ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    Tales of Yuyan ตำนานเรื่องเล่าแห่งยูยาน

    ลำดับตอนที่ #93 : ศัตรูหัวใจปรากฎ? [รีไรท์]

    • เนื้อหานิยายตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 14.53K
      486
      12 ธ.ค. 60




    กร๊อบเสียงของการแตกหักดังขึ้นคราหนึ่งเมื่อท่อนแขนใหญ่ยักษ์ของอันธพาลกระทบเข้ากับท่อนแขนที่ดูบอบบางของเด็กหนุ่มซึ่งเด็กหนุ่มยกขึ้นมาต้านรับท่อนแขนของอันธพาลไว้ ทว่าที่แตกหักหาใช่ร่างของเด็กหนุ่มไม่หากแต่กลับเป็นท่อนแขนใหญ่ยักษ์ของอันธพาลนั้นที่บิดงอผิดรูปร่างไป "อ๊าก ข..แขนข้าแขนข้า" อันธพาลร่างใหญ่ร่ำร้องออกมาไม่เป็นภาษาด้วยความเจ็บปวด

    ร่างของกาเล็ทยังคงยืนตระหง่านมั่นคงดั่งขุนเขา การจู่โจมของอันธพาลเมื่อครู่ไม่ได้อยู่ในสายตาของกาเล็ทเลยแม้แต่น้อยต่อให้หยิบยืมดาบเล่มใหญ่ให้แก่อันธพาลนั้นอีกสักเล่มหนึ่งและแม้กาเล็ทจะยืนอยู่เฉยไม่ตอบโต้อะไรอันธพาลนั้นก็คงไม่มีปัญญาที่จะทำร้ายกาเล็ทได้นับภาษาอะไรกับเพียงท่อนแขนผลจึงออกมาอย่างที่เห็น "เหตุใดจึงไม่รู้จักประเมินกำลังของตนเองและคู่ต่อสู้เล่า หากมีความสามารถเหตุใดไม่ประกอบอาชีพสุจริต" กาเล็ทเอ่ยกล่าวพร้อมทั้งสายหัวอย่างเอือมระอา

    "ท..ท่านผู้แข็งแกร่ง ป..โปรดให้โอกาส โปรดให้โอกาส ข้ารับรองว่าพวกข้าจะกลับตัวกลับใจหลังจากนี้" ลูกน้องอีกสองคนเมื่อเห็นว่าเหตุการณ์ไม่ได้เป็นไปอย่างที่มันคาดการณ์ก็รีบเร่งเข้ามาประคองร่างของหัวหน้ามันไว้พร้อมทั้งเอ่ยกล่าวถ้อยคำขออภัยออกมา

    "ข้ายังจำได้ว่าพวกเจ้ายังไม่ได้ตอบข้า ที่ว่าคุ้มครองนั้นคุ้มครองจากผู้ใด" กาเล็ทเอ่ยถามเสียงเย็นเยียบบนใบหน้าปราศจากรอยยิ้มอีก

    "พวกข้าลืมตาได้หรือยัง" เสียงหวานใสดังขึ้นจากทางด้านหลัง

    "อีกสักครู่ได้หรือไม่ ภาพของแขนขาที่แตกหักไม่น่าชวนมองเท่าใด" กาเล็ทเอ่ยตอบ

    "อ อืม" แชลเทียและซิลเวียเอ่ยตอบกลับมา ในจิตใจก็เกิดความรู้สึกที่อบอุ่นขึ้นที่กาเล็ทห่วงใยพวกตนถึงเพียงนี้

    "มิร่าไม่กลัว งั้นให้มิร่าลืมตาเลยนะ ลืมตานะ" มิร่าเมื่อได้ฟังถึงสาเหตุที่กาเล็ทต้องการให้หลับตาเมื่อครู่ก็เอ่ยขึ้ินพร้อมกับลืมตาขึ้นมาและจ้องมองไปที่กลุ่มอันธพาลด้วยความเกลียดชัง

    แม้การโต้ตอบกันของกาเล็ทกับซิลเวีย แชลเทีย และมิร่าจะให้เวลากับกลุ่มอันธพาลครุ่นคิดหาคำตอบทว่าพวกมันกลับไม่สามารถครุ่นคิดหาคำตอบที่จะทำให้เด็กหนุ่มเบื้องหน้าพอใจได้ หรือจะให้พวกมันเอ่ยตอบไปตามความจริงว่าที่เก็บค่าคุ้มครองนั้นคือการคุ้มครองจากพวกมันเอง?

