ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    Tales of Yuyan ตำนานเรื่องเล่าแห่งยูยาน

    ลำดับตอนที่ #87 : หากไม่รักอย่างยุติธรรมข้าไม่ให้สัมผัส [รีไรท์]

    • เนื้อหาตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 16.38K
      542
      20 พ.ย. 60




    มังกรน้อยบนศรีษะของกาเล็ทเหลียวมองมาที่โจเซพซึ่งกำลังตกตะลึงอยู่อย่างสงสัยใคร่รู้ นางรู้เพียงแต่ว่ามนุษย์ผู้นี้เป็นหนึ่งในคนสนิทของกาเล็ท บ่อยครั้งที่นางเห็นว่ากาเล็ทผู้เป็นบิดาได้มาพูดคุยไหว้วานกับมนุษย์ผู้นี้ดังนั้นนางจึงจัดหมวดหมู่ให้มนุษย์วัยกลางคนที่กำลังยืนตกตะลึงจ้องมองมาที่นางอยู่ตอนนี้อยู่ในกลุ่มคนที่นางไม่อาจล่วงเกินได้ มังกรน้อยใช้ดวงตาที่กระจ่างสุกใสดั่งไข่มุกจ้องมองกลับไปที่โจเซพพร้อมทั้งเอียงคออย่างสงสัยใคร่รู้ ท่าทางของนางดูไปน่ารักน่าชังยิ่ง

    "นา.....นายน้อยนางแข็งแกร่งถึงเพียงนั้นหรือ" โจเซพยังคงเอ่ยถามอย่างไม่อยากจะเชื่อในสิ่งที่ตนเองได้ยินมา จะให้เชื่อลงได้อย่างไรว่าสัตว์อสูรตัวเล็กจ้อยที่อยู่ตรงหน้าของตนเองนี้มีพลังถึงระดับจักรพรรดิ์
    "ท่านลุง ท่านเคยเห็นสัตว์อสูรใดที่สามารถจำแลงกายได้เช่นนางหรือ?" กาเล็ทตอบคำด้วยการเอ่ยถาม
    "ย่อมไม่นายน้อย" โจเซพเอ่ยตอบ
    "บอกต่อท่านลุง แม้แต่ข้าเองก็ไม่แน่ใจนักว่าพลังของนางนั้นแข็งแกร่งถึงระดับใดกันแน่ แก่นจิตวิญญาณของนางนั้นอยู่ในระดับจักรพรรดิ์ขั้นต้นไม่แปลกปลอมทว่าความแข็งแกร่งของนางที่แสดงออกมาข้าคิดว่าเหนือกว่าระดับจักรพรรดิ์ขั้นต้นอยู่หลายขุม" กาเล็ทเอ่ย ตัวตนของมิร่าคือสัตว์อสูร สัตว์อสูรนั้นแข็งแกร่งกว่ามนุษย์มากในด้านกำลัง หากต้องการล้มสัตว์อสูรระดับที่ 9 ก็จำเป็นต้องใช้มนุษย์ผู้มีพลังระดับที่ 9 อย่างน้อยสองคนถึงจะสามารถลงมือต่อกรกับสัตว์อสูรในระดับเดียวกันได้ นั่นคือข้อแตกต่างระหว่างมนุษย์และสัตว์อสูรในด้านกำลังแต่ถึงจะเป็นเช่นนั้นมนุษย์ก็มีส่วนที่เหนือล้ำกว่าสัตว์อสูรอยู่เช่นกันนั่นคือมันสมอง จุดเด่นของมนุษย์นั้นหาใช้ร่างกายหากแต่กลับเป็นภมูิปัญญาแม้ว่าสัตว์อสูรดับสูงตั้งแต่ระดับที่ 7 ขึ้นไปจะเริ่มเข้าถึงภูมิปัญญาทว่าก็ยังนับว่าห่างไกลกับมนุษย์มากนักทั้งหมดทั้งมวลนั้นคือข้อแตกต่างระหว่างเผ่าพันธ์ุ ทว่ามิร่านั้นกลับแตกต่างจากสัตว์อสูรทั่วไป นางไม่เพียงมีร่างกายที่แข็งแกร่งกว่ามนุษย์ แม้แต่ภูมิปัญญานางก็มีไม่ด้อยกว่ามนุษย์เช่นเดียวกันหนำซ้ำร่างกายของนางยังแข็งแกร่งเหนือล้ำกว่าสัตว์อสูรทั่วไปมากนัก ยังมีความรวดเร็วคล่องแคล่วของนางที่แม้แต่การเล็ทในตอนนี้ยังไม่สามารถตามได้ทัน
    ขณะที่กำลังครุ่นคิดคำนวณถึงพลังที่แท้จริงของผู้เป็นบุตรสาวบุญธรรมกาเล็ทก็สัมผัสได้ถึงการเคลื่อนไหวของร่างเล็กที่อยู่บนศรีษะ กาเล็ทจึงยกร่างของนางลงมาให้อยู่ในระดับสายตา ร่างเล็กเอียงคอจ้องมองไปที่บิดาซึ่งนางรักใคร่อย่างฉงนสงสัยว่าเหตุใดบิดาที่นางรักใคร่จึงจ้องมองดูตนเองด้วยสายตาพินิจพิเคาะห์
    "หืมตัวน้อยๆแบบนี้นี่จะเก่งแน่หรือ ปะป๋าจะพึ่งได้หรือเปล่านะ" กาเล็ทเอ่ยขณะที่จ้องมองไปที่ดวงตาสุกใสของร่างเล็กซึ่งถูกตนเองอุ้มอยู่เบื้องหน้า
    มิร่าเมื่อได้ฟังคำกล่าวของผู้เป็นบิดาก็กระพือปีกสีดำไปมาหางของนางก็เริ่มแกว่งไกวควบคู่กันไปอย่างพร้อมเพรียง บูม คลื่นมหาศาลของพลังจิตวิญญาณระเบิดออกมาจากร่างเล็กในอุ้งมือของกาเล็ทส่งผลให้เกิดลมรุนแรงพลัดฝุ่งผงต้นไม้รอบข้างจนปลิวสะบัด โจเซพซึ่งยืนอยู่ไม่ไกลถึงกลับถูกแรงรมนี้ปะทะเข้าใส่ร่างจนเซถอยหลังไปหลายก้าวเกือบหงายหลังกลิ้งล้มลงจากเนินดินไป

