ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    ฝืนลิขิตฟ้า ท้าสวรรค์

    ลำดับตอนที่ #61 : ความวุ่นวายในเมืองหลวง (2)

    • เนื้อหาตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 19.02K
      1.54K
      13 ก.ค. 62

    แสงจากดวงตะวันทอประกายขึ้นจากทิศตะวันออกสู่เมืองหลวงแห่งแคว้นต้าเหยียนเพื่อจุดประกายชีวิตของผู้คนให้ตื่นจากนิทราเพื่อเริ่มกิจกรรมของเช้าวันใหม่

     

    รุ่งเช้าที่ปกติของผู้คนในเมืองหลวงดั่งเช่นวันที่ผ่านๆมา  เพียงแต่ชาวบ้านที่กำลังจะออกจากบ้านเพื่อไปทำงานหาเลี้ยงปากท้องกับพบกระดาษขาวที่เขียนไว้ด้วยข้อความติดตามป้ายประกาศทั่งเมืองหลวง

     

    ประชากรของแคว้นต้าเหยียนมีเพียงหนึ่งในสิบส่วนเท่านั้นที่รู้หนังสือ ดังนั้นเมื่อพวกชาวบ้านเห็นข้อความติดอยู่มากมายจึงรู้สึกสนใจ จนไปมุงดูข้อความในป้ายประกาศ

     

    ด้านหน้าประตูเมือง เหล่าชาวบ้านที่กำลังมุงดูป้ายประกาศก็สังเกตเห็นชายในชุดบัณฑิตจึงรีบเอ่ยขอร้องให้เขามาอ่านขอร้องให้ฟัง  “ ท่านนักปราชญ์ รบกวนท่านช่วยมาอ่านข้อความบนป้ายประกาศให้พวกเราผู้ไม่รู้หนังสือได้รึไม่ 

     

    ครั้นเห็นชาวบ้านเอ่ยขอร้อง ชายผู้เป็นบัณฑิตก็รู้สึกสนใจและเดินเข้าไปดูป้ายประกาศและเบิกตากว้างก่อนจะเอ่ยถามยืนยันกับชาวบ้าน “ พวกท่านต้องการให้ข้าอ่านข้อความนี้จริงๆรึ 

     

    ชาวบ้านที่เห็นชายในชุดบัณฑิตมีสีหน้าไม่สู้ดี จึงอดไม่ได้รู้สึกสงสัยก่อนจะเอ่ยยืนยันให้ชายผู้นี้อ่านข้อความในกระดาษที่ติดบนป้ายประกาศ

     

    “ ข้าฉินหลิง ต้องขออภัยสำหรับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นกับองค์ชายสาม อาการบาดเจ็บขององค์ชายเป็นอุบัติเหตุที่เกิดขึ้นโดยที่ข้าสะดุดล้มจนมือก็ข้าไปชกเข้าบนใบหน้าขององค์ชาย และรองเท้าข้าก็ลื่นอีกครั้งจนเผลอไปเหยียบใบหน้าขององค์ชายสามอย่างมิได้ตั้งใจ  ไม่เพียงองค์ชายสามไม่โกรธ ท่านยังไม่ถือสาการกระทำจากการไร้มารยาทของข้าอีก ส่วนข่าวลือที่กล่าวอ้างว่าข้าทำร้ายองค์ชายย่อมไม่เป็นจริงอย่างแน่นอน  

     

    หลังจากชายชุดบัณฑิตเอ่ยจบ เขาก็รีบเดินจากไปทิ้งไว้ให้เหล่าชาวบ้านพูดคุยกันเสียงดัง

     

    “ เจ้าอันธพาลแซ่ฉินมันช่างกล้าจริงๆ 

     

    “ ไม่เพียงทำร้ายร่างกายคนในราชวงศ์ ยังกล้าเขียนข้อความล้อเลียนออกมาอีก 

     

    “ น่ากลัวยิ่งนัก ขนาดองค์ชายเขายังไม่กลัว หากข้าไปทำให้เขาไม่พอใจ แล้วพวกเราที่เป็นชาวบ้านคนธรรมดาไม่ถูกเขาฆ่าเลยรึ”

