ลำนำกระดิ่งหยก(สตรีเหล็กบุกแดนมังกร)
-
นิยาย-เรื่องยาว :
ฟรีสไตล์/ อดีต ปัจจุบัน อนาคต ผู้แต่ง : Dreamy Maker/CloudNine/Chesser
My.iD :
https://my.dek-d.com/tukkata-narak/writer/
ตอนที่ 9 : ลำนำบทที่ 8 ยามเมื่อกล่าวถึงคำว่า 'พี่น้อง'
ลำนำบทที่ 8 ยามยามเมื่อกล่าวถึงคำว่า ‘พี่น้อง’
เป็นครอบครัวมิใช่เพียงสายโลหิต
จะเป็นมิตรมิใช่ต้องทนฝืน
คู่ชีวิตมิใช่อยู่อย่างขมขื่น
ดุจไฟฟืนรอวันมอดสุดอาลัย
…………………………………
สนามที่สาม...สนามที่สี่...
“น่าเบื่อจริงๆ”หญิงสาวเอ่ยเสียงเบาทั้งที่ยังเหยียบยอดอกของคู่ต่อสู้ที่ลงไปนอนกองที่พื้นด้วยสีหน้าเหม็นเบื่อ เจอกับพวกนี้ก็ง่ายไป ให้ไปเจอพวกที่มีวรยุทธ์ที่เสี่ยงจะตายเอา
ร่างโปร่งยกมือขึ้นเชิงขอพักก่อนจะเดินออกไปข้างสนามแล้วเข้าไปยังห้องรอของนักสู้ หลินจินฮวาปลดเสื้อคลุมออกก่อนจะคว้าผ้ามาซับเหงื่อตัวเองแล้วนิ่วหน้านิดๆเมื่อความแสบแผลเริ่มมากขึ้นกว่าเดิม
หงหนี่เหรินเดินเข้ามาในห้องด้วยรอยยิ้มพอใจ หลินจินฮวาขยับยิ้มก่อนจะเอ่ยถามในสิ่งที่ตนต้องการออกไป
“ข้าชนะมาตั้งสี่สนามแล้วนะ ขอดูรายชื่อก่อนไม่ได้เหรอ”
“เกิดเจ้าได้ดูก่อนแล้วแพ้ขึ้นมาข้าก็แย่น่ะสิ”เสียงหวานหยดเอ่ย หลินจินฮวาแค่นหัวเราะเบาๆ
“หน้าเลือดเสียจริง”
“ใครๆต่างก็ว่าเช่นนั้น”
หญิงสาวคนงามเพียงแค่หัวเราะเบาๆกับอิสตรีผู้งดงามตามฉบับเหวินเจี้ยน อีกเหตุผลที่ทำให้เธอมาหยุดอยู่ในจุดนี้คือเมื่อได้รู้ว่า หากใครสามารถชนะห้าสนามติดต่อกันได้แล้ว ในสนามที่หกก็จะสามารถเลือกคู่ต่อสู้ได้เองเช่นกัน
นั่นหมายความว่า เธอจะได้เห็นรายชื่อในสมุดรายชื่อที่เอามาให้เลือกคู่ต่อสู้ที่อาจจะมีชื่อของใครสักคนที่เธอตามหาอยู่อย่างไรล่ะ
“เหลืออีกแค่คนเดียว...”หญิงสาวเอ่ยแผ่วเบาก่อนจะเรียกร้องสัญญา“หอนางโลมในหลิวซีและเงินพนันในส่วนของข้าน่ะ อย่าลืมเสียล่ะ”
“ไม่ลืมอยู่แล้ว”หงหนี่เหรินกล่าวยิ้มๆ
ร่างโปร่งหยิบเสื้อคลุมมาใส่อีกครั้งเมื่อได้ยินสัญญาณเรียกจากด้านนอก หลินจินฮวาเดินผ่านหงหนี่เหรินไปโดยไม่ได้มองหน้า หากแต่เพียงแค่หยุดยืนแล้วเอ่ยเบาๆ
“ทำให้ได้อย่างที่ปากพูด...ถ้าเจ้ามีศักดิ์ศรีพอ สตรีสีชาด”
หงหนี่เหรินมองร่างโปร่งที่เดินออกไปแล้วด้วยแววตานิ่งงัน ก่อนรอยยิ้มถูกใจจะประดับบนใบหน้าเมื่อบุฝผามิได้เป็นแค่ผู้หญิงโง่ๆที่ใช้เป็นแต่กำลังอย่างเดียว
บางทีนางอาจจะเป็นสตรีที่เหมาะสมกับท่านหัวหน้าก็เป็นได้ หญิงสาวคิดเช่นนั้น นั่นทำให้หงหนี่เหรินยังคงยอมทำตามข้อตกลงของบุปผามาจนถึงตอนนี้
