ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    Tales of Yuyan ตำนานเรื่องเล่าแห่งยูยาน

    ลำดับตอนที่ #241 : ถูกพบเห็น

    • เนื้อหานิยายตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 5.32K
      443
      21 ส.ค. 61




    "ท่านบาทหลวงข้าคิดว่าพวกเราเข้ามาลึกพอแล้วกระมัง?" ชายในชุดดำเอ่ยกับบาทหลวงเจมินี่ที่ลอยตัวอยู่ด้านข้าง

    "ที่จริงแล้วข้าคิดว่าพวกเราสมควรที่จะเข้าไปภายในหุบเขาอีกสักหน่อย เอาเถอะจะอย่างไรในขั้นตอนส่งถ่ายพลังเข้าสู่ผลึกอสูรคลั่งก็นับว่ามีความเสี่ยงอยู่ ในขั้นตอนนี้ไม่อาจถูกรบกวนขัดจังหวะได้ หากเข้าไปลึกยิ่งกว่านี้ก็อาจเกิดความเสี่ยงที่จะปรากฎสัตว์ร้ายระดับสูงเข้ามาก่อกวนได้หากเป็นเช่นนั้นคงจะยุ่งยากไม่น้อยแล้ว" บาทหลวงเจมินี่เอ่ยแสดงความเห็นของตนเอง

    ชายชุดดำได้ยินเช่นนั้นก็ยกยิ้มที่มุมปากขึ้น "ท่านบาทหลวงมิใช่บอกว่าพระผู้เป็นเจ้าจะช่วยเหลือนำทางให้แก่พวกเราหลอกหรือ? เช่นนั้นจะมีสัตว์ร้ายใดกล้ากล้ำกลายเข้ามาขัดขวางเรื่องสำคัญของพระผู้เป็นเจ้าไปได้เล่า?"

    บาทหลวงเจมินี่ได้ยินเช่นนั้นก็จ้องมองไปที่ชายชุดดำด้วยสายตาไม่พอใจที่มันเอ่ยกล่าวถึงพระผู้เป็นเจ้าด้วยท่าทีที่ไม่ให้ความเคารพอย่างที่ควรจะเป็น

    "ท่านบาทหลวงอย่าได้ถือคำกล่าวของข้าเป็นจริงเป็นจังถึงเพียงนั้น ข้าเพียงแต่กล่าวล้อเล่นเพื่อคลายความตึงเครียด" ชายชุดดำยกมือของตนเองขึ้นมาปัดป่ายไปมาพร้อมกับเอ่ยกล่าวขณะที่สังเกตุเห็นถึงสายตาที่แสดงออกว่าไม่พอใจของบาทหลวงเจมินี่

    "นามของพระผู้เป็นเจ้าสามารถเอามากล่าวล้อเล่นได้หรือ?"

    "เอาเป็นข้าผิดไปแล้วต่อไปข้าจะไม่ทำเช่นนี้อีก หากว่าเราชักช้ามากกว่านี้คงต้องพลาดเรื่องสำคัญแล้วขอท่านบาทหลวงอย่าได้ถือสาหาความข้า" ชายชุดดำเอ่ย

    บาทหลวงเจมินี่ได้ยินเช่นนั้นก็แค่นเสียงอย่างเย็นชาออกมา "เอาเป็นบริเวณนี้ก็แล้วกัน เจ้าไปทางด้านโน้นส่วนข้าจะไปทางด้านนี้ เข่นฆ่าสัตว์ร้ายที่พบเจอให้หมดอย่าได้หลงเหลือไว้ เมื่อเสร็จเรื่องแล้วให้กลับมาเจอกัน ณ จุดนี้" บาทหลวงเจมินี่ออกคำสั่ง

    กลิ่นคาวเลือดคละคลุ้งไปทั่วเป็นบริเวณกว้างจากการล่าสังหารของบาทหลวงเจมิร่าและชายในชุดคลุมสีดำ ใช้เวลากว่าหลายชั่วโมงสุดท้ายทั้งสองก็กลับมายังจุดนัดพบ

    "ทางด้านของท่านบาทหลวงเป็นเช่นไรบ้าง" ชายในชุดคลุมเอ่ยถาม

    "มีสัตว์ร้ายไม่น้อยที่อาศัยอยู่ในบริเวณนี้ แต่ก็ไม่ใช้สัตว์ร้ายที่มีระดับพลังสูงมากนัก" บาทหลวงเจมินี่เอ่ยตอบ

