ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    Tales of Yuyan ตำนานเรื่องเล่าแห่งยูยาน

    ลำดับตอนที่ #94 : พสุธากัมปนาท [รีไรท์]

    • เนื้อหานิยายตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 14.27K
      482
      12 ธ.ค. 60




    หางคิ้วของกาเล็ทสั่นกระตุกเล็กน้อยเมื่อเห็นว่าชายหนุ่มที่เบื้องหน้าใช้สรรพนามเรียกซิลเวียอย่างสนิทสนม

    สตานอฟเปลี่ยนท่าทีจากหน้ามือเป็นหลังมืออย่างรวดเร็วเมื่อเห็นว่าซิลเวียอยู่ในกลุ่มบุคคลที่ขบวนของมันเกือบชนเข้า "พวกเจ้าขี่ม้านำขบวนเช่นไรกัน เหตุใดจึงไม่รู้จักระมัดระวัง" มันหันไปเอ่ยวาจาตำหนิทหารซึ่งทำหน้าที่ขี่ม้านำขบวน

    กาเล็ทซึ่งสังเกตุอยู่ที่ด้านข้างเมื่อเห็นการแสดงออกของสตานอฟก็นึกดูแคลนบรุษซึ่งดูดีแต่เพียงภายนอกผู้นี้อยู่ในใจ เมื่อครู่มันมิใช่แสดงสีหน้าซึ่งแสดงออกว่าไม่พอใจอยู่หรอกหรือ? หากว่ามันนึกคิดถึงความปลอดภัยของผู้อื่นจริงเวลาเข้าเมืองมาก็ไม่สมควรที่จะควบขี่ม้าอย่างรวดเร็วเช่นนี้ตั้งแต่แรกแล้ว

    เมื่อเห็นว่าผู้ซึ่งเอ่ยทักทายตนเมื่อครู่คือสตานอฟ เรนฟอดเพื่อนของพี่ชายตนซิลเวียจึงเอ่ยทักทายไปตามมารยาท "ท่านพี่สตานอฟหรือ ไม่ได้พบกันหลายปีท่านสบายดีหรือไม่"

    เมื่อเห็นว่าซิลเวียเจ้าหญิงแห่งโรฮานจดจำตนเองได้สตานอฟก็เผยรอยยิ้มสดใสเป็นมิตรออกมายิ่งกว่าเดิมจากนั้นมันพลันกระโดดลงจากหลังม้าพ่วงพีสีขาวของมันด้วยท่วงท่าที่สง่างามแข็งแกร่งดุจชายชาตรี เมื่อเท้าของมันสัมผัสกับพื้นดินมันก็ก้าวฉับๆตรงดิ่งเข้าหาซิลเวียอย่างรวดเร็วโดยไม่สนใจกาเล็ทซึ่งยืนอยู่เลยแม้แต่น้อย มันเดินผ่านกาเล็ทไปอย่างไม่ใส่ใจ

    "น.น้องหญิงไม่นึกเลยว่าไม่ได้พบเจอกันกว่า 5 ปีเจ้ากลับเติบโตขึ้นมางดงามถึงเพียงนี้ งดงามจนข้าแทบจะจำไม่ได้" มันเอ่ยถ้อยคำพร้อมทั้งยื่นมือของมันออกไปหมายมั่นว่าจะคว้าจับข้อมือขาวผ่องนวลเนียนของซิลเวียไว้ เหตุผลที่มันใช้สรรพนามเอ่ยเรียกซิลเวียว่าน้องหญิงนั้นก็เพราะตัวมันนั้นถือว่าเป็นเพื่อนสนิทของเมอร์ลินรัชทายาทเพียงหนึ่งเดียวของโรฮาน อีกทั้งสมัยก่อนตอนที่มันยังอยู่ที่โรฮาน ทุกครั้งที่มันได้ไปมาหาสู่กับเมอร์ลินเจ้าชายแห่งโรฮานมันก็มักจะได้พบกับซิลเวียอยู่เสมอ เนื่องจากมันเป็นเพื่อนสนิทกับเมอร์ลินทั้งยังเป็นบุตรของตระกูลเรนฟอดแล้วมันยังถือได้ว่าเป็นคนรุ่นใหม่ที่มีพรสวรรค์อันดับต้นๆของโรฮาน ด้วยหลายสาเหตุประกอบเข้าด้วยกันมันจึงถือวิสาสะเอ่ยเรียกซิลเวียว่าน้องหญิงดั่งเช่นเมอร์ลินเพื่อนของมันตั้งแต่เมื่อหลายปีก่อน ด้วยระดับพรสวรรค์ของสตานอฟ ทั้งยังมีพื้นเพที่ดี เมอร์ลินซึ่งเป็นเพื่อนของมันจึงไม่ได้คัดค้านอะไรที่สตานอฟจะเอ่ยเรียกซิลเวียอย่างสนิทสนมเช่นนี้ ไม่เพียงแต่ไม่คัดค้านมันยังเคยเอ่ยให้ความหวังสตานอฟอยู่หลายครั้งคราว่าในอนาคตเมื่อสตานอฟประสบความสำเร็จอาจบางทีมันจะช่วยพูดกับราชาเบรุทให้แต่งซิลเวียเข้าตระกูลเรนฟอด สาเหตุที่เมอร์ลินกระทำเช่นนี้ก็เพื่อเป็นการเพาะสร้างขุมกำลังที่เข้มแข็งให้กับตนเองในอนาคต