    "หืม ตอบไม่ได้หรือ เช่นนั้นให้ข้าตอบให้เถอะ ที่ว่าคุ้มครองนั่นคือคุ้มครองจากพวกเจ้าใช่หรือไม่? ที่ข้าต้องการรู้จริงๆคือที่เบื้องหลังของพวกเจ้ายังมีผู้ใดอีก" กาเล็ทเอ่ย

    "ท ท่านผู้เข้มแข็งได้โปรดเหลือหนทางรอดให้แก่พวกข้าสักทางเถอะ หากว่าบอกกล่าวออกไปคงไม่เพียงแต่พวกข้าที่ต้องตกตายแม้แต่ครอบครัวของพวกข้าก็คงไม่เหลือรอด" อันธพาลร่างใหญ่ที่ได้สติคืนมาแล้วกัดฟันข่มความเจ็บปวดไว้เอ่ยกล่าวออกมา สิ่งที่มันกล่าวเมื่อครู่หาใช่เรื่องโกหก สาเหตุที่มันถือคติจะไม่ทำร้ายเด็กเล็กนั้นเหตุก็สืบเนื่องมาจากที่บ้านของมันก็มีบุตรสาวที่น่ารักน่าชังผู้หนึ่งเช่นกัน

    "ร่ำร้องหาโอกาสหรือเมื่อครู่ข้าไม่เห็นว่าพวกเจ้าได้ให้โอกาสกับพวกเขาแม้แต่น้อย" กาเล็ทเอ่ยพร้อมกับชี้มือไปยังสองพ่อค้าแม่ค้าซึ่งกำลังยืนตกตะลึงอยู่

    "ท่านผู้เข้มแข็งได้โปรดให้โอกาสพวกข้า ให้โอกาสพวกข้า ข้ารับรองว่าต่อจากนี้จะกลับเนื้อกลับตัวเป็นคนดีไม่ก่อเรื่องราวเช่นนี้อีก" อันธพาลร่างยักษ์นั้นยังคงข่มความเจ็บปวดไว้เอ่ยกล่าวขออภัยอย่างไม่คิดชีวิต มันยังไม่พร้อมที่จะตาย มันยังมีบุตรสาวตัวน้อยที่ต้องเลี้ยงดู มันยังมีภรรยา มันไม่อยากที่จะตกตายไปในสภาพนี้ แต่มันรู้ดีว่าสิ่งที่มันทำได้ตอนนี้มีเพียงการกล่าวคำอ้อนวอนให้เด็กหนุ่มที่เบื้องหน้าตนตอนนี้เห็นใจ ความรู้สึกบอกมันว่าหากมันวิ่งหนีไปตอนนี้มันคงไม่เสียแต่เพียงแขนข้างหนึ่งเท่านั้น เมื่อครู่ยามที่แขนของมันกระทบเข้ากับท่อนแขนเล็กจ้อยของเด็กหนุ่มมันกลับรู้สึกเสมือนว่าตนเองฟาดหวดเข้าใส่เหล็กกล้าที่แข็งแกร่ง เพียงเท่านี้ก็ทำให้มันได้รู้แล้วว่าเด็กหนุ่มที่เบื้องหน้ามันตอนนี้มีความแข็งแกร่งเพียงไร บัดนี้มันไม่แปลกใจอีกต่อไปถึงท่าทีซึ่งดูไม่ยี่หระต่อเรื่องราวใดของเด็กหนุ่ม

    ส่วนกาเล็ทนั้นแม้จะกล่าวเสียงแข็งกับเหล่าอันธพาลเมื่อครู่ทว่าในจิตใจของตนเองก็สั่นไหวไปกับคำร้องขอของมันเช่นกัน เหตุที่เป็นเช่นนี้เพราะกาเล็ทรู้ดีว่าคำกล่าวของมันที่ว่าแม้แต่ครอบครัวคงต้องตกตายไปด้วยหากตนเองบอกรายชื่อของผู้อยู่เบื้องหลังออกไปนั้นไม่แปลกปลอม

    "ได้ข้าจะให้โอกาสเจ้ากลับตัวกลับใจสักครั้งทว่าเจ้าต้องชดใช้ค่าสินค้าพร้อมทั้งจ่ายค่าทำขวัญให้กับพวกเขา" กาเล็ทกล่าวพร้อมทั้งชี้มือไปยังสองสามีภรรยาซึ่งเป็นเจ้าของร้านรวงที่ถูกอันธพาลทุบทำลายไปเมื่อครู่

    ได้ฟังคำกล่าวของกาเล็ทมันก็กัดฟันส่งสัญญาณให้แก่ลูกน้องทั้งสองของตนให้ส่งมอบเงินทองแก่พ้อค้าแม่ค้าสองคนนั้นแม้เงินทองจะสำคัญสำหรับมันทว่าจะสำคัญไปกว่าชีวิตของมันหรือ?