ร่างบอบบางเดินออกไปจากห้องรอของนักสู้ อิสตรีคนงามเดินกลับเข้ามาในห้องเดิมที่ตนได้พบกับบุปผาแล้วตรงไปที่ประตูลับ ฝ่ามือเรียวบางลูบที่ผนังหินจนเจอจุดที่ต้องการแล้วกดลงไป
ผนังหินนั้นเลื่อนออกช้าๆเผยเห็นสองสองร่างที่อาการน่าเป็นห่วงไม่ต่างกัน
อวี้ตงฟางพ่นลมหายใจแรงก่อนจะรวมพลังปราณไว้ที่ฝ่ามือกระแทกเข้าไปที่สะบักของอสรพิษดำ หลิวเฮยเสออระอักเอาเลือดพิษระลอกสุดท้ายออกมาก่อนจะหอบหายใจอย่างหมดแรง ร่างกายที่มีกล้ามเนื้อได้รูปนั้นเต็มไปด้วยหยาดเหงื่อ ร่างสูงปาดเลือดที่มุมปากทิ้งไปอย่างไม่สนใจ
“ข้าเป็นหนี้ท่าน”อสรพิษดำเอ่ย
“เจ้าช่วยชีวิตข้าไว้ อสรพิษดำ”อวี้ตงฟางผ่อนลมหายใจก่อนจะสลายลมปราณที่ฝ่ามือทิ้งไป หลิวเฮยเสอแค่นยิ้ม
ย้อนกลับไปเมื่อไม่นานมานี้ จู่ๆจิตสังหารอันเบาบางก็เข้ามาในการรับรู้ของทั้งคู่ นั่นทำให้หลัวเฮยเสอตัดสินใจทิ้งแหล่งกบดานไปทันที ระหว่างทางที่แบกอดีตประมุขพรรคเงาอสุราหนีจากการตามล่ามานั้นเขากลับพลาดท่าถูกเข็มพิษซัดเข้าที่แขน และพบว่าพิษที่เคลือบอยู่ที่เข็มนั้นคือหนึ่งในพิษที่ร้ายแรงสำหรับผู้มีวรยุทธ์เป็นอย่างมาก
พิษเพลิงสลายปราณ เป็นพิษชนิดพิเศษที่หาพบได้เฉพาะในพรรคเงาอสุราเท่านั้น ถ้าขับออกไม่ทันกาลเขาคงไม่มีชีวิตรอดมาถึงตอนนี้ได้
ชายหนุ่มสลายรอยยิ้มทันทีเมื่อพบว่าตนเองลืมสิ่งที่สำคัญไป...สิ่งที่สำคัญมาก...
“พี่สาว!?”
หารู้ไม่ว่าตอนนี้บุคคลที่ตนเองกำลังกังวลใจนั้น บัดนี้กลับวาดฝีไม้ลายมืออยู่บนสังเวียนไร้ตะวัน!
และคู่ต่อสู้คนสุดท้ายของหลินจินฮวาในขณะนั้น...เรียกได้ว่าเกินคาด
หญิงสาวถ่มเลือดทิ้งไปอย่างไม่สนใจ สายตายังคงจับจ้องอยู่ที่คู่ต่อสู้เบื้องหน้า บัดนี้เสื้อคลุมตัวโคร่งนั้นขาดวิ่งกองอยู่ที่พื้นสนามเรียบร้อยแล้ว เผยเห็นร่างโปร่งของอิสตรีผู้งดงาม ความงามนั้นมิได้ตรงตามแบบของสตรีเหวินเจี้ยนแม้แต่นิด หากแต่ความแข็งแกร่งและมาดมั่นของบุปผานั้นช่างตราตรึงใจยิ่งนัก
หญิงสาวหรี่ตามองคู่ต่อสู้ พลังปราณอันแข็งแกร่งที่ไหลเวียนทั่วกายยิ่งทำให้เธอต้องระมัดระวัง เพราะถึงแม้จะเคยดูซีรี่ส์หนังกำลังภายในมาบ้างแต่ให้เจอกับตัวเธอก็ไม่รู้วิธีรับมือ
ชายตรงหน้าคว้าชัยมาแล้วห้าสนาม เขาจึงมีสิทธิ์เลือกสนามที่หกตามกฎ นั่นทำให้ม้ามืดอย่างหลินจินฮวานั้นโดนใส่ในรายชื่อคู่ต่อสู้ของเขาอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ เธอชนะมาแค่สี่สนาม ทำให้ไม่มีอำนาจต่อรองหรือผัดผ่อนใดๆ