    "ทางด้านข้าเองก็เช่นเดียวกัน อย่างมากที่พบเจอก็เป็นสัตว์อสูรระดับที่ 9 เท่านั้น เช่นนี้ผลึกอสูรคลั่งจะทำงานได้อย่างเต็มที่หรือท่านบาทหลวง?" ชายในชุดคลุมเอ่ยถาม

    "อย่าได้เป็นห่วง จากการสอบถามเหล่านั้กวิจัยได้ความว่าหากพวกเราอัดพลังเข้าสู่ผลึกอสูรคลั่งได้มากพอ ผลกระทบจากผลึกอสูรนี้ก็จะสามารถแผ่ขยายออกไปกินอาณาเขตหลายสิบกิโลเมตร" บาทหลวงเจมินี่เอ่ย

    "ดี เช่นนั้นเราก็มาเริ่มกันเถอะ ข้าอยากเห็นเต็มที่แล้วว่าผลึกอสูรคลั่งนี้จะใช้ได้ผลสักเพียงไร" ชายในชุดคลุมเอ่ย

    บาทหลวงเจมินี่ได้ยินเช่นนี้มันก็กางฝ่ามือของตนเองออกปรากฎให้เห็นผลึกสีดำขนาดไม่ใหญ่ไปกว่าฝ่ามือเท่าใดนักล่องลอยอยู่ มันผลักฝ่ามือของตนเองออกไปส่งผลให้ผลึกสีดำนั้นลอยออกไปยังเบื้องหน้าของมัน

    ชายในชุดคลุมเห็นเช่นนั้นก็ถอดผ้าคลุมของตนเองออกเผยให้เห็นผมสีครีมภายใต้ฮูดซึ่งเป็นสีผมของผู้คนที่มาจากทวีปกลาง จากนั้นมันก็นั่งลงรวบรวมพลังของตนเองให้ไหลผ่านไปยังฝ่ามือทั้งสองและผลักดันถ่ายทอดมันไปยังเบื้องหน้าที่ผลึกอสูรคลั่งล่องลอยอยู่

    บาทหลวงเจมินี่เห็นเช่นนั้นก็ไม่รอช้านั่งลงเร่งพลังของตนเองขึ้นและส่งผ่านมันไปยังผลึกอสูรคลั่งที่ลอยอยู่เช่นเดียวกัน แสดงอ่อนๆซึ่งเกิดจากกระแสพลังงานจิตวิญญาณที่ถูกถ่ายโอนจากร่างของทั้งสองเข้าสู่ผลึกอสูรคลั่งทอแสงขึ้นท่ามกลางความมืด พลังงานจิตวิญญาณระดับจักรพรรดิแผ่กระจายไปทั่วทั้งบริเวณในทันดี

    ทางด้านขบวนเรือเหาะของกาเล็ทหลังจากใช้เวลาเดินทางกว่าหลายชั่วโมงสุดท้ายแล้วเรือเหาะก็เข้าสู่เขตของหุบเขาอสูรฟ้าและรอยลำอยู่เหนือเมฆหมอกหนาทึบที่ปกคลุมอยู่ทั่วทั้งหุบเขาอสูรฟ้า "หยุด ลอยลำรอสัญญาณจากข้า" กล่าวจบกาเล็ทก็กระโดดพุ่งทะยานลงจากเรือเหอะด้วยความเร็วสูงฝ่าเมฆหมอกหนาทึบลงสู่เขตป่าทึบเบื้องล่าง การพุ่งทะยานลงไปด้วยความเร็วของกาเล็ทส่งผลให้เกิดกระแสพลังผลักดันเมฆหมอกที่บดบังทัศนวิสัยเบื้องล่างอยู่ให้แหวกออกเป็นวงกว้างจนสามารถมองเห็นผืนป่าด้วยตาเปล่าจากบนเรือเหาะได้

    เสียงโครกครากของต้นไม้ที่ถูกโค่นให้ล้มคลืนดังขึ้นไม่ขาดสาย

    เมื่อปรับพื้นที่ให้เรียบเนียนพร้อมต่อการลงตอดของเรือเหาะกาเล็ทก็ส่งสัญญาณให้นำเรือเหาะลงจอดยังผืนป่า

