ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    Tales of Yuyan ตำนานเรื่องเล่าแห่งยูยาน

    ลำดับตอนที่ #102 : จดหมายจากไอออน [รีไรท์]

    • เนื้อหาตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 15.49K
      415
      18 ธ.ค. 60





    กาเล็ทยืนมองร่างที่ไร้ศรีษะของอังเดรอย่างหวนนึก ความจริงแล้วหากเลือกได้กาเล็ทย่อมไม่อยากที่จะสังหารอังเดร ทว่าไม่อยากไม่ได้หมายความว่าไม่กล้าสังหาร กาเล็ทได้ให้ทางเลือกและโอกาสแก่อังเดรเจ้าชายแห่งทวีปเหนือผู้นี้ไปแล้ว หากว่าบางทีมันไม่กล่าววาจาให้มากความแต่กลับยอมก้มลงคุกเข่าขออภัยต่อซิลเวียกาเล็ทก็อาจที่จะไว้ชีวิตมัน

    หากว่าอังเดรผู้นี้เป็นบุตรของจักรพรรดิ์แดนเหนือจริงการสังหารมันย่อมมีราคาที่ต้องจ่ายออก แต่จะอย่างไรจากการคาดคิดคำนวณของกาเล็ทในตอนนี้หากว่าเรื่องนี้ไม่มีผู้ใดแพร่งพรายออกไปกว่าที่แดนเหนือจะรู้ได้ถึงการตายของอังเดรก็คงกินเวลาหลายเดือนดังนั้นตนเองยังถือว่ายังพอมีเวลาเตรียมตัวในเรื่องนี้อยู่พอสมควร อีกทั้งหลังจากเก็บตัวฝึกและมีพลังเพิ่มพูนขึ้นอย่างเทียบไม่ติดกับก่อนหน้านี้ความมั่นใจในการรับมือต่อเรื่องราวต่างๆของกาเล็ทก็เพิ่มสูงขึ้น ด้วยระดับพลังของตนเอง ด้วยพลังของมิร่าที่เพิ่มพูนขึ้น ตนเองนับว่ามีทุนรอนมากเพียงพอที่จะเผชิญกับระดับจักรพรรดิ์แล้ว

    "มิร่าหนูช่วยไปเก็บแก่นจิตวิญญาณจากทั้งสองร่างนั้นมาให้ปะป๋าที" กาเล็ทเอ่ยกับมิร่าที่บัดนี้ถูกซิลเวียอุ้มชูอยู่ขณะที่ตนเองก็ใช้มือเจาะเข้าสู่ทรวงอกร่างที่ไร้ศรีษะของอังเดรเพื่อคว้าเอาแก่นจิตวิญญาณระดับราชาขั้นกลางของมัน

    "จ . เจ้าบ้าไปแล้ว บ้าไปแล้ว เจ้ากล้าสังหารบุตรแห่งจักรพรรดิ์แดนเหนือ เจ้าจะนำสงครามมาสู่โรฮาน เจ้ามันบ้าไปแล้ว" เมอร์ลินที่เริ่มตั้งสติได้เอ่ยกล่าวขึ้น

    กาเล็ทที่พึ่งเสร็จจากการเก็บเอาแก่นจิตวิญญาณของอังเดรก็ใช้สายตาเย็นเยียบจ้องมองไปยังเมอร์ลิน "เป็นข้าหรือเป็นเจ้าที่นำพาสงครามมา ช่างโง่เขลาเบาปัญญานัก" กาเล็ทส่ายหัวอย่างเอือมระอาหากว่าเมอร์ลินผู้นี้มิใช่พี่ชายแท้ๆของซิลเวียมันคงไม่ได้มายืนพูดคุยกับตนเองอยู่เช่นนี้แล้ว

    "จ เจ้าข้าทาสเจ้ายังกล้ากล่าวเช่นนี้อีก" เมอร์ลินยังคงต่อปากต่อคำเสมือนหมูที่ไม่กลัวน้ำร้อน

    "บัดซบ หุบปากของเจ้าซะยังก่อเรื่องไม่พออีกหรือ" ราชาเบรุทเองที่พึ่งตั้งสติได้กับเรื่องราวที่เกิดขึ้นก็เอ่ยด้วยเสียงอันดังตวาดใส่เมอร์ลินผู้เป็นบุตรชาย

    "ปะป๋า นี่" มิร่าซึ่งเก็บแก่นจิตวิญญาณจากร่างของผู้ติดตามของอังเดรเสร็จแล้วเดินเข้ามายื่นแก่นจิตวิญญาณให้แก่กาเล็ท

