ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    Tales of Yuyan ตำนานเรื่องเล่าแห่งยูยาน

    ลำดับตอนที่ #227 : ให้แล้วกันไปเถอะ

    • เนื้อหาตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 6.65K
      494
      13 ก.ค. 61




    "ฝ่าบาทเหตุใดท่านจึงไม่ลงมือสังหารเด็กน้อยนั่นเพื่อล้างแค้นให้แก่องค์ชายให้รู้แล้วรู้รอดไปเลยหรือพะยะค่ะ? ข้าคิดว่าต่อให้ฝ่าบาทกระทำเช่นนั้นท่านจักรพรรดินีซานซานก็คงจะเข้าใจเหตุผลของฝ่าบาทแน่นอนพะยะค่ะ" ลูกน้องคนสนิทของเซอกีย์เอ่ยถามผู้เป็นนายอย่างเจ็บแค้นแทน

    ได้ยินคำถามของขุนพลคู่ใจคนสนิทเซอกีย์ก็ถอนหายใจออกมา "ไม่ใช่ข้าไม่อยากหากแต่ไม่สามารถ อย่าว่าแต่นี่คือทวีปใต้หาใช่แดนเหนือของพวกเรา"

    "ถ้าเช่นนั้นพวกเราดักรออาศัยช่วงจังหว่ะที่พวกมันเดินทางกลับทวีปตะวันออกแล้วค่อยลงมือดีหรือไม่ฝ่าบาท" ขุนพลคู่ใจอีกผู้หนึ่งของเซอกีย์เอ่ยถามขึ้นสอดแทรกขึ้นมา

    "ต่อให้พวกเราทั้งสามร่วมมือกันเกรงว่ายังไม่อาจสังหารมัน" จักรพรรดิแห่งแดนเหนือเอ่ย

    ได้รับฟังคำตอบของผู้เป็นนายขุนพลคู่ใจทั้งสองของเซอกีย์ก็ถึงกับปากอ้าตาค้างไป พวกมันได้ยินไม่ผิดกระมัง? ด้วยตัวมันทั้งสองก็จัดได้ว่ามีพลังอยู่ในระดับจักรพรรดิเช่นกันต่อให้เป็นระดับจักรพรรดิขั้นต้นก็ตามที เมื่อรวมมันทั้งสองบวกเข้ากับผู้เป็นนายเข้าไปยังจะมีผู้ใดที่พวกมันไม่สามารถสังหารได้อีก? เรื่องนี้เป็นสิ่งที่ยากจะเชื่อได้

    จักรพรรดิแห่งแดนเหนือเองเหมือนจะรับรู้ถึงความคิดของผู้เป็นบริวาร "ภายในห้องประชุมนั่นขณะที่มันต้านรับสลายพลังของออก้าพวกเจ้าไม่ได้สังเกตุหรือ? ต่อให้ออก้าไม่ได้ใช้พลังอย่างเต็มที่แต่จะอย่างไรขณะที่มันลงมือทดสอบเด็กน้อยนั่นมันยังคงใช้พลังในระดับจักรพรรดิแต่เด็กน้อยนั่นกลับสามารถที่จะใช้พลังในระดับใกล้เคียงกันเข้าหักล้างกับพลังของออก้าได้อย่างง่ายได้ สามารถกระทำเรื่องเช่นนี้ได้ในเวลากระชั้นสั้นแม้แต่ข้าเองยังไม่มั่นใจว่าสามารถสลายพลังของออก้าได้หมดจดเทียบเท่ากับมัน ยังมีขณะที่มันต้านรับการจู่โจมของข้าเห็นหรือไม่ว่าร่างกายของมันไม่ได้ขยับแม้แต่ก้าวเดียว" เซอกีย์เอ่ยอธิบายให้แก่ขุนพลทั้งสองฟัง

    "แต่ว่าหากพวกเราสามคนร่วมมือกันลอบจู่โจมใส่มันขณะที่ไม่ทันระวัง.."