เขาเป็นชายหนุ่มที่มีรูปร่างดีขนาดนายแบบในโลกเดิมของเธอได้เลย เครื่องแต่งกายแม้จะเป็นแค่ชุดธรรมดาแต่ก็รู้ได้ว่าทำจากผ้าชั้นดีแน่ๆ เพราะเธอเห็นเนื้อผ้าแบบนี้จนชินตาในบ้านสกุลหวัง ผิวขาวละเอียดเกินกว่าที่จะเป็นแค่สามัญชน ใบหน้าหล่อเหลาที่กระชากใจสาวๆหลายคนได้ แต่ไม่ใช่สำหรับหลินจินฮวาผู้นี้
สเป็คของเธอต้องท่านแม่ทัพเท่านั้น! หญิงสาวประกาศในใจด้วยแววตามาดมั่น
อย่างไรก็ตาม เธอรู้สึกขอบคุณเขาจริงๆ ขอบคุณที่ไม่ออมมือให้เพียงเพราะว่าเธอเป็นผู้หญิง หลินจินฮวาปาดเลือดที่มุมปากทิ้งไปก่อนคิดหนักว่าควรงัดเอาวิชามวยที่ตัวเองมีออกมาใช้หรือไม่ วิชามวยที่ไม่จำเป็นต้องมีกำลังภายในใดๆแต่ก็หักแขนหักขาใครๆได้ด้วยมือเปล่า
บางทีอาจไม่จำเป็น...หลินจินฮวาขยับยิ้มในใจ
นัยน์ตาคมสวยจับจ้องร่างที่กำลังพุ่งเข้ามานิ่งงั้นก่อนจะเบี่ยงตัวหลบอย่างรวดเร็วด้วยการกระโดดให้ห่างจากร่างสูง เพราะเธอไม่พร้อมที่จะเสี่ยงปะทะกับคลื่นพลังที่อาจทำให้ถึงตายแบบนั้น หลินจินฮวาส่งไม้กระบองไปขัดขาซึ่งชายหนุ่มก็กระโดดหลบได้อย่างไม่ยากเย็น
ร่างโปร่งปลดสลักให้ปลายเหล็กแหลมพ้นออกมาจากปลายกระบองก่อนจะส่งปลายแหลมนั้นโจมตีชายหนุ่มทันที เธอรู้อยู่แล้วว่าเขาต้องหลบได้ แต่ให้เขาหลบนั่นแหละดี
หญิงสาวพุ่งกระบองออกไปให้ชายหนุ่มหมุนตัวหลบ เพียงเสี้ยววินาทีที่เขาหันหลังให้ หลินจินฮวาก็พุ่งเข้าล็อคคอร่างสูงทันที สองแขนรัดที่คอแน่นก่อนจะทิ้งน้ำหนักให้ชายหนุ่มล้มลง คร่อมชายหนุ่มที่ลงไปนอนคว่ำพร้อมใช้เข่ากดทั้งสองแขนให้อยู่กับที่
ทางฝั่งร่างสูงเองก็กัดฟันกรอดกับแขนที่แข็งแรงเกินกว่าที่สตรีทั่วไปควรจะมี น้ำหนักที่ไม่ต่างกับบุรุษทั่วไปทำให้ไม่ใช่เรื่องง่ายที่จะหลุดออกไป
“ยอมแพ้เสียดีกว่า”เสียงหวานเอ่ยเรียบเย็นยิ่งนัก“ถ้ายังไม่อยากคอหักตาย”
ชายหนุ่มพยายามดิ้นก่อนจะเริ่มไอโขลก สายตาเริ่มพร่ามัวเมื่อแรงกดที่ลำคอมากขึ้นน่าหายใจไม่ออก หลินจินฮวาถอนใจเบาๆก่อนจะคลายแขนออกภายในเสี้ยววินาที
พลั่ก!
และฟาดสันมือที่ท้ายทอยร่างสูงเต็มแรง ร่างโปร่งลุกขึ้นยืนช้าๆก่อนจะเดินออกมาโดยไม่หันไปมองคู่ต่อสู้แม้แต่นิด และในตอนนั้นเอง เสียงประกาศชัยชนะของบุปผาก็ดังลั่นพร้อมเสียงเฮ
ดวงหน้างามสบมองใบหน้าของเศรษฐีผู้ลงพนันด้วยรอยยิ้มเย้ยหยัน ก่อนจะเดินกลับเข้าไปยังห้องรอเพื่อแบ่งปันผลรางวัลตามที่ได้ตกลงกับสตรีสีชาดไว้โดยไม่สนใจสายตาคลั่งแค้นที่ตามมาแม้แต่นิด
ต่อให้ตาขวาจะกระตุกยิกๆบ่งบอกว่ามีเรื่องไม่ดีแน่ๆ แต่ดูเหมือนว่าเธอคงต้องยอมเสี่ยงล่ะ
.........................................