    เมื่อเห็นว่าบรุษที่เบื้องหน้าก้าวฉับๆเดินเข้ามาหาตนเองพร้อมทั้งถือวิสาสะยื่นมือออกมาหมายจะจับกุมมือของตนเองไป ซิลเวียก็ก้าวถอยออกมาก้าวหนึ่งพร้อมกับหดรั้งมือของตนเองกลับไปเพื่อหลบเลี่ยง "ท่านพี่บรุษสตรีไม่สมควรสมผัสกายอย่างไม่ระมัดระวัง" ซิลเวียเอ่ยอย่างนุ่มนวล

    "ฮ่า ฮ่า ขออภัยน้องหญิงข้านี่ช่างใช้ไม่ได้กลับลืมเลือนไปว่าเจ้านั้นเติบใหญ่แล้ว เหตุคงเพราะข้าตื่นเต้นดีใจจนเกินไปที่ได้พบกับเจ้าในวันนี้" แน่นอนว่ามันย่อมรู้สึกลิงโลดยินดี ตัวมันนั้นไม่ได้พบเจอกับซิลเวียเป็นเวลากว่า 5 ปีแล้ว มันย่อมไม่คาดคิดว่าซิลเวียเจ้าหญิงน้อยในวันวานจะเติบโตขึ้นมางดงามถึงเพียงนี้ เมื่อเห็นว่าบรรยากาศเริ่มตึงเครียดขึ้นมันจึงเอ่ยเปิดประเด็นขึ้นอีกครั้ง "เหตุใดน้องหญิงจึงได้มาอยู่ในเขตพื้นที่อันตรายเช่นนี้เพียงลำพังอีกทั้งยังมีองค์รักษ์ติดตามมาเพียงผู้เดียว เอาเช่นนี้เป็นอย่างไรให้ข้าคุ้มครองส่งน้องหญิงกลับราชวังเถอะ" มันกลับเข้าใจผิดไปว่ากาเล็ทเป็นองค์รักษ์ของซิลเวียแล้ว

    "เห็นทีเรื่องนั้นคงไม่จำเป็นข้าคนเดียวก็เกินพอที่จะคุ้มครองพวกนาง เชิญท่านสตานอฟรีบเร่งกลับไปทำธุระเร่งด่วนของท่านต่อเถอะ เมื่อครู่ข้าเห็นว่าท่านควบขี่ม้าพุ่่งทะยานอย่างรีบเร่งคงต้องมีธุระเร่งด่วนเป็นแน่" กาเล็ทก้าวเดินเข้ามายืนอยู่ข้างกายของซิลเวียพร้อมกับยื่นมือของตนเองไปคว้าจับข้อมือขาวผ่องของซิลเวียไว้ดั่งเช่นสตานอฟพยายามที่จะกระทำเมื่อครู่แต่ที่แตกต่างคือครั้งนี้ซิลเวียกลับไม่ได้หลบเลี่ยงเลยแม้แต่น้อย นางปล่อยให้ฝ่ามือนวลเนียนที่ประกอบไปด้วยนิ้วเรียวงามทั้งห้าของตนเองถูกกาเล็ทคว้าไปเกาะกุมไว้อย่างง่ายดาย

