ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    Tales of Yuyan ตำนานเรื่องเล่าแห่งยูยาน

    ลำดับตอนที่ #144 : ฟ้าที่ใสกระจ่างหลังพายุผ่านพ้นไป

    • เนื้อหาตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 9.6K
      436
      13 ม.ค. 61




    ณ บริเวณลานกว้างกลางเมืองหลวงของโรฮาน ชาวบ้านนั้นเริ่มเกิดความสงสัยว่าวันนี้นั้นมีเหตุการณ์อะไรเป็นพิเศษเกิดขึ้น สาเหตุก็เพราะว่าตั้งแต่ช่วงเช้าหากสังเกตุให้ดีจะพบว่ามีทหารของทางการวิ่งวุ่นวายไปทั่วทั้งเมืองพร้อมทั้งยังเช้าจับกุมผู้คนมากมายนับไม่ถ้วน

    "นี่ นี่ เจ้าดูนั่นสิ" ชาวเมืองผู้หนึ่งเรียกให้เพื่อนของตนดูเมื่อพบว่ามีขบวนของทหารกำลังคุมตัวนักโทษตรงมาทางที่พวกตนอยู่

    "เป็นผู้ใดถูกจับกุมกัน" ชาวเมืองอีกคนถามออกมาด้วยความประหลาดใจ

    "ข้าก็ไม่ทราบว่าเป็นผู้ใด แต่วันนี้ตั้งแต่ช่วงเช้าแล้วข้าเห็นทหารมากมายวิ่งวุ่นไปทั่วเมือง" ชาวเมืองเริ่มซุบซิบพูดคุยกัน

    "เฮ้เจ้าดูนักโทษนั่น ช่างน่าสงสารนัก ดูเขาสิ ทางการช่างโหดร้ายเสียจริง" ชาวบ้านผู้หนึ่งเริ่มเอ่ยแสดงความเห็นของตนออกมาเมื่อเห็นสภาพที่ทุลักทุเลของสองพ่อลูกตระกูลมูโน โดยเฉพาะโจเซ่ที่เลือดโชกไปทั่วทั้งร่าง

    "พี่ท่าน ไม่ทราบว่ามีเรื่องใดกันหรือ สองคนนี้ทำสิ่งใดผิดร้ายแรงนักหรือถึงได้โดนลงโทษหนักหนาเช่นนี้" ชาวบ้านผู้หนึ่งเก็บความอยากรู้อยากเห็นของตนเอาไว้ไม่อยู่อีกต่อไปจึงได้เอ่ยถามหนึ่งในทหารของตระกูลบุสโซ่ที่เดินผ่านมา

    "พวกท่านคอยฟังเถอะว่ามันทำความผิดใด ตอนนี้ตัวท่านอาจจะมีความรู้สึกว่าสงสารมันแต่หลังจากทราบความผิดที่พวกมันกระทำข้าเกรงว่าแม้แต่ท่านก็ไม่อาจจะอดทนอดกลั้นอารมณ์ไว้ได้จนอยากแทงใส่มันสักมีดหนึ่งแน่นอน" ทหารของตระกูลบุสโซ่เอ่ยกล่าวอธิบายเมื่อเห็นแววตาของชาวบ้านผู้เอ่ยถามตน

    ยิ่งเวลาผ่านพ้นไปชาวเมืองที่มามุงดูเหตการณ์ก็ยิ่งมากขึ้นเท่านั้น บัดนี้ร่างของโจเซ่ถูกจับแขวนอยู่บนแผ่นไม้เรียบร้อยแล้ว เลือดจากปากแผลที่หว่างขาของมันยังคงหยดลงมาอย่างต่อเนื่อง ดูแล้วสารรูปของมันตอนนี้ช่างน่าเวทนานัก บิดดาของมันเอิร์ลมูโนก็มีสภาพไม่ดีกว่ากันเท่าใดนัก ตอนนี้ผมเผ้าของมันยุ่งเหยิงถูกจับกดร่างให้นอนคว่ำราบไปกับพื้นดิน บนร่างของมันมีเท้าของทหารตระกูลบุสโซ่เหยียบย่ำอยู่ ในหมู่ชาวเมืองที่มามุงดูไม่มีแม้สักคนเดียวที่จดจำพวกมันสองพ่อลูกออก

