ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    Tales of Yuyan ตำนานเรื่องเล่าแห่งยูยาน

    ลำดับตอนที่ #159 : สู่หุบเขาอสูรฟ้า

    • เนื้อหาตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 9.11K
      422
      26 ม.ค. 61




    "ท่านอาจารย์ ท่านสนใจจะเดินทางไปยังหุบเขาอสูรฟ้ากับข้าด้วยหรือไม่" กาเล็ทเอ่ยถามเทลเล่อซึ่งกำลังฝึกฝนการใช้กงเล็บของตนเองอยู่

    "หุบเขาอสูรฟ้า? เจ้าจะไปที่นั่นทำไมกัน" เทลเล่อซึ่งกำลังออกท่าทางในการฝึกฝนอยู่หยุดลงและเอ่ยถามขึ้น

    "ข้าจะนำผู้คนจำนวนหนึ่งไปเพื่อเก็บเกี่ยวสมุนไพรน่ะท่านอาจารย์ ข้ามีความคิดที่ว่าจะปรุงยาต่างๆซึ่งช่วยเสิรมสร้างความรวดเร็วในการฝึกฝนให้กับผู้คนของโรฮานอีกทั้งสมุนไพรหายากที่ข้าหลงเหลืออยู่ก็แทบจะถูกใช้ไปจนหมดสิ้นแล้ว" กาเล็ทเอ่ยกล่าวอธิบาย

    "หากนำผู้คนไปด้วยจะไม่เป็นการเสี่ยงอันตรายเกินไปหรือ?" เทลเล่อเอ่ยกล่าวขึ้นถึงความกังวลของตนเอง

    กาเล็ทได้ฟังเช่นนั้นก็ยกชูร่างเล็กสีดำในอ้อมแขนของตนเองขึ้นด้วยสองมือ มิร่าซึ่งกำลังถูกกาเล็ทใช้สองมือยกชูขึ้นพลันใช้ดวงตาสุกใสจ้องมองไปยังเทลเล่อ "มีนางอยู่การเข้าสู่หุบเขาอสูรฟ้าก็ไม่นับว่าเป็นเรืองอันตรายอีกต่อไป กล่าวไปแล้วช่างน่าประหลาดแท้เหล่าสัตว์อสูรน้อยใหญ่กลับรู้สึกเกรงกลัวต่อนางแต่สำหรับกับมนุษย์เช่นพวกเราไม่ว่าระดับพลังของตัวเราจะสูงล้ำกว่าเหล่าสัตว์อสูรถึงเพียงไหนพวกมันนั้นยังไม่แสดงออกถึงความรู้สึกยำเกรงเช่นมีต่อนาง ท่านอาจารย์ทราบหรือไม่ว่าในครั้งแรกที่ข้าพบเจอกับนางนั้นรอบบริเวณถ้ำที่นางอาศัยอยู่ในเขตป่าอสูรฟ้าแทบไม่สามารถพบเจอกับสัตว์อสูรได้เลยสาเหตุคงมีเพียงหนึ่งเดียวนั่นก็เพราะพวกมันต่างเกรงกลัวต่อนางจนหลบลี้หนีหน้าไป" กาเล็ทเอ่ยกล่าว เมื่อเอ่ยกล่าวจบประโยคร่างเล็กในอุ้งมือของกาเล็ทก็ดิ้นไปดิ้นมาอยู่คราหนึ่ง

    มิร่าซึ่งพลิกตัวกลับมาเผชิญหน้ากับกาเล็ทก็แลบลิ้นของตนเองออกเลียไปยังใบหน้าของผู้เป็นบิดา

    เทลเล่อได้ฟังก็ผงกหัวเป็นเชิงเข้าใจ

    "อีกอย่างการไปยังหุบเขาอสูรฟ้าในครั้งนี้ข้ามีความคิดที่ว่าจะลองจับสัตว์อสูรบางสายพันธ์ุกลับมาทดลองฝึกฝนเลี้ยงดูสักคราเพื่อดูว่ามนุษย์เช่นเราใช่จะสามารถฝึกฝนและใช้พวกมันได้หรือไม่" กาเล็ทเอ่ยกล่าว