หงหนี่เหรินมองร่างโปร่งที่เดินเข้ามาด้วยสีหน้ายิ้มแย้ม การค้าครั้งนี้ได้กำไรมหาศาลจากม้ามืดผู้ไม่สามารถคาดเดาได้ บุปผางามที่เต็มไปด้วยหนามแหลมคมนี้ช่างทำให้นางประหลาดใจได้อย่างไม่หยุดหย่อน
แต่แม้จะเป็นเช่นนั้น...แต่สตรีเพียงนางเดียวหรือจะสามารถทำอะไรได้
บุปผาหรือหลินจินฮวาผู้นี้เป็นสตรีจากต่างเมือง ก่อนจะเข้าทำงานในบ้านใหญ่สกุลหวัง หายออกจากบ้านเป็นระยะเวลานานบ่อยจนเป็นเรื่องปกติ
แต่ครั้งนี้...นางจะหายไปตลอดกาล
และทั้งหอนางโลม ทั้งเงินมหาศาลจะตกเป็นของสังเวียนไร้ตะวันเฉกเช่นที่ผ่านมา โดยปกติแล้วในสังเวียนไร้ตะวันนั้นคือสังเวียนระหว่างผู้พนันที่พ่ายแพ้และติดหนี้ ต้องลงสนามเพื่อต่อสู้และเอาเงินมาไถ่ตัวเองออกไป แต่ก็มีบ้างที่จะมีใครบางคนจากภายนอกหลุดเข้ามาและได้ลงสู่สนามประลองนั้น
หากผู้นั้นมีอิทธิพลและมีค่ามากพอจะทำข้อตกลงด้วย สังเวียนไร้ตะวันก็จะได้พันธมิตรใหม่ แต่สำหรับสตรีไม่รู้หัวนอนปลายเท้านางนี้...เทียบกับทองนับล้านตำลึงมิได้
แม้บุปผาอาจจะเป็นคนที่ท่านหัวหน้าสนใจบ้าง แต่เมื่อท่านได้ออกปากเองว่าในเวลานี้ยังไม่สมควรสนใจเรื่องเล็กน้อยเช่นนั้น จึงเปรียบดั่งคำประหารสำหรับสตรีนางนี้เลยทีเดียว
“หวังว่าเจ้าจะไม่ลืมข้อตกลง”บุปผาคนงามเรียกร้องขณะกำลังเปลี่ยนผ้าพันแผลให้ตนเอง หงหนี่เหรินแสยะยิ้ม
“แน่นอน...”ก่อนจะสะบัดมือปรากฏมีดเล่มเล็ก หญิงสาวในอาภรณ์สีแดงซัดมีดหวังปลิดชีพบุปผาให้จงได้
หลินจินฮวาเลิกคิ้วน้อยๆก่อนจะเอียงคอหลบคมมีดเมื่อได้ยินเสียงแหวกอากาศ หากแต่ที่แก้มนั้นก็ถูกบาดเป็นรอยแผลยาว หญิงสาวขมวดคิ้วก่อนจะหันกลับไปมองหงหนี่เหรินนิ่งงัน
“ข้ารักษาสัญญาเสมอ บุปผา”หญิงสาวเอ่ยเสียงหวานก่อนจะชักกระบี่ออกมาตั้งท่า“เพียงเจ้าหลับใหลอยู่ที่สังเวียนใต้ดินแห่งนี้เจ้าก็จะได้ทุกสิ่งทุกอย่าง ข้าใจดีใช่หรือไม่”
“ก็ว่าอยู่ แค่คนไม่มีหัวนอนปลายเท้าอย่างข้าจะเอาอะไรมาต่อรอง”หลินจินฮวาแค่นหัวเราะก่อนจะมองอิสตรีคนงามด้วยแววตาสมเพช“ไม่มีสัจจะในหมู่ ‘คนชั้นต่ำ’ อยู่แล้ว ต่อให้งดงามเพียงไหนแต่จิตใจต่ำช้าเยี่ยงเดรัจฉานไม่รู้คุณ เจ้าก็ไม่ต่างอะไรกับหนอนแมลง”
“จะว่าอย่างไรก็ตามใจเจ้า”หงหนี่เหรินยังคงพูดเสียงหวาน“ในเมื่อเจ้ากำลังจะตาย คำพูดของคนตายจะมีค่าสักเท่าใดกัน บุปผา”
ร่างโปร่งหันมาเผชิญหน้ากับหงหนี่เหรินอย่างท้าทาย การล็อคคอคู่ต่อสู้คนสุดท้ายกินแรงเธอมากจนแทบจะไม่มีแรงเดิน ในตอนนี้เธอไม่มีกำลังพอที่จะชนะหญิงสาวตรงหน้าได้แน่ แต่ก็ขอสู้ยิบตาแล้วกัน
มันผิดพลาดตั้งแต่เธอหลวมตัวขึ้นสู่สนามประลองแล้ว ทั้งที่ในตอนแรกคิดว่าปัญหาจะมาจากพวกเศรษฐีงี่เง่าพวกนั้น แต่มันกลับมาจากสังเวียนนี้เสียเอง
คมกระบี่ที่พุ่งเข้ามานั้นหลินจินฮวาทำได้เพียงแค่หลบไม่ให้โดนจุดสำคัญ หญิงสาวกัดฟันกรอดกับความอ่อนแอของตัวเอง ถ้าเป็นเธอในเวลาปกติล่ะก็หลบได้ไม่ยากแน่ๆ แต่สีหน้ายามเมื่อเห็นเธอดิ้นรนของหงหนี่เหรินแล้วสารภาพว่าหมั่นไส้จนอยากจะควักลูกตาเน่าๆนั่นทิ้ง
บ้าที่สุด เธอยังไม่อยากตาย! ยังไม่อยากตาย! ใครก็ได้...