    "พวกท่านคงสงสัยว่านี่มันเป็นเรื่องราวใด พวกเราทั้งหมดล้วนเป็นทหารประจำซึ่งอยู่ภายใต้การปกครองของตระกูลบุสโซ่ วันนี้นายน้อยของเรามีคำสั่งให้กวาดล้างเหล่าผู้คนที่มีจิตคิดคดอกุศล โดยนายน้อยของเรามุ่งเน้นไปที่เหล่าขุนนางของบ้านเมืองเป็นพิเศษ" เรน่าผู้ซึ่งเป็นหัวหน้าขบวนของทหารเริ่มเอ่ยอธิบายเสียงก้องกังวารไปทั่วทั้งลานกว้างกลางเมือง

    เมื่อเสียงของเรน่าจบลงชาวเมืองที่มุงดูอยู่ก็เริ่มส่งเสียงดังพูดคุยกัน

    "พวกเขามาจากตระกูลบุสโซ่หรอกหรือ" ชาวเมืองผู้หนึ่งอุทานออกมา

    "ทหารหญิงผู้นั้นพึ่งกล่าวว่านายน้อยของนางออกคำสั่ง หากนางมาจากตระกูลบุสโซ่นายน้อยของนางมิใช่มาร์ควิสบุสโซ่หรอกหรือ?" ชาวเมืองผู้หนึ่งเอ่ยพูดคุยกับเพื่อนที่อยู่ด้านข้างอย่างสับสน

    "มิใช่มีข่าวว่ามาร์ควิสบุสโซ่บาดเจ็บสาหัสสลบไสลไม่ได้สติหรอกหรือ? จะเป็นไปได้อย่างไร ข้าชักงงไปหมดแล้วว่าที่แท้แล้วเกิดเรื่องราวใดขึ้นกันแน่" ชาวเมืองเอ่ยตอบเพื่อนของตน

    เรน่าเห็นว่าสถานะการณ์เริ่มวุ่นวายจึงร้องตะโกนด้วยเสียงอันดังขึ้น "ทุกคนโปรดสงบเสียงเงียบลงก่อนเพื่อฟังข้าอธิบาย" ด้วยเสียงอันดังปานสายฟ้าฟาดนี้ทำให้ชาวเมืองที่กำลังร่ำร้องอยู่หยุดชงักลง

    "อันที่จริงนายน้อยของพวกเรายังปกติสบายดีอยู่ ข่าวลือทั้งหลายที่พวกท่านได้ยินได้ฟังมาล้วนไม่เป็นความจริง นายน้อยของเราเพียงแต่เก็บตัวฝึกฝนก็เท่านั้นเองดังนั้นแล้วเมื่อนายน้อยของเราได้ยินมาว่ามีเหล่าขุนนางฉกฉวยโอกาสสร้างความวุ่นวายเพราะมีสาเหตุเกิดจากตนเองจึงมีความรู้สึกไม่สบายใจและได้ออกคำสั่งให้พวกเรากวาดล้างลงโทษเหล่าขุนนางที่เอารัดเอาเปรียบประชาชน ดั่งเช่นเจ้าสองคนนี้" เร่น่ากล่าวอธิบายพร้อมทั้งชี้ไปที่โจเซ่และเอิร์ลมูโน "มันสองพ่อลูกทำความผิดที่ไม่อาจให้อภัย มันคือเอิร์ลมูโนผู้ทำหน้าที่ตัดสินคดีความต่างๆภายในเมืองหลวงทว่ากลับใช้อำนาจหน้าที่ไปในทางที่ผิดอย่างไม่น่าให้อภัย"

    เมื่อทราบว่าสองนักโทษที่น่าเวทนานี้เป็นผู้ใดชาวเมืองก็เกิดอาการตื่นตะลึงลาน

    "พวกมันทำความผิดใดรึ" ชาวเมืองผู้หนึ่งเอ่ยถามขึ้น

    "บุตรชายของมันถือดีว่าบิดามียศฐาและอำนาจจึงทำตัวเสเพลสร้างความเดือดร้อนไปทั่ว เมื่อไม่นานมานี้มันก็ได้ก่อคดีที่น่าสลดขึ้น มันฉุดคร่าหญิงสาวดีงามผู้ซึ่งเข้าเมืองมาซื้อยากลับไปให้บิดาที่นอนป่วย มันกระทำการย่ำยีทำลายชีวิตของหญิงสาวนั้นเท่านั้นยังไม่พอเมื่อมารดาของนางทราบเรื่องเข้าเมืองมาเพื่อร้องทุกข์ บิดาของมันผู้ทำหน้าที่ตัดสินคดีความกลับปล่อยให้บุตรชายของตนทุบตีผู้มาร้องทุกข์จนตกตาย" เรน่าเอ่ยประกาศความผิดของเอิร์ลมูโนและลูกชายของมัน