    ตาของสตานอฟเหลือบไปมองการกระทำของกาเล็ท เมื่อมันเห็นว่าเด็กหนุ่มผู้นี้กลับคว้าจับไปที่ฝ่ามือของสตรีที่มันหมายปองอีกทั้งนางยังไม่ได้ขัดขืนหลบเลี่ยงอย่างคราวของมัน ในจิตใจของมันก็เกิดความรู้สึกโกรธเคืองขุ่นแค้นขึ้น ตอนนี้มันรู้สึกเสมือนว่าใบหน้าของมันถูกตบเข้าอย่างจังคราหนึ่ง มันถลึงตาจ้องมองไปที่กาเล็ทอย่างไม่เป็นมิตร "เด็กน้อยเป็นเพียงแค่องค์รักษ์กลับกล้าแตะเนื้อต้องตัวผู้เป็นนาย รู้หรือไม่ว่ามีโทษสถานใด" มันเอ่ยวาจาขณะที่จ้องไปที่กาเล็ทอย่างไม่วางตามือของมันข้างหนึ่งพลันเลื่อนไปแตะที่ด้ามดาบซึ่งเสียบอยู่ที่ข้างเอว แม้จะยังไม่รู้ถึงสาเหตุที่ซิลเวียไม่หลบเลี่ยงการเกาะกุมมือของเด็กน้อยเช่นที่ทำกับมันแต่จะอย่างไรเมื่อถูกเหยียดหยามท้าทายต่อหน้าเช่นนี้แม่ทัพชายแดนเช่นมันก็ไม่สามารถปล่อยเรื่องราวให้ผ่านเลยไปได้โดยง่าย

    "องค์รักษ์หรือ? เกรงว่าท่านสตานอฟคงเข้าใจผิดไป ข้าเป็นคู่หมั้นของนางเอง อ่อเช่นนั้นข้าก็ถือโอกาสนี้เชิญท่านสตานอฟแห่งตระกูลเรนฟอดล่วงหน้าเลยก็แล้วกัน ในวันงานพิธีตระกูลบุสโซ่ของข้าขอเรียนเชิญตระกูลเรนฟอดของท่านมาร่วมเป็นสักขีพยานด้วยอีกแรงหนึ่ง หวังว่าท่านสตานอฟจะให้เกียรติมาร่วมงานพิธีหมั้นหมายระหว่างข้ากับนาง" กาเล็ทเอ่ย แม้คำพูดจะดูเหมือนไม่มีสิ่งใดผิดปกติทว่าน้ำเสียงที่ใช้กลับแสดงออกชัดถึงการท้าทาย หากสังเกตุให้ดีก็จะพบว่ากาเล็ทก็จ้องกลับไปยังดวงตาของสตานอฟอย่างไม่เกรงกลัวเช่นกันพร้อมกันนั้นภายในจิตใจของกาเล็ทก็ภาวนาให้สตานอฟชักดาบออกมาลงมือต่อตนเอง ตนเองจะได้มีเหตุผลจัดการบรุษซึ่งบังอาจหมายตาสตรีของตนเองผู้นี้ ณ ตอนนี้กาเล็ทล้วนทิ้งเหตุผลต่างๆนาๆไปจนสิ้น

    ได้ยินคำกล่าวของกาเล็ทอีกทั้งซิลเวียยังไม่มีท่าทีว่าจะเอ่ยปฎิเสธเลยแม้แต่น้อยกล้ามเนื้อบนใบหน้าของสตานอฟก็กระตุกคราหนึ่ง "ม.ไม่จริงใช่ไหมน้องหญิง น้อง
    หญิงจะไปหมั้นกับคนเช่นมันได้อย่างไรกัน ก็เมอร์ลินสัญญากับข้าแล้วว่าหากข้าได้ขึ้นเป็นผู้นำของตระกูลเรนฟอดจะยกน้องหญิงให้แก่ข้า" มันจ้องมองไปที่ซิลเวียเพื่อเค้นเอาคำตอบทว่ามันกลับไม่ได้ยินคำตอบที่มันต้องการ มันพบว่าซิลเวียกลับก้มหน้าลงด้วยความเอียงอาย