    "กรู๊รร" ร่างเล็กส่งเสียงร้องออกมาอย่างพอใจเมื่อได้แสดงพลังของตนเองออกมาให้ได้เห็นแล้ว
    "เดี๋ยวเถอะ ท่านลุงโจเซพเกือบหงายหลังล้มลงไปแล้วเห็นไหม" กาเล็ทเอ่ยเสียงดุใส่ร่างเล็ก
    "ก็มิร่าอยากให้ปะป๋ารู้ว่ามิร่าแข็งแกร่งนีนา มิร่าจะช่วยปะป๋าเองนะ" เสียงเล็กใสดังก้องขึ้นในหัวของกาเล็ท
    กาเล็ทพลันเกิดความรู้สึกอบอุ่นขึ้นในหัวใจ มิร่านั้นรักและเป็นห่วงตนเองจากใจจริิง รักของมิร่านั้นเป็นรักอย่างไร้เงื่อนไขตั้งแต่ได้พบเจอกันนางก็ไม่เคยร้องขอสิ่งใดเป็นค่าตอบแทน หากว่าตนเองรู้สึกกังวลใจนางก็จะเอ่ยคำปลอบโยน หากว่าตนเองต้องการความช่วยเหลือนางก็จะเป็นคนแรกที่เสนอตัวมา "ขอบใจหนูมากนะคะที่ให้โอกาสปะป๋าได้เลี้ยงดูหนู" กาเล็ทเอ่ยด้วยความรักเอ็นดูและก้มลงจูบยังจมูกน้อยๆของมิร่า มิร่าพลันแลบลิ้นสีแดงอมชมพูออกมาเลียไปยังใบหน้าของกาเล็ทเป็นการตอบคำ
    กาเล็ทเดินเข้าไปหาร่างของโจเซพที่กำลังยืนตื่นตะลึงอยู่เช่นเดิมจากนั้นจึงยกมือขึ้นปัดฝุ่นผงที่เกาะติดอยู่ตามเสื้อผ้าของโจเซพออก กาเล็ทนำยาสองเม็ดออกมาจากแหวนมิติ คือยาเทพโอสถทลายสวรรค์ขั้นต่ำกับขั้นกลาง "ท่านลุงยานี้จะช่วยให้แก่นจิตวิญญาณของท่านบรรลุไปสู่อีกขีดขั้น ให้ท่านลุงรับประทานยาเม็ดแรกเข้าไปจากนั้นก็ทำการปรับร่างกายให้เข้ากันกับระดับพลังที่เพิ่มพูนเมื่อร่างกายของท่านลงสมดุลคงที่แล้วก็ให้รออีกสักหลายวันและให้รับประทานยาเม็ดที่สองตามเข้าไปและปฎิบัติเช่นเดิมอีกครั้ง หากว่าข้าคำนวณไม่ผิดหลังจากที่ท่านลุงรับประทานยาทั้งสองเม็ดนี้เข้าไปแก่นจิตวิญญาณของท่านลุงสมควรเลื่อนระดับจากระดับที่ 5 ไปถึงระดับที่ 6 ขั้นสูงเป็นอย่างน้อย"