    "เมอร์ลินอย่าได้คิดว่าข้าจะไม่กล้าลงมือต่อเจ้า อยากให้รู้ไว้ว่าที่ข้าไว้ชีวิตสุนัขของเจ้ามีเพียงสาเหตุเดียว คือเจ้าเป็นพี่ชายของนาง" กาเล็ทกล่าวพร้อมทั้งชี้มือของตนเองไปยังซิลเวีย "อย่าให้ข้าได้ยินว่าเจ้าแสดงกิริยาไม่เหมาะสมต่อนาง หรือหากเจ้าไปสัญญาต่อผู้ใดโดยที่นางไม่รับรู้ด้วยอีกครั้งล่ะก็ ข้าจะกลับมาทวงถามชีวิตสุนัขของเจ้าที่ข้าละเว้นไว้ให้ในวันนี้กลับคืน" กาเล็ทกล่าวพร้อมทั้งยิ้มเหยียดหยามอย่างดูแคลน

    "ท.ท่านมาร์ควิสเรื่องนี้มีอะไรค่อยพูดค่อยจากันเถอะอย่าได้ถึงกับฆ่าแกงกันเลย ไว้ข้าจะลงโทษบุตรชายอย่างสาสมในภายหลัง" ราชาเบรุทเปิดปากพูด มันรู้ดีกว่าสิ่งใดว่าตอนนี้มันต้องยึดเกาะกับกาเล็ท กับตระกูลบุสโซ่ไว้ให้แน่น

    กาเล็ทเมื่อได้ฟังก็หันมาใช้สายตาเย็นเยียบจ้องมองไปยังราชาเบรุทเช่นกัน "เบรุทข้าผิดหวังกับเจ้านัก รู้หรือไม่หากว่าวันนี้เจ้าเพียงแต่แสดงออกถึงการปกป้องนางแม้สักน้อยนิด ขอเพียงน้อยนิด หากว่าเจ้าเค้นเอาความกล้าที่มีอยู่เพียงน้อยนิดและลุกขึ้นมาปกป้องนางก่อนข้าจะมาถึง ข้าก็พร้อมที่จะลืมเรื่องกินแหนงแคลงใจทั้งหมดที่เคยมีระหว่างเรา แต่ที่ข้าเห็นเจ้ากลับไม่ลุกขึ้นมาปกป้องนางไม่เพียงแต่ไม่ปกป้องชั่ววูบหนึ่งเจ้ายังลังเลใจในเรื่องหมั้นหมายที่เคยให้สัญญาไว้ เจ้าทำให้ข้าผิดหวังครั้งแล้วครั้งเล่า จากนี้นางไม่อยู่ในอำนาจการตัดสินใจของพวกเจ้าอีกต่อไป ชีวิตของนางก็ให้นางเป็นผู้กำหนดเองและข้าไม่ไว้วางใจที่จะให้นางพำนักอยู่ในราชวังแห่งนี้อีกแม้แต่วินาทีเดียว" กาเล็ทเอ่ยพร้อมทั้งเดินเข้าหาซิลเวีย

    "ซิลเวียกลับบ้านของเรากันเถอะ" กาเล็ทเอ่ยคำ

    ซิลเวียหันไปหาราชาเบรุทจากนั้นจึงกล่าวคำอำลา "ท่านพ่อรักษาตัวด้วย"

    "ท . ท่านมาร์ควิส" ราชาเบรุทได้แต่เอ่ยเรียกกาเล็ทไล่หลังไป

    ระหว่างทางกลับสู่ตระกูลบุสโซ่กาเล็ทสังเกตุได้ถึงความรู้สึกเศร้าและหดหู่ของซิลเวีย กาเล็ทก็ได้แต่ถอนหายใจออกมาคราหนึ่ง ไม่ทราบว่าหากถูกคนใกล้ชิดเช่นบิดาและพี่ชายที่ให้ความเคารพขายทิ้งเพื่อผลประโยชน์เช่นนี้จะรู้สึกเจ็บปวดถึงเพียงไหน นั่นคงเป็นความรู้สึกที่ซิลเวียรู้สึกอยู่ตอนนี้

    "ซิลเวียข้ารู้ว่าเจ้าเจ็บปวดแต่หลังเมฆฝนย่อมต้องพบเจอกับแสงสว่าง ให้ถือว่าตระกูลบุสโซ่เป็นบ้านใหม่ของเจ้าเถอะ" กาเล็ทเอ่ย

    "ใช่แล้วพี่สาวซิลเวียมาเป็นครอบครัวเดียวกันนะ มิร่าเองก็เคยต้องอยู่คนเดียวอย่างโดดเดี่ยวแต่ตอนนี้มิร่ามีปะป๋า มีท่านย่าเป็นครอบครัว ครอบครัวที่ไม่ปกป้องกันและกันไม่ถือเป็นครอบครัวหรอกนะ พี่สาวมาเป็นครอบครัวเดียวกันกับมิร่า มิร่าจะปกป้องพี่สาวเองนะ" มิร่าเอ่ยกล่าว

    เมื่อได้ฟังกาเล็ทก็เหลียวมองไปยังมิร่าที่ลอยอยู่ข้างกายตนเองอย่างฉงนสงสัย "ไม่ทราบว่าเด็กหญิงนี่รู้จักปลอบโยนผู้อื่นถึงเพียงนี้แล้ว?" นั่นคือสิ่งที่กาเล็ทนึกคิด