    "เรื่องนี้แม้ว่าในทวีปตะวันออกของเราจะไม่ปรากฎว่ามีการใช้สัตว์อสูรเป็นพาหนะหรือเข้าช่วยในการต่อสู้แต่ตัวข้าเองนั้นเคยได้ยินได้ฟังมาว่าในทวีปเหนือและทวีปใต้นั้นมีการนำสัตว์อสูรบางสายพันธ์ุมาฝึกฝนและใช้ในการออกศึกอย่างแพร่หลาย" เทลเล่อเอ่ยบอกกล่าว

    "เช่นนั้นย่อมหมายความว่าสัตว์อสูรนั้นสามารถนำมาฝึกฝนได้เฉกเช่นเดียวกับสัตว์ปกติทั่วไป หากว่าสามารถฝึกฝนสัตว์อสูรบางสายพันธ์ุที่แข็งแกร่งพร้อมทั้งมีความรวดเร็วและมีขีดความสามารถในการช่วยต่อสู้ในสมรภูมิได้ย่อมนับว่าเป็นเรื่องดี หากว่าเรานำพวกมันมาใช้เป็นสัตว์พาหนะก็จะช่วยเพิ่มขีดความสามารถในการรบพุ่งของพวกเราได้ไม่น้อย" กาเล็ทเอ่ยกล่าว ในจิตใจก็รู้สึกยินดีไม่น้อยที่การคาดเดาของตนเองถูกต้อง

    เทลเล่อได้ฟังเช่นนั้นก็ถอนหายใจออกมาคราหนึ่ง "การฝึกฝนสัตว์อสูรที่ดุร้ายให้เชื่อฟังคำสั่งนั้นไม่ใช่เรื่องง่าย ทั้งยังต้องใช้ทรัพยากรและเวลา"

    "กรู๊ๆๆ" ได้ฟังคำเอ่ยกล่าวของเทลเล่อมิร่าพลันส่งเสียงกู่ร้องออกมา ไม่ทราบว่าตัวนางต้องการสื่อสารถึงสิ่งใดกันแน่

    เทลเล่อเห็นเช่นนั้นก็ยิ้มออกมาอย่างเอ็นดู "ข้าเองก็นับว่าอยู่ว่างเช่นนั้นก็ให้ข้าร่วมเดินทางไปยังหุบเขาอสูรฟ้าด้วยเถอะ ไม่ทราบว่านานเท่าไหร่แล้วที่ตัวข้านั้นไม่ได้ย่างเท้าออกจากเมืองแบรี่ไปท่องเที่ยวผจญภัย"

    ในความคิดของกาเล็ทนั้น การเดินทางสู่หุบเขาอสูรฟ้าครั้งนี้ตนเองไม่เพียงแต่จะนำผู้คนไปเพื่อเก็บเกี่ยวสมุนไพรหายากเท่านั้น ยังมีกาเล็ทเองนั้นต้องการที่จะทดลองจับสัตว์อสูรบางสายพันธ์ุกลับมาเพื่อฝึกฝน ซึ่งสายพันธ์ุที่กาเล็ทเล็งไว้ก็จะเป็นสายพันธ์ุของหมาป่าอาทิเช่น หมาป่าขนเทา หมาป่าขนเงิน หรือแม้กระทั่งหมาป่าแดง สัตว์อสูรเหล่านี้ล้วนมีระดับขั้นอยู่ที่ระดับขั้นที่ 4 ถึงระดับขั้นที่ 6 ทั้งสิ้น สำหรับกำลังของตนเองในตอนนี้แล้วการสยบสัตว์อสูรระดับนี้โดยไม่เข่นฆ่านั้นนับว่าไม่ยากลำบากอันใดอีก ส่วนสาเหตุที่กาเล็ทเลือกที่จะทดลองกับสัตว์อสูรสายพันธ์ุหมาป่านี้ก็เพราะว่าพวกมันนั้นมีขนาดตัวที่นับว่าพอเหมาะไม่เล็กไม่ใหญ่ไปกว่าม้าพ่วงพีซึ่งเป็นสัตว์พาหนะปกติของมนุษย์ทั่วไปเท่าใดอีกทั้งพวกมันยังนับว่ามีขีดความสามารถในการต่อสู้หากสามารถฝึกฝนจนเชื่องได้ก็จะถือเป็นคุณประโยชน์อย่างใหญ่หลวง คิดถึงตรงนี้กาเล็ทก็หวนนึกถึงสิ่งที่มิร่าเคยบอกกล่าวต่อตนเองถึงสาเหตุที่สัตว์อสูรคลั่งออกอาละวาดซึ่งถือว่าเป็นวิกฤตครั้งใหญ่ของโรฮานนั้น "หากว่านั่นเป็นฝีมือของนาง เช่นนั้นนางใช่สามารถบังคับควบคุมสัตว์อสูรอื่นได้ดั่งใจนึกหรือไม่?" กาเล็ทหวนคิดตั้งข้อสังสัยกับตนเองพร้อมทั้งเหลือบสายตาลงมามองยังร่างเล็กในอุ้งมือทว่าเมื่อจ้องมองไปยังร่างเล็กที่น่ารักนั้นกาเล็ทกลับหาได้คำตอบที่ตนเองต้องการไม่แต่สิ่งที่กาเล็ทได้รับแทนคำตอบนั้นกลับเป็นลิ้นอุ่นสีแดงที่ตวัดแลบออกมาจากปากน้อยๆนั้นเพื่อโลมเลียใบหน้าของตนเอง

