ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    Tales of Yuyan ตำนานเรื่องเล่าแห่งยูยาน

    ลำดับตอนที่ #303 : เพื่อชดเชยให้กับมันแล้วพวกเจ้าไม่อาจไม่ตาย

    • เนื้อหาตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 3.91K
      369
      2 ม.ค. 62


    ใช้เวลาเตรียมการเพียงครึ่งค่อนวันเรือเหาะสำหรับเดินทางสู่แคว้นสมิทตามคำเชิญของตระกูลโรม่าก็ถูกจัดเตรียมไว้อย่างพร้อมสรรพสำหรับการเดินทางในวันพรุ่งนี้ สำหรับกับเรื่องของการขอตัวแชลเทียจากตระกูลเรนเดล นีน่าเพียงเดินทางไปแจ้งบอกเรื่องราวต่อครูโซ่ด้วยตนเอง ครูโซ่ซึ่งเป็นว่าที่พ่อตาของกาเล็ทก็ผงกศรีษะปล่อยตัวผู้เป็นบุตรสาวของตนเองที่ยังอบรมไม่แล้วเสร็จออกมา
    กาเล็ทที่กำลังนั่งตรวจเอกสารและอนุมัติคำร้องของต่างๆอยู่บนโต๊ะทำงานพลันหวนนึกคิดถึงผู้เป็นอาจารย์ของตนเองว่าที่แท้แล้วผู้เป็นอาจารย์หายหน้าไปที่ใด "ตั้งแต่กลับมาจากทวีปเหนือท่านอาจารย์ก็หายหน้าหายตาไปหลายวันแล้ว ไม่ทราบว่าตอนนี้ไปอยู่ที่ใด" กาเล็ทหวนนึกอย่างเป็นห่วง เมื่อแหงนมองหน้าขึ้นมาก็พบว่าโรสกำลังยืนจับจ้องมองตนเองอยู่อย่างครุ่นคิด
    "มาถึงแล้วเหตุใดจึงไม่บอกกล่าว มายืนจ้องมองข้าอยู่ทำอะไร" กาเล็ทส่ายศรีษะขณะที่เอ่ยถาม
    โรสได้ยินเช่นนั้นก็ยิ้มหัวเราะออกมา "ข้าเพียงแต่นึกสงสัยว่านายน้อยที่เพรียบพร้อมทุกอย่างเหตุใดจึงแสดงท่าทางเสมือนว่าหนักอกหนักใจครุ่นคิดอันใดอยู่เจ้าค่ะ" โรสเอ่ย หากจะให้กล่าวแล้วโรสนั้นเป็นลูกน้องคนสนิทที่กล้าเอ่ยกล่าวพูดคุยกับกาเล็ทอย่างสนิทสนมที่สุด
    "เพรียบพร้อมหรือ? อย่าได้ลืมว่าเมื่อเกือบสองปีก่อนข้ายังเคยทำงานเป็นจับกังใช้แรงงานอยู่ที่เมืองรีเวลอยู่เลย เรื่องนี้เจ้าที่เดินทางไปกวาดต้อนจับกุมผู้คน ณ เมืองรีเวลสมควรทราบดี" เอ่ยกล่าวพร้อมทั้งถอนหายใจออกมาวูบหนึ่งให้กับความไม่แน่นอนในชีวิตของผู้คน กาเล็ทก็เอ่ยถามต่อ "เหตุใดถึงได้ใช้เวลานานนัก" กาเล็ทเอ่ยถาม
    "เพราะต้องกวาดต้อนจับกุมผู้คนที่เคยข่มเหงรังแกนายน้อย .. ข่มเหงรังแกตระกูลบุสโซ่เมื่อครั้งเก่าก่อนโดยไม่ให้มีโอกาสหลุดรอดไปได้แม้สักคนเดียวจึงต้องใช้เวลาในการสอบสวนถามไถ่อยู่พอสมควรเจ้าค่ะนายน้อย" โรสเอ่ยรายงาน
    "กวาดต้อนจับกุมผู้คนมาได้มากน้อยเท่าใดลองบอกมา" กาเล็ทเอ่ย