    ขุนพลคู่ใจเอ่ยกล่าวยังไม่ทันจบเซอกีย์ก็ยกมือข้างหนึ่งของมันขึ้นมาเพื่อห้ามปรามไว้ "เรื่องนี้ให้จบแต่เพียงเท่านี้ อย่าได้ให้ความแค้นเข้ามาบดบังสติปัญญาได้ เจ้าสัมผัสไม่ได้คือว่าสัตว์อสูรแปลกประหลาดที่อยู่เคียงข้างเด็กน้อยนั่นตลอดเวลาก็มีพลังไม่ด้อยไปกว่าพวกเจ้ายังมีผู้ติดตามของมันที่สงบนิ่งไม่หวั่นไหวต่อเรื่องราว" เซอกีย์เอ่ยกล่าวถึงจุดนี้ก็ถอนหายใจออกมา "หากว่าบ่นบ่าของข้าไม่ได้แบกรับชีวิตของผู้คนแห่งแดนเหนือไว้ ข้าจะไม่ลังเลใจเลยแม้แต่น้อยที่จะเข้าโรมรันเสี่ยงชีวิตเพื่อทวงหนี้ชีวิตนี้ให้แก้อังเดรหากแต่เรื่องราวบางประการหาสามารถกระทำได้อย่างที่ใจต้องการ" หลังเอ่ยกล่าวจบจักรพรรดิแห่งทวีปเหนือก็ได้แต่ครุ่นคิดสงสัยกับตนเองว่าเด็กหนุ่มผู้นี้และบริวารใช้วิธีการใดกันแน่ถึงได้สามารถหลบรอดจากเงื้อมมือของจักรพรรดิแดงจนสามารถเติบโตแข็งแกร่งขึ้นมาได้ถึงเพียงนี้

    ได้ยินคำกล่าวของผู้เป็นนายขุนพลคู่ใจทั้งสองยังคงมีความรู้สึกไม่ยินยอม "ฝ่าบาทเช่นนั้นเรามิสู้ส่งผู้คนไปจัดการกับคนใกล้ชิดของเด็กน้อย..." กล่าวยังไม่ทันจบเซอกีย์ก็หันขวับไปถลึงตาใส่ขุนพลผู้เอ่ยกล่าววาจานี้ "หุบปากของเจ้า" มันตวาดใส่อย่างดุดัน

    "แค้นมีเป้าหนี้มีเจ้าหนี้อย่าได้ดึงผู้คนที่ไม่เกี่ยวข้องเข้ามา" เซอกีย์เอ่ย มันหาใช่คนที่ไร้เหตุผล ดูจากลักษณะนิสัยของกาเล็ทแล้วมันย่อมทราบได้ว่าหากผู้เป็นบุตรชายไม่ได้ล่วงเกินกาเล็ทก่อนกาเล็ทย่อมไม่ลงมือสังหารผู้คนโดยพละการเป็นแน่ ถึงแม้จะรู้ดีถึงข้อนี้ว่าผู้สังหารบุตรชายของมันยืนอยู่ข้างเหตุผลทีสมบูรณ์พร้อมทว่าตัวมันยังคงยากที่จะทำใจยอมรับได้

