่แอบซ่อนกรงเล็บมานานนับสิบปี จะมีการแสดงอะไรดีๆให้พวกเราดูบ้าง
ข้าทนรอแทบไม่ไหวแล้ว ”
สตรีในชุดดำก็ก้มหน้าเงียบราวกับหุ่นเชิดที่ไม่ได้สามารถเอ่ยอะไรออกมาได้
“ เอาละ เจ้าก็ไปติดตามข่าวของชายผู้นั้นตลอดเวลาด้วย
หากมีอะไรสำคัญให้มารายงานข้าด่วนเลย ”
“ เจ้าคะ ” เอ่ยจบหญิงสาวชุดดำก็หายไปจากในห้องทิ้งให้องค์หญิงเพียงคนเดียวของฮ่องเต้อยู่ตามลำพัง
ความคิดเห็น