    โรสหยิบเอกสารออกมาจากในอกเสื้อจากนั้นจึงพลิกอ่านดูพร้อบกับแจ้งบอกรายงานแก่กาเล็ท "เหตุการณ์ในครั้งนั้นมีลูกหลานจากตระกูลขุนนางที่เกี่ยวข้องทั้งสิ้น 6 ตระกูลเจ้าค่ะนายน้อย ข้ากวาดต้อนจับกุมพวกมันมาทั้งหมดไม่หลงเหลือไว้แม้สักคนเดียว ทั้งหมดนี้เป็นผู้ที่ลงมือทุบตีนายน้อยเมื่อครั้งนั้นทั้งสิ้น 12 คนเจ้าค่ะ ที่เหลือซึ่งจับกุมมาส่วนใหญ่นั้นเป็นคนในครอบครัวของพวกมันที่ช่วยเหลือในการปกปิดคดีความและสนับสนุนในการก่อการรวมทั้งสิ้นก็กว่า 100 คนเจ้าค่ะ ยังมีบ่าวไพร่จากตระกูลทั้ง6ของพวกมันหากจะให้นับรวมเข้าไปก็รวมทั้งสิ้นอีกกว่า 200 คนเจ้าค่ะ"
    กาเล็ทที่ได้รับฟังรายงานก็เกิดความรู้สึกตกใจอยู่ไหม่น้อย ไม่ทราบว่าลูกน้องของตนเองจับตัวบ่าวไพร่ที่ไม่เกี่ยวข้องมาทำอะไรมากมายถึงเพียงนั้น ดูจากจำนวนผู้คนที่กวาดต้อนจับกุมมาก็นับว่าไม่แปลกแล้วที่ใช้เวลานานถึงเพียงนี้กว่าจะแล้วเสร็จ
    โรสทำท่าเสมือนว่านึกอันใดออกจากนั้นจึงเปิดปากเอ่ยกล่าวต่อ "นายน้อยสำหรับต้นเรื่องในการก่อคดีในครั้งนี้ย่อมเป็นบุตรชายของเจ้าเมืองรีเวลเองเจ้าค่ะ จากการสืบสวนฟังว่ามันนั้นพอมีเส้นสายอยู่ในเมืองหลวงพอสมควรจะให้ข้านำผู้คนไปจับกุมผู้คนจากตระกูลเหล่านั้นมาสอบสวนเพิ่มเติมอีกหรือไม่เจ้าคะ" โรสเอียงคอเอ่ยถาม
    กาเล็ทครุ่นคิดอยู่พักหนึ่งจากนั้นจึงส่ายศรีษะ "คุมตัวพวกมันไว้ยังที่ใด?" กาเล็ทเอ่ยถามถึงเหล่านักโทษ
    "เนื่องจากนักโทษที่ถูกคุมตัวมามีจำนวนมากมาย ที่คุมขังของตระกูลบุสโซ่เรายังไม่กว้างขวางพอที่จะคุมขังพวกมันไว้ทั้งหมดเจ้าค่ะข้าจึงนำผู้คนไปฝากขังยังคุกหลวงภายในเมืองแบรี่ชั่วคราวเจ้าค่ะ" โรสเอ่ยตอบ
    กาเล็ทได้ยินเช่นนั้นก็ผงกศรีษะ "พวกมันซึ่งเป็นผู้ลงมือเมื่อครั้งนั้นจะอย่างไรต้องตายแน่ แต่ว่าหนี้แค้นนี้ข้าไม่อาจที่จะปล่อยให้ผู้อื่นเป็นคนลงมือ" กาเล็ทเอ่ยกล่าวอย่างทอดถอนใจ
    โรสผงกศรีษะรับอย่างเห็นด้วยกับความตายของเหล่านักโทษ ในความเห็นของขุนพลหญิงแห่งตระกูลบุสโซ่ผู้นี้ไม่เห็นว่าการประหารฆ่าล้างผู้คนซึ่งเคยสร้างความลำบากอย่างแสนสาหัสให้กับตนเองเมื่อครั้งก่อนเป็นเรื่องโหดร้ายหรือผิดศีลธรรมอันใด อย่าว่าแต่ผู้ที่ตกเป็นเป้าในการก่อคดีของนักโทษเหล่านั้นคือนายน้อยซึ่งตนเองเคารพรักอย่างสุดหัวใจ เพียงนึกว่าเมื่อครั้งก่อนนายน้อยและนายหญิงถูกผู้คนเหล่านั้นสุมหัวรวมกันกลั่นแกล้งสร้างความลำบากให้โรสก็เกิดความรู้สึกชิงชังรังเกียจนักโทษเหล่านั้นซึ่งตนเองเป็นผู้กวาดต้อนจับกุมมาอย่างบอกไม่ถูก หากไม่ใช่กลัวว่าพวกมันจะตกตายไปก่อนที่จะนำตัวมาถึงเมืองแบรี่โรสคงลงมือทุบตีพวกมันหนักหน่วงยิ่งกว่าที่กระทำไประหว่างสอบสวนแล้ว