    เมื่อเรน่าเอ่ยมาถึงตรงนี้ไม่ทราบว่ามีชาวเมืองมากน้อยเท่าใดดวงตาแดงฉานจ้องมองไปที่สองพ่อลูกตระกูลมูโนด้วยความโกรธแค้น

    "ทุกท่านไม่ต้องร้อนลน นายน้อยของพวกเราตระหนักดีดังนั้นจึงมีคำสั่ง มันผู้ซึ่งกระทำความผิดที่ชั่วร้ายนี้จะต้องรับโทษ เอิร์ลมูโนจะต้องถูกโบยจนกว่าจะตกตายต่อหน้าพวกท่านเพื่อไม่ให้เหล่าขุนนางอื่นเอาเป็นเยี่ยงอย่างอีก ส่วนบุตรชายของมันได้รับโทษเบื้องต้นแล้วและจะถูกแขวนประจารอยู่ที่ลานนี้จนกว่าจะสิ้นชีพ" เรน่ากล่าวปลอบชาวเมืองที่กำลังโกรธแค้น

    "สมควรตาย" ชาวเมืองผู้หนึ่งเอ่ยอย่างโกรธแค้น

    "ชั่วช้าเลวทราม" ชาวเมืองอีกผู้หนึ่งกล่าวเสริม

    แพละ แพละ เริ่มมีชาวเมืองปาไข่ ผัก หรือสิ่งของมากมายใส่ร่างของสองพ่อลูกตระกูลมูโน

    "พวกท่านวางใจ นับจากนี้ไปจะไม่เกิดเหตุการณ์เช่นนี้ขึ้นอีก พวกท่านผู้ใดถูกขุนนางหรือคนของทางการเอารัดเอาเปรียบไม่ว่าจะเป็นเรื่องมากน้อยเพียงไรก็สามารถมาร้องทุกข์กล่าวโทษต่อเหล่าขุนนางนั้นได้ที่ตระกูบุสโซ่โดยตรง ตระกูลบุสโซ่ของพวกเราขอรับประกันว่าหากข้อร้องทุกข์ของพวกท่านเป็นความจริงผู้กระทำความผิดนั้นจะต้องได้รับโทษอย่างแน่นอน" เรน่ากล่าวจบก็สั่งให้ลูกน้องของตนเริ่มลงมือฟาดโบยใส่ร่างของเอิร์ลมูโน

    ขณะที่ฟาดโบยอยู่ เหล่าขุนนางที่เพิ่งออกมาจากราชวังผ่านทางมาเห็นพอดี ทั้งหมดต่างสยิวกายอย่างหนาวเหน็บขึ้นอีกครา

    "ถึงจะกระทำความผิดจริงแต่มิใช่ลงมือโหดร้ายไปหรอกหรือ ไม่ทราบว่าจะแสดงอำนาจให้ผู้ใดดู เหล่าขุนนางล้วนเป็นเช่นนี้ ชอบแสดงอำนาจบาตใหญ่ ตระกูลบุสโซ่หรือ ไม่ทราบว่าคิดว่าตนเองวิเศษวิโสมาจากที่ใด" ชาวเมืองผู้หนึ่งที่กำลังนั่งดื่มกินในร้านอาหารใกล้ๆกับลานกว้างนั้นเอ่ยปากวิจารณ์ มันผู้นี้ก็เป็นบรุษ และมีนิสัยไม่ใคร่ดีเท่าไรนัก ตัวมันเองก็มีพฤติกรรมชอบเอารัดเอาเปรียบและรังแกสตรีหรือผู้ที่อ่อนแอกว่าดังนั้นมันจึงมีความเห็นว่าการข่มขืนกระทำชำเราหาใช่สิ่งที่เลวร้ายเท่าใด เมื่อไม่มีกำลังก็ย่อมตกเป็นเหยื่อของผู้ที่แข็งแกร่งก็เท่านั้นนี่คือความเป็นไปของโลก

