ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    Tales of Yuyan ตำนานเรื่องเล่าแห่งยูยาน

    ลำดับตอนที่ #180 : ไถ่ตัว

    • เนื้อหาตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 8.83K
      458
      25 ก.พ. 61




    "เอลลี่ เจ้าว่าที่แท้แล้วท่านดยุคหมายความว่าอย่างไรกันแน่?" มาเรียที่นั่งเท้าคางอยู่บนโต๊ะภายในห้องของตนเองเอ่ยถามเอลลี่ซึ่งนั่งอยู่ไม่ไกลขึ้น

    เอลลี่ได้ฟังดังนั้นก็หันมองไปยังมาเรีย "ท่านพี่มาเรีย เป็นท่านที่ได้พูดคุยกับท่านดยุคหาใช่ข้า เช่นนั้นแล้วข้าจะทราบได้อย่างไร" เอลลี่ถอนหายใจออกมาขณะเอ่ยกล่าว

    "ก็ข้าบอกเล่าให้ฟังอยู่นี่ไงว่าท่านดยุคเอ่ยบอกว่าต้องใช้เวลาหลายวันกว่าจะรับพวกเราเข้าบ้านได้ ที่ว่ารับเข้าบ้านนัhนเจ้าว่าท่านดยุคหมายความว่าอย่างไร" มาเรียเอ่ย อันที่จริงจากการครุ่นคิดคาดเดาวุ่นวายนางเองก็พอจะคาดเดาความหมายของกาเล็ทได้อยู่หลายส่วน แต่หากว่าความหมายของ "รับพวกเจ้าเข้าบ้าน" ที่กาเล็ทเอ่ยกับพวกนางเป็นอย่างที่นางเข้าใจเช่นนั้นแล้วจะเป็นไปได้หรือ? หากให้กล่าวถึงฐานะ บัดนี้ทั่วทั้งโรฮานมีผู้ใดสามารถเทียบเคียงกับดยุคบุสโซ่ได้? แล้วหากกล่าวถึงรูปร่างหน้าตาและนิสัยใจคอเล่า? จากที่ตัวนางได้คลุกคลีอยู่กับดยุคบุสโซ่แม้ว่าจะเป็นเวลาไม่นานก็ตามทีแต่นางกลับรู้สึกได้และเชื่อมั่นในความรู้สึกของตนเองว่าดยุคบุสโซ่มีจิตใจที่อ่อนโยนส่วนเรื่องความสามารถและหน้าตาของเขายิ่งไม่ต้องกล่าวถึง พอเหลียวมาดูที่ตนเองเมื่อเทียบเปรียบกันแล้วย่อมแตกต่างยิ่งกว่าฟ้ากับหุบเหวที่ลึกไร้ก้น หากให้เอ่ยถึงฐานะของตนเองแล้วตนเองนั้นต่ำต้อยยิ่งกว่าหญิงชาวบ้านทั่วไปเสียอีก เช่นนี้แล้วจะเป็นไปได้อย่างไรที่ดยุคบุสโซ่จะรับตนเองและเอลลี่เข้าบ้านไปเป็นอนุภรรยา นึกคิดสรุปกับตนเองได้เช่นนั้นมาเรียก็ถอนหายใจออกมา ในวันนี้นั้นนับว่าเป็นรอบที่ 8 แล้วที่นางถอนหายใจเช่นนี้ออกมา

    ได้ฟังคำกล่าวของมาเรียเอลลี่เองก็พลอยถอนหายใจออกมาด้วย "ท่านพี่มาเรีย ข้าขอเตือนท่านพี่มาเรียว่าอย่าได้คิดหวังมากไป สำหรับกับสตรีเช่นพวกเราขอเพียงแค่สามารถออกไปจากหอร้อยบุปผานี่ได้ก็นับว่าประเสริฐสุดแล้ว อาจบางทีสาเหตุที่ท่านดยุคกล่าววาจาคลุมเคลือเช่นนั้นก็เป็นเพราะว่ากำลังเมามายอยู่" เอลลี่เอ่ยออกมา