    "อย่าได้ลืมส่งผู้คนไปแจ้งต่อส่วนกลางว่าคดีความรายนี้ตระกูลบุสโซ่ของเราขอเป็นผู้ออกหน้าชำระสะสางเอง" กาเล็ทเอ่ยสั่งการกับโรส
    โรสที่ได้ยินเช่นนั้นแสดงออกถึงสีหน้าประหลาดใจออกมาวูบหนึ่งจากนั้นจึงผงกศรีษะรับอย่างเชื่อฟัง ที่ประหลาดใจเพราะผู้เป็นนายกลับให้กระทำในสิ่งที่ดูไปไร้ความหมายอยู่บ้าง
    "อีกสักครู่ให้นำผู้คนไปคุมตัวเหล่าลูกหลานจากหกตระกูลนั้นพร้อมทั้งครอบครัวของเจ้าเมืองรีเวลมายังตระกูลบุสโซ่เรา ข้าจะลงมือชำระสะสางคดีความด้วยตนเอง สำหรับกับครอบครัวขุนนางอื่นๆที่เกี่ยวข้องให้ปลดออกจากตำแหน่งที่ดำรงค์อยู่ทั้งหมดพร้อมทั้งริบทรัพย์สินเงินทองที่มีเข้าเป็นของส่วนกลาง ผู้คนให้ส่งไปใช้แรงงานหนักเพื่อเป็นการชดใช้ความผิดพร้อมกับบ่าวไพร่ของพวกมันเป็นเวลา 10ปี" กาเล็ทเอ่ยสั่งการ "อืมสำหรับเรื่องปลดออกจากตำแหน่งอย่าได้เป็นผู้ดำเนินการเอง ให้ไปแจ้งบอกต่อนายหญิงซิลเวียและนายหญิงเบลล่าของพวกเจ้าเพื่อให้พวกนางเป็นผู้ประสานงานให้"
    "รับทราบเจ้าค่ะนายน้อย"
    "น่าเสียดายที่เจ้าใช้เวลาจับกุมผู้คนกลับมา มากเกินไป เดิมทีคิดว่าจะใช้ผู้คนจากทวีปกลางที่ถูกจับกุมอยู่เป็นหุ่นฝึกที่มีชีวิตช่วยเพิ่มพูนประสบการณ์ต่อสู้ให้แก่พวกเจ้าทั้งสี่" กาเล็ทเอ่ยกล่าวพร้อมทั้งถอนหายใจออกมา "เช่นนั้นเรื่องนี้ก็เอาไว้หลังจากข้ากลับมาจากแคว้นสมิธแล้วเถอะ" เอ่ยกล่าวจบกาเล็ทก็โบกไม้โบกมือส่งสัญญาณให้แก่โรสรีบออกไปเพื่อไปจัดการตามที่ตนเองสั่งไว้
    โรสได้รับฟังเช่นนั้นก็เกิดความรู้สึกเสียดายอยู่บ้างจากนั้นจึงหมุนกายเดินออกจากห้องไป

    ใช้เวลาไม่นานโรสก็นำตัวผู้คนกว่า 30 ชีวิตมายังลานฝึกภายในตระกูลบุสโซ่ ในจำนวนนี้เป็นบุคคลในครอบครัวของเจ้าเมืองรีเวลมากกว่าครึ่ง
    กาเล็ทรู้สึกลำบากใจไม่น้อยที่ผู้เป็นมารดาของตนเองและเหล่าคู่หมั้นทั้ง 5 ต่างมารออยู่ด้วย ที่ตนเองสั่งให้นำตัวผู้คนมาก็เพื่อที่จะสังหารฆ่าทิ้งกับมือของตนเอง มีแต่การกระทำเช่นนี้จึงจะถือว่าเป็นการชดเชยให้กับมันผู้นั้นที่ไม่อยู่ในโลกนี้แล้วได้