    "เพียงพอหรือไม่" กาเล็ทหันไปเอ่ยถามกับสองสามีภรรยา

    "พอแล้วขอครับนายท่าน" ผู้เป็นสามีเอ่ยตอบกาเล็ท

    "ใสหัวไป หากว่าข้าพบเจอว่าพวกเจ้าก่อเรื่องเช่นนี้อีกก็อย่าหาว่าข้าไร้ปราณี" กาเล็ทตวาดไล่พวกมันพร้อมทั้งเอ่ยคำขู่ เมื่อเห็นว่าพวกมันจากไปไกลแล้วกาเล็ทก็หันไปเอ่ยกล่าวกับแชลเทียและซิลเวีย "ลืมตาได้แล้ว" ด้วยน้ำเสียงที่อ่อนโยนปราศจากความแข็งกร้าวดั่งเช่นที่กล่าวกับเหล่าอันธพาลเมื่อครู่อย่างชัดเจน เมื่อสังเกตุเห็นว่ามิร่ายังคงจ้องมองไปยังทิศทางซึ่งเหล่าอันธพาลจากไปอยู่กาเล็ทก็ก้มลงโอบอุ้มนางขึ้นมาอีกครั้งหนึ่งพร้อมทั้งถอดผ้าคลุมของนางออกและระดมหอมไปทีแก้มทั้งสองข้างของนาง "บางทีการฆ่าก็ไม่ใช่การแก้ปัญหาที่ดี มิร่าน้อยเข้าใจหรือไม่" กาเล็ทเอ่ย

    "เข้าจายยยแล้ว" มิร่าซึ่งกำลังมีความสุขกับการถูกกาเล็ทหอมแก้มเอ่ยออกมาอย่างอารมณ์ดี ความเกลียดชังที่นางแสดงออกใส่เหล่าอันธพาลเมื่อครู่มลายหายไปสิ้นกลับกลายเป็นรอยยิ้มที่เปี่ยมสุขเข้าแทนที่

    "กาเล็ท เหตุใดเจ้าจึงได้ปล่อยเหล่าอันธพาลพวกนั้นไปง่ายดายเช่นนี้" แชลเทียอดไม่ได้ที่จะเอ่ยถามขึ้นเมื่อนางลืมตาขึ้นมาเห็นสภาพของร้านค้าเบื้องหน้า

    กาเล็ทได้ฟังก็ละจากการหยอกล้อกับมิร่าและถอนหายใจออกมา "แชลเทียต่อให้จับกุมหรือฆ่าพวกมันไปข้าก็ไม่คิดว่าการรีดไถค่าคุ้มครองเช่นนี้จะหมดไป พวกมันนั้นเป็นแต่เพียงคนเก็บเงินเท่านั้นตัวการที่แท้จริงยังคงซ่อนอยู่หลังฉากอีกทั้งเรื่องนี้มีผู้เกี่ยวข้องมากเกินไป" กาเล็ทเอ่ยอย่างเหนื่อยหน่าย

    "เช่นนั้นเหตุใดไม่เค้นถามกับพวกมันว่าทำงานให้แก่ผู้ใดกันแน่" ซิลเวียเอ่ยถามในน้ำเสียงของนางแสดงออกถึงความร้อนใจ

    กาเล็ทได้ฟังคำถามก็ยิ้มให้นางอย่างอ่อนโยน "ข้ารู้ว่าเจ้าเป็นห่วงพวกเขา จะอย่างไรการปกปิดตัวตนของเราวันนี้คงต้องจบลงเสียแล้วเหตุการณ์เมื่อครู่นั้นดึงดูดความสนใจของผู้คนมากเกินไปเช่นนั้นพวกเราหาร้านอาหารนั่งพักกินอาหารสักหน่อยดีหรือไม่ข้าจะได้ค่อยๆอธิบายเรื่องราวให้พวกเจ้าเข้าใจ"

    ไม่นานกาเล็ทก็นำพวกนางเข้าสู่ร้านอาหารที่ดูธรรมดาไม่พิเศษอะไรร้านหนึ่ง เมื่อมาถึงเจ้าของร้านก็ออกมาต้อนรับขับสู้กลุ่มของกาเล็ทเป็นอย่างดีเหตุเพราะเมื่อครู่เจ้าของร้านอาหารนี้ก็เป็นหนึ่งในผู้เห็นเหตุการณ์เช่นกัน "ท..ท่านผู้เข้มแข็งต้องการให้ ร..ร้านข้ารับใช้สิ่งใด ห.หากว่าอาหารร้านของข้าไม่ถูกปากก็ได้โปรดให้อภัย" เจ้าของร้านเอ่ยอย่างติดๆขัดๆ ใจหนึ่งมันก็รู้สึกยินดีที่ร้านมันถูกเลือกทว่าอีกใจหนึ่งของมันก็รู้สึกหวาดกลัวดังนั้นมันจึงเกิดอาการตื่นเต้นตึงเครียดจนเอ่ยคำพูดติดๆขัดๆออกมา