    "ขอบใจเจ้ามากกาเล็ท ข้าไม่เป็นไรหรอก" ซิลเวียเอ่ย

    กาเล็ทแทบไม่อยากจะคิดเลยหากว่าตนเองออกมาจากการฝึกฝนช้ากว่านี้แม้เพียงชั่วโมงเดียวจะเกิดสิ่งใดขึ้น นับว่าโชคชะตายังไม่ได้โหดร้ายกับตนเองจนเกินไป อาจบางทีการอยู่อย่างปิดบังตัวตนปิดบังความสามารถของตนเองไว้ก็มีข้อดีของมัน อาจบางทีการเปิดเผยความสามารถให้ผู้คนได้รับรู้ก็หาได้มีแต่ข้อเสีย หากว่าผู้คนล่วงรู้ถึงความแข็งแกร่งของตนเอง ล่วงรู้ถึงขุมกำลังของตนเอง พวกมันยังจะกล้ายุ่งเกี่ยวกับสตรีของตนเองเช่นนี้อีกหรือไม่? นั่นคือสิ่งที่กาเล็ทกำลังครุ่นคิดขณะเดินทางกลับสู่ตระกูลบุสโซ่

    เมื่อกลับมาถึงซิลเวียก็ขอตัวแยกออกไปเพียงลำพัง ทุกผู้คนที่รออยู่ต่างดูออกว่าต้องเกิดเรื่องราวใดขึ้นเป็นแน่ ด้วยเหตุนี้จึงกลายเป็นหน้าที่ของกาเล็ทที่ต้องเป็นผู้ถ่ายทอดเรื่องราวเล่าให้ทั้งนีน่า เทลเล่อ แชลเทียและครูโซ่ฟัง

    "เฮ้อเป็นเช่นนี้ การเกิดเป็นเจ้าหญิงก็หาใช่เรื่องดีเสมอไปช่างน่าสงสารนางนัก" แชลเทียเอ่ย

    "การสังหารบุตรของจักรพรรดิ์แดนเหนือเช่นนี้เรื่องคงไม่จบลงง่ายๆแน่" เทลเล่อเอ่ยอย่างเป็นกังวลใจ
    "ท่านอาจารย์ตรงจุดนี้หาใช่ข้าไม่ได้คิดให้รอบคอบก่อนลงมือ ท่านอาจารย์หากข้าปล่อยให้อังเดรมีชีวิตต่อไปไม่สามารถแน่ใจได้ว่ามันจะไม่คิดกลับมาแก้แค้น อาจบางทีหากปล่อยให้มันรอดชีวิตไปการที่เราต้องเผชิญหน้ากับแดนเหนือจะรวดเร็วกว่าการสังหารมันเสียด้วยซ้ำ" กาเล็ทกล่าวอธิบาย

    "ข้าหาได้ตำหนิในสิ่งที่เจ้ากระทำกาเล็ทหากเป็นข้าก็คงตัดสินใจเช่นเดียวกัน แต่การสร้างศัตรูมากมายเช่นนี้ย่อมทำให้ข้าอดที่จะเป็นกังวลไม่ได้ พวกเราสมควรเร่งเสริมสร้างความแข็งแกร่งให้กับตนเองและกองกำลังไม่อาจนิ่งนอนใจได้" เทลเล่อเอ่ย "ว่าแต่เจ้ามีความมั่นใจมากน้อยเท่าใดหากว่าบัดนี้ต้องรับมือกับระดับจักรพรรดิ์" เทลเล่อเอ่ยถาม

    "ท่านอาจารย์หากว่าเป็นระดับจักรพรรดิ์ทั่วไปสำหรับกับข้าตอนนี้ต่อให้ต้องเผชิญกับผู้มีพลังจักรพรรดิ์ขั้นสูงก็ไม่นับว่าน่าเป็นห่วง แต่หากต้องต่อสู้กับระดับจักรพรรดิ์ที่มีความสามารถเช่นจักรพรรดิ์แดงหรือจักรพรรดิ์แดนเหนือก็ไม่ทราบได้ว่าผลจะออกมาเช่นไรกันแน่ แต่นั่นคือในกรณีที่ข้าต้องต่อสู้เพียงลำพังพวกท่านไม่ต้องเป็นห่วงไปพวกเรายังมีมิร่าน้อย จะกล่าวไปแล้วนางนั้นมีพลังมากกว่าข้าในตอนนี้เกือบเท่าตัว" กาเล็ทเอ่ยพร้อมทั้งอุ้มร่างของมิร่าขึ้นมา