    "ช.ช ..เช่นนี้ฝ่าบาทจะปล่อยให้องค์ชาย.." ขุนพลทั้งสองเอ่ยถามออกมาอย่างกล้าๆกลัวๆ

    "ปล่อยเรื่องนี้ให้แล้วกันไปเถอะ ให้ถือเสียว่าข้าอบรมณ์สังสอนบุตรมาไม่ดี ผลกรรมนี้ก็ให้ข้าแบกรับไว้แต่เพียงผู้เดียวเถอะ ฟังไว้พวกเจ้าทั้งสองอย่าได้คิดอ่านลงมือโดยพละการหาไม่แล้วข้าจะไม่ให้อภัย" เซอกีย์เอ่ยกล่าวถึงการตัดสินใจของตนเองออกมาโดยไม่อธิบายสิ่งใดให้ขุนพลทั้งสองรับฟังอีก ในห้องประชุมช่วงเช้านมันรู้ดีว่าที่กาเล็ทเอ่ยบอกว่าจะให้มันลงมือถึงสองกระบวนท่าโดยไม่ตอบโต้นั้นหาใช่เพราะกาเล็ทมีความมั่นใจอย่างเต็มเปี่ยมหากแต่เป็นเพราะความรู้สึกผิดและติดค้างที่มีอยู่ในใจ มันรู้ดีว่าเด็กหนุ่มผู้นี้นอกจากมีความสามารถที่พรั่งพร้อมแล้วยังมีคุณธรรมอย่างเต็มเปี่ยม สาเหตุของคำ "ข้ารู้สึกเสียใจแต่จะไม่เอ่ยกล่าวคำขออภัย" ของกาเล็ทนั้นจักรพรรดิแห่งแดนเหนือเข้าใจดี

    กลับมาที่กาเล็ทและจักรพรรดินีซานซาน

    กาเล็ทยกมือของตนเองขึ้นตบไปที่บั้นท้ายของมิร่าซึ่งกำลังใช้ขาหน้าทั้งสองของตนเกาะโต๊ะขณะที่ดวงตากลมโตจ้องมองไปที่จักรพรรดินีแห่งทวีปใต้ "ไปเล่นกับท่านลุงเทลเล่อเถอะมิร่าน้อย" กาเล็ทเอ่ยทางพันธะสัญญา

    ได้ยินดังนั้นมิร่าก็แสดงท่าทีว่าไม่ต้องการที่จะจากไปทว่าในครั้งนี้นางกลับถูกผู้เป็นบิดาจ้องมองด้วยสายตาที่แสดงออกว่าจะไม่ตามใจนางอีก เห็นเช่นนั้นมิร่าก็ได้แต่จำยอมต้องจากไป ก่อนที่จะจากไปนางยังคงหันไปเหลือบมองที่จักรพรรดินีแห่งทวีปใต้ด้วยสายตาแปลกประหลาดคู่หนึ่ง

    พริบตาที่ถูกเหลือบมองโดยสัตว์ตัวน้อยซานซานกับเกิดความรู้สึกว่าแววตาคู่นั้นกลับไม่หลงเหลือเค้าโครงของความไร้เดียงสาไว้อีกหากแต่เป็นดวงตาที่แสดงออกถึงความไม่พอใจ "น่าแปลกนักยิ่งได้สัมผัสกับสัตว์อสูรตัวนี้เรายิ่งเกิดความรู้สึกว่านางไม่ได้แตกต่างจากมนุษย์เช่นพวกเรา แววตานั้น.." ในจิตใจคิดเช่นนั้นปากก็เอ่ยถามขึ้น "ไม่ทราบว่านาง.."

    กาเล็ทได้ยินคำถามก็เผยรอยยิ้ม "ข้าให้นางไปอยู่กับอาจารย์ของข้าสักพักเพื่อที่การซ้อมมืือแลกเปลี่ยนวิชาของพวกเราจะได้ไม่ถูกขัดตอน"

    "อาจารย์?" ได้ยินดังนั้นดวงตาคู่สวยก็ทอแววออกมา แม้จะมีคำถามมากมายที่นางต้องการรู้คำตอบหากแต่นางทราบดีว่านี่ไม่ใช่เวลาของการเอ่ยถามให้มากความอีก ซานซานรู้สึกว่ายิ่งได้พูดคุยทำความรู้จักกับจักรพรรดิหนุ่มผู้นี้เท่าใดตัวนางยิ่งมีคำถามและข้อสงสัยเพิ่มมากขึ้นเท่านั้น เมื่อครู่เขาบอกกล่าวต่อนางว่าให้สัตว์อสูรตนนั้นไปอยู่กับผู้เป็นอาจารย์ ไม่ทราบว่าเขาใช้วิธีการใดบอกกล่าว เหตุใดนางที่นั่งอยู่ด้วยและสังเกตุทุกการกระทำของเขาอย่างใกล้ชิดกลับไม่รับรู้ ยังมีที่ว่าอาจารย์นั้นใช่หมายถึงผู้ติดตามของเขาหรือ? ซานซานได้แต่เก็บเอาความสงสัยนี้ไว้ภายใน

