tuleedinpsy
ดู Blog ทั้งหมด

นักจิตไต่ดอย บทเรียนที่ 1 ไปลองให้มันรู้ เพื่อรู้ความทนทานของตัวเอง

เขียนโดย tuleedinpsy

คุณเคยถามตัวเองบ้างไหมว่า เราสามารถทนทานต่อสิ่งต่างๆได้มากขนาดไหน ฉันคนหนึ่งล่ะ
เคยถามเรื่องนี้กับตัวเองเลยสักครั้ง และทุกครั้งฉันก็มักประเมินศักยภาพตัวเองไว้สูงเกินไป จนกระทั่งได้เผชิญกับเหตุการณ์นั้นด้วยตัวเอง จึงตอบได้ ขีดความทนทานของตัวเองอยู่ที่ไหน และฉันสามารถไปต่อได้หรือไม่ ตอนวัยรุ่นฉันมีความฝันอยากเป็นครูดอย เนื่องด้วยอุดมการณ์อันแรงกล้า บวกกับการอ่านนิยายประเภท
ดราม่า เน้นการสร้างอุดมการณ์ แต่ความฝันฉันก็เลิกล้มมันไป เพราะรู้ถึงความทนทานของตัวเองว่าไม่สามารถไปต่อได้ ในตอนที่เรียนปี
1 ระดับปริญญาตรี ก็อย่างที่บอกอุดมการณ์วัยรุ่นอย่างฉันมันแรงกล้านัก พอเข้าเรียนในมหาวิทยาลัยฉันก็ตั้งปณิธานว่า คนอย่างฉันต้องทำกิจกรรมด้วยเรียนด้วย และชมรมที่เลือกต้องเป็นชมรมอาสาพัฒนาชุมชนเท่านั้น เพราะเหตุนั้นแหล่ะ ความตั้งใจที่อยากเป็นครูดอยสายอุดมการณ์จึงจบลงเพราะเห็นความจริงของชีวิตว่า ฉันไปต่อไม่ได้...ฉันไม่สามารถมีชีวิตท่ามกลางความยากลำบากแบบนั้นได้ นั่นเป็นเพียงเรื่องเล่าอุดมการณ์ในนิยายที่ฉันอ่านเท่านั้น ….แต่ก็ใช่ว่าคนอื่นจะทำไม่ได้นะ บอกแล้วว่าความทนทานของแต่ละคนต่างกัน และนี่เป็นความทนทานของตัวเองที่ฉันต้องยอมรับ....