    "ข..ของล้ำค่าเช่นนี้มัน" โจเซพลังเลที่จะรับเม็ดยาจากมือของกาเล็ท
    "แม้พันหมื่นเม็ดยาพวกนี้ก็เทียบกับท่านไม่ได้ ท่านลุงนั้นมีค่ากับข้ามากกว่าเม็ดยาพวกนี้มากนัก ข้าต้องการให้ท่านลุงฝึกฝนเพิ่มพูนพลังเพื่อให้ท่านลุงจะได้อยู่กับข้าไปนานๆ อยู่ช่วยข้าดูแลตระกูลบุสโซ่ ตระกูลบุสโซ่ที่จะเติบโตขยับขยายขึ้นต้องมีท่านลุงคอยอยู่ดูแลเท่านั้น" กาเล็ทเอ่ย
    เมื่อได้ฟังโจเซพก็เข้าใจความหมายลึกซึ้งในวาจาของกาเล็ททันที โจเซพไม่รู้สึกลังเลอีกต่อไปยื่นมือของตนเองไปรับเม็ดยาจากมือของนายน้อยที่ตนเคารพรักมา "ข้าจะไม่ทำให้นายน้อยผิดหวัง" โจเซพเอ่ย
    กาเล็ทนั้นมีความคิดที่จะพัฒนาคนของตระกูลบุสโซ่ให้มีระดับพลังก้าวหน้าขึ้นและยาเทพโอสถทลายสวรรค์ก็คือคำตอบที่จะทำให้ระดับพลังเฉลี่ยของนักรบของตระกูลบุสโซ่พัฒนาอย่างรวดเร็วแต่กาเล็ทหาได้จะแจกจ่ายตัวยาล้ำค่าพวกนี้ให้ผู้อื่นอย่างไม่ลืมหูลืมตา จะอย่างไรผู้คนก็มีทั้งดีและเลวปนกันไปเมื่อไม่สามารถห้ามไม่ให้ผู้คนกระทำเรื่องเลวร้ายได้เราก็ต้องพยายามแยกคนเลวออกจากคนดีและกันไม่ให้คนเลวได้ครอบครองอำนาจที่ไม่สมควรได้รับ อำนาจนี้สำหรับการเร็ทก็คือพลัง กาเล็ทย่อมไม่ต้องการจะสนับสนุนผู้คนที่มีความประพฤติไม่เหมาะสมให้ได้พลังอำนาจไปดังนั้นกาเล็ทจึงมีแผนที่จะแจกจ่ายตัวยานี้ให้แก่นักรบของตระกูลบุสโซ่ที่มีความประพฤติดีในอนาคต