ในเวลานี้เธอยอมละทิ้งซึ่งศักดิ์ศรีที่เคยยึดถือ หากมันจะทำให้เธอมีทางรอดออกไปจากสถานการณ์อันมืดแปดด้านนี้ ถ้าศักดิ์ศรีมันไม่ได้ทำให้เธอมีชีวิตรอด ตอนนี้ก็วางมันลงไปก่อนเสียดีกว่า
“ช่วยด้วย!!!”
“ไม่มีใครจะ...!!!”
เพล้ง!
เสียงกระทบของโลหะดังก้องกังวาน หงหนี่เหรินตาเบิกโพลงเมื่อกระบี่เล่มงามที่ตนภาคภูมิใจนั้นหักลงอย่างง่ายดาย กระบี่สีดำสนิททั้งเล่มด้ามสลัดลวดลายอสรพิษปักอยู่ไม่ไกล
หลิวเฮยเสอหอบหายใจแรง มือยังค้างอยู่ในท่าที่ซัดกระบี่ไปโดยที่อีกมือนั้นพยุงกรอบประตูไว้ไม่ให้ล้ม ชายหนุ่มได้ยินเสียงการโต้เถียงกันด้วยประสาทการฟังที่ดีกว่าคนทั่วไป และหนึ่งในเสียงนั้นก็เป็นเสียงที่คุ้นเคยจนทำให้เขามาทันเวลาพอดี
“อาเสอ!”หลินจินฮวาตาเบิกโพลงก่อนจะฝืนพาร่างกายอันอ่อนล้าขนาดที่ได้ยินเสียงกล้ามเนื้อร้องประท้วงไปพยุงร่างสูงของอสรพิษดำอย่างเป็นห่วง“เกิดอะไรขึ้น เจ้าโดนพิษเหรอ”
“ท่านควรจะห่วงตัวเองก่อนหรือไม่ ที่คอนั่น...”
“ข้าทำตัวเอง”หญิงสาวหัวเราะเบาๆก่อนจะลูบหัวร่างสูงเบาๆอย่างโล่งใจ“เจ้าไม่เป็นไรใช่ไหม เหมือนจะขับพิษออกจนหมดแล้วมั้ง พี่ชายล่ะ”
อสรพิษดำขยับยิ้มกับคนที่ยังมีกะจิตกะใจเป็นห่วงคนอื่นทั้งที่ตนเองก็สภาพแย่ไม่ต่างกัน นัยน์ตาคมกริบตวัดไปมองหญิงสาวที่ยังคงมือไม้สั่นอย่างตกใจ
หลินจินฮวาหัวเราะอย่างโล่งใจเมื่ออวี้ตงฟางในสภาพแข็งแรงดีเดินเข้ามา บุปผาคนงามขยับยิ้มก่อนจะเอ่ยโดยไม่หันกลับไปมองหงหนี่เหรินแม้แต่นิด
“ถ้าเป็นข้านะพี่ชาย ข้าจะเลือกลูกน้องที่ซื่อสัตย์มากกว่านี้ ไม่ใช่คนที่แม้แต่การรักษา...สัญญา..ยัง...ทำ..ไม่ได้...”
อดีตหัวหน้าพรรคเงาอสุราพยุงร่างโปร่งที่สิ้นสติไปแล้วไว้ได้ทันท่วงที หลิวเฮยเสอสลายรอยยิ้มไปจากใบหน้าก่อนจิตสังหารจะแผ่พุ่งจากร่างสูงอย่างรุนแรงราวน้ำป่าไหลหลาก หงหนี่เหรินถึงกับเข่าอ่อนทรุดลงไปกองที่พื้น
“สำคัญแค่ไหน”อสรพิษดำถามเสียงเรียบก่อนสกัดจุดตัวเองเพื่อให้ชาจนสามารถกลับมายืนตรงได้อีกครั้ง
“ไม่เป็นไร”อวี้ตงฟางช้อนร่างบางขึ้นอุ้ม“ข้าหามาแทนได้ตลอด ฝากจัดการด้วย ข้าเองก็ไม่คิดจะเก็บคนแบบนี้ไว้ใช้งานนานนักหรอก”
หงหนี่เหรินมองร่างของนายเหนือแห่งสังเวียนไร้ตะวันที่เดินออกไปก่อนจะกลับมาสบมองแววตาวาวโรจน์ดังอสรพิษล่าเหยื่อของชายตรงหน้าอย่างหวาดผวา อสรพิษดำผู้ลือชื่อแม้จะยังไม่ฟื้นตัวเต็มที่หากแต่ความน่ากลัวก็ไม่ได้ลดลงเลยแม้แต่นิดเดียว
และภาพสุดท้ายที่นางได้เห็นในชีวิต...คือใบหน้าอันเย็นชา สายน้ำที่ชาดที่แผ่พุ่งจากลำคอของตนเองและร่างกายที่ค่อยๆล้มลงช้าๆ
หลิวเฮยเสอสะบัดมืดแล้วปาดเลือดออกลวกๆ นัยน์ตาคมกริบดุจพญาอสรพิษหันกลับไปมองร่างบางที่ลงไปนอนกองที่พื้น ดวงตายังคงเบิกโพลงจากหัวที่กลิ้งห่างออกไป ร่างสูงเดินไปคว้ากระบี่กลับมาใส่เข้าที่ฝักเช่นเดิม
ผู้ใดที่บังอาจแตะต้องบุปผาดอกนี้ จะต้องดับสิ้นภายใต้คมกระบี่ของอสรพิษดำ...
