ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    Tales of Yuyan ตำนานเรื่องเล่าแห่งยูยาน

    ลำดับตอนที่ #252 : จักรพรรดินีแห่งทวีปใต้

    • เนื้อหานิยายตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 4.78K
      367
      4 ต.ค. 61


    ซานซานกับเหม่งอี้และผู้ฝึกพลังที่รวบรวมมาได้อีกจำนวนหนึ่งซึ่งเร่งรุดเดินทางมาจนเกือบถึงเมืองเป่ยอิงพลันเริ่มสังเกตุเห็นกลุ่มผู้คนที่แบกข้าวของหลบหนีออกมาประปรายตามรายทาง "องค์จักรพรรดินี" เหม่งอี้ลูกน้องคนสนิทที่ด้านข้างเอ่ยเรียกให้ผู้เป็นนายหันมองดู

    "ข้าเห็นแล้วเหม่งอี้ เกรงว่าหากพวกเรายังชักช้าอยู่เมืองเป่ยอิงคงถูกตีแตกแน่แล้ว" ซานซานเอ่ยจากนั้นพลันเร่งความเร็วของตนเองขึ้นเป็นเท่าทวี

    เมื่อมาถึงซานซานกลับพบว่าตัวเมืองเป่ยอิงนั้นถูกลุมโจมตีจากเรือเหาะซึ่งลอยอยู่บนฟากฟ้าจนกลายเป็นทะเลเพลิง เรือเหาะของทวีปกลางที่ลอยลำอยู่เหนือเมืองเป่ยลิงลำแล้วลำเล่าทิ้งก้อนหินใหญ่ที่ติดไฟให้ล่วงลงสู่ตัวเมืองด้านล่างอย่างต่อเนื่อง ซานซานซึ่งเห็นภาพตัวเมืองที่เคยสุขสงบต้องตกอยู่ในทะเลเพลิงผู้คนส่งเสียงร่ำร้องเรียกหาญาติมิตรก็กัดริมฝีปากของตนเองแน่น สงครามมีแต่นำมาซึ่งความทุกข์ยาก คำกล่าวนี้ไม่ได้กล่าวเกินจริงไปเลย ภาพตรงหน้าที่นางได้เห็นอยู่ตอนนี้นับว่าเป็นเครื่องพิสูจน์ได้อย่างดี "เหม่งอี้ นำผู้คนลงไปรวบรวมทหารประจำเมืองที่แตกกระเจิงอยู่ให้เข้าที่จากนั้นรีบเร่งแบ่งกำลังออกช่วยเหลือชาวเมืองให้หลบหนีออกจากเมืองเป่ยอิง" ซานซานเอ่ยสั่งการจากนั้นนางพลันเงยหน้าจ้องมองไปยังเรือเหาะของทวีปกลางทั้งหกลำที่ลอยลำอยู่เหนือเมืองเป่ยอิง

    ตูมมม เรือเหาะลำหนึ่งถูกลำแส้ซึ่งยาวนับสิบเมตรตวัดตัดผ่านจนแตกออกเป็นสองเสี่ยงแยกออกจากกัน "เรือเหาะถูกโจมตี สละเรือ สละเรือ" หลังจากเรือเหาะซึ่งถูกแส้ในมือของซานซานฟาดหวดเข้าใส่จนแยกออกจากกันค่อยๆอัปปางลง เหล่านักรบภายในเรือเหาะต่างพากันตะโกนร่ำร้องส่งสัญญาณเตือนให้แก่กันจากนั้นเหล่านักรบที่พอจะมีความสามารถก็แตกฮือหลบหนีออกจากเรือเหาะที่กำลังอัปปางลำหนึ่งเสมือนผึ้งที่แตกออกจากรัง

    เรือเหาะลำอื่นๆของทวีปกลางที่เห็นว่ามีผู้บุกรุกเข้ามาจู่โจมเข้าใส่ เหล่าผู้ทำหน้าที่ควบคุมดูแลเรือเหาะอยู่ต่างพากันตระโกนร่ำร้องสั่งการเป็นการใหญ่ "มีศัตรูเข้ามาใกล้ เปิดการทำงานของม่านพลังคุ้มครองเรือเหาะ มีศัตรูเข้ามาใกล้เปิดการทำงานของม่านพลังคุ้มครองเรือเหาะ" สิ้นเสียงร้องตระโกนสั่งการไม่นานเรือเหาะที่เหลืออีกห้าลำซึ่งลอยลำอยู่เหนือน่านฟ้าของเมืองเป่ยอิงก็ปรากฎแสงประหลาดเกิดขึ้นเคลือบไปทั่วทั้งลำเรือ