    เมื่อออกไปพูดคุยปรึกษาตรวจงานกับโจเซพเสร็จสิ้นแล้วกาเล็ทก็กลับเข้ามายังปราสาทบุสโซ่ กาเล็ทไม่รอช้าเอ่ยถามเหล่าหญิงรับใช้ถึงที่อยู่ของแชลเทีย กาเล็ทกลับได้คำตอบว่านางกำลังจัดเตรียมวัตถุดิบสำหรับอาหารเช้าในวันพรุ่งนี้อยู่ในส่วนของห้องครัว

    "มิร่า หนูไปอยู่เป็นเพื่อนท่านย่าก่อนนะ" กาเล็ทเอ่ยกับร่างเล็กในอ้อมกอด
    มิร่าซึ่งเห็นว่าตนเองได้อยู่กับกาเล็ทมาสักพักแล้วจึงยินยอมจากไปแต่โดยดี เห็นเช่นนั้นกาเล็ทก็ไม่รอช้ารีบตรงดิ่งไปยังส่วนห้องครัวของปราสาทบุสโซ่โดยพลัน เมื่อมาถึงกาเล็ทกลับพบว่าไม่เพียงแชลเทียเท่านั้นที่อยู่ในห้องครัวยังมีหญิงรับใช้อีกหลายคนที่กำลังช่วยนางจัดเตรียมวัตถุดิบ กาเล็ทส่งสัญญาณให้เหล่าหญิงรับใช้ที่หันมามองการมาถึงของตนเองให้จากไป
    เหล่าหญิงรับใช้แม้จะยังงุนงงสับสนและตื่นตระหนกต่อการมาถึงของกาเล็ทแต่ก็ไม่ได้เอ่ยถามมากความค่อยๆทยอยกันออกจากห้องครัวไป สุดท้ายแล้วในห้องครัวที่กว้างใหญ่ของปราสาทบุสโซ่ก็หลงเหลืออยู่เพียงกาเล็ทและแชลเทียซึ่งบัดนี้กำลังหันหลังใช้สมาธิอยู่กับการใช้ทัพพีเขี้ยวกวนน้ำซุบภายในหม้อซึ่งเดือดปุดอยู่ "ช่างประจวบเหมาะนัก" กาเล็ทเผยรอยยิ้มกรุ้มกริ่มขึ้นที่มุมปากจากนั้นจึงสาวเท้าเข้าไปโอบกอดแชลเทียจากทางด้านหลัง

    "อุ๊ย" แชลเทียส่งเสียงร้องอุทานออกมาด้วยความตกใจ นิ้มมือเรียวงามทั้งห้าที่ถือทัพพีอยู่ถึงกับคลายออกส่งผลให้ทัพพีจมหายไปยังหม้อที่เต็มเปี่ยมไปด้วยน้ำซุบเดือดพล่าน
    กาเล็ทยื่นใบหน้าเข้าไปสูดดมเรือนผมสลวยของแชลเทีย จากนั้นจึงหอมแก้มขาวนวลเนียนของนางฟอดหนึ่ง "ข้าคิดถึงเจ้าแทบตายแล้ว"

    ตอนแรกแม้จะยังไม่แน่ใจเท่าใดว่าเป็นผู้ใดที่โอบกอดตนเองจากทางด้านหลังเช่นนี้แต่แชลเทียเองก็พอจะคาดเดาได้อยู่หลายส่วน ผู้ที่กล้ากระทำการอย่างอุกอาจเช่นนี้ในตระกูลบุสโซ่ยังจะมีผู้ใดอีกนอกเสียจากกาเล็ท? "คิดไว้แต่แรกว่าต้องเป็นเจ้า ปล่อยข้านะ" แชลเทียเอ่ยพร้อมทั้งเอี้ยวตัวมาใช้ฝ่ามือขาวผ่องตบไปยังท่อนแขนแกร่งที่โอบกอดร่างของตนเองอยู่เบาๆ