    "เรียนถามท่านจักรพรรดินี ข้าคิดว่าเราสมควรออกห่างนอกตัวเมืองสักระยะดีหรือไม่จะได้ไม่เป็นการรบกวนผู้คนภายในเมืองมากนัก" กาเล็ทเอ่ยถามขึ้นทำให้ซานซานซึ่งกำลังครุ่นคิดอยู่ได้สติกลับมา

    "อืม เป็นท่านจักรพรรดิทมิฬที่รอบคอบ เช่นนั้นเชิญท่านจักรพรรดิทมิฬตามข้ามาทางนี้เถอะ" เอ่ยจบร่างของนางก็ค่อยๆลอยขึ้นจากพื้นมุ่งขึ้นสู่ท้องฟ้าอันมืดมิดไปยังทิศใต้ของเมือง

    ติดตามจักรพรรดินีแห่งทวีปใต้มาได้สักระยะเวลาหนึ่งสุดท้ายแล้วก็สามารถออกห่างจากตัวเมืองมาได้พอสมควรถึงสถานที่เปลี่ยวร้างไร้ผู้คน "หากเป็นที่นี่สมควรที่จะไม่ส่งผลกระทบถึงตัวเมืองแล้วเชิญท่านจักรพรรดิทมิฬลงมือได้อย่างเต็มที่" ซานซานหยุดร่างไว้และหันกลับมาเอ่ยกล่าวกับกาเล็ท

    กาเล็ทได้ฟังเช่นนั้นก็หยุดร่างไว้เช่นเดียวกัน ถึงแม้จะเป็นตนเองที่เอ่ยขอซ้อมมือในครั้งนี้หากแต่พอถึงเวลาที่แท้จริงแล้วตนเองกลับไม่ทราบว่าสมควรลงมือเช่นไร ใช่สมควรทุ่มทุกสิ่งที่มีเข้าใส่หรือเก็บออมพลังไว้? "เอาเป็นว่าใช้พลังเพียงห้าส่วนก่อนก็แล้วกัน" กาเล็ทคิดตัดสินใจกับตนเองจากนั้นจึงผายมือไปด้านหน้า "ท่านจักรพรรดินีโปรดระวังข้าจะลงมือแล้ว"

    ซานซานได้ยินเช่นนั้นก็ยิ้มออกมา "เชิญท่านจักรพรรดิทมิฬ"

    สิ้นคำกล่าวของซานซานร่างของกาเล็ทก็เปล่งประกายแสงขึ้นในความมืด ฟุบเสียงร่างของกาเล็ทตัดผ่านอากาศในความมืดดังขึ้น ประกายแสงวูบหนึ่งพุ่งเข้าหาจักรพรรดินีแห่งทวีปใต้อย่างรวดเร็ว เมื่อตัดสินใจที่จะลงมือแล้วกาเล็ทก็ไม่คำนึงมากความอีก

    "เริ่มด้วยการต่อสู้มือเปล่าหรือ?" ซานซานคิดกับตนเองจากนั้นร่างของนางก็เปล่งแสงสว่างขึ้นเช่นกันนางโบกสบัดมือของนางวูบหนึ่งเพื่อปัดป้องกำปั้นของกาเล็ทที่จู่โจมเข้ามาใส่

    ตุบ ฟุบ ตุบ ฟุบ เสียงของการปะทะกันนับครั้งไม่ถ้วนดังขึ้นไม่ขาดท่ามกลางท้องฟ้าอันมืดมิดของทวีปใต้ บัดนี้หนึ่งตั้งรับหนึ่งรุกเข้าใส่ แสงวูบวาบสว่างขึ้นครั้งแล้วครั้งเล่าพร้อมกับเสียงดังกัมปนาทไปทั่วท้องฟ้า