.....................................
หลินจินฮวาตื่นขึ้นมาในสถานที่ที่ไม่คุ้นเคย...หญิงสาวขมวดคิ้วก่อนจะครางเบาๆเมื่อกล้ามเนื้อของเธอยังคงปวดไปหมด ร่างโปร่งลุกขึ้นนั่งแล้วมองสำรวจไปรอบๆอย่างแปลกใจว่าตนมาอยู่ที่นี่ได้อย่างไร
“คูณหนูเจ้าคะ!”เสี่ยวจี้ที่เปิดประตูเข้ามาพร้อมถังน้ำและผ้าเช็ดตัวร้องอย่างดีใจ เด็กสาวเดินกึ่งวิ่งเข้ามาวางถังน้ำไว้ที่โต๊ะหัวเตียง ใบหน้าที่หมองลงอย่างเห็นได้ชัดนั้นเผยรอยยิ้มโล่งใจพร้อมหยาดน้ำปริ่มที่ขอบตา
“ที่นี่ที่ไหน? แล้วข้า...”มาอยู่ที่นี่ได้ยังไง
“ที่นี่คือจวนเฟยหลางเจ้าค่ะ”เสี่ยวจี้บอก“คุณหนูนอนหมดสติอยู่ที่ตรอกเล็กภายในเมืองจึงมีนายทหารที่จำได้พาคุณหนูกลับมาที่นี่เจ้าค่ะ ข้าน้อยนึกว่าคุณหนูจะไม่ตื่นขึ้นมาเสียแล้ว”
หลินจินฮวายิ้มบางก่อนจะล้มตัวลงนอนอีกครั้งโดยมีเด็กสาวที่ยังคงกลั้นสะอื้นอยู่คอยพยุง หญิงสาวจำเหตุการณ์เมื่อวานได้ดีว่าเกิดอะไรขึ้นบ้าง แต่ที่เธอสงสัยคือตัวเองมาอยู่ที่นี่ได้ยังไงต่างหาก ฝ่ามือเรียวบางยกมือห้ามเมื่อเสี่ยวจี้เริ่มบิดผ้าหวังจะเช็ดตัวให้
“เจ้ารู้หรือไม่ว่าใครเป็นคนพาข้ามา”หญิงสาวถามด้วยเสียงที่แหบแห้งก่อนจะไอโขลก เสี่ยวจี้รีบรินน้ำชาให้ดื่มทันที หลินจินฮวารีบมาดื่มให้คลายกระหายก่อนจะผ่อนลมหายใจออกมาเบาๆ
“ข้าก็มิทราบนามเจ้าค่ะ”เด็กสาวว่าเสียงอ่อยก่อนจะถามต่อ“คุณหนูถูกทำร้ายมาหรือเจ้าคะ เหตุใดจึงได้มีรอยแผลเช่นนี้กัน เสี่ยวจี้ตกใจแทบแย่เลยเจ้าค่ะ”
“ข้าซุ่มซ่ามเองต่างหาก”เสียงหวานเอ่ยพร้อมรอยยิ้มที่แต่งแต้มบนใบหน้า“แล้วทางบ้านสกุลหวังล่ะว่าอย่างไร นี่ข้าหลับไปกี่วันกัน”
เท่าที่จำความได้ ถ้าเธอใช้งานร่างกายเกินพิกัดแล้วจะหลักติดต่อกันอย่างน้อยสองวัน แต่ครั้งนี้ทั้งเสียเลือดมากทั้งออกแรงหนัก เธออาจจะหลับยาวสักสามวัน
“เจ็ดวันเจ้าค่ะ”เด็กสาวก้มหน้าบอก“ตอนนี้องค์หญิงเสด็จกลับได้สามวันแล้ว คุณหนูหวังกำลังรอให้ท่านฟื้นอยู่”
“เจ็ดวัน!”หลินจินฮวาตาเบิกโพลงก่อนจะกุมขมับ“แย่ที่สุด ข้าจะไม่ทำอะไรแบบนี้อีกแล้ว”
เสี่ยวจี้ขมวดคิ้วอย่างสงสัย หญิงสาวคนงามส่ายหน้าเชิงว่าไม่มีอะไรก่อนจะสั่งให้เด็กสาวไปเตรียมน้ำเพราะเธอรบกวนที่นี่นานเกินไปแล้ว ที่สำคัญเบิกเงินมาก่อนแต่ทำงานให้เขาไม่คุ้มเนี่ยไม่ใช่วิสัยของเธอเลยสักนิด
นัยน์ตาคมสวยมองร่างเล็กของเด็กสาวที่เดินออกไปก่อนเสียงหวานจะเอ่ยขึ้นเบาๆ