     

    “ หรือตระกูลฉินจะคิดล้มล้างราชวงศ์กันแน่ 

     

    เหตุการณ์คล้ายๆกันเกิดขึ้นไปทั่วทุกมุมเมืองของเขตฝั่งตอนใต้ซึ่งเป็นที่พักของสามัญชน และข่าวล่ำลือต่างๆนาๆของฉินหลิงถูกกระจายออกไปอย่างรวดเร็ว

     

    ยามเช้าวันนี้ของทุกโรงเตี๊ยมต่างพูดคุยเกี่ยวกับเรื่องของหลานชายของแม่ทัพใหญ่ ทั้งเรื่องราวในอดีตหรือเรื่องที่ฉินหลิงทำร้ายองค์ชายต่างถูกพูดออกมาจนชื่อเสียงของชายหนุ่มแซ่ฉินโด่งดังยิ่งกว่าผู้เป็นปู่เสียอีก เพียงแต่ชื่อเสียงของทายาทเพียงคนเดียวของตระกูลแม่ทัพผู้นี้จะเป็นข่าวเชิงด้านลบเสียส่วนใหญ่

     

    ทางด้านอาณาเขตฝั่งเหนือ เหล่าขุนนางที่รอดูท่าทีคลื่นลมของพายุลูกนี้ เมื่อได้ทราบข่าวที่ฉินหลิงเขียนประกาศเยาะเย้ยราชวงศ์เช่นนี้ ก็ใจสั่นและสวมชุดขุนนางประจำตำแหน่งอย่างว่องไวเพื่อรีบออกเดินทางเข้าราชวังอย่างเร่งด่วน

     

    หน้าท้องพระโรง สถานที่ว่าราชการขององค์ฮ่องเต้ ยามนี้มีขุนนางมากหน้าหลายตาทั้งแก่หนุ่มยืนรออยู่ด้านหน้าด้วยสีหน้าแตกต่างกันไป บางก็จับกลุ่มสนทากันเสียงเบา บางก็ยืนหลับตานิ่งราวกับครุ่นคิดสิ่งๆต่าง แต่ขุนนางทั้งหมดต่างล้วนต้องการเข้าเฝ้าฮ่องเต้แห่งแคว้นต้าเหยียนทั้งสิ้น

     

    ไม่เพียงแต่เหล่าขุนนางที่ยืนรออยู่ด้านหน้า แม้แต่องค์ชายทั้งสามก็นั่งรออยู่ในเกี้ยวที่มีองครักษ์แบกอยู่ทั้งสี่มุม ก็อยู่ห่างออกไปไม่ไกลจากเหล่าขุนนางเหล่านี้นัก

     

    เวลาผ่านไปไม่นานขันทีคนสนิทของฮ่องเต้เดินเข้ามา

     

    เหล่าขุนนางที่สังเกตเห็นกงกงเดินเข้ามาต่างก็ก้มหัวคารวะให้แก่อีกฝ่ายอย่างมีมารยาท

     

    หลังจากฝูกงกงเดินเข้ามา เขาก็เปิดประตูท้องพระโรงและเดินเข้าไปตรวจสอบภายในห้องอย่างคล่องแคล่วก่อนจะใช้ให้ขันทีเด็กที่เดินตามมาไปเชิญองค์ชายและขุนนางเข้ามายังภายในห้องเพื่อรอฝ่าบาทเสด็จ

     

    เพียงไม่นานขุนนางแต่ละคนต่างเข้าอยู่ประจำตำแหน่งด้วยสีหน้าจริงจัง ราวกับเรื่องราวในครั้งนี้เป็นตัวกำหนดอนาคตของแคว้นต้าเหยียน

     

    ด้านล่างของบัลลังก์มังกรขององค์ฮ่องเต้ มีเก้าอี้สีทองที่ถูกประดับโดยอัญมณีอย่างสวยงามถูกนั่งโดยองค์ชายทั้งสามแห่งแคว้นต้าเหยียน