    "เกือบเท่าตัว !" เทลเล่อแสดงอาการตกใจออกมา

    ส่วนครูโซ่เองก็รับฟังเรื่องราวที่น่าเหลือเชื่อเหล่านี้จนไม่ว่าตนเองจะได้ยินเรื่องราวใดก็ไม่ตกใจอีกแล้วต่อให้กาเล็ทบอกว่าสามารถสังหารระดับจักรพรรดิ์ได้ด้วยหมัดเดียวตัวมันก็พร้อมที่จะเชื่อ เหตุเพราะความสามารถของลูกเขยผู้นี้อยู่เหนือความเข้าใจของมันไปมากโขจนตัวมันไม่สามารถทำความเข้าใจได้แล้ว

    ขนาดครูโซ่ที่ถือว่าเป็นผู้ฝึกตนระดับไม่ต่ำเตี้ยยังยากที่จะเข้าใจในเรื่องราวได้ นับประสาอะไรกับนีน่าและแชลเทียที่ไม่ได้ข้องแวะกับการต่อสู้ช่วงชิง พวกนางฟังเข้าใจได้แต่เพียงสู้ได้หรือไม่ จากที่ได้ฟังมาประกอบกับท่าทีของกาเล็ทที่แสดงออกว่าไม่หนักใจเท่าใดจึงทำให้พวกนางยังคงรู้สึกเป็นปกติไม่ได้ตื่นเต้นอันใด

    "ใช่ท่านอาจารย์ต่อให้ข้าใช้ความสามารถทั้งหมดที่มีและงัดเอาสารพัดวิชามาใช้ก็รับมือกับนางซึ่งใช้พลังเพียง 7 ส่วนได้ไม่ถึงสี่สิบนาที" กาเล็ทเอ่ย

    เทลเล่อผงกหัวระรัวด้วยความยินดี "นางถือว่าเป็นไพ่ลับของพวกเราอย่างแท้จริง หากว่าทั้งเจ้าและนางร่วมมือกันคงไม่มีระดับจักรพรรดิ์ใดที่สามารถมีชีวิตรอดไปได้เป็นแน่"

    "ข้าก็คาดคิดเช่นนั้นท่านอาจารย์ ดังนั้นก่อนที่จะออกมาข้าจึงได้ใช้เวลาร่วม 7 เดือนเพื่อฝึกฝนการต่อสู้ร่วมกับนางเพื่อให้การจู่โจมของข้าและนางสอดประสานรู้จังหว่ะซึ่งกันและกัน" กาเล็ทเอ่ย

    "จะอย่างไรเจ้าเองก็อย่าได้หักโหมต้องรู้จักพักผ่อนบ้าง วันนี้ก็ไปอยู่เป็นเพื่อนองค์หญิงเถอะคาดว่านางคงรู้สึกเศร้าเสียใจกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นไม่น้อย" เทลเล่อเอ่ย

    "ข้าก็คิดเช่นนั้น กาเล็ทไปอยู่เป็นเพื่อนซิลเวียเถอะ" แชลเทียเอ่ย

    "ไปเถอะลูก" นีน่าเอ่ยสนับสนุนอีกเสียง

    "มิร่าไปด้วย" เสียงสุดท้ายกลับไม่ใช่การสนับสนุนหากแต่เป็นการขอติดตามไปด้วย

    กาเล็ทใช้เวลาเดินตามหาซิลเวียอยู่ครู่ใหญ่สุดท้ายแล้วจึงพบว่านางมายืนอยู่ตรงระเบียงในส่วนชั้นบนของปราสาทบุสโซ่ "มาอยู่ที่นี่เองข้าตามหาเจ้าตั้งนาน" กาเล็ทเอ่ย

    ซิลเวียเมื่อได้ฟังเสียงเอ่ยเรียกของกาเล็ท นางซึ่งกำลังหันหลังให้กับกาเล็ทอยู่ก็รีบยกมือข้างหนึ่งขึ้นปาดเช็ดยังบริเวณใบหน้าของตนเอง

    "งือ" มิร่าซึ่งสัมผัสได้ถึงความรู้สึกเศร้าหดหู่ของซิลเวียได้ส่งเสียงครางเบาๆออกมาคราหนึ่ง

    กาเล็ทรีบเดินเข้าไปโอบกอดร่างของซิลเวียไว้จากทางด้านหลัง "ซิลเวียคนเราไม่จำเป็นต้องทำเป็นเข้มแข็งตลอดเวลาเข้าใจหรือไม่ หากเจ้ารู้สึกเศร้าเสียใจก็อย่าได้เก็บมันไว้เพียงลำพัง หากอยากร้องไห้ก็ร้องออกมาให้พอเถอะ ปลดปล่อยมันออกมาเถอะ อยู่กับข้าไม่จำเป็นต้องปิดบัง" กาเล็ทเอ่ยอย่างนุ่มนวล

    สิ้นคำกล่าวของกาเล็ทซิลเวียก็หันมาซบเข้ากับอกแกร่งของกาเล็ท "ฮือออ" นางปล่อยเสียงร้องไห้โฮออกมาอย่างไม่อาจปิดบังเก็บไว้ได้อีกต่อไป