    "ถ้ายอมปล่อยข้าคงจะกลายเป็นบรุษที่โง่เง่าที่สุดในแผ่นดินแล้ว" กาเล็ทเอ่ย

    "คนน่าไม่อาย ไม่รู้จักอาย" แชลเทียเอ่ยตำหนิเสียงเบา ความจริงการถูกโอบกอดเช่นนี้ก็ให้ความรู้สึกดีไม่น้อย มีสตรีใดบ้างไม่อยากถูกโอบกอดจากชายซึ่งเป็นที่รัก? เพียงแต่สตรีมีใบหน้าบอบบางอยู่บ้างพวกนางย่อมเกิดความรู้สึกอับอายที่ตนเองถูกโอบกอดต่อหน้าผู้คน แชลเทียเองก็เป็นหนึ่งในสตรีพวกนั้น

    "อายต่อผู้ใด?" กาเล็ทเอ่ยถามขณะสูดกลิ่นกายหอมกรุ่นจากเรือนร่างในอ้อมกอด

    เมื่อได้ฟังแชลเทียก็พบว่าภายในห้องครัวตอนนี้นั้นเหลืออยู่แต่เพียงตนเองและกาเล็ทแล้ว ไม่ทราบว่าเหล่าหญิงรับใช้มากมายเมื่อครู่หายไปหมดตั้งแต่เมื่อใด "ดูเจ้ามาไม่ให้ซุ่มให้เสียง เห็นหรือไม่ว่าทำข้าตื่นตกใจจนทำทัพพีตกหล่นไปในหม้อน้ำเดือดแล้ว" แชลเทียเอ่ยวาจาหันเหหัวเรื่องไปเพื่อข่มความรู้สึกอับอายที่ตนเองถูกโอบกอดไว้

    กาเล็ทได้ฟังก็หงายฝ่ามือข้างหนึ่งของตนเองขึ้น จากนั้นทัพพีที่จมอยู่ก้นหม้อน้ำแกงก็ค่อยๆลอยขึ้นมาจากก้นหม้อ "นี่ไงทัพพีอยู่นี่แล้วแต่ว่าตอนนี้ไม่ใช่เวลาทำอาหาร เรื่องการทำอาหารปล่อยให้เป็นหน้าที่ของหญิงรับใช้เถอะ เจ้าไม่รู้หรือว่าข้าคิดถึงเจ้าแทบตายแล้ว ไม่ได้เห็นหน้าเจ้าเกือบหนึ่งอาทิตย์ข้ารู้สึกเสมือนว่าชีวิตของข้าขาดบางสิ่งไป" กาเล็ทเอ่ยคำหวานขณะที่โอบกอดหญิงสาวผู้เป็นที่รักไว้ หากสามารถย้อนเวลากลับไปบอกกับกาเล็ทเมื่อก่อนว่าสักวันหนึ่งตนเองจะเอ่ยคำหวานเช่นนี้ต่อหญิงสาวผู้หนึ่ง ตนเองเมื่อหลายปีก่อนย่อมไม่เชื่อว่าสักวันตนเองจะกล้าเอ่ยคำพูดพวกนี้ออกมาแต่นั่นคือเมื่อก่อนที่ยังไม่รู้ถึงข้อผิดพลาดของตนเอง ชีวิตก่อนสิ่งที่ตนเองให้ความสำคัญที่สุดคืองาน งานคือชีวิต งานคือทุกสิ่ง กาเล็ทคิดเช่นนี้กระทั่งช่วงสุดท้ายของชีวิตมาถึงกาเล็ทถึงได้เข้าใจว่าชีวิตคนผู้หนึ่งไม่ได้ต้องการสิ่งใดมากไปกว่าความรักความห่วงใยจากผู้คนรอบข้าง เมื่อมีโอกาสที่สองกาเล็ทจะไม่ปล่อยให้ความผิดพลาดเมื่อครั้งก่อนเกิดขึ้นอีก กาเล็ทในตอนนี้ย่อมไม่อายที่จะพร่ำบอกความรู้สึกของตนเองออกไปอย่างไม่ปิดบัง