    "เลียจนหน้าปะป๋าเปียกชุ่มไปหมดแล้ว ฮึ คิดว่าปะป๋าเป็นอาหารหรือยังไง" กาเล็ทเอ่ยกล่าวพร้อมทั้งนำร่างของมิร่าขึ้นไปวางไว้บนศรีษะของตนเอง



    กาเล็ทนั้นใช้เวลารออยู่ครึ่งค่อนวัน โรสก็เข้ามาแจ้งบอกแก่ตนเองว่าเรือเหาะที่กาเล็ทใช้ให้ไปจัดเตรียมพร้อมแล้ว

    การไปขอหยิบยืมเรือเหาะในครั้งนี้ของโรสนั้นง่ายดายยิ่ง เพียงแค่โรสเดินเข้าไปยังโรงเก็บเรือเหาะหลวงและเอ่ยบอกกล่าวความต้องการของตนเองออกไป นายช่างผู้ทำหน้าที่ดูแลอู่ต่อเรือเหาะก็รีบกุลีกุจอวิ่งกันให้วุ่นเพื่อจัดเตรียมเรือเหาะให้แก่ตระกูลบุสโซ่หยิบยืม จะกล่าวไปแล้วนายช่างผู้ดูแลอู่ต่อเรือเหาะหลวงนั้นยังนับว่าเป็นคนเดิมจากเมื่อครั้งที่โรสมาครั้งก่อน สาเหตุที่ตัวมันยังไม่ถูกเตะกระเด็นออกจากตำแหน่งไปก็เพราะว่าทางตระกูลบุสโซ่นั้นไม่ได้ติดใจที่จะถือสาหาความเอาเรื่องกับนายช่างใหญ่ผู้นี้จึงไม่ได้ส่งรายงานเกี่ยวกับท่าทีของมันขึ้นไป


    เมื่อได้ฟังว่าเรือเหาะที่จัดเตรียมไว้พร้อมแล้วกาเล็ทก็ไม่รอช้า หลังจากที่เอ่ยบอกกล่าวแก่นีน่าผู้เป็นมารดาอยู่หลายคำกาเล็ทก็นำผู้คนออกจากตระกูลบุสโซ่มุ่งตรงสู่อู่ต่อเรือเหาะ

    การนั่งเรือเหาะสู่ป่าอสูรฟ้านั้นต้องใช้เวลานานเกือบหนึ่งวันดังนั้นในระหว่างนี้กาเล็ทก็ได้ถือโอกาสอธิบายถึงตัวสมุนไพรต่างๆพร้อมทั้งวิธีเก็บมันอย่างถูกต้องให้กับผู้คนของตนเอง หากว่านับรวมเทลเล่อเข้าไปด้วยแล้วในคราครั้งนี้กาเล็ทได้นำผู้คนร่วมทางมาด้วยเกือบ 50 คน

    ขณะที่ตัวเรือเหาะลอยผ่านตัวเมืองรีเวลไปและใกล้จะเข้าสู่เขตแดนของหุบเขาอสูรฟ้าเข้าไปทุกที ทั้งเจฟ โรส มาร์ตินและเรน่าก็เหม่อมองลงไปยังผืนดินเบื้องล่างอย่างหวนนึก ผืนดินเบื้องล่างในขณะนี้คือผืนดินซึ่งเป็นสมรภูมิแรกในภารกิจของตนเองกับนายน้อย การออกปฎิบัติภารกิจเสี่ยงตายในครั้งนั้นทำให้ชะตาชีวิตของพวกตนผกผันเปลี่ยนไปอย่างสิ้นเชิง