    แม้ซานซานจะเห็นเช่นนั้นหากแต่นางกลับยังสบัดข้อมือของตนเองอีกครั้งเพื่อส่งลำแส้ของนางตวัดเข้าฟาดหวดใส่เรือเหาะของศัตรูอีก ปังงง เสียงดังสนั่นหวั่นไหวเกิดขึ้นอีกครั้ง แม้ในครั้งนี้ลำแส้ในมือของซานซานไม่สามารถตัดฝ่าเรือเหาะให้ขาดออกเป็นสองเสี่ยงได้แต่มันยังคงมีแรงปะทะมากพอที่จะส่งให้เรือเหาะที่ถูกฟาดหวดเข้าใส่เสียการทรงตัวเอนเอียงเข้าไปปะทะกับเรือเหาะอีกลำที่ลอยลำอยู่ไม่ไกล "หากว่าเรือเหาะทุกลำของทวีปกลางที่ยกมาในครั้งนี้ล้วนแล้วแต่มีความสามารถถึงเพียงนี้เช่นนั้นนี่ก็ไม่ใช่เรื่องล้อเล่นแล้ว" ซานซานลอบประเมินถึงกำลังรบของศัตรู การที่เรือเหาะลำหนึ่งจะสร้างม่านพลังป้องกันตนเองเช่นนี้ได้นั่นย่อมหมายความถึงภายในเรือเหาะได้ติดตั้งกลไกไว้ ไม่เพียงแต่มีกลไกที่สลับซับซ้อนเท่านั้นภายในเรือเหาะยังต้องมีนักรบระดับสูงที่จะต้องคอยส่งถ่ายพลังของตนเองเข้าไปยังกลไกเพื่อให้ม่านพลังทำงาน เช่นนั้นหากว่าเรือเหาะทั้งหกสิบลำที่ได้รับรายงานมาก่อนหน้าล้วนแล้วแต่มีกำลังรบดังเช่นเรือเหาะทั้งหกลำที่ลอยลำอยู่เหนือเมืองเป่ยอิงย่อมหมายความว่าศึกนี้ย่อมเป็นศึกที่หนักหนาสาหัสกว่าที่ตัวนางคาดคิดไว้มากนัก


    "พี่ใหญ่ดูนั่น เป็นดั่งที่พี่ใหญ่คาดการณ์ไว้ จักรพรรดินีแห่งทวีปใต้เดินทางมายังเมืองเล็กๆแห่งนี้เพื่อช่วยเหลือประชาชนของนางจริงๆ" ลำดับสองแห่งพี่น้องวอเรนเอ่ยเรียกชี้ให้ผู้เป็นพี่ใหญ่ของมันหันมองไปยังเบื้องหน้า

    "จักรพรรดินีแห่งทวีปใต้ผู้นี้ออกจะไม่ระมัดระวังตัวไปแล้ว" เซเนียลเลิกคิ้วขึ้นสูงเอ่ยกล่าววิจารย์ถึงการกระทำที่หุนหันพลันแล่นของซานซาน จริงอยู่ที่มันคิดคำนวนไว้ว่าจักรพรรดินีซานซานจะต้องเดินทางมายังเมืองเป่ยอิงแห่งนี้แน่นอนหากแต่มันยังไม่คาดคิดว่านางจะมุ่งหน้ามาถึงได้รวดเร็วถึงเพียงนี้ อีกทั้งยังนำนักรบเพียงไม่กี่คนเท่านั้นติดตามมา