    กาเล็ทเห็นท่าทีของเจ้าของร้านซึ่งมาต้อนรับขับสู้ตนเองก็รู้สึกอยากจะหัวเราะออกมา "ท่านลุงไม่ต้องตื่นเต้นตึงเครียดไป ข้าหาใช่โจรร้ายที่ไหน บอกต่อท่านตามตรงข้านั้นเป็นขุนนางของโรฮานผู้หนึ่ง ที่ไม่ได้แต่งชุดขุนนางมาในวันนี้เหตุก็เพราะต้องการออกมาตรวจตราดูความเรียบร้อยด้วยตนเองเป็นการลับเท่านั้น" กาเล็ทเอ่ยกล่าวพร้อมทั้งนำบัตรแสดงตัวตนของตนเองออกมาแสดง

    เจ้าของร้านอาหารนั้นเบิ่งตามองบัตรแสดงตนนั้นคราหนึ่งจากนั้นมันก็แสดงอาการลุกลี้ลุกลนยิ่งกว่าเดิมออกมา บัตรแสดงตนที่มันได้อ่านนั้นเขียนไว้ว่าเด็กหนุ่มผู้นี้มีตำแหน่งเป็นถึงมาร์ควิส มันอ่านถึงจุดนี้มันก็ไม่ได้สนใจรายระเอียดอื่นต่อไปอีก กล่าวไปแล้วนับตั้งแต่มันเปิดร้านอาหารมาหลายปีร้านของมันยังไม่เคยมีขุนนางซึ่งมีตำแหน่งใหญ่โตเช่นนี้มารับประทานอาหารมาก่อน

    "ท.ท่านลุงลุกขึ้น ลุกขึ้น ท่านทำเช่นนี้มิใช่กลับกลายเป็นข้าข่มเหงรังแกท่านไป" กาเล็ทรีบกล่าวคำพร้อมทั้งลุกขึ้นพยุงร่างของลุงเจ้าของร้าน เมื่อผยุงลุงเจ้าของร้านลุกขึ้นแล้วกาเล็ทก็เผยรอยยิ้มที่เป็นมิตรและดูนุ่มนวลออกมา "ท่านลุงไม่ต้องรู้สึกประหม่าหรือเกรงกลัวพวกข้าไป ต่อให้เป็นขุนนางบ้านเมืองก็ยังมีหน้าที่รับใช้ประชาชนจะอย่างไรข้าก็มีอายุรุ่นราวคราวเดียวกับลูกของท่าน ท่านก็ปฎิบัติกับข้าเช่นปฎิบัติกับลูกหลานเถอะ วันนี้ข้าพาคู่หมั้นทั้งสองและบุตรสาวมาเดินตรวจตราความเรียบร้อยจึงถือโอกาสใช้ร้านของท่านลุงเป็นที่พักผ่อนพูดคุยกัน ร้านของท่านลุงมีเมนูอาหารใดน่ารับประทานก็นำเสนอมาเถอะ" กาเล็ทเอ่ยกล่าว

    "ท่านลุงไม่ต้องเกรงกลัวกาเล็ทไปเขาเป็นคนดี" ซิลเวียซึ่งบัดนี้ถกผ้าคลุมหัวออกแล้วเผยให้เห็นถึงใบหน้าที่งดงามผุดผาดช่วยกล่าวเสริมกาเล็ทอีกเสียงหนึ่งเพื่อเป็นการสร้างความรู้สึกผ่อนคลายต่อลุงเจ้าของร้าน
    "ปะป๋ากาเล็ทใจดีนะ ปะป๋าใจดีที่สุด" มิร่าน้อยเองก็ส่งเสียใสออกมาสนับสนุนอีกเสียงเช่นกัน

    เห็นเช่นนั้นเจ้าของร้านอาหารก็ใจชื้นขึ้น "ช..เช่นนั้นข้าขอตัวไปเตรียมอาหารก่อนขอรับ"

    กาเล็ทพยักหน้าให้กับเจ้าของร้านจากนั้นจึงหันมาเอ่ยกับซิลเวียและแชลเทีย "ทุกสิ่งทุกอย่างย่อมมีสาเหตุ การที่เจ้าของร้านผู้นี้แสดงกริยาตื่นกลัวเมื่อรู้ว่าข้าเป็นขุนนางใหญ่ของบ้านเมืองถึงเพียงนี้แม้ข้าไม่บอกกล่าวออกไปคาดว่าพวกเจ้าคงพอจะคาดเดาสาเหตุได้ใช่หรือไม่"

    ทั้งซิลเวียและแชลเทียต่างพยักหน้าอย่างพร้อมเพรียง หลงเหลือแต่เพียงมิร่าน้อยเท่านั้นที่ยังคงใช้ดวงตาสุกใสมองมาที่กาเล็ท "เพราะอาราย" นางเอ่ยถามออกมาอย่างไร้เดียงสาเช่นเคย