    "เจ้าจำที่แห่งนั้นได้หรือไม่เจฟ" มาร์ตินเอ่ยบอกกล่าวพร้อมทั้งชี้มือของตนเองลงไปยังฝืนดินเบื้องล่าง

    "เหตุใดจะจดจำไม่ได้เล่า ข้ายังจำได้ว่าระหว่างตั้งแนวป้องกันมีครั้งหนึ่งที่ตัวเจ้าเกือบพลาดท่าเสียทีถูกหมาป่าที่ตัวใหญ่โตนั่นเข้าทำร้าย หากมิใช่ว่าเพราะนายน้อยเข้ามาช่วยเหลือได้อย่างทันท่วงที เฮอะ ๆ" เจฟที่มักจะนิ่งเงียบสุขุมอยู่ตลอดกลับเอ่ยวาจาหยอกล้อผู้เป็นเพื่อนร่วมรบของตนเองออกมาอย่างอารมณ์ดี

    มาร์ตินได้ฟังเช่นนั้นก็ยิ้มร่าออกมา "ฮ่า ฮ่า ในตอนนั้นเมื่อเทียบกับตอนนี้แล้วดังเช่นฝันไป หากเป็นในตอนนี้หมาป่าตัวนั้นจะนับเป็นอย่างไรได้" คนผู้หนึ่งเมื่อมีระดับพลังที่เพิ่มพูนขึ้นความเชื่อมันก็จะมีมากขึ้นเป็นเงาตามตัว ยิ่งไม่ต้องกล่าวถึงขุนพลทั้งสี่ของตระกูลบุสโซ่ซึ่งถูกเคี่ยวกรำอย่างหนักหน่วงจากกาเล็ทเช่นมาร์ติน เจฟ โรส และเรน่า

    "ต่อให้มีพลังเพิ่มพูนแล้วก็อย่าได้ประมาทเด็ดขาด หุบเขาอสูรฟ้าหาใช่ที่ซึ่งผู้คนจะหลงระเริงไปกับพลังที่มีได้" เสียงของกาเล็ทเอ่ยกล่าวดังขึ้นที่ด้านหลังของทั้งสี่ เมื่อได้ยินเสียงของนายน้อยซึ่งตนเองเคารพรักทั้งสี่ก็หันมายืนตัวตรง "ขอรับ / ค่ะ นายน้อย"

    "หุบเขาอสูรฟ้านั้นนับว่าเป็นสถานที่ซึ่งมีความลึกลับซับซ้อนนัก" เทลเล่อเอ่ยกล่าวขึ้น

    "จากบันทึกที่ข้าได้อ่านมาในหอสมุดนั้นเขียนไว้ว่าหุบเขาอสูรฟ้านั้นคงอยู่มาหลายพันปีแล้วไม่ทราบว่าจริงแท้หรือไม่" กาเล็ทเอ่ยกล่าวขึ้นกับเทลเล่อ

    "เรื่องนั้นคงยากที่จะพิสูจน์ทราบ" เทลเล่อเอ่ยตอบ

    "ในคราครั้งก่อนที่ข้าเดินทางมายังหุบเขาอสูรฟ้าเพียงลำพัง แม้ข้าจะใช้เวลาอยู่ในนั้นหลายวันทว่ากลับยังสำรวจพื้นที่ไปไม่ถึง 1/100 ของทั่วทั้งหุบเขาด้วยซ้ำ" กาเล็ทเอ่ยบอกแก่เทลเล่อ "แม้แต่มิร่าน้อยเองที่อยู่ในนั้นมานับสิบๆปีนางก็ยังไม่รู้ถึงทุกซอกทุกมุมของหุบเขา จากคำบอกเล่าของนางได้ความว่าในหุบเขาอสูรฟ้านั้นยังมีสัตว์อสูรที่แข็งแกร่งหลบซ่อนตัวอยู่อีกมากมาย"

    "สัตว์อสูรพวกนั้นสามารถเทียบเปรียบกับนางได้หรือไม่?" เทลเล่อเอ่ยถามออกมาอย่างสงสัยใคร่รู้