“รู้นะว่าอยู่ตรงนั้น ออกมาได้แล้วอาเสอ”
อสรพิษดำแห่งหมาป่าทะยานเปิดหน้าต่างก่อนจะปีนเข้ามา ตอนนี้เขาอยู่ในชุดคล่องตัวสีดำเช่นเดิม หลินจินฮวาลุกขึ้นนั่งก่อนจะรับกระปุกยาจากชายหนุ่มมาเปิดแล้วก็ต้องนิ่วหน้ากับความฉุน
มันเป็นยาทาคล้ายๆกับยาหม่องโลกเดิมแต่สรรพคุณดีกว่าขึ้นจม และกลิ่นก็ฉุนกว่ามากเช่นกัน ร่างโปร่งถกกระโปรงขึ้นจนถึงครึ่งน้องแล้วเริ่มต้นทาขาตัวเองก่อน หลิวเฮยเสอหน้าแดงวูบก่อนจะอ้าปากหมายจะห้าม
“จะให้ข้าทาเองหรือเจ้าจะมาทาให้?”หลินจินฮวาถามเรียบๆก่อนจะย้ายไปทาขาอีกข้าง นั่นทำให้อสรพิษดำต้องหุบปากแล้วหันไปทางอื่นทันที
“เจ้ามาส่งข้าเหรอ”
“ไม่ใช่ข้าขอรับ”ชายหนุ่มตอบก่อนจะหน้าแดงกว่าเดิมเมื่อเสียงสาบเสื้อที่เสียดสีกับผิวหนังดังขึ้น หญิงสาวหัวเราะเบาๆก่อนจะปลดเสื้อนอกจนเหลือแต่แถบผ้าที่พันกายไว้คล้ายเสื้อเกาะอกแล้วทาตั้งแต่แขนไปจนถึงลำคอ
“เป็นท่านหรือ อวี้ตงฟาง?”หลินจินฮวาเลิกคิ้ว“น่าแปลกใจจริงๆนะเจ้าคะ นี่ท่านหันหลังแม้จะมีฉากกั้นอยู่หรือ”
“ควรจะเรียกว่าหาญกล้าหรือไร้ยางอายกัน หลินจินฮวา”เสียงทุ้มที่คุ้นเคยดังตอบจากหลังฉากกั้นส่วนห้องนอนกับห้องส่วนอื่นๆ หญิงสาวหัวเราะใส
“ข้าเชื่อว่าพวกท่านเป็นสุภาพบุรุษพอต่างหาก”
ร่างโปร่งจัดการเครื่องแต่งกายจนเรียบร้อยเช่นเดิมก่อนจะนั่งหย่อนขาที่ขอบเตียงแล้วกอดอก ร่างสูงของอวี้ตงฟางในชุดพ่อค้าธรรมดาเช่นที่เจอกันครั้งแรกเดินออกมาจากหลังฉากกั้น เช่นเดียวกับอสรพิษดำที่หันกลับมาเผชิญหน้า
“เจ้าไปทำอะไรที่สังเวียนไร้ตะวัน”เสียงทุ้มถามพร้อมแรงกดดันที่แผ่ออกมาจางๆ หลินจินฮวายักไหล่น้อยๆก่อนจะบิดแขนไปมาให้คลายเมื่อย
“ไม่เห็นต้องถาม ก็ไปตามหาพวกท่านน่ะสิ”เธอว่าอย่างอดเคืองไม่ได้“มีอย่างที่ไหน ไปหาก็เจอแต่ซากกระท่อมพังๆ ร่องรอยก็หาแทบตายจนตามมาเจอเข็มซัดอาบเลือดก็เป็นห่วง เลยตามรอยไปจนเห็นประตูลับที่มีลุงแก่ๆคนหนึ่งนั่งอยู่ ข้าก็ตามลงไปหา ดันไปเจอกับลูกน้องแสนสวยที่นิสัยไม่น่าคบของท่าน ข้ายอมเข้าสังเวียนดีกว่าโดนจับไปเป็นรางวัล สุดท้ายก็โดนโกงจนเกือบตาย อาเสอมาช่วยข้าไม่ทันข้าคงไม่มีชีวิตมาจนถึงตอนนี้หรอก”
นัยน์คมงามสบมองกับนัยน์ตาคมกริบประดุจเหยี่ยวอย่างไม่เกรง หลิวเฮยเสอลอบยิ้มกับสงครามประสาทเล็กๆที่เกิดขึ้นก่อนจะเดาเล่นไปต่างๆนานาว่าหลินจินฮวาจะหาเรื่องอะไรมาทำให้เขาแปลกใจอีก
“ท่านต้องรับผิดชอบ!”