    ปัก เสียงกระแทกของมีดเหล็กดังขึ้น "เจ้าหูหนวกหรือ ไม่ได้ยินหรือว่าพวกมันกระทำความผิดใดมา" เจ้าของร้านกระแทกมีดของตนเองที่กำลังสับเนื่ออยู่เสียงดังลั่นพร้อมทั้งเอ่ยกล่าวอย่างไม่พอใจเมื่อได้ยินคำพูดของชายผู้นี้ ไม่ว่าจะมีข่าวเกี่ยวกับตระกูลบุสโซ่เสียๆหายๆอย่างไรแต่เจ้าของร้านอาหารวัยกลางคนผู้นี้หาได้เชื่อถือข่าวพวกนั้นไม่ เหตุเพราะชายวัยกลางคนผู้นี้คือแฟนคลับตัวยงของกาเล็ทเลยก็ว่าได้ ชาวเมืองผู้อื่นย่อมไม่ล่วงรู้นิสัยใจคอที่แท้จริงของกาเล็ทแต่กลับชายวัยกลางคนเจ้าของร้านอาหารผู้นี้นั้นแตกต่างเพราะมันคือนายหน้าผู้จัดหาวัตถุดิบเช่น เนื้อสัตว์ ผัก เครื่องปรุงต่างๆให้แก่คนของตระกูลบุสโซ่ ทุกๆอาทิตย์คนของตระกูลบุสโซ่จะเข้าเมืองมาเพื่อรับวัตถุดิบที่ลุงเจ้าของร้านผู้นี้จัดหาไว้ให้พร้อมทั้งส่งรายการสิ่งของที่ต้องการแก่เจ้าของร้านอาหารผู้นี้ สิ่งส่วนใหญ่ที่ตระกูลบุสโซ่ทำลุงเจ้าของร้านอาหารย่อมล่วงรู้ข้อเท็จจริงเกือบทั้งสิ้น ทั้งการที่ตระกูลบุสโซ่ช่วยเหลือคนยากไร้และช่วยอุปถัมภ์เด็กกำพร้าภายในเมืองให้มีชีวิตที่ดีขึ้น เจ้าของร้านผู้นี้ล้วนทราบกระจ่างดี อีกทั้งทุกครั้งที่เหล่าหญิงรับใช้เข้าเมืองมาเจ้าของร้านผู้นี้ก็มักจะซักไซร้สอบถามเหล่าหญิงรับใช้ของตระกูลบุสโซ่ถึงนิสัยใจของของนายน้อยพวกนางตลอดมานี่จึงเป็นเหตุให้ลุงเจ้าของร้านผู้นี้กลายเป็นแฟนคลับตัวยงของมาร์ควิสบุสโซ่ ลุงเจ้าของร้านนี้คือเมลเอมซึ่งกาเล็ทเคยยื่นมือเข้าช่วยเหลือและให้มันหยิบยืมเงินทองจนในตอนนี้กิจการร้านรวงของมันมีลูกค้ามากหน้าหลายตาเข้ามาใช้บริการและกว่าครึ่งของลูกค้าของมันก็เป็นคนของตระกูลบุสโซ่

    "ได้ยิน แล้วจะทำไม เรื่องแค่นี้ทำเป็นเรื่องใหญ่ไปได้ เฮอะเสียอารมณ์กินของข้าหมด" ปังชายผู้นั้นกล่าวพร้อมทั้งตบโต๊ะเสียงดังและทำท่าจะลุกจากไปโดยไม่จ่ายเงินแต่มันกลับพบว่าหัวไหล่ของมันชาด้านแล้ว

    "หากไม่จ่ายค่าอาหารและชดใช้ค่าเสียหายมาก็อย่าคิดหมายจะนำชีวิตสุนัขของเจ้าจากไป" เสียงของชายหนุ่มดังขึ้นจากด้านหลังของมัน

    ชายกลุ่มนี้ย่อมเป็นใครไปไม่ได้นอกจากทหารของตระกูลบุสโซ่ที่ทำหน้าที่วิ่งจับกุมผู้คนตั้งแต่ช่วงเช้าจนเหน็ดเหนื่อยจึงได้มาพักผ่อนที่ร้านอาหารซึ่งเป็นที่ทราบได้ว่าคือร้านประจำของคนตระกูลบุซโซ่ร้านนี้

    "ร รู้แล้วน่า"ชายปากเสียผู้นั้นกล่าวเสียงสั่นเทาพร้อมทักควักเงินจำนวนหนึ่งออกมาจากนั้นจึงรีบออกจากร้านไปเมื่อแรงกดดันที่ไหล่ของตนจางหายไป

    "ลำบากพวกเจ้าแล้ว มามื้อนี้ข้าเลี้ยงเอง" ลุงเจ้าของร้านกล่าวกับกลุ่มทหารจากตระกูลบุสโซ่ที่ออกหน้าเข้าช่วยเหลือ