    กาเล็ทซึ่งได้เห็นท่าทีของนางก็ได้แต่สายหัว "ซิลเวียสาเหตุที่ข้าปล่อยกลุ่มอันธพาลเมื่อครู่ไปก็เนื่องจากคำกล่าวของมันไม่แปลกปลอม หากว่าเราบีบเค้นเอาความจริงจากมันข้าคิดว่าผู้อยู่เบื้องหลังมันคงไม่ปล่อยปะละเว้นตัวมันและครอบครัวเป็นแน่ หากเป็นเช่นนั้นมิใช่กลายเป็นว่าข้าเป็นคนสังหารครอบครัวของมันโดยทางอ้อมไป? อีกสาเหตุคือการจะสืบเสาะหาผู้อยู่เบื้องหลังมันก็หาใช่เรื่องยากเย็น ที่ข้าให้ความสนใจกลับเป็นเรื่องที่ทหารทางการซึ่งอยู่บริเวณโดยรอบกลับไม่ยอมเข้ามาระงับเหตุ"

    ได้ฟังถึงคำอธิบายของชายคนรักทั้งซิลเวียและแชลเทียก็ครุ่นคิดตาม "ใช่แล้วเหตุใดทหารของทางการจึงไม่เข้ามาระงับเหตุทั้งที่เป็นหน้าที่โดยตรงของพวกเขาแท้ๆ" แชลเทียเอ่ยถาม

    "เกรงว่าเรื่องนี้ผู้ได้รับผลประโยชน์จากการขูดรีดประชนคงไม่ได้มีแต่เพียงขุนนางชนชั้นล่างแล้ว คาดว่าแม้แต่ระดับหัวหน้าก็ได้รับการแบ่งสันปันส่วนด้วย มิเช่นนั้นทหารชั้นล่างคงไม่กล้าปล่อยปะละเลยต่อหน้าที่เช่นนี้หากว่าไม่ได้รับคำสั่งจากผู้บังคับบัญชาของมันโดยตรงว่าให้เปิดทางแก่กลุ่มอันธพาล" กาเล็ทเอ่ย

    "ม..ไม่จริง" ซิลเวียเอ่ยอย่างไม่อยากจะเชื่อ

    "นี่จึงเป็นสาเหตุที่ข้ายังไม่อยากจะลงมือแทรกแทรง เรื่องนี้ดูผิวเผินอาจจะเป็นเรื่องเล็กแต่อันที่จริงแล้วมันกลับหาได้เป็นเช่นนั้น หากจับกุมอันธพาลกลุ่มนั้นก็หาได้ผลลัพธ์อันใด แม้จะสืบสาวขึ้นไปถึงผู้อยู่เบื้องหลังมันก็ยังคงไม่จบสิ้น ยังมีขุนนางระดับสูงกว่านั้นอีก พอสืบสาวต่อไปไม่ทราบว่าจะเจอว่ามีผู้ใดข้องเกี่ยวด้วย หากว่าต้องจับกุมทุกผู้คนมาลงโทษข้าเกรงว่าขุนนางเกินกว่าครึ่งของโรฮานคงต้องถูกจับกุมแล้วดังนั้นก่อนที่จะดำเนินการในเรื่องนี้เราต้องคิดวางแผนให้รอบคอบ ข้าจึงต้องการที่จะสร้างหมู่บ้านบุสโซ่ขึ้นมาก่อน ข้าจะวางระบบการบริหารของหมู่บ้านบุสโซ่เพื่อเป็นแนวทางให้แก่ระบบใหม่ที่อาจจะนำมาใช้ในโรฮานเมื่อระบบใหม่ที่ข้าวางรากฐานให้แก่หมู่บ้านบุสโซ่เสร็จสมบูรณ์พร้อมนั่นจึงจะเป็นเวลาที่เราจะปฎิรูปโรฮานอย่างแท้จริง แต่ผู้ที่จะตัดสินใจว่าจะกระทำหรือไม่หาใช่ข้าแต่เป็นบิดาของเจ้า" กาเล็ทเอ่ยกล่าวมาถึงช่วงท้ายก็ชี้นิวมือมาที่ซิลเวีย