     

    องค์ชายใหญ่หลี่ฟางอี้ ผู้ซึ่งเป็นบุตรของเต่อเฟยจากตระกูลเว่ยกำลังนั่งโดยเผยรอยยิ้มเล็กน้อยซึ่งแตกต่างจากหลี่ชิงโปผู้เป็นองค์ชายรองที่กำเนิดจากซูเฟยและมีตระกูลถังหนุนหลังอยู่ซึ่งกำลังนั่งด้วยสีหน้าเคร่งขรึม

     

    หากเทียบกับพี่ชายทั้งสองแล้วผู้ถูกเรียกขานว่าองค์ชายสามหลี่จื้อหลินกับมีสีหน้าไม่สู้ดีนัก ไม่เพียงใบหน้าที่เต็มไปด้วยรอยช้ำ ริมฝีปากยังปรากฏรอยแผลและมีสีแดงดำของเลือดที่แข็งตัวติดอยู่อีกด้วย

     

    “ น้องสาม สภาพเจ้าช่างน่าสงสารนักที่ถูกเจ้าอันธพาลตระกูลฉินทำร้ายเช่นนี้ หลังจากเข้าเฝ้าเสด็จพ่อเสร็จข้าจะให้คนส่งยารักษาไปให้ หวังว่าเจ้าจะไม่รักเกียจนะ ” องค์ชายใหญ่เอ่ยล้อเลียนน้องชายต่างมารดาด้วยน้ำเสียงสนุกสนาน

     

    “ ขอบคุณสำหรับความหวังดีที่ท่านยังเป็นห่วง แต่วังข้าไม่ได้ขาดแคลนยารักษา ” องค์ชายสามขบฟันแน่นก่อนจะพูดออกมาด้วยน้ำเสียงแค้นเคือง

     

    เมื่อเห็นผู้เป็นน้องสามเอ่ยออกอย่างเจ็บแค้น ผู้เป็นองค์ชายใหญ่ก็มีความสุขก่อนจะหันมามององค์ชายรองที่นั่งหลับตานิ่งและเอ่ยด้วยเสียงเยาะเย้ย “ ข้าได้ยินมาว่าเจ้าเด็กฉินหลิงผู้นั้นข่มขู่ลูกพี่ลูกน้องของน้องรองจนเขาต้องถูกกักขังไว้อยู่หลายเดือน เรื่องนี้ข้าขอแสดงความเสียใจอย่างยิ่ง และฝากความคิดถึงของข้าไปให้ตระกูลถังด้วย 

     

    ครั้นได้ยินองค์ชายใหญ่เอ่ยล้อเลียนลูกพี่ลูกน้องแซ่ถังของเขา องค์ชายรองเปิดตาก่อนจะมองผู้เป็นพี่ใหญ่ก่อนจะสบถออกมาและปิดตาลงราวกับไม่ได้ใช่เรื่องของตนเอง

     

    จุดประสงค์การเข้าเฝ้าฮ่องเต้ของแต่ละคนย่อมแตกต่างกันไป แต่ส่วนใหญ่มักมาดูท่าทีขององค์ฮ่องเต้ว่าจะจัดการกับเด็กน้อยตระกูลฉินอย่างไร แต่พวกเขาก็ทราบอยู่แก่ใจดีอยู่แล้วว่าหากแม่ทัพใหญ่ยังมีชีวิตอยู่ พวกเขาล้วนไม่มีสิทธิพอที่จะเอาชีวิตของฉินหลิงได้อย่างแน่นอน

     

      ฮ่องเต้ เสด็จ!! ” เสียงของกงกงดังกังวานขึ้นด้านหน้าท้องพระโรง ส่งผลให้เหล่าองค์ชายและขุนนางยืนขึ้นคารวะมือไปทางประตูเพื่อรอการเสด็จมาถึงขององค์ฮ่องเต้  

     