นั่นอย่างไร ไม่ทันขาดคำ หลิวเฮยเสอกลั้นหัวเราะจนตัวโยนกลับใบหน้าคาดไม่ถึงของอดีตประมุขพรรคเงาอสุราและสีหน้าจริงจังราวกับพูดเรื่องความเป็นความตายของพี่สาว
“ข้าช่วยชีวิตท่าน เสี่ยงชีวิตตามหาด้วยความเป็นห่วงเป็นใย แต่กลับต้องลงสังเวียนเพื่อเอาชีวิตรอดแล้วเกือบตายเพราะลูกน้องไม่ได้เรื่องของท่าน นี่คือสิ่งที่คนดีๆอย่างข้าสมควรได้รับเหรอเจ้าคะ!”
เอ่อ...ถึงแม้เรื่องเข้าสังเวียนเธอจะจะเปรี้ยวเองก็เถอะนะ แต่เธอไม่ผิดนะ(เว้ย)!
อวี้ตงฟางขมวดคิ้ว หลินจินฮวาเป็นสตรีที่แปลกประหลาดจนเขาคาดเดาไม่ได้ น่าสงสัยจริงๆว่านางถูกเลี้ยงดูมาในสภาพแบบไหนถึงได้ทำลายทุกกรอบประเพณีเช่นนี้ หากแต่สิ่งที่หญิงสาวกล่าวมาก็ไม่ผิดนัก ชายหนุ่มจึงเอ่ยถามออกไปอย่างจนใจ
“แล้วเจ้าจะให้ข้าทำอย่างไร”
“นั่นสิ...”หลินจินฮวาลูบคางอย่างใช้ความคิดก่อนจะสยายยิ้มกว้าง“ไหนๆข้าก็เรียกท่านว่าพี่ชายมาตลอดอยู่แล้ว มาเป็นพี่ชายข้าจริงๆเลยเป็นไง”
จบคำนั้นภายในห้องก็ไร้สรรพเสียงใดๆ หลินจินฮวายังคงยิ้มด้วยแววตาพราวระริก หลิวเฮยเสอเลิกคิ้วน้อยๆก่อนจะหันไปมองอวี้ตงฟางที่แม้สีหน้าจะนิ่งสนิทแต่ก้พอจะเดาได้ว่า...ช็อคซีนีม่าไปแล้วล่ะ หญิงสาวยิ้มกับตัวเอง
“ว่าอย่างไรล่ะเจ้าคะ ที่นี่ก็มีการสาบานเป็นพี่น้องไม่ใช่เหรอ”เสียงหวานที่เอ่ยนั้นไม่มีแววล้อเล่นแม้แต่นิด
...................................................
ไร้ยางอาย!!! ไร้ยางอายที่สุด!!!
'ก็สวย...'แว่วเสียงดังกลับมา
ค่ะ เอาที่สบายใจเลยค่ะลูกสาว-*- ดรีมมาต่อแล้วนะคะ มะรืนนี้เจอกันค่ะ
Talk //ข้ามได้ไม่ว่ากันค่ะ แต่อ่านก่อนก็ดีนะคะ อุอิ
วันนี้ไปช่วยงานที่โรงเรียนมาค่ะ(แบบอู้ๆ รู้สึกไปเป็นภาระรุ่นพี่สุดๆ กราบขออภัยพี่ๆที่เคารพทุกท่านค่ะ ฮือๆ)
แล้วปรากฏว่าเจอรุ่นพี่ที่อ่านนิยายดรีมค่ะ! เอ้ารัว!!!//สะบัดมือ
และความเห็นคือ...ชอบเวอร์ก่อนรีไรต์มากกว่า
ซึ่งดรีมก็ชอบมากกว่าเหมือนกันค่ะ แต่เนื้อเรื่องมันเยิ่นเย้อเพราะพล็อตหลวมเลยแต่งตามอารมณ์ บวกกับตัวละครเยอะจนจำได้ไม่หมดด้วย ดรีมเลยอยากจะถามว่า ดรีมควรจะเอาเวอร์ก่อนมาลงแยกบทความไว้ดีไหมคะ
แต่บอกก่อนเลยว่ายังค้างจำนวนตอนเท่าเดิมเลยนะคะ ดรีมมาอัพรีไรต์แทนค่ะ
ปล.ไป่หยวนป็อปมาก
ปล.2 งูป็อปกว่า
ปล.3 พระเอกเวอร์จิ้งจอก ป็อปสุด!
ปล.4 อีกประมาณห้าหกตอน พระเอกเวอร์จิ้งก็มาแล้วค่ะ เอ้ารัว!!!//สะบัดมือ
นางมารตัวน้อยๆ(?) หายไปไหนนนน นี่มันใครรรร ไม่ใช่บุปผาแล้ว
ใครรอไม่ไหวให้ไปอ่านของเดิมไปก่อน
น้องงูงี้ น้องหมางี้
น้องงูงี้ น้องหมางี้
อุอิ
ยังไงก็รอนะ