    "เจ้าหมายความว่า.." ซิลเวียพยายามคาดเดา

    "ซิลเวียดั่งที่ข้าเคยบอกกล่าวไปแล้วว่าข้าไม่ต้องการเข้าไปยุ่งเกี่ยวกับการบริหารจัดการภายในของโรฮาน ทั้งท่านอาจารย์ ทั้งท่านแม่ต่างก็หวาดเกรงว่าข้าจะหลงระเริงในพลังที่มีจนคิดคดทรยศต่อโรฮาน เช่นนั้นเพื่อเป็นการทำให้ทั้งท่านอาจารย์และท่านแม่สบายใจข้าจะไม่สอดมือเข้ายุ่งเกี่ยวนอกเสียจากเรื่องราวจะเกี่ยวพันถึงความอยู่รอดของโรฮาน" กาเล็ทเอ่ย
    "ข.ข้าเชื่อใจเจ้ากาเล็ท เจ้าไม่ใช่คนแบบนั้น มีแต่เจ้าที่จะช่วยเหลือโรฮานได้" ซิลเวียเอ่ยนางกลับเกิดอาการร้อนใจขึ้นมาอีกครา

    กาเล็ทยื่นมือเข้าไปเกาะกุมข้อมือขาวผ่องของนางไว้ "แม้จะไม่สอดมือเข้ายุ่งเกี่ยวโดยตรง แต่หากว่าเป็นเจ้าที่ออกหน้าก็คงไม่มีปัญหา แต่เอาเถอะเรื่องนี้เอาไว้หลังวางระบบให้แก่หมู่บ้านบุสโซ่พวกเราค่อยหารือกันอีกรอบหนึ่ง จะอย่างไรวันนี้ข้าคิดว่าพวกเราพูดคุยเรื่องหนักๆกันมามากพอแล้วเอาเป็นว่าต่อจากนี้พักกินอาหารอย่างสบายใจสักครู่เถอะ" กาเล็ทเอ่ย

    หลังจากนั้นบรรยากาศก็เริ่มผ่อนคลายลง เมื่อเจ้าของร้านทยอยนำอาหารมาเสริพ กาเล็ทก็ไม่ได้นิ่งเฉย เนื่องจากอาหารที่ยกมามีหลากหลายทั้งยังมีจานเล็กจานใหญ่ เมื่อเห็นว่ามีแต่เจ้าของร้านเพียงผู้เดียวทั้งเป็นผู้ปรุงทั้งเป็นผู้ยกมาเสริพกาเล็ทก็ขันอาสาเข้าช่วยเหลือด้วยเหตุนี้จึงทำให้เจ้าของร้านรู้สึกผ่อนคลายมากขึ้นเมื่อเห็นถึงความเป็นกันเองของกาเล็ทซึ่งเป็นถึงขุนนางใหญ่อีกทั้งยังมีความสามารถมากมายแต่กลับไม่ถือเนื้อถือตัว จากการพูดคุยกาเล็ทก็จับใจความได้ว่าช่วงนี้มีร้านรวงมาเปิดใหม่มากมายอีกทั้งช่วงนี้ก็ไม่ได้มีลูกค้ามากนักทำให้ไม่เหลือกำไลมากพอที่จะจ้างผู้ช่วยได้ เถ้าแก่ร้านจึงจำเป็นต้องลงมือทำงานจิปาถะเองทั้งหมด

    "ท่านลุง เอาเช่นนี้ดีหรือไม่ตระกูลบุสโซ่ของข้าก็อยู่ในช่วงกำลังขยับขยายอีกทั้งยังอยู่ไกลจากตัวเมือง เนื่องจากมีผู้คนหลายร้อยชีวิตที่ต้องเลี้ยงดูแต่ละสัปดาห์จึงต้องเข้าเมืองมาซื้อหาเสบียงไม่น้อย ท่านลุงก็ทำหน้าที่จัดหารเสบียงให้แก่ตระกูลบุสโซ่ของข้าในแต่ละสัปดาห์เป็นอย่างไร อีกทั้งฝีมือการทำอาหารของท่านลุงก็ถูกปากข้านักเอาเช่นนี้ให้ร้านของท่านเป็นร้านประจำของทหารตระกูลบุสโซ่เถอะ" กาเล็ทเอ่ย

    "จ.จะดีหรือที่มอบหน้าที่สำคัญเช่นนี้ให้กับข้า ข้าเกรงว่าตัวเองจะไม่มีความสามารถมากพอ" ลุงเจ้าของร้านอาหารเอ่ยอย่างเป็นกังวล

    "ท่านลุงข้ามีนามว่ากาเล็ท เรียกข้าว่ากาเล็ทเถอะ ไม่ทราบว่าท่านลุงมีชื่อเสียงเรียงนามว่าอะไร?" กาเล็ทเอ่ยถาม

    "ข้าชื่อเมลเอม" ลุงเจ้าของร้านเอ่ยตอบ

    "ท่านลุงเมลเอมหาได้มีผู้ใดเก่งกล้าสามารถมาตั้งแต่เกิด ทุกอย่างล้วนต้องลองกระทำถึงจะรู้ว่าทำได้หรือไม่" กาเล็ทเอ่ยกล่าวพร้อมนำถุงเงินออกมาและส่งให้แก่เมลเอม ที่ทำเช่นนี้นั้นเพราะกาเล็ทล่วงรู้ดีว่าเมลเอมย่อมไม่มีทุนรอนเพียงพอ