    ได้ฟังคำกล่าวของเอลลี่ มาเรียเองก็ถอนหายใจออกมาเป็นรอบที่ 9 เริ่มแรกเดิมทีมาเรียเองก็หาได้คิดหวังสูงเกินเอื้อมเช่นนี้ แต่เนื่องจากคำพูดของกาเล็ทนั้นคุมเครือให้ความหวังกับผู้คนประกอบเข้ากับกาเล็ทนั้นดูแตกต่างจากบรุษอื่นที่นางเคยสัมผัสมา ผู้คนล้วนเป็นเฉกเช่นนี้นั่นคือขอเพียงมีความหวังเพียงน้อยนิดแม้ว่าความหวังนั้นจะริบหรี่ถึงเพียงไหนก็ยังไม่ต้องการสลัดมันทิ้งไป

    "เอลลี่เจ้าไม่เสียใจหรือ ทั้งๆที่เจ้าเองก็มีทางเลือกเช่นนั้นเหตุใดเจ้าจึงเลือกที่จะปรณิบัติรับใช้ทานดยุคในคืนนั้นกัน?" มาเรียเอ่ยถามขึ้น

    เอลลี่ได้ฟังเช่นนั้นก็หวนนึกกลับไปถึงเหตุการณ์ในค่ำคืนนั้นจากนั้นสีหน้าของนางพลันขึ้นสีเล็กน้อย "ข้าไม่เสียใจ" เอลลี่เอ่ยตอบ หากจะให้กล่าวถึงสาเหตุที่นางยอมที่จะปรณิบัติรับใช้กาเล็ทก็ต้องกล่าวถึงว่ากาเล็ทนั้นเพรียบพร้อมไปทั้งรูปร่างหน้าตา ยศฐาและความสามารถ บรุษเช่นนี้ยังมีสตรีใดที่ไม่พึงตาต้องใจ? ยิ่งในวันนั้นกาเล็ทยังปฎิบัติกับทั้งเอลลี่และมาเรียด้วยดีจึงทำให้เอลลี่นั้นรู้สึกพึงตาต้องใจดยุคบุสโซ่ผู้เปี่ยมด้วยความสามารถ ในวันนั้นแม้ว่ากาเล็ทจะเอ่ยรับปากเป็นมั่นเหมาะว่าจะไถ่ตัวนางออกไปทว่าก็ไม่สามารถมีสิ่งใดจะมารับประกันได้จริง เมื่อเป็นเช่นนั้นเอลลี่จึงคิดว่าครั้งแรกของตนเองนั้นหากว่าสามารถมอบให้แก่บรุษที่ตนเองเลือกยังจะดีเสียกว่าถูกประมูลขายไปเหมือนกับสินค้าชิ้นหนึ่ง

    ได้ฟังคำตอบของเอลลี่ มาเรียก็เหม่อมองออกไปนอกหน้าต่าง "หวังแต่เพียงว่าเขาจะกลับมาไถ่ตัวพวกเราออกไปตามสัญญา" ขณะที่เอ่ยคำนี้ภายในจิตใจของมาเรียก็เสมือนว่าจะหดเล็กลง ย่อมเป็นไปไม่ได้ที่บรุษซึ่งเพรียบพร้อมไปด้วยทุกสิ่งอย่างเช่นเขาจะรับสตรีเช่นตนไว้ บรุษที่เพรียบพร้อมเช่นเขานั้นเพียงแค่เอ่ยปากก็จะมีสตรีที่เพรียบพร้อมไปทั้งรูปร่างหน้าตาและชาติตระกูลยอมพลีกายเช่นนั้นเขาจะยังจะมาเหลือบแลกับสตรีเช่นตนเองอีกหรือ? พร้อมๆกับการตระหนักถึงความจริงที่ไม่อาจเปลี่ยนแปลงได้ว่าตนเองเป็นเพียงหญิงคณิกานางหนึ่งงความหวังในใจของมาเรียก็ดับวูบลง ตลอดระยะเวลาสามวันนี้เนื่องจากคำกล่าวของเขาที่ว่าให้ทำตัวเรียบๆร้อยๆไว้ทำให้ตนเองนั้นแถบที่จะไม่ได้ออกไปจากห้องเลย คิดได้ดังนั้นมาเรียก็ลุกยืนขึ้น