    "มีฝีมือถึงระดับนี้นับว่าไม่แปลกแล้วที่เขาสามารถเอาชนะจักรพรรดิแดงมาได้ หากแต่เพียงเท่านี้ยังไม่อาจเทียบได้กับจักรพรรดิแห่งทวีปกลาง" ซานซานลอบนึกคิดประเมินกาเล็ทอีกใจหนึ่งนางก็รู้สึกผิดหวังไม่อยู่ลึกๆ ไม่ทราบว่าหากนางรับรู้ได้ว่ากาเล็ทในตอนนี้นั้นมีข้อจำกัดอยู่หลายด้านที่ต้องคอยระวังนางจะว่าอย่างไร ทั้งการต้องกดระดับพลังของตนเองไว้เพื่อไม่ให้เผลอใช้พลังเกินขีดจำกัดที่ตนเองตั้งใจไว้ ทั้งข้อจำกัดในการต่อสู้ ตำแหน่งและทิศทางในการจู่โจมเข้าใส่ก็มีอย่างจำกัด ด้วยความแตกต่างของเพศทำให้กาเล็ทนั้นต้องคอยระวังหลีกเลี่ยงไม่ให้ตนเองจู่โจมเข้าใส่จุดที่ไม่สมควรเข้า


    "เช่นนั้นมาลองทดสอบความสามารถในด้านอื่นเถอะ" ซานซานคิดกับตนเอง ฟุบ ฝ่ามือขาวผ่องของนางปะทะเข้ากับกำปั้นเหล็กของกาเล็ทอีกครั้งแต่คราครั้งนี้ซานซานนั้นอาศัยแรงสภาวะจากการจู่โจมของกาเล็ทเพื่อดีดตัวถอยหลังไปทิ้งระยะห่างออกมา พับ พับ พับ เสียงของผ้าแพรอ่อนนุ่มพริ้วไหวขณะที่ร่างของจักรพรรดินีแห่งทวีปใต้ถอยหลังไปเพื่อเพิ่มระยะห่างจากนั้นนางก็ผายมือข้างหนึ่งของตนเองออก วูบ ปรากฎแสงสว่างจ้าเปล่งออกมาวูบหนึ่ง หลังจากแสงสว่างจ้านั้นมืดดับไปในมือข้างหนึ่งของจักรพรรดินีแห่งทวีปใต้ก็คล้ายกับว่าคว้าจับด้ามอาวุธแปลกประหลาดชิ้นหนึ่งไว้ "ท่านจักรพรรดิทมืฬโปรดระวัง ซานซานจะใช้อาวุธแล้ว" กล่าวจบนางก็สบัดมืดวูบหนึ่งจากนั้นประกายมันวาววับจากการสะท้อนแสงของดวงจันกับอาวุธประหลาดในกำมือของจักรพรรดินีซานซานก็ม้วนตลบเข้าใส่กาเล็ทอย่างรวดเร็วเสมือนงูที่ฉกเข้าใส่

    วูดดดดด เสียงวัตถุตัดผ่านอากาศดังขึ้น กาเล็ทที่รับรู้ถึงอันตรายซึ่งพุ่งเข้ามาหาได้จากข่ายพลังจิตวิญญาณที่ตนเองกางไว้บังคับร่างของตนเองให้ฉากถอยหลังไป "แส้?" หลังจากรอดพ้นจากการจู่โจมเข้าใส่กาเล็ทจึงสามารถจำแหนกอาวุธที่อยู่ในกำมือของจักรพรรดินีแห่งทวีปใต้ได้