    "เอาเช่นนี้ท่านลุงรับเงินจำนวนนี้ไปก่อน วันพรุ่งนี้ข้าจะให้ผู้คนมาพูดคุยเกี่ยวกับรายละเอียดต่างๆทีหลัง" กาเล็ทเอ่ย

    เมลเอมรับถุงเงินนั้นไปเมื่อเปิดออกดูมันก็พบว่าภายในมีเหรียญทองอยู่นับร้อยเหรียญ "ง.เงินจำนวนเท่านี้" เมลเอมเอ่ยพร้อมทำสีหน้าที่ไม่เข้าใจ

    "การทำธุรกิจร่วมกันสมควรเริ่มด้วยความไว้วางใจซึ่งกันและกัน เงินจำนวนนั้นถือว่าเป็นความไว้วางใจจากข้า ถือว่ามอบให้แก่ท่านเพื่อเป็นต้นทุนในการเริ่มกิจการกับตระกูลบุสโซ่ เมื่อท่านเก็บเงินทองได้มากพอแล้วค่อยนำมาใช้คืนข้าเถอะ วันนี้ข้ามีธุระอื่นอีกคงต้องขอตัวก่อน" กาเล็ทเอ่ย การกระทำของกาเล็ทนั้นหาได้กระทำไปอย่างไร้เหตุผล หนึ่งนั้นคือกาเล็ทมองเห็นถึงขีดความสามารถของเมลเอมแม้จะเหลือตัวคนเดียวก็ยังขยันขันแข็งทำมาหากินอย่างสุริต หากไม่ส่งเสริมบุคคลเช่นนี้แล้วยังจะส่งเสริมผู้ใดอีก สองคือตนเองก็กำลังขาดกำลังคน ตลอดมาทั้งเรื่องจัดหาเสบียง ทั้งเรื่องยิบย่อยต่างๆของตระกูลต่างเป็นภาระของพ่อบ้านโจเซพ หากว่าสามารถหาผู้คนมาแบ่งเบาภาระของพ่อบ้านโจเซพออกไปได้สักเรื่องกาเล็ทย่อมยินดีที่จะกระทำ

    "ต.ตกลงข้าจะไม่ทำให้ท่านมาร์ควิสผิดหวัง" เมลเอมรับถุงเงินนั้นไว้พร้อมกล่าวอย่างมุ่งมั่น

    "พรุ่งนี้ข้าจะส่งผู้คนเข้ามาแจ้งรายละเอียดต่างๆแก่ท่านลุง" กาเล็ทเอ่ยย้ำเตือนจากนั้นจึงนำพาทั้งซิลเวีย มิร่า และแชลเทียออกจากร้านไป

    "ฮี ฮี่ อร่อย" มิร่าตบท้องหัวเราะร่าออกมาอย่างอารมณ์ดี แต่แล้วสีหน้าของนางกลับแปรเปลี่ยนไปอย่างรวดเร็วนางเหลียวมองไปยังอีกฝากของถนน

    ฮี๊ ฮี๊ กุบกับ กุบกับ กุบกับ เสียงกีบเท้าม้ากระทบเข้ากับพื้นถนนดังระรัว "หลีกไป หลีกไป" กลุ่มของผู้คนควบขี่ม้าพ่วงพีตรงมายังทิศทางของกาเล็ทอย่างรวดเร็วอีกทั้งผู้ขี่ม้านำขบวนยังใส่เครื่องแบบทหารเต็มยศชุดเกราะที่มันสวมใส่อยู่เงาวับสะท้อนแสงสีเงินออกมาอย่างชัดตา ขณะขวบขี่ม้าพ่วงพีมันก็ร้องตระโกนให้ผู้คนที่สัญจรอยู่บนท้องถนนหลีกทางให้แก่ขบวนของมัน

    ฮี๊ ๆๆๆๆๆๆ เมื่อขบวนของผู้ขับขี่ม้าเข้ามาใกล้กับกลุ่มของกาเล็ท ม้าทั้งหมดก็ส่งเสียงกรีดร้องออกมาเสมือนว่าเกรงกลัวต่อบางสิ่ง ม้าทุกตัวซึ่งมีทหารสวมเกราะเต็มยศขวบขี่อยู่ต่างหยุดชะงักอย่างพร้อมเพรียง การหยุดชงักของม้าอย่างกระทันหันแทบจะทำให้ผู้ควบขี้ผลัดตกจากหลังม้าไป