    "พี่ใหญ่นี่มิใช่โอกาสดีหรอกหรือที่พวกเราจะลงมือ" ลำดับสองเอ่ยถามอีกครั้ง

    เซเนียลที่ได้ยินคำถามก็หลับตาขบคิดอยู่ครู่หนึ่ง "รออีกสักครู่เถอะ" เซเนียลต้องการให้ประชาชนที่ดิ้นรนหลบหนีคอยเป็นห่วงพันธนาการซานซานไว้ ยิ่งซานซานเห็นผู้คนของนางทุกข์ระทมมากเท่าใด ก็จะยิ่งเป็นการยากเท่านั้นที่นางจะตัดใจทิ้งพวกเขาไป หากว่าพวกมันห้าพี่น้องเข้าบีบคั้นจักรพรรดินีผู้นี้จนเกินไปอาจบางทีนางอาจจะเลือกที่จะตัดใจอำมหิตทิ้งผู้คนส่วนน้อยให้ตกตายเพื่อรักษาส่วนรวมไว้ก็เป็นได้ มิสู้ให้ความหวังแก่นางสักหน่อยว่านางยังคงสามารถที่จะช่วยเหลือผู้คนเหล่านั้นไว้ได้

    "พี่ใหญ่ หากว่าพวกเราขืนชักช้ากว่านี้ แนวหน้าที่พวกเราส่งไปคงถูกนางทำลายล้างจนสิ้น" ผู้เป็นลำดับสามเอ่ยทัดทานขึ้นมา

    เซเนียลได้ยินเช่นนั้นก็แค่นเสียงในลำคอ "เพื่อจุดประสงค์ที่ยิ่งใหญ่แล้วจะต้องมีการเสียสละบ้างก็ถือว่าเป็นสิ่งที่จำเป็น"

    ทางด้านซานซานที่ระบายความโกรธแค้นที่มีออกมาผ่านลำแส้ซึ่งสบัดฟาดหวดเข้าใส่เรือเหาะของทวีปกลางทั้งห้าลำครั้งแล้วครั้งเล่าจนเรือเหาะทั้งห้าลำโอนเอนไปมาไม่สามารถรักษาการทรงตัวไว้ได้ แม้จะมีม่านพลังคอยป้องกันเรือเหาะไว้แต่จะอย่างไรม่านพลังนี้ก็เกิดจากพลังของผู้คนที่ต้องส่งผ่านกลไกเครื่องมือออกมา

    ผู้ฝึกฝนระดับ 9 ซึ่งทำหน้าที่ควบคุมกลไกของม่านพลังภายในเรือเหาะแต่ละลำของทวีปกลางซึ่งมีถึงลำละสามคนต่างมีสีหน้าเขียวคล้ำกันอย่างถ้วนหน้าแสดงถึงความยากลำบากที่พวกมันได้รับ

    สุดท้ายแล้วจากการระดมจู่โจมฟาดหวดเข้าใส่ของซานซานก็ทำให้เรือเหาะที่เหลืออยู่อีกห้าลำถูกนางฟาดหวดทำลายจนอำปางลง ผู้คนของทวีปกลางต่างแตกฮือหลบหนีเอาตัวรอดออกมาจากเรือเหาะทั้งห้าลำ "เรือเหาะเพียง หกลำก็กินแรงเราถึงเพียงนี้" ซานซานคิดประเมินกับตนเอง พร้อมกันนั้นนางก็แผ่ขยายข่ายจิตวิญญาณของตนเองให้กว้างไกลออกไปเพื่อตรวจจับประเมินสถานการณ์ ใช้เวลาอยู่ครู่หนึ่งซานซานก็ลืมตาคู่สวยขึ้นจากนั้นนางพลันหันมองไปยังทิศทางหนึ่งที่อยู่ห่างไกลออกไปซึ่งเป็นทิศทางที่กำลังหลักของทวีปกลางและพี่น้องวอลเรนตั้งคอยท่าอยู่ "ผู้มีพลังระดับจักรพรรดิถึงห้าคน ไม่นึกเลยว่าทวีปกลางจะทุ่มกำลังออกมามายมายถึงเพียงนี้" แม้จะเกิดความรู้สึกไม่สู้ดีเท่าใดนักแต่อย่างน้องสำหรับนางก็มีเรื่องหนึ่งที่นับว่าเป็นข่าวดี นั่นคือในผู้มีพลังระดับจักรพรรดิของศัตรูห้าคนนั้นไม่มีจักรพรรดิจรัสแสงอยู่ หากในครั้งนี้เป็นจักรพรรดิจรัสแสงที่นำทัพมาเองเกรงว่านางคนต้องพบเจอกับความยากลำบากแล้วแต่เมื่อเขาไม่ปรากฎตัวอยู่ที่แห่งนี้นางก็มีความมั่นจะที่จะพลิกเปลี่ยนรับมือกับสถานการณ์ได้ หากจะให้กล่าวตามตรงแล้วในโลกนี้มีบุคคลอยู่เพียงสองคนที่ตัวนางรู้สึกหวั่นเกรงและไม่มีความมั่นใจว่าตนเองจะสามารถเอาชนะรับมือได้ด้วยลำพังกำลังของตนเอง หนึ่งนั้นคือจักรพรรดิจรัสแสงแห่งทวีปกลางอีกหนึ่งนั้นคือเด็กหนุ่มจากทวีปตะวันออกผู้หนึ่งที่นางพึ่งจะได้รู้จักพบเจอจักรพรรดิทมิฬแห่งทวีปตะวันออกกาเล็ทนั่นเอง นอกจากนั้นไม่มีผู้ใดที่นางรู้สึกหวั่นเกรงอีก