    กาเล็ทกระชับมือของตนเองที่เกาะกุมฝ่านวลเนียนของซิลเวียให้แน่นขึ้นยิ่งกว่าเดิม "ผายลม นางหาใช่สิ่งของที่จะยกให้แก่กันได้ เพียงแค่เอ่ยปากว่าจะยกให้นางก็ต้องทำตามหรือ เช่นนั้นหากบิดาเจ้าเอ่ยปากว่าจะยกเจ้าให้เป็นข้าทาสของข้าเจ้าก็ต้องกลายเป็นข้าทาสของข้าไปหรือ"

    ได้ฟังคำกล่าวของกาเล็ทซึ่งเปรียบเปรยอย่างจับแพะชนแกะความอดทนอดกลั้นของสตานอฟก็มาถึงขีดสุด มันไม่สามารถข่มกลั้นความผิดหวังที่มีไว้ได้ มันไม่สามารถแสร้งเป็นสุภาพชนได้อีกต่อไป พริบตาที่คำกล่าวของกาเล็ทจบลงโทสะก็ครอบงำสติของสตานอฟไป เช้งงง เสียงของดาบซึ่งถูกชักออกจะฝักอย่างรวดเร็วคราครูดไปกับฝักดาบดังขึ้นแม่ทัพแห่งชายแดนใต้สตานอฟ เรนฟอดซึ่งมีพลังระดับ 8 ขั้นสูงด้วยวัยเพียง 20 ปีกลับชักดาบลงมือต่อเด็กหนุ่มผู้หนึ่งแล้ว

    กาเล็ทเผยรอยยิ้มชั่วร้ายออกมาคราหนึ่งเมื่อเห็นว่าสตานอฟกระทำในสิ่งที่ตนเองคาดหวังไว้นั่นคือการเริ่มลงมือต่อตนเองก่อน

    การจู่โจมที่ดุดันน่ากลัวของสตานอฟในสายตาของผู้อื่น การจู่โจมที่ชาวบ้านร้านถิ่นซึ่งมุงดูเหตุการณ์อยู่คาดคิดว่ากาเล็ทผู้ตกเป็นเป้าหมายของคมดาบนี้ต้องบาดเจ็บสาหัสเป็นแน่ การฟาดฟันที่หนักหน่วงรุนแรงตวัดเข้าหากาเล็ท พลังจิตวิญญาณที่ก่อตัวขึ้นครอบคลุมร่างของสตานอฟจนก่อเกิดเป็นออร่าสีน้ำตาลไม่แต่เพียงครอบคลุมร่างของสตานอฟแต่ยังครอบคลุมไปถึงคมดาบที่กำลังฟาดฟันตวัดเข้าหากาเล็ทด้วย "พสุธากัมปนาท" สตานอฟตระโกนออกมาอย่างดุดันขณะที่ตวัดดาบคู่กายเข้าใส่กาเล็ทอย่างหนักหน่วง

    พสุธากัมปนาท คือชื่อวิชาที่มันคิดค้นขึ้น เหตุที่ตั้งชื่อเช่นนี้เพราะมันเป็นผู้ใช้จิตวิญญาณธาตุดิน วิชานี้จะใช้ประโยชน์จากพลังจิตวิญญาณธาตุดินทำให้การจู่โจมฟาดฟันรุนแรงหนักหน่วงขึ้นกว่าปกติหลายเท่า รุนแรงหนักหน่วงถึงขนาดที่ว่าหากใช้ฟาดฟันใส่พื้นดินแล้วจะทำให้พื้นดินเกิดสั่นสะเทือนฝุ่นควันคละคลุ้งขึ้นในทันใด นั่นจึงเป็นที่มาของชื่อพสุธากัมปนาท