    "กอดกัน กอดกันนะ กอดจะทำให้มีความสุข ลืมความเศร้านะ" มิร่าที่ลอยตัวขึ้นกางมือน้อยๆของตนเองออกเพื่อโอบกอดทั้งกาเล็ทและซิลเวียไว้เอ่ยขึ้น

    กาเล็ทใช้เวลาอยู่นานในการลูบหลังปลอบประโลมซิลเวีย ไม่ทราบว่าเวลาผ่านไปนานเท่าใดสุดท้ายแล้วด้วยความเหนื่อยอ่อนทำให้ซิลเวียม่อยหลับไปทั้งอย่างนั้น

    เมื่อรุ้งเช้ามาถึง ซิลเวียที่ตื่นขึ้นมากลับพบว่าตนเองนอนหลับไหลอยู่บนเตียงใหญ่นุ่มนิ่มภายในห้องส่วนตัวของตนเองภายในตระกูลบุสโซ่ แต่แล้วเมื่อพยายามจะลุกขึ้นจากเตียงนางกลับพบว่าร่างของตนเองกำลังถูกวงแขนข้างหนึ่งโอบกอดอยู่ ภาพเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเมื่อคืนวานย้อนกลับมาเป็นฉากๆ ความทรงจำที่กาเล็ทโอบกอดตนเองไว้และลูบไล้แผ่นหลังของตนเองเป็นเชิงปลอบโยนอย่างอ่อนโยน หากจำไม่ผิดเมื่อคืนวานตนเองยังอยู่บนระเบียงแท้ๆเหตุใดตอนนี้สภาพจึงได้เป็นเช่นนี้กัน? ตนเองกลับมานอนหลับไหลอยู่บนเตียงในห้องของตัวเองตั้งแต่เมื่อใดก็ไม่อาจทราบได้ ทั้งยังถูกเขาโอบกอดไว้อีก พอคิดได้เช่นนั้นใบหน้าของนางก็แดงระเรื่อขึ้น

    สัมผัสได้ถึงความสั่นไหวภายใต้วงแขนของตนเองกาเล็ทก็เอ่ยปากขึ้น "ตื่นแล้วหรือ ข้ายังภาวนาให้เจ้าหญิงน้อยหลับไหลอีกครู่ใหญ่" กาเล็ทเอ่ย

    "ก.กาเล็ท" ซิลเวียเอ่ยอย่างเอียงอาย

    กาเล็ทดันตัวเองขึ้นมาพร้อมทั้งก้มลงหอมแก้มนางฟอดใหญ่คราหนึ่ง "เรียกทำไมหรือ" เมื่อได้ฟังน้ำเสียงของซิลเวียที่เต็มเปี่ยมไปด้วยความรู้สึกเขินอาย กาเล็ทก็อดไม่ได้ที่จะก้อมลงหอมแก้มขาวนวลเนียนของนาง

    "นี่ก็สายมากแล้วเกรงว่าท่านป้าและทุกคนจะเป็นห่วงเอาได้" ซิลเวียเอ่ยอย่างแผ่วเบา

    กาเล็ทได้ฟังก็ใช้มือลูบใบหน้าของนางคราหนึ่ง "เจ้าพักอีกสักหน่อยเถอะ ดูสิตาของเจ้ายังบวมแดงอยู่เลย" กล่าวจบกาเล็ทก็ทิ้งตัวลงนอนบนเตียงนุ่มนิ่มอีกคราหนึ่งพร้อมทั้งกระชับวงแขนของตนเองเพื่อรั้งร่างเล็กของซิลเวียให้เข้ามาใกล้กับตนเอง

    ความเงียบเกิดขึ้นอีกครู่หนึ่ง จากนั้นซิลเวียจึงเอ่ยขึ้นอย่างแผ่วเบาอีกครั้ง "กาเล็ท แบบนี้ไม่ได้ ท่านป้าจะโทษว่าข้าเอาได้ว่าเป็นสตรีที่ไม่รักษาเนื้อรักษาตัว" แม้จะรู้สึกมีความสุขเพียงใดที่ถูกกาเล็ทโอบกอดทว่าซิลเวียก็รู้ดีว่าการปล่อยเนื้อปล่อยตัวจนเกินไปหาใช่เรื่องที่เหมาะสม ต่อให้ตนเองจะเป็นคู่หมั้นของกาเล็ทก็จริงอยู่ทว่าก็เป็นเพียงคู่หมั้นแถมพีธีหมั้นหมายก็ยังไม่ได้จัดขึ้นอย่างเป็นทางการ

    "ขอต่อเวลาอีกสักหน่อยไม่ได้หรือ ตอนนี้ท่านแม่คงกำลังยุ่งอยู่กับการถูกมิร่าน้อยพัวพันนางไม่รู้หรอก" กาเล็ทเอ่ย

    ซิลเวียได้ฟังก็ยกมือขึ้นตบเบาๆไปที่ท่อนแขนของกาเล็ทคราหนึ่ง "ไม่ได้"