    วูบบบบ เส้นแสงสว่างค่อยๆปรากฎเรืองแสงไปตามลำแส้เนื่องจากพลังของจักรพรรดินีซานซานที่ถ่ายโอนเข้าไปในอาวุธ ไม่เปิดโอกาสให้กาเล็ทได้พักหายใจซานซานก็เงื้อมือขึ้นอีกครั้งเพื่อฟาดหัวแส้เข้าใส่ ฟึด ฟึด ฟุด ฟึด ฟุด เสียงแส้ตัดผ่านอากาศครั้งแล้วครั้งเล่าดังถี่ยิบจนคล้ายกับเสียงของแมลงที่กระพือปีก ความรวดเร็วของแส้ที่ฟาดฟวดเข้าใส่กาเล็ทอย่างบ้าคลั่งในตอนนี้นั้นไม่สามารถจำแหนกแยกแยะได้ด้วยตาเปล่าอีกต่อไป แสงเงาที่เกิดจากแส้นในกำมือของจักรพรรดินีแห่งทวีปใต้ที่ฟาดหวดเข้าใส่ตีพันกันจนก่อร่างคล้ายคุกแสงห้องหนึ่ง

    "ช่างเป็นวิชาแส้ที่ร้ายกาจนัก หากไม่มีฝีมือก็คงไม่สามารถที่จะก้าวเข้ามาเป็นผู้ปกครองแห่วทวีปได้ นับว่าฉายาของสี่จักรพรรดิไม่ได้มาเพราะโชคช่วย" กาเล็ทครุ่นคิดกับตนเอง การรับมือกับแส้นั้นไม่ใช่สิ่งที่คนทั่วไปจะปรับตัวตั้งรับได้โดยง่าย ต้องบอกกล่าวว่าแส้นั้นไม่เหมือนกับดาบ หอก หรืออาวุธชินอื่นที่แข็งแกร่งหากแต่มันกลับคดเคี้ยวเสมือนงู ต่อให้ใช้กำลังเข้าหักล้างหยุดยั้งแส้ที่ฟาดหวดเข้าใส่ทว่าปลายแส้นั้นยังคงสามารถตวัดม้วนตัวเข้าทำร้ายใส่ผู้คนได้อยู่ดี ดังนั้นกาเล็ทจึงต้องรับมืออย่างระมัดระวัง กาเล็ทในตอนนี้จึงได้เลือกที่จะหลบเลี่ยงดูเชิงแต่เพียงอย่างเดียว สำหรับกับกาเล็ทที่ฝึกฝนการแยกจิตโดยการคว้าจับบอลพลังที่ใช้พลังของตนเองสร้างขึ้นอยู่บ่อยครั้งทำให้การจับทิศทางของแส้ที่ฟาดหวดเข้ามาพร้อมทั้งเคลื่อนตัวหลบเลี่ยงอย่างมีประสิทธิภาพไม่ใช่เรื่องยากลำบากกินแรงเท่าไร

    "ดูว่าท่านจะหลบไปได้อีกนานเท่าใด" ซานซานซึ่งกำลังสบัดข้อมือฟาดหวดแส้เข้าใส่กาเล็ทนึกคิดกับตนเองพร้อมทั้งดวงตาคู่งามทั้งสองที่หรี่เล็กลงเพื่อตั้งสมาธิคำนวนการเคลื่อนไหวของกาเล็ทล่วงหน้าจากนั้นนิ้วมืออีกข้างของนางที่ว่างอยู่ก็งอเข้าหากันและดีดออกและแล้วลำแสงพลังก็พุ่งตรงเข้าหากาเล็ทที่ตกอยู่ในวงล้อมการจู่โจมของแส้

    ขณะที่ลำแสงพลังของนางคล้ายจะจู่โจมเข้าใส่กาเล็ทในวงล้อมที่ขยับร่างหลบการฟาดหวดของแส้ได้อย่างพอเหมาะโดยไม่มีหนทางที่จะหลบพ้น แสงออร่ารอบร่างกายของกาเล็ทพลันเปลี่นไปจากเดิม กระแสการสั่นไหวปรากฎให้เห็น เสียงจิกจี๊ดดังระงมไปทั่ว จากนั้นร่างของกาเล็ทในวงล้อมของแส้ก็หายวับไป




    ปล.ยังเปิดให้อ่านฟรีอยู่นะครับ อย่างน้อยจนถึงเที่ยงคืนวันนี้ครับ


    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×