    "บัดซบ อยากถูกเหยียบตายคาที่นักหรือไงถึงไม่ยอมหลบทางไป ใสหัวไป" ทหารนำขบวนที่พยายามกุมบังเหียนม้าอย่างอยากลำบากร่ำร้องด่าทอพร้อมทั้งตวาดไล่ใส่กลุ่มของกาเล็ท

    กาเล็ทได้แต่สบถคำด่าอยู่ในใจ "บัดซบ วันนี้เพียงต้องการออกมาสำรวจตรวจดูเรื่องราวพอเป็นพิธีเท่านั้นเหตุใดจึงต้องพบเจอเรื่องราวมากมายถึงเพียงนี้"

    "อยู่บนถนนในเมืองหลวงซึ่งมีผู้คนสัญจรมากมายถึงเพียงนี้แต่กลับยังควบขี่ม้าอย่างไม่ระมัดระวังเจ้ายังมีหน้ามาโทษว่าพวกข้าอีกหรือ" กาเล็ทเอ่ยตอบกลุ่มทหารนั้นไปอย่างไม่เกรงกลัว บัดนี้ในจิตใจของกาเล็ทก็เกิดโทสะครุกรุ่นอยู่เช่นกัน การถูกม้าพ่วงพีพุ่งชนย่อมไม่สามารถทำอย่างไรตนเองกับมิร่าได้แน่นอนทว่ากับซิลเวียและแชลเทียนั้นแตกต่าง พวกนางหาได้แข็งแกร่งดังเช่นตนเองหรือมิร่าไม่ หากว่าถูกม้าพ่วงพีนั้นพุ่งชนเข้าอย่างน้อยคงต้องบาดเจ็บสาหัสเป็นแน่ ยังดีที่มิร่านั้นมีความรู้สึกเฉียบคมปราดเปรียวรับรู้ถึงการพุ่งทะยานมาของขบวนม้าจึงได้แผ่พลังกดดันออกมาเพื่อหยุดสภาวะของขบวนม้าที่พุ่งมาอย่างรวดเร็ว สาเหตุที่ม้าตื่นกลัวจนเกิดผยศขึ้นทั้งขบวนนั้นเกิดจากมิร่าเอง

    เมื่อเห็นว่าทหารนำขบวนของตนเองโต้เถียงกับผู้คนไม่เลิกราผู้ซึ่งดูเหมือนจะเป็นหัวหน้าก็ควบขี่ม้าคู่ใจที่กว่ามันจะทำให้สงบดังเดิมได้ออกมาจากท้ายขบวน จะกล่าวไปแล้วมันกลับรู้สึกแปลกใจไม่น้อยที่ม้าคู่ใจของมันซึ่งถูกฝึกมาอย่างดีกลับแสดงอาการตื่นกลัวขึ้นอย่างไม่อาจควบคุมได้เมื่อครู่ ยามเมื่อควบขี่ม้ามาถึงหน้าขบวนสีหน้าของมันนั้นแสดงออกถึงความขุ่นเคืองใจไม่น้อย มันอุตส่ารีบเร่งเดินทางกลับมาจากชายแดนเนื่องจากครอบครัวของมันซึ่งเป็นตระกูลใหญ่ของโรฮานเรียกตัวมันซึ่งเป็นบุตรชายเพียงคนเดียวของตระกูลให้กลับเข้าเมืองหลวงมาด้วยเหตุเร่งด่วนและอีกไม่ไกลมันก็จะกลับถึงตระกูลเรนฟอดของมันแล้วทว่าขบวนของมันกลับต้องมาหยุดชงักลงจะไม่ให้มันขุ่นเคืองใจได้อย่างไร "เกิดเรื่องอันใดขึ้น" มันเอ่ยถามทหารนำขบวนของมันอย่างไม่พอใจนัก

    "ม.ไม่มีอะไรท่านแม่ทัพ เพียงแต่มีชาวบ้านไม่รู้ความขวางทางอยู่เท่านั้นให้เวลาข้าสักครู่จะสั่งสอนพวกมันให้หลาบจำ" ทหารนำขบวนนั้นเอ่ยอย่างหวาดๆ

    เมื่อได้ฟังคำกล่าวอธิบายของทหารนำขบวนมันก็กวาดสายตามองไปยังเบื้องหน้า เมื่อกวาดสายตาไปมองร่างของมันกลับสั่นสะท้านขึ้นคราหนึ่งจากนั้นความรู้สึกขุ่นเคืองใจบนใบหน้าที่แสดงออกมาของมันก็มลายหายไปสิ้นเปลี่ยนกลายเป็นรอยยิ้มดุจเทพบุตรเข้ามาแทนที "น..น้องหญิงซิลเวียใช่หรือไม่ ไม่ได้พบกันหลายปียังจำข้าได้หรือไม่ ข้าสตานอฟ เรนฟอด เพื่อนของเมอร์ลินเอง"





    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×