    หลี่ฟางอี้ ฮ่องเต้คนปัจจุบันของแคว้นต้าเหยียนผู้ซึ่งถูกทำลายพลังบ่มเพาะไปเมื่อสิบกว่าปีก่อนเดินเข้ามาด้วยใบหน้าซีดขาว แต่คงไว้ด้วยสีหน้าแห่งการทะนงตัว ประกอบกับชุดสีทองลายมังกรห้ากรงเล็บจึงทำให้ผู้ได้ชื่อว่าฮ่องเต่ดูน่าเกรงขาม

     

    หลังจากหลี่ฟางอี้ประทับลงบันลังก์มังกร เขาก็โบกมือให้ทุกคนในท้องพระโรงนั่งลง

     

    “ พวกท่านมีเรื่องอะไรกันถึงได้มารวมตัวกันมากมายขนาดนี้  ” ฮ่องเต่เอ่ยถามเหล่าขุนนางที่วันนี้มารวมตัวอยู่ในท้องพระโรงจนแน่น ทั้งที่ปกติขุนนางชั้นผู้ใหญ่จะส่งคนมารายงานราชการเพียงไม่กี่คนเท่านั้น

     

    หนึ่งในขุนนางที่นั่งคุกเข่าอยู่ด้านหน้าก็ลุกขึ้นก่อนจะยกมือคารวะและเอ่ยขึ้น “ ข้าน้อยมาทูลถามหาความเป็นธรรมให้แก่องค์ชายสามที่โดนหลานชายท่านแม่ทัพใหญ่ทำร้ายร่างกาย ขอให้พระองค์โปรดสั่งลงโทษเจ้าเด็กฉินหลิงผู้นี้ด้วย เพราะด้วยวัยเท่านี้เขายังไม่รู้จักควบคุมตัวเองและทำร้ายร่างกายผู้มีสายเลือดราชา ต่อไปหากยังไม่สั่งสอนให้รู้จักความถูกต้อง เขาคงก่อปัญหาให้แก่แคว้นต้าเหยียนภายในอนาคตอีกมากพะยะคะ  

     

    “ ขอพระองค์โปรดสั่งลงโทษด้วยพะยะคะ  ” เสียงเหล่าขุนนางกว่าครึ่งดังขึ้นภายในท้องพระโรงเพื่อกดดันให้ฮ่องเต้ออกคำสั่งลงโทษทายาทตระกูลฉิน  เพราะในเวลานี้แม้แต่ขุนนางจากฝ่ายราชทัณฑ์ยังไม่กล้าลงมือกับหลานชายแม่ทัพใหญ่ ดังนั้นพวกเขาเหล่าขุนนางที่อยู่ฝั่งตรงข้ามตระกูลฉินต่างก็ออกมาขอร้องฮ่องเต้

     

    หลี่ชิงฉือที่ได้ยินคำร้องของเหล่าขุนนางก็หันมามองบุตรชายคนที่สามของตนก่อนจะถามด้วยเสียงเรียบ  “ ที่พวกเขากล่าวมาเป็นความจริงรึไม่ องค์ชายสาม ”  

     

    เมื่อได้ยินเสด็จพ่อเอ่ยถาม หลี่จื้อหลินก็ลุกขึ้นยืนและเอ่ยด้วยน้ำเสียงเจ็บปวด “ เป็นจริงพะยะคะเสด็จพ่อ  ชายแซ่ฉินผู้นั้นมันหาเรื่องทำร้ายหม่อมฉัน หม่อมฉันเพียงต้องการเข้าไปซื้อไข่มุกจันทราเพื่อเป็นของขวัญให้แก่เสด็จย่า แต่ไม่คิดเลยว่าชายหนุ่มผู้นั้นเห็นหม่อมฉันแล้วเข้ามาทุบตี แม้แต่องครักษ์ของลูก เขาก็ลงมืออย่างหนักจนยามนี้ยังไม่อาจลุกจากเตียงได้เลย ขอเสด็จพ่อได้โปรดลงโทษชายหนุ่มแซ่ฉินผู้นั้นด้วย ”

     

    ฮ่องเต้พยักหน้าเบาๆก่อนกันไปมองเหล่าขุนนางอีกครั้ง “ แล้วพวกเจ้ามีเรื่องอะไรอีกรึไม่ 