    "เราจะทำอย่างที่นัดแนะกันไว้ แบ่งแยกออกเป็นสี่กลุ่มกระจายตัวกันออกไปเพื่อล่าสัตว์อสูรเอาแก่นจิตวิญญาณ จงจำไว้ว่าอย่าได้เคลื่อนไหวเพียงลำพังอย่างน้อยให้ไปกันเป็นคู่และอย่าได้ออกห่างจากกลุ่มของตนเองมากนัก หากเกิดเหตุฉุกเฉินขึ้นให้จุดพลุสัญญาณที่ให้ไว้แต่ขอให้นั่นคือทางเลือกสุดท้ายจริงๆ อย่าได้ลืมว่าพวกเราอยู่ภายในป่าเขา" กาเล็ทเอ่ยกับทั้งหมด ก่อนที่จะปล่อยแถวผู้คนให้จากไปทำภารกิจกาเล็ทยังไม่ลืมที่จะหันไปกับชับกับลูกน้องคนสนิทของตนเองทั้งสี่ "หากว่าพบเจอกับสัตว์ร้ายที่เกินกว่ากำลังก็ให้จุดพลุสัญญาณอย่าได้ลังเล อย่าได้ทุ่มเทเสี่ยงชีวิตอย่างไม่จำเป็น" กาเล็ทเอ่ยกล่าวขณะจ้องมองเข้าไปในดวงตาของขุนพลทั้งสี่ของตนเองด้วยสายตาที่แสดงออกถึงความหนักแน่นในสิ่งที่ตนพูด ด้วยรู้ว่าขุนพลทั้งสี่ของตนเองมีนิสัยใจคอเช่นไร

    "ขอรับ/เจ้าค่ะ" ทั้งสี่ขานรับจากนั้นก็ไม่รอช้าให้เสียเวลา ทั้งสี่เริ่มนำทางคนจากกลุ่มของตนเองกระจายตัวเข้าสู่ภายในของหุบเขาไป

    "หวังว่าจะทุกย่างจะผ่านพ้นไปโดยไร้ปัญหา" เทลเล่อเอ่ยกล่าวขณะที่มองตามเงาหลังของกลุ่มคนของตนเองที่หายเข้าไปในป่าทึบ

    "ท่านอาจารย์อย่าได้เป็นห่วง จากคำบอกเล่าของมิร่าน้อยพื้นที่แถบนี้นั้นยังคงอยู่ในอาณาเขตเก่าของนาง สมควรที่จะไม่มีสัตว์อสูรระดับสูงใดซ่อนตัวอยู่" กาเล็ทเอ่ย

    "เมื่อครั้งก่อนเจ้ามิใช่บอกว่าพบเจอกับราชสีห์หางงูซึ่งมีระดับพลังถึงระดับราชาหรอกหรือ?" เทลเล่อเอ่ย
    "ต่อให้มีสัตว์อสูรที่ทรงพลังดั่งเช่นราชสีห์หางงูอยู่จริงย่อมมิใช่เป็นเรื่องดีหรอกหรือท่านอาจารย์ แก่นจิตวิญญาณระดับราชามิใช่จะทำให้เป้าหมายของพวกเราเสร็จสิ้นได้รวดเร็วขึ้นหรือ? อีกทั้งลูกน้องทั้งสี่ของข้าก็มีการพัฒนาขึ้นพวกมันแต่ละคนล้วนแล้วแต่มีพลังอยู่ในระดับราชาขั้นกลางแล้วต้องไม่พลาดท่าเสียทีโดยง่าย หากเกิดการปะทะกันขึ้นท่านอาจารย์ที่เฝ้าระวังอยู่ย่อมสามารถที่จะตรวจจับได้ไม่ยาก" กาเล็ทเอ่ย

    "หืม ให้ข้าทำหน้าที่เฝ้าระวังภาพรวมเช่นนั้นเจ้ากับมิร่าน้อยเล่าจะทำอะไร" เทลเล่อเอ่ยถาม

    "ข้าและมิร่าน้อยจะใช้โอกาสนี้สำรวจพื้นที่ส่วนอื่นของหุบเขาอสูรฟ้า" กาเล็ทเอ่ย

    เทลเล่อได้ยินดังนั้นก็เหลือบมองผู้เป็นศิษย์วูบหนึ่ง "อืมเช่นนั้นก็ระวังตัวด้วย"


    ด้วยเหตุนี้เวลาก็ล่วงเลยผ่านไปกว่าสองวัน สองวันที่ผ่านมานี้ทั้งสี่กลุ่มที่นำโดน เจฟ โรส มาร์ตินและเรน่า ออกล่าสัตว์อสูรได้เป็นจำนวนไม่น้อย