    "ท่านพี่มาเรีย ท่านจะไปที่ใด ท่านดยุคมิใช่บอกให้บอกเราทำตัวเรียบๆร้อยๆไว้หรอกหรือ" เอลลี่เอ่ยทักขึ้นเมื่อเห็นว่ามาเรียนั้นลุกขึ้นยืนจากโต๊ะ แม้ปากของตนเองจะบอกกล่าวกับมาเรียว่าอย่างได้คิดหวังมากไปทว่าในจิตใจลึกๆของตนเองนั้นก็ยังคงแอบหวังอยู่เช่นกัน

    "เจ้ามิใช่บอกว่าให้เลิกหวังแล้วหรอกหรือ เมื่อมาคิดๆดูแล้วตัวข้าก็นึกสมเพชตนเองยิ่งนักกลับนึกฝันอย่างเป็นจริงเป็นจัง พอมานั่งนึกคิดดูแล้วเหตุการณ์ทุกอย่างที่เกิดขึ้นก็ล้วนเกิดจากความเมามายของท่านดยุคทั้งสิ้นเช่นนั้นเกรงว่าแม้แต่การไถ่ตัวพวกเราก็..." มาเรียเอ่ยมาถึงตรงนี้ก็รู้สึกน้อยเนื้อต่ำใจในชะตาของตนเองขึ้นมา "เฮ้อ ข้าจะออกไปข้างนอกเสียหน่อยเจ้าช่วยหยิบถุงเงินนั่นบนโต๊ะเครื่องแป้งให้แก่ข้าที" มาเรียเอ่ย ถุงเงินที่นางเอ่ยถึงย่อมเป็นถุงเงินที่กาเล็ทมอบไห้ไว้แก่ตนเอง

    "ถุงเงิน?" เอลลี่เอ่ยอย่างฉงนใจแต่ยังหันไปตามมือของมาเรียที่ชี้บอก

    "ใช่ ข้าลืมเลือนไป ถุงเงินนั่นเป็นของที่ท่านดยุคให้ไว้ก่อนจากไปยังมีตราประจำตระกูลบุสโซ่อีก จะอย่างไรหลายวันมานี้ก็เป็นภาระของเสี่ยวเป่าที่นำข้าวปลาอาหารมาให้แก่เราข้าเลยคิดว่าจะแบ่งเงินทองให้มันไว้ใช้..." มาเรียเอ่ยยังไม่ทันจบประโยคเสียงของเอลลี่ก็ดังขึ้น

    "ท..ท่านพี่มาเรียนี่" เอลลี่ที่เปิดถุงเงินออกดูเอ่ยออกมาด้วยความตกใจ

    "ตื่นตระหนกตกใจอันใด?" มาเรียเอ่ย

    "เหตุใดจึงมากมายถึงเพียงนี้" เอลลี่ที่เปิดถุงเงินออกดูแล้วพบว่าเหรียญภายในถุงเงินนั้นกลับเป็นเหรียญทองทุกเหรียญไม่มีเหรียญเงินหรือทองแดงเจือปนอยู่เลยแม้แต่น้อยและที่น่าตกใจที่สุดคือถุงนั้นมีขนาดใหญ่จนเอลลี่ต้องใช้สองมือยกไว้ จากการคิดคำนวนอย่างลวกๆของเอลลี่แล้วคาดว่าในถุงนั้นต้องมีเหรียญทองไม่ต่ำกว่าร้อยเหรียญทองแน่นอน

    มาเรียที่เห็นการแสดงออกของเอลลี่ก็เดินตรงเข้าไปหาพร้อมทั้งชโงกหน้าเข้าไปดูภายในถุงนั้น เมื่อเห็นภายในอย่างถนัดชัดตาสีหน้าของมาเรียเองก็เปลี่ยนไปจนปั้นยากเช่นกัน ภาพความทรงจำเมื่อครั้งที่กาเล็ทมอบถุงเงินนี้ให้แก่นางปรากฎขึ้นมาอีกครั้ง "นี่ไม่ใช่ค่าตัวแต่ว่าเป็นค่าเลี้ยงดู" เสียงของกาเล็ทดังก้องขึ้นมาในหัวของมาเรีย นางรับถึงเงินจากมือของเอลลี่มาพร้อมทั้งเหม่อมองไปที่มันอย่างไม่วางตาจากนั้นจึงค่อยๆเดินกลับไปนั่งอยู่ที่เดิม ความหวังที่เคยมืดดับไปเมื่อครู่ก็เสมือนเปลวไฟซึ่งใกล้จะมอดดับที่ต้องแรงลมทำให้โหมกระพือขึ้นมาใหม่