    แม้ว่าจะยังเกิดความรู้สึกสงสัยอยู่ลึกๆในใจถึงการกระทำของศัตรูว่าเหตุใดจึงคอยท่าดูเชิงอยู่ไม่ยอมเคลื่อนไหวและปล่อยให้แนวหน้าของตนเองถูกนางกวาดล้างทำลายแต่ในตอนนี้ยังไม่ใช่เวลาที่นางจะคิดหาคำตอบในเรื่องนั้น การที่ศัตรูเปิดโอกาสให้เวลากับตนเองได้พักหายใจเช่นนี้ย่อมถือว่าเป็นเรื่องดีเช่นนั้นนางก็ยินดีที่จะรับโอกาสนี้ที่พวกมันมอบให้ไว้ ในตอนนี้สิ่งที่ต้องกระทำเป็นอันดับแรกสำหรับนางคือการช่วยเหลืออพยพผู้คนออกจากเมืองเป่ยอิงให้มากเท่าที่จะมากได้ เมื่อเห็นว่าศัตรูที่นอกเมืองยังคงไม่มีความเคลื่อนไหวใดซานซานก็เร่งรุดไปสมทบกับกลุ่มบริวารของตนเองที่เบื้องล่างซึ่งกำลังรวบรวมทหารป้องกันเมืองและจัดหมวดหมู่สั่งงานอยู่

    "ท่านจักรพรรดินี ข้าคิดว่าเมืองเป่ยอิงนั้นไม่อาจรักษาไว้.." เหม่งอี้เอ่ยแสดงความเห็นของตนเองออกมา

    "เรื่องนี้ข้าเข้าใจดี ที่ห่วงก็มีแต่ผู้บริสุทธิที่ต้องบ้านแตกสาแหรกขาดจากภัยสงครามก็เท่านั้น" ซานซานเอ่ย

    ได้ยินคำกล่าวของผู้เป็นนายเหม่งอี้ก็สะดุดไป สาเหตุก็เพราะในความคิดของมันไม่เพียงเมืองเป่ยอิงนั้นไม่สามารถที่จะรักษาไว้แม้แต่ผู้คนที่กำลังหลบหนีตอนนี้พวกมันก็ไม่มีกำลังพอที่จะระวังป้องกันให้ปลอดภัยได้ ในความเห็นของมันนั้นสิ่งที่เป็นทางเลือกที่ดีที่สุดในตอนนี้คือถอนกำลังกลับไปเพื่อระดมพลให้พร้อมกว่านี้จากนั้นจึงค่อยหาโอกาสตีโต้กลับคืนจึงจะเหมาะกว่านั่นย่อมหมายความถึงการที่จะต้องทิ้งชาวเหมืองเป่ยอิงที่กำลังหลบหนีให้เผชิญชะตากรรมเอง ไม่เพียงแต่เมืองเป่ยอิงตัวมันยังคิดที่จะเสนอให้ถอนกำลังจากหัวเมืองรายทางกลับไปยังนครหลวงเพื่อตั้งแนวป้องกัน "องค์จักรพรรดินีในความเห็นของข้าพวกเราสมควรถอยกลับไปตั้งแนวป้องกันนอกนครหลวง เมื่อเรียกรวมกำลังได้พรั่งพร้อมแล้วจึงค่อยตีโต้กลับคืนยึดพื้นที่ซึ่งเสียไปกลับคืนมาก็ยังไม่สาย" แม้จะรู่ว่าหากกล่าวเช่นนี้ออกไปอาจจะต้องถูกต่อว่าตำหนิหากแต่เหม่งอี้ก็ไม่อาจที่จะไม่กล่าว