    "เอาล่ะพวกเราจะพักฟื้นฟูเรี่ยวแรงกันสักหน่อยจากนั้นจะเร่งถอนกำลังกลับไปรวมพลกับอีกสามกลุ่มที่เหลือตามแผนการที่วางไว้" เจฟเอ่ยกับเหล่าแม่ทัพนายกองและหัวหน้าตระกูลใหญ่ในกลุ่มของตนเอง

    "ฮ่า ข้าล่ะเหนื่อยแทบตาย การได้ออกกำลังเช่นนี้ทำให้ข้านึกถึงสมัยที่ยังหนุ่มแน่นจริงๆ ไม่นึกเลยว่าเผลอครู่เดียวเวลาก็ล่วงเลยผ่านไปหลายสิบปีแล้ว" หัวหน้าตระกูลใหญ่ผู้หนึ่งเอ่ยกล่าว

    "ข้าเองก็ลืมไปแล้วเช่นกันว่าครั้งสุดท้ายคือเมื่อใดที่ได้ออกกำลังต่อสู้เช่นนี้ ไม่นึกเลยว่าข้าซึ่งมีระดับพลังอยู่ที่ระดับ 8 จะหืดขึ้นคอถึงเพียงนี้เพราะต่อสู้กับลิงหิมะ" หัวหน้าตระกูลอยู่ผู้หนึ่งเอ่ย

    "ลิงหิมะแม้จะเป็นสัตว์อสูรที่มีระดับไม่สูงมากนักแต่ที่น่ากลัวนั้นคือพวกมันมักจะอยู่กันเป็นฝูง การพบเจอกับลิงหิมะฝูงใหญ่นี้นับว่าไม่เลวร้าย หากไม่ใช่เพราะพวกมันกลุ่มของพวกเราคงไม่สามารถร่วมรวบแก่นจิตวิญญาณได้ครบถ้วนตามที่ตั้งเป้าหมายไว้ ทั้งหมดนี้ก็ต้องยกความดีทั้งหมดให้กับท่านขุนพลเจฟ ท่านขุนพลเจฟช่างสมกับพยัคฆ์ในหมู่ฝูงแกะดั่งเช่นพวกเราจริงๆ" แม่ทัพนายหนึ่งเอ่ยกล่าวถึงเหตุการณ์ที่ได้ผ่านพ้นไปไม่นานออกมา ในช่วงท้ายมันยังไม่ลืมที่จะเอ่ยสอพลอต่อเจฟซึ่งเป็นหนึ่งในขุนพลของตระกูลบุสโซ่ แรกเริ่มเดิมทีแล้วทุกผู้คนต่างคิดเพียงว่าตระกูลบุสโซ่ที่ทะยานขึ้นฟ้ามาได้อย่างรวดเร็วนั้นคงมีแต่เพียงกาเล็ท บุสโซ่ ที่เป็นขุมกำลังหลัก อื่นๆภายในล้วนนับว่าไม่ได้อยู่ในสายตา แต่การได้ออกล่าสัตว์อสูรทำภารกิจในครั้งนี้ทำให้พวกมันได้รู้ว่า ขุนพลของตระกูลบุสโซ่หาได้มีแต่เพียงชื่อเสียงไว้ข่มขู่ผู้คน หากแต่ยังมากไปด้วยฝีมือและแข็งแกร่ง ในการต่อสู้กับฝูงลิงหิมะหลายสิบตัว เป็นเจฟที่แสดงพลังและฝีมือใช้หอกวิเศษในมือไล่ฟาดหวดทิ่มแทงใส่ลิงหิมะตัวแล้วตัวเล่าจนตกตายเป็นใบไม้ร่วง เช่นนี้แล้วจะมีผู้ใดไม่อยากสนิทสนมกลมเกลียวด้วย

    "ขอบใจท่านแม่ทัพที่เอ่ยชม" เจฟยกมือของตนเองขึ้นเอ่ยรับคำชมจากแม่ทัพผู้นั้นพอเป็นพิธี