    "ไม่ได้ท่านลุงกฎของพวกข้านั้นเคร่งคัดนักถึงจะไม่มีกฎข้อนี้พวกข้าจะรับประทานฟรีได้อย่างไร" หนึ่งในทหารกล่าวออกมา ย่อมเป็นเช่นนั้น กาเล็ทนั้นได้ตั้งกฎเหล็กไว้หลายข้อ หนึ่งคือห้ามเอารัดเอาเปรียบผู้อื่นและที่สำคัญคือห้ามรับสินบน เพราะกาเล็ทนั้นรู้ดีว่าสินบนเหล่านี่คือต้นกำเนิดของสิ่งยุ่งยากทั้งหลายที่จะตามมา อีกสาเหตุหนึ่งที่ทหารเหล่านี้ไม่ยอมกินฟรีเพราะพวกทหารล้วนแล้วแต่ไม่ได้อดอยาก การทำงานให้แก่ตระกูลบุสโซ่นั้นไม่เพียงจะได้รับทรัพย์ยากรในการฝึกฝนที่เพรียบพร้อมแล้ว สวัสดิการ รายได้ล้วนดีเยี่ยม

    "คนของตระกูลบุสโซ่นี่มันยังไงกัน ให้กินฟรีกลับไม่ยอม หืม ผู้อื่นมีแต่มาข่มขู่คิดหมายจะกินฟรีกัน" ลุงเจ้าของร้านกล่าวออกมาด้วยความผิดหวังอยู่บ้าง



    ------------------------------------------------------------------------------------------------

    "องค์ราชา แม้เราจะปล่อยสามตระกูลใหญ่กลับไป แต่ข้าคิดว่าเราไม่สามารถให้พวกมันสบายเกินไปนัก" กาเล็ทเอ่ยกับราชาเบรุท

    "ท่านมาร์ควิสมีความเห็นว่าอย่างไร" ราชาเบรุทเอ่ยถาม

    "จากที่ซิลเวียนำบัญชีมาให้ข้าตรวจทานดู ข้าพบว่าระยะเวลาหลายปีมานี้เหล่าขุนนางโดยเฉพาะสี่ตระกูลใหญ่ของโรฮานนั้นถือโอกาสที่โรฮานอ่อนแอเรียกเก็บภาษีเกินกว่าที่ส่วนกลางเรากำหนดวางไว้ทำให้ตระกูลของพวกมันนั้นร่ำรวยยิ่ง ทั้งเสบียง ทั้งเงินทองล้วนมีกองเป็นภูเขา ข้าต้องการบีบให้พวกมันส่งมอบทรัพย์สินเหล่านั้นออกมา อีกทั้งพวกเรายังต้องจับตาดูพวกมันอย่างใกล้ชิดไม่ให้พวกมันสร้างความเดือดร้อนแก่คนในปกครอง" กาเล็ทเอ่ยกับราชาเบรุท

    "พวกมันจะยินยอมหรือ?" ราชาเบรุทเอ่ยออกมา

    "เฮอะ หากให้เลือกระหว่างชีวิตหรือทรัพย์สิน เจ้าคิดว่าพวกมันจะเลือกสิ่งใด?" เทลเล่อเอ่ยปากสอดคำขึ้น

    "ช..เช่นนั้นถ้าท่านผู้พิทักษ์เห็นด้วยกับเรื่องนี้สำหรับกับข้าก็เอาตามที่ท่านผู้พิทักษ์และท่านมาร์ควิสบุสโซ่เห็นสมควรเถอะ" ราชาเบรุทกล่าวพร้อมทั้งมองไปที่บุตรสาวของตน

    กาเล็ทย่อมไม่ปล่อยให้สามตระกูลใหญ่รอดพ้นไปได้โดยง่าย จะอย่างไรพวกมันต้องจ่ายค่าตอบแทนสำหรับท่าทีของพวกมันในครั้งนี้ กาเล็ทนั้นสืบทราบมาว่าสี่ตระกูลใหญ่นั้นมีการกักเก็บทรัพย์สิน เสบียงต่างๆไว้จำนวนมาก เมื่อมีทรัพย์สินและเสบียงพร้อม พวกมันจะเริ่มมองหาดินแดน ดังนั้นไม่เพียงจะยึดทรัพย์สินของพวกมันแล้วกาเล็ทยังคิดที่จะบีบให้พวกมันส่งมอบดินแดนที่อยู่ในปกครองคืนให้แก่โรฮานในอนาคตอีกด้วย