    "หืมช่างตระหนี่ถี่เหนียวนัก เอาเถอะข้าออกไปก่อนก็แล้วกันเจ้าเองก็พักผ่อนอีกสักครู่แล้วค่อยแต่งเนื้อแต่งตัวลงไปเถอะ" กาเล็ทเอ่ยพร้อมกับลุกขึ้นก้าวลงจากเตียงและจัดแต่งเสื้อผ้าของตนเอง

    เมื่อกาเล็ทก้าวย่างออกจากห้องไปแล้วซิลเวียก็ได้แต่ใช้สองมือดึงผ้าห่มขึ้นมาคลุมทั้งร่างของตนเองไว้อย่างเอียงอาย ตนเองกลับถูกเขาโอบกอดไว้ทั้งคืนในห้องนอนนับว่าเป็นครั้งแรกที่ตนเองถูกบรุษโอบกอดไว้ยามหลับไหล ช่างเป็นความรู้สึกที่เป็นสุขนัก คิดกับตนเองเช่นนั้นใบหน้าของนางก็ร้อนผ่าวขึ้นมาอีกคราหนึ่ง

    เมื่อกาเล็ทจัดการกับตนเองให้เรียบร้อยดีแล้วก็ลงมายังห้องรับประทานอาหารรวมของปราสาทบุสโซ่
    "กาเล็ทหนูซิลเวียเป็นอย่างไรบ้างลูก" นีน่าเอ่ยถามขึ้นอย่างเป็นห่วง

    กาเล็ทก้าวเดินมาพร้อมกับดึงเก้าอีกตัวหนึ่งออกมาและหย่อนก้นของตนเองนั่งลง "นางสบายดีแล้วท่านแม่ไม่ต้องเป็นห่วง" กาเล็ทเอ่ยพร้อมสอดส่องสายตาตรวจดูว่าบนโต๊ะอาหารมีสิ่งใดน่ารับประทานบ้าง

    "ปะป๋า" มิร่าในร่างมังกรกระโจนเข้ามาหากาเล็ททันที

    "กาเล็ท ลูกไม่ได้ฉวยโอกาสทำอะไรแปลกๆกับหนูซิลเวียใช่ไหมลูก" นีน่าเอ่ยถามพร้อมทั้งใช้สายตาตรวจดูอาการของบุตรชาย

    "โธ่ท่านแม่ ข้าจะไปทำอะไรแปลกๆกับนางได้ยังไง ข้าก็เพียงแต่ปลอบประโลมนางก็เท่านั้น" กาเล็ทเอ่ยอย่างหวาดระแวง จะว่าไปแล้วผู้เป็นมารดาของตนเองก็ถือว่าเป็นคนเคร่งพิธีรีตรองพอสมควร หลายครั้งคราเมื่อนางเห็นตนเองโอบกอดซิลเวียและแชลเทียก็มักจะเอ่ยปากห้ามปรามอยู่บ่อยครั้งว่ายังไม่สมควร

    "อืม ได้ยินอย่างนั้นแม่ก็วางใจ ถึงจะเป็นคู่หมั้นแต่ยังไงก็ยังไม่ได้แต่งงานกันอย่างเป็นทางการ เข้าใจไหมลูก" นีน่าเอ่ย

    "คร๊าบบท่านแม่ข้าเข้าใจแล้ว" กาเล็ทตกปากรับคำผู้เป็นมารดาของตนเอง

    "เมื่อมาเห็นท่านหญิงนีน่าเช่นนี้ ข้าไม่แปลกใจเลยที่บุตรชายของท่านหญิงเติบโตขึ้นมาได้ยอดเยี่ยมถึงเพียงนี้" เทลเล่อเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงยกย่องชมเชิญ ส่วนครูโซ่เองก็ผงกหัวเป็นเชิงเห็นด้วย

    "กาเล็ท เมื่อครู่ที่ผ่านมาทางราชวังได้ส่งทหารให้นำจดหมายสำคัญมา" เทลเล่อเอ่ยขึ้น

    "จดหมายสำคัญหรือ ไม่ทราบว่าเป็นเรื่องใดท่านอาจารย์" กาเล็ทเอ่ยถามขณะที่ใช้ซ่อมและมีดตัดชิ้นเนื้อและจิ้มเข้าปากของตนเองไป

    "เจ้าอ่านดูเองเถอะ" เทลเล่อเอ่ยพร้อมกับนำส่งจดหมายให้แก่กาเล็ท

    กาเล็ทหยิบจดหมายนั้นขึ้นมาอ่านดูอย่างตั้งใจ

    "กาเล็ทข้าเห็นสมควรว่าจะอย่างไรเราต้องนำตัวองค์หญิงกลับมา" เทลเล่อเอ่ยขึ้น

    "กาเล็ทสตรีเช่นนี้ไม่สมควรถูกทอดทิ้งให้เผชิญชะตากรรมนะลูก หากว่าไม่เหลือบ่ากว่าแรงนักแม่ก็อยากให้กาเล็ทนำองค์หญิงกลับมาสู่บ้านเกิด" นีน่าเอ่ยเสริมอีกแรงหนึ่ง