    "ท่านพี่มาเรีย ท่านไม่ออกไปข้างนอกแล้วหรือ?" เอลลี่เอ่ยถามด้วยความฉงนงุนงง



    ขณะที่ไฟแห่งความหวังของมาเรียซึ่งสว่างขึ้นอีกครั้งกาเล็ทก็นำพาคู่หมั้นทั้งสามและนีน่ามาถึงยังบริเวณด้านหน้าของหอร้อยบุปผา

    ทันทีที่นักบู๊ซึ่งทำหน้าที่ดูแลความสงบเรียบร้อยอยู่หน้าทางเข้าสังเกตุเห็นกาเล็ทดวงตาของมันก็เบิ่งกว้างขึ้นมันลังเลใจอยู่ครู่หนึ่งจากนั้นมันจึงรีบส่งสัญญาณบอกเพื่อนของมันที่ด้านข้างซึ่งกำลังหาวอยู่และไม่ทันสังเกตุเห็นกาเล็ทเช่นมันให้ได้รู้ มันหันไปบอกกล่าวพูดคุยกับเพื่อนคู่กะครู่หนึ่งจากนั้นคู่กะของมันก็แสดงสีหน้าแตกตื่นตกใจออกมายกใหญ่และหันกายวิ่งกลับเข้าไปภายในหอร้อยบุปผา

    "ท่านดยุค หอร้อยบุปผาของเรายินดีต้อนรับขอรับ" ผู้ดูแลมางเข้าหอร้อยบุปผารีบกุลีกุจอเข้ามาต้อนรับกาเล็ท ขณะที่เอ่ยกล่าวกับกาเล็ทตัวของมันที่เคยตั้งตรงก็ค้อมต่ำเตี้ยลงเสมือนคนหลังค่อมด้วยเกรงว่าหากตนเองทำสิ่งใดผิดพลาดไปจะมีจุดจบที่ไม่สู้ดีทำให้มันแสดงกริยานอบน้อมที่สุดในชีวิตของมันออกมา

    กาเล็ทที่มีสีหน้าลำบากใจเห็นเช่นนั้นก็เอ่ยขึ้น "อืมม วันนี้ข้าพาท่านแม่ของข้ากับอืมม คู่หมั้นทั้งสามของข้ามา เอลลี่กับมาเรียอยู่หรือไม่" กาเล็ทแทบจะเรียบเรียงประโยคไม่ถูกว่าสมควรพูดสิ่งใดก่อนหลัง

    "ขอรับ ตลอดสามวันมานี้เอลลี่กับมาเรียอยู่แต่เพียงในห้องของตนเองตามที่ท่านดยุคสั่งไว้ขอรับ" ผู้ดูแลความสงบเรียบร้อยของหอร้อยบุปผาเอ่ยรายงาน

    "กาเล็ท ทำไมจึงสั่งอะไรแบบนั้นล่ะลูก" เสียงของนีน่าที่ด้านหลังดังขึ้น

    "ท..ท่านแม่ ข้าไม่ได้สั่งอะไรไว้แบบนั้น ข้าเพียงแต่บอกให้พวกนางอยู่อย่างเรียบๆร้อยๆไว้ ไฉนกลับกลายเป็นเช่นนี้เล่า" กาเล็ทเอ่ยแก้ตัวออกมา

    "เจ้าช่วยจัดหาห้องพิเศษให้กับข้าและครอบครัวสักห้องหนึ่งจากนั้นก็รบกวนไปตามเอลลี่กับมาเรียมา" กาเล็ทเอ่ยกับนักบู๊นั้น

    "ขอรับท่านดยุค ขอรับ " นักบู๊เอ่ยแต่ยังไม่ทันที่มันจะได้ทำสิ่งใดต่อ ผู้ดูแลหอร่่างท้วมก็หน้าตื่นวิ่งออกมาจากภายในหอร้อยบุปผา