    "กาเล็ทนี่มันเรื่องอะไรกันลูก" นีน่าเอ่ยถามออกมา นางนั้นพอจะจำได้อยู่บ้างว่าหนึ่งในผู้ที่ถูกจับมัดให้คุกเข่าอยู่กลางลานตึกนั้นคือเจ้าเมืองของเมืองรีเวลซึ่งนางและบุตรชายเคยอาศัยอยู่
    "ท่านแม่ เมื่อครั้งที่เรายังอาศัยอยู่ภายในเมืองรีเวล คนพวกนี้นั้นทำกับพวกเราไว้เจ็บแสบนัก พวกมันนั้นบีบเค้นทุกทางจนพวกเราแทบที่จะประคองตัวอยู่ไม่ได้" กาเล็ทเดินเข้าไปเอ่ยกล่าวกับนีน่าผู้เป็นมารดา
    นีน่าแสดงออกถึงความรู้สึกไม่สบายใจออกมาทางใบหน้าให้ได้เห็น ไม่ว่าอย่างไรนางยังคงไม่คุ้นชินกับกลิ่นอายของการฆ่าฟันที่แผ่ออกมาจากตัวของผู้เป็นบุตรชาย "เวรย่อมระงับด้วยการไม่จองเวรนะลูก อีกอย่างตอนนี้พวกเราก็อยู่กันอย่างสุขสบายดี"
    กาเล็ทได้รับฟังผู้เป็นมารดาเอ่ยกล่าวเช่นนั้นก็ทอดถอนใจออกมา หรือจะให้กาเล็ทเอ่ยบอกนีน่าออกไปตามความจริงว่า "ตัวเรานั้นไม่ใช่บุตรชายท่าน บุตรชายท่านที่แท้ตกตายใต้เงื้อมมือพวกมันไปแต่แรกแล้ว" กาเล็ทย่อมไม่สามารถที่จะเอ่ยบอกออกไปเช่นนั้นและไม่กล้าที่จะเอ่ยออกไป
    "ท่านแม่ข้านั้นติดค้างคนผู้หนึ่งอย่างใหญ่หลวงนัก เรื่องนี้ไม่อาจที่จะประนีประนอมยอมความได้ เพื่อชดเชยให้กับมันแล้วคนพวกนี้ไม่อาจไม่ตาย" กาเล็ทเอ่ยในน้ำเสียงแสดงออกถึงความเด็ดเดี่ยว นี่นับว่าเป็นครั้งแรกที่กาเล็ทเอ่ยปฎิเสธคำร้องขอของผู้เป็นมารดา
    นีน่าที่รับรู้ได้ถึงความเด็ดเดี่ยวและการตัดสินใจของผู้เป็นบุตรชายผ่านทางน้ำเสียงก็ได้แต่ถอนหายใจออกมา
    "นายหญิง คนพวกนี้นั้นจิตใจโสมมเปรียบดั่งงูพิษที่พร้อมฉกกัดผู้คนได้ทุกเมื่อ ในยามนี้ยามที่พวกมันเผชิญผู้ที่เข้มแข็งอยู่ตรงหน้าก็แสดงออกว่าตนเองเป็นผู้ถูกกระทำให้ดูน่าเวทนา ขอนายหญิงอย่าได้ถูกงูพิษเหล่านี้หลอกลวงตบตาได้ พวกมันไม่คู่ควรกับความเมตตาของนายหญิงท่านแม้แต่น้อย" โจเซพก้าวเดินออกมาเอ่ยกล่าวช่วยเหลือกาเล็ทอีกแรงหนึ่ง
    "ท่านป้าคะ ตามตัวบทกฎหมายแล้วความผิดที่คนพวกนี้กระทำนั้นแม้ตายสิบครั้งก็ยังไม่สาสมกับความผิดที่พวกมันได้กระทำไป พวกมันไม่เพียงแต่ใช้อำนาจบาตใหญ่รังแกผู้คน จากการตรวจสอบแล้วผู้เคราะห์ร้ายที่ถูกพวกมันทุบตีเล่นสนุกหาได้มีแต่เพียงกาเล็ทเท่านั้น ยังมีมันผู้ซึ่งทำหน้าที่เป็นเจ้าเมืองรีเวลกลับใช้อำนาจที่มีข่มขวัญครอบครัวของผู้เคราะห์ร้ายและช่วยในการปกปิดคดีความ ตัวมันเองก็ใช้ตำแหน่งหน้าที่ที่มีในการหาประโยชน์ใส่ตัวมากมายเช่นกัน" เบลล่าก้าวเดินออกมาช่วยเอ่ยอีกแรงหนึ่ง