    "เหม่งอี้เรื่องนั้นข้าทราบดีแต่เจ้าลองเหลียวมองดูผู้คนเหล่านี้ ข้าจะหักใจปล่อยให้พวกเขาเผชิญหอกดาบของทวีปกลางได้อย่างไร" ไม่เพียงแต่ไม่เอ่ยต่อว่าตำหนิหากแต่ซานซานกลับเอ่ยตอบด้วยน้ำเสียงที่นุ่มนวล
    "องค์จักรพรรดินีโปรดใคร่ครวญ ท่านคือผู้นำของทวีปใต้เรา ท่านไม่อาจนำตนเองไปเสี่ยงภัย ตราบใดที่ยังไม่รู้ถึงกำลังรบและจุดมุ่งหมายของศัตรู..." เอ่ยกล่าวยังไม่ทันจบมันก็ถูกซานซานยกมือขึ้นมาห้ามปรามไว้

    "เอาเช่นนี้เป็นอย่างไร เราจะตั้งแนวป้องกันที่เมืองอี้ผิง สิ่งที่เราต้องทำในตอนนี้นั้นคืออพยพผู้คนที่เหลือรอดจากเมืองเป่ยอิงให้เดินทางสู่เมืองอี้ผิงโดยปลอดภัย หากทำได้คิดว่าอาจบางทีพวกเราคงสามารถที่จะสกัดถ่วงศัตรูไว้ได้รอจนกำลังเสริมที่เนี่ยเฟยรวบรวมยกมาถึง" ซานซานเอ่ย

    "องค์จักรพรรดินี ต่อให้กำลังเสริมของเนี่ยเฟยยกมาถึงอย่างทันท่วงทีก็เกรงว่าคงเป็นไปได้ยากที่เราจะเอาชนะศัตรูได้ ข้าคิดว่าพวกเราสมควรที่จะละทิ้งหัวเมืองตามรายทางต่างๆและระดมพลกลับไปตั้งแนวป้องกันที่จุดเดียวจะเหมาะกว่า ขอองค์ตักรพรรดินีโปรดใคร่ครวญ" เหม่งอี้ยังคงเอ่ยทัดทานการตัดสินใจของซานซาน

    "เหม่งอี้ ในฐานะจักรพรรดินีแห่งทวีปใต้ข้าจะละทิ้งผู้คนภายใต้ร่มธงของตนเองและปล่อยให้พวกเขาตกตายโดยไม่ลงมือกระทำอะไรได้อย่างไร ข้าไม่อาจหักใจอำมหิตทนดูพวกเขาต้องเผชิญกับการรุกไล่ฆ่าฟันของศัตรูได้ อย่าว่าแต่นี่คือทวีปใต้ นี่คือแผ่นดินซึ่งเป็นบ้านของพวกเราจะนิ่งเฉยมองดูปล่อยให้ผู้คนย่ำยีแผ่นดินเกิดเช่นนี้ได้อย่างไร" ซานซานถอนหายใจเอ่ยออกมา

    "แต่."

    "เหม่งอี้เจ้าวางใจ ข้าได้ตรวจสอบกำลังรบของทัพหลักศัตรูมาบ้างแล้ว ถึงแม้ว่าผู้นำทัพของพวกมันจะเป็นระดับจักรพรรดิถึงห้าคน ข้าเชื่อว่าหากพวกเราร่วมแรงร่วมใจกันยังสามารถที่จะรับมือได้ขอเพียงพวกเราต้านรับลากถ่วงได้สักระยะเวลาหนึ่งเชื่อว่าท่านจักรพรรดิเซอกีย์และท่านจักรพรรดิออก้าที่ทราบข่าวจะต้องรีบรุดยกกำลังพลมาช่วยเหลือแน่นอน" ซานซานเอ่ยกล่าวขณะยื่นมือเรียวงามของตนเองออกไปตบเข้าที่ไหล่ของเหม่งอี้เพื่อให้กำลังใจ ที่นางเอ่ยกล่าวเช่นนี้และมั่นใจว่าสามารถที่จะลากถ่วงศัตรูที่เป็นถึงระดับจักรพรรดิห้าคนไว้ได้หาใช่คำกล่าวโคมลอยหากแต่นางนั้นมีความมั่นใจในระดับฝีมือของตนเอง




    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×