    เนื้อหาในจดหมายนั้นคือการแจ้งข่าวให้ท่านโรฮานส่งคนไปรับเจ้าหญิงลำดับที่ 1 เบลล่า อัลเลน กลับมาจากไอออน เนื่องจากไอออนในช่วงนี้เกิดสงครามภายในเพื่อแย่งชิงความเป็นใหญ่ขึ้นระหว่างเจ้าชายซาก้ารัชทายาทแห่งไอออนกับเจ้าชายจังโก้ผู้เป็นพี่ชาย กาเล็ทอ่านจดหมายนั้นเสร็จแล้วก็พับเก็บมันไว้ดังเดิม

    จะกล่าวไปแล้วแม้ว่าตนเองจะยังไม่เคยพบหน้ากับเจ้าหญิงลำดับหนึ่งแห่งโรฮานผู้นี้มาก่อนก็ตามทว่าในจิตใจของกาเล็ทก็เกิดความรู้สึกยกย่องเทิดทูนนางไปแล้วหลายส่วน สาเหตุก็เพราะการเสียสละตนเองเพื่อส่วนรวมของนาง

    "หน้าที่ในการคุ้มกันอารักขานางกลับมาอย่างปลอดภัยคงไม่มีใครเหมาะสมมากไปกว่าเจ้าแล้วล่ะกาเล็ท" เทลเล่อเอ่ยขึ้น

    "แต่ว่าเรื่องงานการที่คั่งค้างอยู่เล่ายังมีอาการป่วยของท่านแม่อีก" กาเล็ทเอ่ยอย่างเป็นกังวล

    "เรื่องงานการที่คั่งค้างอยู่ พวกข้าก็ช่วยเจ้าดูแลจัดการเรื่องราวมาร่วมสองเดือนแล้วจะดูแลต่อไปอีกสักหน่อยก็หาเป็นไรไม่ ส่วนเรื่องอาการป่วยของท่านหญิงนีน่าเจ้าก็ใช้เวลา ณ ช่วงนี้ตรวจดูให้ละเอียดเถอะ หากว่าอาการไม่น่าเป็นห่วงก็ค่อยออกเดินทางไปนำตัวองค์หญิงเบลล่ากลับมา ข้าเห็นว่า ณ เวลานี้ด้วยกำลังของเจ้าและมิร่าน้อย โรฮานไม่มีความจำเป็นที่จะต้องเชื่อมความสัมพันธ์ด้วยการแต่งงานอีก" เทลเล่อเอ่ย

    "ข้าเข้าใจแล้วท่านอาจารย์ เอาเช่นนั้นเถอะ" กาเล็ทเอ่ยกล่าว



    ณ ทวีปเหนือที่หนาวเหน็บ

    ชายผู้หนึ่งกำลังยืนอยู่บนหน้าผาสูงชันทอดสายตาไปดังดินแดนเบื้องล่างที่อยู่ภายใต้การปกครองของตนเอง แม้ว่าหิมะจะกระหน่ำลงมาอย่างรุนแรงเพียงใดทว่าบนร่างของชายวัยกลางคนผู้นี้กลับสะอาดเอี่ยมอ่องไม่มีหิมะเกาะอยู่ตามเสื้อผ้าเลยแม้แต่น้อย ชายผู้นี้ยืนอยู่บนหน้าผาแห่งนี้มาครึ่งค่อนวันแล้ว มันครุ่นคิดทบทวนถึงช่วงเวลาที่ตัวมันได้อยู่ใกล้ชิดกับบุตรชายคนที่สามของมัน บุตรชายที่เกิดจากสตรีที่มันรักใคร่ นางให้กำเนิดบุตรชายผู้นี้แก่มันก่อนที่จะสิ้นใจไป บัดนี้แม้แต่สิ่งสุดท้ายที่สตรีผู้เป็นที่รักหลงเหลือไว้ให้มันก็ไม่สามารถรักษาไว้ได้ มันไม่คาดคิดว่าการเดินทางไปเป็นทูตยังทวีปตะวันออกของบุตรชายคราครั้งนี้จะนำมาซึ่งจุดจบของผู้เป็นบุตรชาย มันขบคิดเป็นเวลานานก็ยังไม่เข้าใจว่าเหตุใดบุตรชายของมันต้องตกตาย จากข้อมูลที่มันมีอยู่ทวีปตะวันออกสมควรเป็นทวีปที่อ่อนแอที่สุด แม้แต่ผู้มีพลังระดับราชายังหาได้ยากยิ่ง ด้วยผู้คุ้มกันที่มีพลังระดับราชาขั้นสูงและขั้นกลางถึงสองคนสมควรเพียงพอแล้วที่จะทำให้บุตรชายของมันปลอดภัยไร้เรื่องราวใด ประกอบกับตัวบุตรชายของมันเองก็มีพลังถึงระดับราชาขั้นกลาง ต่อให้เผชิญกับระดับจักรพรรดิ์ขั้นต้นก็สมควรหลบหนีเอาตัวรอดมาได้ ทว่าเมื่อหลายชั่วโมงก่อนมันกลับได้รับแจ้งข่าวร้าย ข่าวที่ทำให้ตัวมันที่เป็นถึงจักรพรรดิ์แดนเหนือถึงกับนิ่งอึ้งตกตะลึงไป นั่นคือการแตกสลายของผลึกวิญญาณของบุตรชายคนที่สามของมัน นั่นย่อมหมายความว่าบุตรชายคนที่สามของมันตกตายแล้ว ผลึกวิญญาณนี้จะเชื่อมต่อกับแก่นจิตวิญญาณของผู้คนในตระกูลของมัน หากผลึกของผู้ใดแตกออกย่อมหมายความถึงชีวิตที่จบลงของคนผู้นั้น