    เมื่อจัดการปัญหาเรื่องที่ยุ่งยากทั้งหลายจนแล้วเสร็จกาเล็ทจึงเดินเข้าหาแชลเทียที่อยู่ใกล้ตนจากนั้นก็คว้าตัวแชลเทียเข้ามากอดและสูดหายใจเอากลิ่นหอมกรุ่นของเรือนผมยาวสลวยสีชมพูของนาง แม้จะเขินอายแต่ครั้งนี้แชลเทียกลับไม่มีท่าทีขัดขืน นางได้แต่หลับตารับการโอบกอดอย่างเป็นสุข

    ช่วงเวลาที่ผ่านมานี้ทำให้นางได้รู้อย่างหนึ่ง นั่นคือตัวนางเองก็ต้องการถูกโอบกอด ถูกเอาใจ ต้องการได้ยินการพร่ำบอกรักของกาเล็ทผู้เป็นชายคนรักยิ่งนัก หนึ่งเดือนที่แทบไม่ได้พบกันนี้ทำให้นางคิดถึงคนรักของนางอย่างมาก

    "ไม่อายแล้วหรือ" กาเล็ทเอ่ยหยอกเย้า ได้ยินคำหยอกเย้าของคนรักตนเอง แชลเทียก็ทุบใส่กาเล็ทหมัดหนึ่ง

    "ข้าคิดถึงเจ้ายิ่ง" กาเล็ทเอ่ยกล่าวพร้อมทั้งหอมแก้มนุ่มนิ่มของแชลเทียอีกรอบจากนั้นจึงหันไปทางคนรักอีกคนของตนเอง

    "ข้าก็คิดถึงเจ้ายิ่ง" กาเล็ทเดินเข้าไปโอบกอดซิลเวียโดยไม่สนสายตาของผู้อื่นภายในห้อง

    "ดูเจ้าซูบผอมลง เหตุใช่เพราะคิดถึงข้าหรือไม่" กาเล็ทกล่าวหยอกเย้าซิลเวียอีกเช่นกัน

    "ทุกอย่างก็เริ่มเข้าร่องเข้ารอยแล้ว พวกเราจัดงานเลี้ยงกันดีหรือไม่" กาเล็ทเอ่ยเสนอความคิดขึ้น


    อะแฮ่ม "ไม่แปลกใจเลยที่ลูกสาวของข้าทั้งรักทั้งหลงเจ้า ข้ายอมรับนับถือบุตรเขยของข้าผู้นี่ยิ่งนัก ข้าขอยอมรับความพ่ายแพ้จากใจจริง" ครูโซ่เอ่ยขัดจังหวะขึ้น

    "กอดมิร่าด้วย" มิร่าซึ่งต้องการความรักกว่าผู้ใดยืนรอกาเล็ทอยู่แล้ว

    "มิใช่พึ่งกอดตัวน้อยไปหรอกหรือ" กาเล็ทแกล้งถาม

    "ยังไม่พอ ไม่พอ" มิร่าออดอ้อนเพิ่ม

    เบลล่านั้นเฝ้ามองเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นอยู่ตลอด เมื่อเห็นภาพที่กาเล็ทโอบกอดแชลเทียและซิลเวียด้วยความรักแล้วตัวของเบลล่ากลับเกิดความรู้ที่ตัวนางเองยังแปลกใจ ความรู้สึกที่ไม่น่าจะเกิดขึ้น ความรู้สึกไม่พอใจ นางกลับไม่พอใจและรู้สึกผิดหวัง เมื่อรู้ตัวนางก็รีบเร่งจัดการกับความรู้สึกของตนเองอย่างรวดเร็ว นางนั้นครุ่นคิดสังสัยเอ่ยถามกับตนเองอยู่ในใจว่า ที่ตนเองรู้สึกไม่พอใจนั้นเพราะเหตุใดกัน? ใช่ตนเองไม่พอใจที่เขาผู้นั้นไม่โอบกอดตนเองอีกคนหนึ่งด้วยหรือไม่? เบลล่าถึงกลับไม่กล้าที่จะยอมรับความรู้สึกนี้

    แม้ผู้ใดจะไม่สังเกตุถึงความสับสนในแววตาและท่าทีของเบลล่าแต่ราชาเบรุทที่จ้องมองอยู่กลับเห็นได้อย่างชัดเจน

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×