    นีน่าได้รับฟังเช่นนั้นก็ทอดถอนใจออกมาอีกครั้ง "ถ้าอย่างนั้นก็เอาตามที่กาเล็ทเห็นสมควรเถอะลูก" เอ่ยกล่าวจบนีน่าก็หันกายเดินกลับเข้าสู่ตัวปราสาทบุสโซ่ไป
    เห็นเช่นนั้นกาเล็ทก็ส่งสายตาให้เหล่าว่าที่ภรรยาทั้งห้าของตนเอง ไม่นานพวกนานก็หันกายติดตามนีน่ากลับเข้าสู่ด้านในไป เมื่อเหตุการณ์เป็นเช่นนี้กาเล็ทจึงก้าวเดินเข้าสู่ลานฝึก "ประเสริฐมาก ถึงขั้นนี้แล้วพวกเจ้ายังสามารถที่จะสร้างความไม่สบายใจให้แก่ท่านแม่ของข้าได้ นับว่ามีความสามารถไม่เลว"
    "ข .. ขอท่านดยุคโปรดให้อภัย ข้าสำนึกผิดแล้ว สำนึกผิดแล้ว"
    "ข้าสำนึกผิดแล้ว"
    คำ ข้าสำนึกผิดแล้ว ปลิวว่อนไปทั่วทั้งลานฝึกของตระกูลบุสโซ่ เหล่าทหารของตระกูลบุสโซ่ที่ชมดูอยู่ถึงกลับต่างเหยียดยิ้มอย่างเหยียดหยามออกมาต่อความขลาดเขลาของผู้คนเหล่านี้
    กาเล็ทเห็นเช่นนั้นก็ถอนหายใจออกมา "เพียงเพราะความสนุกสนานส่วนตัวของพวกเจ้าถึงกลับรวมหัวกันกลั่นแกล้งคนที่อับจนไร้หนทางผู้หนึ่ง ข้าอยากรู้นักว่าที่จริงแล้วในจิตใจของพวกเจ้าในยามนั้นนึกคิดสิ่งใดอยู่กันแน่" กาเล็ทเอ่ยกล่าวพร้อมทั้งเหลือบมองดูเหล่าเด็กหนุ่มจากตระกูลขุนนางทั้งสิบสองคนที่นอนหมอบกราบอยู่กับพื้นโดยไม่กล้าแม้แต่จะขยับตัว กาเล็ทยังจำได้ว่าหนึ่งในนั้นคือบุตรชายของเจ้าเมืองที่ถูกตนเองทุบตีระบายโทสะก่อนที่จะย้ายออกจากเมืองรีเวลมาสู่เมืองหลวง "หากว่าเป็นการกลั่นแกล้งธรรมดาทั่วไปยังพอทำเนาแต่พวกเจ้ากลับใจดำอำมหิตบีบคั้นทุบตีผู้คนจนตาย" กาเล็ทเอ่ยกล่าว
    เหล่าเด็กหนุ่มได้ยินเช่นนั้นต่างสะดุ้งเฮือกหัวใจเต้นแรงออกมา พวกมันย่อมทราบดีว่าผู้ซึ่งถูกกลั่นแกล้งที่เอ่ยถึงนั้นหมายถึงผู้ใด แต่ยังคงมีหลายเรื่องไม่ว่าพวกมันขบคิดเช่นไรก็ไม่เข้าใจ ยกตัวอย่างเช่นคำว่าทุบตีผู้คนจนตกตาย หากว่าตายแล้วไฉนยังยืนอยู่ที่เบื้องหน้าของพวกมันได้อีก? อีกทั้งเมื่อก่อนคนผู้นี้มิใช่เป็นเพียงเด็กน้อยที่ไร้เรี่ยวแรงผู้หนึ่งหรอกหรือ? เหตุใดในยามนี้ไฉนกลับกลายเป็นผู้ยิ่งใหญ่แห่งแผ่นดินทวีปตะวันออกไปแล้ว เรื่องนี้ไม่ว่าอย่างไรพวกมันก็ขบคิดไม่เข้าใจจริงๆ หากว่ามีกำลังกล้าแข็งถึงเพียงนี้เมื่อก่อนเหตุใดยังแสร้งปล่อยให้พวกมันทุบตีจนมีสภาพทุกลักทุเลดูไม่ได้เช่นกลาลก่อนอีก?