    ได้ฟังคำถามนี้ของเทลเล่อกาเล็ทก็เผยรอยยิ้มฝืนๆออกมา "เห็นนางเอ่ยบอกว่าไม่ด้อยกว่านางเท่าใดนัก หากเป็นเช่นนั้นจริงแม้ว่าการมาครั้งนี้สมควรไม่เกิดปัญหาแต่ทว่าพวกเราก็สมควรตื่นตัวไว้ท่านอาจารย์" กาเล็ทเอ่ย

    เทลเล่อได้ฟังก็ผงกหัวอย่างเห็นด้วย

    ทันทีที่เรือเหาะแล่นเข้ามายังน่านฟ้าของหุบเขาอสูรฟ้าก็เผชิญเข้ากับเมฆหมอกที่หนาทึบผิดธรรมชาติ

    "ท่านอาจารย์ท่านรู้สึกหรือไม่" กาเล็ทเอ่ย

    "เสมือนว่าเมื่อครู่พวกเราได้เคลื่อนผ่านสนามพลังแปลกประหลาดบางอย่างมา" เทลเล่อผงกหัวพร้อมกับเอ่ยตอบ

    "ไม่ทราบว่าในหุบเขาอสูรฟ้านี้มีความลับมากน้อยเท่าใดซ่อนอยู่กันแน่" กาเล็ทเอ่ยอย่างหวนนึก

    "ข้าได้ยินมาว่าอีกสี่ทวีปใหญ่เองก็มีสถานที่ซึ่งคล้ายคลึงกับหุบเขาอสูรฟ้าเช่นนี้อยู่เหมือนกัน" เทลเล่อเอ่ยบอกเรื่องที่ตนรู้ออกไป

    กาเล็ทได้ยินเช่นนั้นก็ยิ่งรู้สึกหนักใจขึ้นกว่าเดิม เรื่องราวที่ตนเองยังไม่รู้เกี่ยวกับโลกแห่งนี้นั้นนับว่ามีมากเกินไป การที่ผู้คนจะเล่นท้าทายกับสิ่งที่ตนเองไม่เข้าใจนั้นนับว่าเป็นสิ่งที่อันตรายอย่างยิ่งหากไม่ใช่เพราะว่าตนเองมีมิร่าน้อยอยู่ด้วยตัวของตนเองคงไม่คิดที่จะย่างก้าวกลับเข้ามาในเขตของหุบเขาอสูรฟ้านี้อีกแน่นอน "จะอย่างไรในครั้งนี้ก็มาแต่เพียงเก็บตัวยาสมุนไพรและคร่ากุมสัตว์อสูรจำนวนหนึ่ง ทั้งหมดนี้คงสามารถกระทำได้ภายในเขตปกครองเดิมของนางอย่างไม่ยากเย็น" กาเล็ทเอ่ยกล่าวกับเทลเล่อจากนั้นจึงหันไปเอ่ยกับผู้คนของตนเอง "ให้ชลอความเร็วของเรือเหาะไว้เพื่อเตรียมพร้อมลงจอด"

    ได้ฟังคำกล่าวของกาเล็ทผู้คนโดยรอบโดยเฉพาะบุคคลผู้ซึ่งทำหน้าที่บังคับควบคุมตัวเรือเหาะก็แสดงออกถึงสีหน้าประหลาดใจออกมา "ลงจอดอันใด? ที่เบื้องล่างมิใช่มีแต่ป่าดงต้นไม้ใหญ่หรอกหรือ?" มันถึงกับมีความคิดเช่นนี้ปรากฎขึ้นทว่าเพียงไม่นานตัวมันก็ได้ทราบกระจ่าง

    กาเล็ทพลันกระโดนลงจากเรือเหาะไปพร้อมกับมิร่าในร่างของมังกรจากนั้นพื้นป่าที่เบื้องล่างก็เกิดเสียงหักโค่นของต้นไม้ใหญ่ดังกึกก้องขึ้น ใช้เวลาเพียงชั่วอึกใจพื้นที่ส่วนหนึ่งเบื้องล่างก็กลับกลายจากป่าเขาต้นไม้สูงเป็นพื้นที่โล่งเตียนซึ่งเหมาะแก่การจอดเรือเหาะพอดิบพอดีขึ้น
    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×