    จักรพรรดิ์แห่งแดนเหนือยืนนิ่งขบคิดมาเป็นเวลานานสุดท้ายแล้วจึงได้เพียงผลสรุปเดียวคือผู้ที่ลงมือสังหารบุตรชายของตนเองต้องเป็นจักรพรรดิ์แดงเป็นแน่ แต่ที่ยังไม่เข้าใจคือเหตุใดจักรพรรดิ์แดงถึงได้ลงมือต่อบุตรชายของตนเอง ต่อให้บุตรชายของตนเองไม่รู้ฟ้าสูงแผ่นดินต่ำเลอะเลือนไปจนล่วงเกินจักรพรรดิ์แดงเข้าจะอย่างไรมันก็เป็นบุตรชายของตนเอง จักรพรรดิ์แดงเมื่อล่วงรู้ก็สมควรแต่เพียงลงโทษสั่งสอนพอเป็นพิธีเท่านั้นไม่ควรถึงกับขั้นฆ่าแกงกันเช่นนี้ การกระทำเช่นนี้มีแต่ผลเสียต่อจักรพรรดิ์แดง ดังนั้นต่อให้ยืนขบคิดอยู่ครึ่งค่อนวันตัวมันก็ยังไม่สามารถทำความเข้าใจได้ว่าเหตุใดจักรพรรดิ์แดงจึงลงมือสังหารบุตรชายมัน

    ในเรื่องนี้จะโทษว่าจักรพรรดิ์แห่งแดนเหนือที่เข้าใจผิดคิดไปว่าจักรพรรดิ์แดงเป็นผู้สังหารบุตรชายของตนเองก็หาได้ไม่ เหตุเพราะด้วยพลังของสองผู้คุ้มกันและตัวบุตรชายคนที่สามของมันเองด้วยแล้ว ผู้ที่สมควรมีความสามารถมากพอจะลงมือสังหารทั้งสามได้นั้น ทอดสายตาทั่วทั้งทวีปตะวันออกเห็นคงมีแต่เพียงจักรพรรดิ์แดงเพียงผู้เดียว

    ปล.จากผู้เขียนนะครับอยากจะกล่าวถึงสเกลพลังของพระเอกหน่อย ตัวเอกนั้นมีความสามารถในการควบคุมพลังได้อย่างสมบูรณ์ ในจุดนี้เหมือนที่บอกไปแล้วผมจะขอเรียกว่าระดับสมบูรณ์แบบ ซึ่งความสมบูรณ์แบบนี้คือตัววัดระดับฝีมือซึ่งพระเอกเรามีสูงมาก ส่วนคนระดับทั่วไปก็จะดึงพลังของระดับตนเองออกมาใช้ได้เพียง 30-40 เปอเซ็น ส่วนระดับจักรพรรดิ์แห่งทวีปนั้นย่อมต้องเหนือกว่าคนทั่วไปมาก นั่นหมายความว่าพวกนี้ก็มีระดับความสมบูรณ์แบบที่สูงพอสมควรแต่ไม่เท่าพระเอกนะครับ ดังนั้นพระเอกที่มีระดับพลังเพียงจักรพรรดิ์ขั้นต้นจึงพอที่จะต่อสู้รับมือกับระดับจักรพรรดิ์ปกติทั่วไปได้อย่างสบายๆ แต่ถ้าต้องเจอกับระดับจักรพรรดิ์ของทวีปนั้นยังไม่สามารถเอาชนะได้ด้วยตนเองอยู่ครับ แต่มิร่านั้นตบระดับจักรพรรดิ์ของทวีปได้แล้วด้วยตัวคนเดียวแต่อาจจะต้องมีการบาดเจ็บไม่มากก็น้อย นั่นคือสเกลพลังที่ยังไม่รวมถึงวิชาลับ วิชาพิเศษของแต่ละคนเน้อ จักรพรรดิ์แดงมีดีกว่าที่คิดแน่นอน เป็นการสปอยรึเปล่าหนิ 55 จบแค่นี้ล่ะ
    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×