     

    หนึ่งในขุนนางแก่ชราซึ่งนั่งอยู่ด้านหน้าที่เห็นฮ่องเต้รับฟังคำร้องของพวกเขา  “ นอกจากฉินหลิงผู้นี้ทำร้ายร่างกายองค์ชาย เขายังตัดขาของทายาทตระกูลเกาอีกด้วย การกระทำที่โหดเหี้ยมราวกับไม่เห็นกฎหมายอยู่ในสายตาเช่นนี้ ต้องจัดการให้เด็ดขาดพะยะคะ 

     

    เสียงขอฮ่องเต้เคร่งขรึมขึ้น “ ยังมีเรื่องอะไรอีกไหม   

     

    เมื่อเห็นน้ำเสียงของฮ่องเต้เต็มไปด้วยโมโห เหล่าขุนนางที่กำลังลังเลก็ตัดสินใจได้อย่างรวดเร็วและเอ่ยฟ้องร้องหลานชายแม่ทัพแม่ทัพผู้นี้ ทั้งเรื่องจริงทั้งข่าวลือต่างๆที่รวบรวมมา

     

    ปังงง!!!

     

    หลี่ชิงฉือทุบมือลงบัลลังก์มังกรด้วยสีหน้าแดงกล่ำที่เต็มไปด้วยความโกรธกริ้วก่อนจะลุกขึ้นยืนพูดเสียงดัง “  ที่ว่าราชการต้าเหยียนของข้าเป็นสนามเด็กเล่นให้พวกเจ้าฟ้องเด็กผู้หนึ่งเท่านั้นรึ  นอกจากเรื่องของฉินหลิงพวกเจ้าไม่ไปทำงานกันบ้างรึยังไง พวกเจ้าเคยรับรู้ความทุกข์ยากของประชาชนบ้างรึไม่ ข้าต้องนั่งฟังเจ้าพูดเกี่ยวกับหลานชายแม่ทัพมาหนึ่งชั่วยาม แต่พวกเจ้าไม่เคยพูดถึงเรื่องปากท้องของชาวบ้านเลย  

     

    ฮ่องเต้หอบออกมาก่อนจะชี้ไปยังองค์ชายสาม “ ส่วนเจ้า คงคิดว่าข้าโง่มากซินะที่มาแต่งเรื่องหลอกลวงข้า หากไม่ใช่เพราะเจ้าไปคิดแย่งสตรีของผู้อื่น เจ้าจะโดนทำร้ายร่างกายเช่นนี้รึไม่ เจ้ายังมีศักดิ์ศรีของเชื้อพระวงศ์เหลืออยู่บางไหม เจ้ารู้รึไม่คนภายนอกเขาคิดเกี่ยวกับข้ายังไงบ้าง  ” เอ่ยจบฮ่องเต้เหลือบมองไปดูขุนนางที่ก้มหน้าต่ำลงโดยรอบก่อนจะกำหมัดแน่น

     

    หลี่ชิงฉือที่กำหมัดแน่นก็นึกไปถึงยามที่ฉินหลิงสนทนากับเขาที่ร้านเฒ่าโม่จึงกัดฟันและพูดออกไปเสียงดัง “  พวกชาวบ้านต่างคิดว่าข้าเป็นราชาไร้ประโยชน์ ที่แม้เต่ความปลอดภัยของชาวเมืองยังให้ไม่ได้ แม้แต่ปกครองบ้านยังไม่ได้ ลูกชายทั้งสามของข้าก็ไร้ประโยชน์ ทำเป็นเพียงใช้อำนาจรังแกคนอ่อนแอ พวกเจ้าคิดจริงๆรึข้าไม่รู้ว่าพวกเจ้าก่อเรื่องอะไรบ้าง ต้องมีคนมากมายเท่าไหร่กันที่เดือดร้อนกับสิ่งที่พวกเจ้าก่อ พวกเจ้านึกให้ดีว่าแคว้นของเรายังอยู่อย่างปลอดภัยเพราะใคร หากแม่ทัพใหญ่ฉินเจินไม่อยู่แล้วพวกเจ้ากล้าไปออกรบที่ชายแดนรึไม่ แม้แต่ชื่อของข้าประชาชนแคว้นต้าเหยียนยังไม่รู้จักเลย  