ชมรมอาสาพัฒนาชุมชนของคณะมนุษย์ในปีนั้น มีพี่ๆปี 2 เป็นแกนหลักในการจัดค่ายอาสาฯ เอาล่ะ คงเดากันออกนะว่า คนอย่างฉัน วัยรุ่นที่มีเต็มไปด้วยอุดมการณ์ ความฝันอยากทำเพื่อสังคมจะรู้สึกตื่นเต้นแค่ไหน เรียกได้ว่าขออนุญาตแม่ตั้งแต่รู้ว่าจะได้ค่ายเป็นเดือนๆเลยล่ะ แทบทะเลาะกับแม่เลยก็ว่าได้ เพราะคุณนายไม่อยากให้ลูกสาวไปลำบากลำบน แต่สุดท้ายก็ไม่สามารถทนต่อแรงต้านทานและความมุ่งมั่นอันแรงกล้าของลูกสาวได้ แม่ก็เลยบอกว่าก็ลองไปดู ลองให้รู้ด้วยตัวเอง นั่นแหล่ะแม่ฉันล่ะ หึๆ ค่ายอาสาฯพาฉันไปเหยียบยังดินแดนบนดอย ชื่อ “ดอยแม่โถ” เป็นพื้นที่สูงแห่งหนึ่งในจังหวัดเชียงใหม่ ต้องนั่งรถโฟร์วิลล์ถึงจะสามารถเดินทางไปถึงโรงเรียนแห่งนี้ได้ พวกเราตั้งใจไปสร้างแท้งค์น้ำประปาภูเขาให้กับโรงเรียน โดยคาดการณ์กันว่าจะใช้เวลาประมาณ 4 คืน 5 วัน พวกเราต้องนอนกันที่ห้องเรียนของเด็กๆ ชาวบ้านปูเสื้อให้ พวกเรามีถุงนอนกันคนละใบ นอนในถุงนอนตอนกลางคืน ชิลล์ๆ ชีวิตก็ต้องลำบากบ้าง มีเพื่อนร่วมชะตากรรมทุกอย่างไม่น่ากลัว แต่พอไปถึงเท่านั้นแหล่ะอย่างกับฟ้าดินกำลังทดสอบฉันว่า ฉันจะสามารถทนกับสถานที่แบบนี้ได้หรือไม่ ท้องฟ้าเริ่มมืดครึ้ม ฝนตกทุกวัน หยุดบ้างเป็นบางครั้ง แสงแดดมาเป็นบางคราว แต่เห็นไม่ค่อยบ่อย อากาศหนาวเย็นมาก ฉันตัดสินใจว่ามาค่าย 5 วัน ฉันจะอาบน้ำ 3 วัน แม้จะมีประจำเดือน ทั้งที่ตอนแรกก่อนมา ฉันตั้งใจไว้ว่าจะต้องอาบน้ำทุกวัน นั่นเป็นเพียงความตั้งใจแต่ทุกอย่างเปลี่ยนแปลงได้ หากเราไม่ยืดหยุ่น ชีวิตจะอยู่บนโลกนี้ยาก “กลากเกลื้อนรักษาง่ายกว่าปอดบวม” รุ่นพี่คนหนึ่งได้กล่าวไว้ อย่าพูดถึงเรื่องการสระผมเลย ไว้กลับบ้านเมื่อไหร่ถึงจะได้เจอกันนะแชมพู เส้นทางไปอาบน้ำนั้น เราต้องเดินลงไปอาบที่ห้วยข้างล่าง ระยะทางน่าจะประมาณสามสี่ร้อยเมตร จากที่พัก แต่องศาการเดินนี่สิ ขาลงเกร็งขาไว้ไม่ลื่นไถลลงดอย อาบเสร็จอย่างรวดเร็ว เพราะห้องน้ำเป็นเพียงฝากระสอบกั้นไว้เพียง 3 ด้าน นี่แหล่ะชีวิตจริงละ ถ้าไม่ได้ไปฉันคงจินตนาการในใจตลอดเวลาเรื่องอุดมการณ์การเป็นครูดอย บางอย่างต้องลองถ้าไม่ได้ลองเราจะไม่รู้ว่าเราทำได้หรือไม่ได้ ขาลงไม่เท่าไหร่ เพียงเกร็งขา ตอนขาขึ้นนี่สิ ความชัน 60 องศา ระยะทางประมาณสามสี่ร้อยเมตร เดินมาถึงที่พัก เหงื่อออกเต็มตัวเช่นเดิม “แล้วกูจะอาบมาเพื่อ??” ประชดตัวเองเบาๆ จากตั้งใจอาบน้ำ 3 วัน เปลี่ยนเป็น 2 วัน ถือว่าดีกว่าเพื่อนร่วมค่ายบางคน อาบแค่ 1 วัน และ ไม่อาบเลย การอาบน้ำไม่ใช่สาระสำคัญของชีวิตต่อไป ส่วนห้องน้ำไว้สำหรับการขับถ่ายสะอาดอยู่ค่ะ เพราะหน้าที่ล้างห้องน้ำพวกเราแบ่งเวรกัน และหนึ่งในนั้นคือหน้าที่ของฉัน แต่ฉันก็ทำงานเกินหน้าที่ทุกที เพราะเวลาเมาทีไรมันต้องได้ล้างห้องน้ำสินะ ความสุขกับอาการสร่างเมาจึงจะเกิด ดังนั้น ห้องน้ำสะอาดแน่นอน แต่ถึงห้องน้ำจะสถอาดยังไงก็ตาม 5 วันของการมาค่าย ฉันถ่ายหนักเพียง 2 วันเท่านั้น เอาเท่าที่ทำได้ เพราะการเข้าห้องน้ำมันต้องใช้สมาธิขั้นสูง หากไม่เงียบจริงๆ มันจะไม่บรรลุ ยิ่งถ้ามีคนเดินไปเดินมาอยู่หน้าห้องน้ำ เหมือนถูกกดดันเบาๆว่า ออกมาได้แล้วไม่ใช่ส้วมที่บ้านนะเว้ย นั่นแหล่ะ การบรรลุธรรมของฉันจึงได้แค่ 2 วัน ตอนเช้ากิจวัตรที่ทุกคนจะต้องทำเหมือนกันคือ การล้างหน้าแปรงฟัน (เราจะเลิกพูดเรื่องการอาบน้ำกันไปเลยนะ ตอนเย็นยังอาบแค่ 2 วัน ดังนั้นตอนเช้าก็...ฝันไปเถอะค่ะ) การแปรงฟันตอนเช้า เราต้องตักน้ำจากในบ่อมาล้างหน้าแปรงฟันกัน เข้าวันที่ 4 พวกเราอาจมากันเยอะจนเกินไปทั้งที่ฝนตก แต่น้ำในบ่อเกือบแห้ง รุ่นพี่คนหนึ่งเอากระบุงตักน้ำขึ้นมา ได้สิ่งไม่มีชีวิต 1 ตัวขึ้นมาด้วยนั่นคือ หนูตาย พระเจ้าจอร์จ พี่ที่เป็นคนตักขึ้นมาแทบอาเจียน แล้วที่ฉันกับเพื่อนๆใช้น้ำกันไปก่อนหน้า คือ น้ำหนูตายยยย นั่นคือความทรงจำครั้งแรกของการไปค่ายอาสาที่ฉันใฝ่ฝัน ไปลองให้มันรู้ คำของแม่ย้อนเข้ามาในความทรงจำทันที ใช่แล้ว ลองให้มันรู้ แล้วก็ได้รู้