    "คนหน้าไม่อาย" แชลเทียยังคงเอ่ยกล่าววาจาด่าทอคนรักออกมาเช่นเดิมทว่าบนใบหน้ากลับเปื้อนไปด้วยรอยยิ้มเปี่ยมสุข
    "หากถูกต่อว่าแล้วได้กอดเจ้าเช่นนี้ทุกวันข้าก็ยินยอมถูกกร่นดา" กาเล็ทเอ่ยอย่างไม่ยี่หระต่อคำด่าว่าของแชลเทีย

    เชียลเทียขยับกายดิ้นรนอีกคราหนึ่ง "ปล่อยได้แล้ว หากท่านป้าเข้ามาเห็นท่านป้าจะตำหนิข้าเอาได้" แชลเทียเอ่ยเสียงเบา เป็นจริงดังที่นางหวาดหวั่น นีน่านั้นจัดได้ว่าเป็นคนหัวโบราณผู้หนึ่ง นีน่ามักจะเอ่ยต่อว่ากาเล็ทในเรื่องนี้อยู่บ่อยครั้ง เช่นนี้หากว่านีน่าเข้ามาพบว่าตนเองยอมปล่อยตัวปล่อยใจให้กับกาเล็ทโอบกอดได้โดยง่าย ตนเองคงถูกมองไปว่าเป็นสตรีที่ไม่รักนวลสงวนตัวแล้ว

    "หืม หากว่าท่านแม่เข้ามาเห็นเจ้าก็เอ่ยโทษว่าข้าได้อย่างเต็มที่ อืมเอาเป็นบอกต่อท่านแม่ว่าข้าบังคับเจ้าเป็นอย่างไร" กาเล็ทเอ่ยทีเล่นทีจริง เรื่องนี้เท่านั้นที่ไม่ว่าจะถูกผู้เป็นมารดาต่อว่าเช่นไรตนเองก็ไม่ลดละเลิกที่จะกระทำ แต่ถึงปากจะกล่าวเช่นนั้นตนเองกลับค่อยๆคลายวงแขนออกปล่อยให้ร่างเล็กในอ้อมกอดเป็นอสิระอีกครั้ง

    "ฮึ ทำเป็นพูดเล่นไป" เมื่อถูกปลดปล่อยให้เป็นอิสระนางก็ก้าวถอยห่างออกมาจากกาเล็ท "บอกต่อเจ้านับจากนี้ห้ามมิให้สัมผัสถูกตัวข้า"

    ได้ฟังคำพูดของแชลเทียกาเล็ทก็เสมือนปรากฎเครื่องหมายคำถามขึ้น ในจิตใจก็คาดเดาไปวุ่นวาย กาเล็ทกลับคิดได้เรื่องหนึ่ง "หรือว่านางโกรธเคืองเรื่องที่เราหมั้นหมายกับองค์หญิงซิลเวีย?" ทว่าถ้อยคำต่อมาของแชลเทียก็แทบทำให้กาเล็ทหน้าทิ่มล้มขมำไป

    "หากว่าไม่รักอย่างเท่าเทียมข้าจะไม่ยินยอมให้เจ้าสัมผัสถูกตัวอีก หากว่ารักข้าก็ต้องปฎิบัติกับซิลเวียอย่างเท่าเทียม" แชลเทียเอ่ย ในน้ำเสียงกลับไม่คล้ายเหมือนเอ่ยล้อเล่นเลยแม้แต่น้อย

    "หาา" กาเล็ทเอ่ยร้องเสียงหลงออกมาอย่างโง่งมไม่เข้าใจ ในโลกมีเรื่องเช่นนี้ด้วยหรือ? ตนเองกลับเคยเห็นแต่สตรีหึงหวงตบตีแย่งความรักจากบุรุษ ทว่าหญิงคนรักของตนเองกลับกระทำตรงกันข้ามกับสตรีทั่วทั้งโลกจะไม่ให้กาเล็ทเกิดความรู้สึกงุนงงได้อย่างไร

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×