    "ท่านดยุดโปรดให้อภัยที่ข้าบกพร่องออกมาต้อนรับท่านดยุคล่าช้า ได้โปรดให้อภัย" ผู้ดูแลหอร่างท้วมวิ่งออกมาด้วยความแตกตื่น เมื่อมาถึงที่เบื้องหน้าของกาเล็ทมันก็แทบจะก้มลงกราบแทบเท้าของกาเล็ท

    "กาเล็ท ทำอะไรน่ะลูก" นีน่าเห็นเช่นนั้นก็เอ่ยขึ้น

    กาเล็ทเห็นเช่นนั้นก็หน้าเขียวคล้ำขึ้นมา "ล่าช้าอันใด? ตนเองพึ่งจะมาถึงไม่นานแท้ๆเหตุใดผู้ดูแลหอจึงต้องแสดงออกย่างเกินเหตุเช่นนี้จนทำให้ผู้เป็นมารดาเข้าใจไปว่าตนเองใช้อำนาจข่มเหงรังแกผู้คนแล้ว" กาเล็ทคิดในใจขณะที่รีบก้มลงพยุงร่างของผู้ดูแลหอร่างท้วมไว้ กาเล็ทย่อมสามารถคิดเช่นนั้นได้แต่ในมุมมองของผู้อื่นยกตัวอย่างเช่นผู้ดูแลหอร่างท้วมผู้นี้แล้วตัวมันย่อมไม่รู้ว่าที่แท้แล้วภายในจิตใจของกาเล็ทคิดอันใดอยู่ เมื่ออยู่ต่อหน้าบรุษที่แข็งแกร่งยิ่งยวดและสามารถบดขยี้ตัวมันได้ภายในพริบตาอย่างกาเล็ทแล้วจะแตกต่างอันใดกับการอยู่ต่อหน้าสัตว์ร้าย? หากว่าตัวมันทำสิ่งใดผิดพลาดไปหรือแสดงท่าทีที่ไม่สมควรออกไปมิใช่ว่ามันต้องตกตายหายสาปสูญไปจากโลกแห่งนี้โดยไร้ที่กลบฝังหรอกหรือ? ด้วยสาเหตุนี้มันจึงเลือกที่จะแสดงออกดังเช่นที่มันกระทำเมื่อครู่

    "ผู้ดูแลหอลุกขึ้น ลุกขึ้น วันนี้ข้าพาท่านแม่และคู่หมั้นของข้ามาด้วย รบกวนผู้ดูแลหอช่วยจัดเตรียมห้องพิเศษและอาหารให้แก่ข้าและครอบครัวพร้อมทั้งช่วยตามตัวเอลลี่กับมาเรียให้แก่ข้าด้วยเถอะ" กาเล็ทเอ่ย

    "ขอรับท่านดยุค เชิญขอรับท่านดยุค เชิญขอรับท่านหญิง เชิญขอรับคุณหนูทั้งสาม" ได้ฟังคำกล่าวของกาเล็ทผู้ดูแลหอร่างท้วมจึงสังเกตุเห็นสตรีทั้งสี่ซึ่งยืนชดช้อยอยู่เบื้องหลังของกาเล็ท

    "กรู๊" เสียงของมิร่าดังขึ้นเสมือนว่าจะเป็นการประท้วง

    กาเล็ทเห็นเช่นนั้นก็ยิ้มออกมา "เชิญนางด้วย" กาเล็ทเอ่ยกล่าวกับผู้ดูแลหอร่างท้วม

    ผู้ดูแลหอร่างท้วมยืนมึนงงอยู่ครู่หนึ่งไม่ทราบว่ากาเล็ทหมายความว่าอย่างไร?

    "นางคือบุตรสาวบุญธรรมของข้าชื่อว่ามิร่า ผู้ดูแลหอเอ่ยคำเชิญนางด้วย" กาเล็ทเอ่ย

    ได้ฟังเช่นนั้นผู้ดูแลหอร่างท้วมจึงหันหน้าจ้องมองไปยังสัตว์อสูรที่ดูน่ารักในอ้อมกอดของนีน่า "ช..เชิญคุณหนูมิร่าขอรับ"

    "กรู๊" ได้ยินคำเอ่ยเชิญชวนตนเองเช่นกันมิร่าจึงส่งเสียงร้องอย่างพอใจออกมา



    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×