     

    “ ในเมื่อข้ามันไร้ประโยชน์  ชุดคลุมฮ่องเต้ตัวนี้ข้าก็ไม่ต้องการอีกแล้ว ในพวกเจ้ามีใครคิดว่าสามารถปกครองแคว้นแห่งนี้ได้ดีกว่าข้าก็ขึ้นมาเอาไปได้ ” ฮ่องเต้ต้าเหยียนที่ใบหน้าแดงกล่ำ ยามนี้ตะโกนออกมาจนดังไปถึงด้านนอก  

     

    “ พวกเราไม่คู่ควร  โปรดอย่าทรงกริ้วพะยะคะ  ” องค์ชายทั้งสามและเหล่าขุนนางต่างตกตะลึงที่เรื่องราวมันบานปลายมาจนถึงขนาดนี้ ต่างคุกเข่าและตะโกนออกมา

     

    ฮ่องเต้ที่ยามนี้กระชากเสื้อคลุมห้ากรงเล็บออกมาแล้วถืออยู่ในมือก็หันไปมองลูกชายทั้งสามและเหล่าขุนนาง    ดี ในเมื่อพวกเจ้ารู้ตัวว่าไม่คู่ควร แต่ข้ารู้ว่าใครคู่ควร ”

     

    หลังจากได้ยินสิ่งที่ฮ่องเต้เอ่ยออกมา ภายในแววตาองค์ชายทั้งสองที่คุกเข่าอยู่ส่องประกายขึ้นและคิดว่าเสด็จพ่อจะส่งต่อราชบังลังก์ให้พวกเขา  

     

    “ ฝูกงกง ออกราชโองการ   

     

    “ พะยะคะ เชิญพระองค์ทรงตรัสมาได้เลย  ” ฝูกงกงกำชับพู่กันไม้ในมือแล้วมองไปยังเบื้องพระพักตร์ขององค์ฮ่องเต้  

     

    “ ข้าหลี่ชิงฉือ ฮ่องเต้แห่งแคว้นต้าเหยียนขอประกาศแต่งตั้งฉินหลิงขึ้นเป็นผู้สำเร็จราชการแทนข้า และขุนนางทุกคนต้องปฏิบัติตามคำสั่งของผู้สำเร็จราชการเหมือนคำสั่งของข้า หากใครขัดขืนมีโทษประหารเก้าชั่วโคตร จบราชโองการ  ” เอ่ยจบฮ่องเต้แคว้นต้าเหยียนโยนผ้าคลุมมังกรห้ากรงเล็บออกไปราวกับปลดปล่อยความทุกข์ทรมานที่มีอยู่มากมายในจิตใจให้จากไปได้ภายในพริบตา ก่อนจะเอ่ยพึมพำกับตัวเองเบาๆ    พี่เจินข้าขอโทษด้วยที่เมื่อสามสิบปีก่อนข้าไม่เชื่อท่าน และน้องชายข้า หวังว่าเจ้าจะนำแคว้นแห่งนี้ให้รุ่งเรื่องยิ่งขึ้น ”

     

    เหล่าขุนนางที่ยังไม่ได้สติก็รู้สึกราวกับถูกระเบิดกลางจิตใจ เรื่องราวกลับตาลปัตรชนิดที่พวกเขาไม่อาจปรับตัวได้ทัน ไม่เพียงชายหนุ่มที่พวกเขาว่าร้ายไม่ถูกลงโทษ เขายังได้แต่งตั้งเป็นผู้สำเร็จราชราช เรียกได้ว่าก้าวเดียวถึงสวรรค์

     