    "ขอท่านดยุคโปรดอภัย เพราะเด็กน้อยทั้งหลายอยู่ในวัยคึกคะนองไม่คิดหน้าคิดหลังให้ดีจึงได้กระทำไปอย่างไม่ยั้งคิด จากนี้..." เจ้าเมืองรีเวลเอ่ยกล่าวยังไม่ทันจบประโยคกาเล็ทก็แค่นหัวเราะออกมาคำหนึ่ง
    "เพราะความคึกคะนองของพวกเจ้ากลับทำให้คนผู้หนึ่งต้องตกตาย? ยอดเยี่ยม ยอดเยี่ยมมาก ทราบหรือไม่ว่าท่านแม่ของข้าต้องพบกับความลำบากมากน้อยเท่าใดเพื่อหาเงินทองมาใช้ในการรักษาเยียวยาข้า?" คำกล่าวประโยคนี้ของกาเล็ทฟังดูแล้วออกจะสับสนขัดกันอยู่บ้าง ขณะที่เอ่ยกล่าวกาเล็ทก็ก้าวเดินออกไปย่ำเท้าข้างหนึ่งลงยังลานฝึก พลังสภาวะจากการย่ำเท้านี้ส่งให้พื้นหินของลานฝึกถึงกลับปริแตกออกแสดงออกถึงอารมณ์ความไม่พอใจอย่างยิ่งยวดของกาเล็ทในยามนี้ได้เป็นอย่างดี
    น่าเสียดายหรับพื้นหินของลานฝึกซึ่งพึ่งจะถูกซ่อมแซมให้กลับมาอยู่ในสภาพเดิมได้ไม่กี่ชั่วโมงก็ต้องเกิดการแตกหักเสียหายขึ้นอีกครั้ง
    เจ้าเมืองรีเวลที่คุกเข่าหมอบกราบอยู่สังเหตุเห็นว่าพื้นหินที่แข็งแกร่งเบื้องหน้าถึงกลับแตกร้าวกระจายออกเพียงเพราะการก้าวเหยียบหนึ่งก้าว ดวงตาของมันก็เบิกกว้างเปิดออกด้วยความแตกตื่นตกใจ
    สังเกตุเห็นถึงท่าทีที่หวาดผวาตื่นกลัวของผู้คนทั้งสามสิบคนเบื้องหน้ากาเล็ทก็ได้คิดว่าจะมีประโยชน์อันใดที่ตนเองจะลงมือขู่ขวัญคนพวกนี้และเอ่ยกล่าวถึงเรื่องราวหนหลังอีก? "เพื่อชดเชยให้กับมันแล้วพวกเจ้าไม่อาจที่จะไม่ตาย" กาเล็ทรั้งสภาวะพลังกลับคืนพร้อมทั้งเอ่ยกล่าวถ้อยคำที่ทำให้ผู้คนทั้งสามสิบคนร่างสั่นสะท้านสะเทือน
    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×