    ผลึกอสูรคลั่งที่ถูกอัดพลังระดับจักรพรรดิเข้าไปอย่างไม่ขาดสายตลอดหลายวันที่ผ่านมา บัดนี้มันได้ขยายใหญ่ขึ้นจากขนาดเดิมของมันอย่างเทียบไม่ติด ผลึกอสูรคลั่งที่เคยมีขนาดเพียงแค่ฝ่ามือกลับขยายใหญ่จนมีขนาดไม่ต่างจากคนผู้หนึ่งแล้วอีกทั้งในตอนนี้มันยังแผ่นคลื่นพลังบางๆออกมาเป็นระลอกไม่ขาด

    "อีกแค่เพียงอึกใจ ทวีปตะวันออกแห่งนี้ก็จะได้พบเจอกับความโกลาหล หากจำไม่ผิดจักรพรรดิทมิฬผู้ที่สังหารจักรพรรดิแดงได้มิใช่อาศัยอยู่ในโรฮานซึ่งมีเขตแดนติดอยู่กับหุบเขาแห่งนี้หรอกหรือ ข้าล่ะอยากรู้นักว่ามันจะแสดงสีหน้าเช่นไรขณะที่เห็นอาณาจักของมันถูกเหยียบย่ำไปด้วยสัตว์ร้ายที่คิดแต่จะฆ่าฟัน" เอกีย์เอ่ย

    "เอกีย์อย่าได้วอกแวกตอนนี้อยู่ในช่วงสำคัญไม่อาจให้เกิดข้อผิดพลาดขึ้นได้" บาทหลวงเจมินี่เอ่ยเตือน

    ขณะที่พวกมันทั้งสองกับลังเอ่ยสนธนากันอยู่มันกลับตรวจพบสิ่งแปลกปลอม "ผู้ใด" เอกีย์ตวาดลั่นเมื่อสัมผัสได้ว่าดงไม้ที่อยู่ห่างไม่ไกลออกไปมีสิ่งแปลกปลอมหลบซุ่มอยู่ พร้อมกันกับคำที่ตวาดออกไปมันก็ซัดฝ่ามือออกปล่อยคลื่นพลังเข้าจู่โจมใส่ดงไม้

    "อ๊าก" เสียงร้องของผู้คนดังขึ้นมาทันใด

    เอกีย์กับบาทหลวงเจมินี่เห็นเช่นนั้นก็หันกลับมาสบตากัน "เป็นผู้คน!" มันทั้งสองต่างคิดเช่นเดียวกัน มันทั้งสองมิใช่ว่าไม่สามารถตรวจจับสิ่งแปลกปลอมนี้ได้แต่แรก หากแต่สามารถตรวจจับรับรู้ได้จากข่ายพลังจิตวิญญาณที่พวกมันแผ่นกางออกไปโดยรอบ ทว่าพวกมันนั้นคิดว่าที่ตรวจจับได้เป็นสัตว์อสูรหาใช่ผู้คน

    "เรื่องที่พวกเรากระทำอยู่ไม่สามารถให้ผู้ใดพบเห็นได้" บาทหลวงเจมินี่เอ่ยขึ้นมาก่อน

    "แต่จะทำเช่นไร การถ่ายพลังสู่ผลึกอสูรคลั่งกำลังอยู่ในช่วงสำคัญพวกเราไม่สามารถละมือจากไปกำจัดเหล่าหนอนแมลงได้" เอกีย์เอ่ยอย่างร้อนใจ ในใจของมันในตอนนี้มีคำถามมากมายผุดขึ้นมามากมาย ยกตัวอย่างเช่น ในป่าอสูรฟ้าแห่งนี้เหตุไฉนจึงปรากฎผู้คนขึ้นมาได้และมันผู้นั้นเป็นใคร?

    วี๊ดดดดดด ตู้ม เสียงของพลุไฟ ฉุกเฉินดังขึ้น

    "ท่าไม่ดีแล้ว ทางด้านนี้ข้าจะรับผิดชอบเอง เจ้าเร่งรีบไปตามล่าสังหารคนผู้นั้นอย่าให้หนีรอดไปได้ จงจำไว้ไม่ว่าอย่างไรต้องเก็บกวาดทุกผู้คนที่พบเห็นเรา" บาทหลวงเจมินี่เอ่ยกับเอกีย์

    "รับทราบท่านบาทหลวง" เอกีย์กัดฟันเอ่ยกล่าวขณะที่รั้งดึงฝ่ามือทั้งสองของตนเองกลับคืนและลุกยืนขึ้น "เรื่องสำคัญของท่านจักรพรรดิจรัสแสงข้าเอกีย์จะไม่ให้ผู้ใดมาขัดขวางได้แน่" มันคิดกับตนเอง

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×