    องค์ชายทั้งสามในคราแรกต่างก็มีความั่นใจแล้วว่าหนึ่งในพวกเขาจะได้ครองบัลลังก์มังกรต่อ  แต่ในเวลานี้ใบหน้าพวกเขาเปลี่ยนเป็นขาวซีดจากราชโองการของเสด็จพ่อ โดยเฉพาะองค์ชายสามที่ไม่เพียงเขาที่ถูกตำหนิ แต่ยังเป็นเขาที่เป็นตัวต้นเรื่องที่ทำให้ชายหนุ่มแซ่ฉินเติบโตเช่นนี้

     

    หลังจากราชโองการถูกประกาศขึ้น ผู้คนมากมายภายในเมืองหลวงต่างรู้สึกตกตะลึงกับความเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วเช่นนี้

     

    ภายในหอพักด้านในหอการค้าตะวันฉาย ถานอวี้จี้ ซูเยว่ หมิงฮ่าว และผู้คนอีกมากมายยืนมองดูชายหนุ่มตระกูลฉินที่กำลังกุมมือเหม่อมองไปยังม้วนราชโองการที่ถูกส่งมาเมื่อสองชั่วยามก่อน

     

    ในตอนที่ฉินหลิงเห็นราชโองการของฮ่องเต้  เขาเองก็คิดแล้วว่าฮ่องเต้ไร้ประโยชน์ผู้นี้คงต้องการลงโทษเขาเป็นแน่ ดังนั้นเขาจึงรีบตระเตรียมกำลังคนเพื่อเตรียมหลบหนีไว้เรียบร้อย และคอยหาโอกาสตอบโต้ทีหลัง

     

    เพียงแต่เมื่อฝูกงกงประกาศราชโองแต่งตั้งตัวเขาเป็นผู้สำเร็จราชการ ฉินหลิงก็เบิกตากว้างด้วยความตกตะลึง เพราะตัวเขาที่ไม่เคยเห็นแม้แต่พระพักตร์ขององศ์ฮ่องเต้ แล้วทำไมอีกฝ่ายถึงมั่นใจในการมอบหน้าที่ดูแลแคว้นแห่งนี้ให้แก่เขากัน

     

    ฉินหลิงนั่งครุ่นคิดอยู่ภายในใจกว่าสองชั่วยามก็ยังไม่อาจหาคำตอบได้ และจุดประสงค์ที่ฮ่องเต้ทำเช่นนี้ไปเพื่ออะไรกัน

     

    หรือฮ่องเต้ต้องการทดสอบความภักดีของตระกูลฉิน จึงยื่นราชบัลลังก์เพื่อดูท่าทีของตระกูลฉิน

     

    เพียงแต่ถ้าหากฮ่องเต้อยากทดสอบความจงรักภักดีของตระกูลฉิน ก็สมควรไปทดสอบกับปู่ของเขาซิ แล้วจะมาแต่งตั้งให้เขาเป็นผู้สำเร็จราชการทำไมกัน

     

    หลังจากครุ่นคิดกว่าสองชั่วยาม ฉินหลิงที่ยังไม่ได้คำตอบก็เดินออกจากห้อง

     

    “ มันเกิดอะไรขึ้นกันแน่ 

     

    “ ทำไมฮ่องเต้ส่งราชโองการแบบนี้มาเจ้าคะ   

     

      ท่านจะทำอะไรต่อไป.. ”

     

    ผู้คนที่ยืนรอด้านนอกที่เห็นฉินหลิงเดินออกมาจึงเอ่ยคำถามออกมามากมาย

     

    ฉินหลิงยิ้มขึ้นมาเล็กน้อย “ ข้าเองก็ยังไม่เข้าใจจุดประสงค์ของฮ่องเต้เช่นกัน พรุ่งนี้ข้าจะเดินทางเข้าวัง เตรียมตัวด้วย ส่วนตอนนี้ข้าหิวแล้ว ไปหาอะไรกินกันเถอะ”  

     

    เหล่าผู้คนที่เห็นฉินหลิงยังเอ่ยวาจาด้วยท่าทางสบายก็รู้สึกโล่งใจขึ้นมาไม่น้อย

     

     

     

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×