พวกเราอยู่ค่ายกัน 5 วัน ปูนที่สร้างแท้งค์ก็ยังไม่แห้งดี พี่ๆกังวลว่าจะทำยังไงดี ถ้าฝนก็ยังไม่หยุดตกพวกเราอาจต้องนอนที่นี่กันอีกคืน ฉันเริ่มกังวลเพราะบอกแม่ไว้ว่าจะกลับวันไหน ถ้ายังไม่ได้กลับมีปัญหาแน่ๆ ดีที่ท้องฟ้ายังเป็นใจ วันที่ 5 เป็นวันที่พวกเราต้องเดินทางกลับบ้าน ท้องฟ้าเริ่มเปิด แม้ไม่มากแต่ก็กลับบ้านได้ แต่ปัญหาคือรถไม่สามารถขึ้นมาได้ แม้จะเป็นรถโฟร์วิลล์ก็ตาม พวกเราทุกคนต้องเดินเท้าออกไปขึ้นรถที่อุทยานดอยแม่โถ ระยะทางก็เบาๆ น่าจะประมาณ 10 กิโลกว่าๆ แต่....มันไม่ใช่ทางเรียบ มันคือถนนดินแดงและทางลื่น ชาวบ้านผู้ใจดีช่วยกันขนของออกมาให้ เราใช้เวลากันประมาณครึ่งวันกว่าจะมาอุทยานดอยแม่โถ

แม้ความลำบากครั้งนั้นมันจะทำให้ฉันเลิกล้มความตั้งใจในการเป็นครูดอย เพราะรู้ตัวเองแล้วว่าอยู่แบบนั้นไม่ได้ แต่ทุกอย่างก็ใช่ว่าจะเลวร้าย ถึงจะรู้ความทนทานของตัวเองว่าไม่สามารถอยู่บนนั้นได้นาน แต่หากไปเป็นบางคราว ไปเพื่อสร้าง ไปเพื่อให้สิ่งต่างๆแก่คนที่เขาไม่มีโอกาส ฉันก็ยังสามารถไปได้ และนั่นแหล่ะคือสิ่งที่ฉันพบว่า มันคือความสุข และความทรงจำในครั้งนั้น มันก็ทำให้ฉันได้เรียนรู้

-          รู้จักที่จะใช้ชีวิตแบบอดทนต้องอยู่กับมันให้ได้

-          ยืดหยุ่นกับชีวิตจะทำให้เราอยู่ได้ทุกสถานการณ์

-          อย่าคาดหวังว่าทุกอย่างจะเป็นอย่างที่เราคาดการณ์ไว้

-          และเมื่อมีเพื่อนร่วมชะตากรรมเดียวกับเราความทุกข์ยากทั้งมวลจะถูกแบ่งเบากันไป

คนเราสามารถทำเพื่อสังคมได้หลากหลาย ฉันคิดแบบนั้น หากอยู่แบบลำบากเกินไปแล้วเราทนไม่ได้ ไม่นานความตั้งใจก็จะพัง หากคิดจะทำเพื่อคนอื่น อยู่ที่ไหนก็ทำได้ ถ้าเรายังตั้งมั่นในปณิธาน แม้จะล้มเลิกความตั้งใจในการเป็นครูดอยไปแล้ว แต่ฉันก็ยังสนุกกับเดินขึ้นดอยอยู่นะ ^^

ความคิดเห็น

ยังไม่มีความคิดเห็น