    กึ๊ง ฟุบ เสียงกึ๊งดังขึ้นทันทีที่คมดาบซึ่งสตานอฟตวัดมาถูกหยุดไว้ด้วยนิ้วเพียงสองนิ้วจากนั้นแรงกระแทกที่เกิดขึ้นจากสภาวะของดาบที่ตวัดฟาดมาก็แผ่กระจายออกไป แต่ที่น่าแปลกคือคลื่นกระแทกที่ปรากฎกลับสะท้อนไปยังทิศทางที่สตานอฟยืนอยู่แต่เพียงทิศทางเดียวส่งผลให้เสื้อผ้าและผมเผ้าของสตานอฟซึ่งอยู่ใกล้ปลิวสะบัดจนยุ่งเหยิงรุงรังในทันใด ยังไม่ทันที่สตานอฟจะได้ทันตั้งตัวและแสดงอาการตื่นตกใจออกมาเพราะการจู่โจมด้วยท่าไม้ตายของตนเองถูกหยุดไว้ เสียงของกาเล็ทก็ดังแว่วขึ้น "นี่หรือที่เรียกว่าพสุธากัมปนาท" กล่าวจบกาเล็ทก็บิดนิ้วซึ่งคีบคมดาบคู่กายของสตานอฟไว้คราหนึ่ง เสียงเคร้งซึ่งเกิดจากการแตกหักของเหล็กก็ดังขึ้น ดาบของประจำตระกูลเรนฟอดกลับแตกหักแล้ว ความจริงแล้วควรจบแต่เพียงนี้ทว่ากาเล็ทในยามนี้ได้ทิ้งซึ่งเหตุผลที่ปกติตนเองจะมีอยู่ไปสิ้น การหมายปองสตรีของตนเองเป็นสิ่งที่กาเล็ทไม่อาจยอมรับได้ดังนั้นเมื่อบิดนิ้วเมือเพื่อทำลายดาบคู่กายของสตานอฟแล้วกาเล็ทก็ก้าวขาไปยังเบื้องหน้าพร้อมทั้งเอ่ยขึ้น "ที่ว่าพสุธากัมปนาทสมควรมีพลังทำลายล้างเช่นนี้" กล่าวจบนิ้มมือทั้งห้าของกาเล็ทก็กำเข้าหากันจนกลายเป็นกำปั้นแกร่งพุ่งเข้าหาทรวงอกของสตานอฟซึ่งกำลังยืนตื่นตะลึงอยู่

    ตุบเสียงปะทะของกำปั้นกับทรวงอกของสตานอฟซึ่งสวมใส่เกราะเหล็กอยู่ดังขึ้นจากนั้นร่างของสตานอฟก็ปลิวละลิ่วดั่งว่าวที่สายป่านขาดครูดไถลไปกับพื้นถนนหลายเมตรพร้อมกันนั้น ม้าทั้งหมดรอบบริเวณก็ส่งเสียงกรีดร้องอย่างหวาดกลัวออกมาอีกคราหนึ่ง ฮี๊ ฮี๊ ๆ ๆ เพียงแต่ครั้งนี้ม้านั้นไม่เพียงส่งเสียงกรีดร้องออกมาพวกมันยังเกิดพยศและหันหลังกลับวิ่งหนีไปอย่างบ้าคลั่ง แม้ว่าทหารผู้ควบขี่มันอยู่พยายามจะชักดึงสายบังเหียนเพื่อทำให้มันสงบลงเพียงไรม้าทั้งหมดกลับไม่ยอมสงบลงพวกมันหันหลังกลับและควบหนีวิ่งทะยานไปยังทิิศทางตรงกันข้ามกับกลุ่มของกาเล็ทอย่างไม่คิดชีวิต ด้วยเหตุนี้รอบบริเวณจึงหลงเหลืออยู่แต่เพียงสตานอฟที่นอนกระอักเลือดบาดเจ็บอยู่แต่เพียงผู้เดียว ลูกน้องของมันกลับถูกม้าที่ตื่นตระหนกพาหนีหายไปจนหมดสิ้น

    "อย่าได้แม้แต่จะคิดมาหมายปองสตรีของข้า จำไว้ให้มั่นว่านางไม่ใช่สิ่งของที่ผู้ใดจะยกให้แก่กันได้ หากว่ายังมีครั้งหน้าอีกชีวิตของเจ้าข้าจะไม่ละเว้นให้แล้ว" กาเล็ทกล่าวกับสตานอฟที่นอนกระอักเลื่อดอยู่ ตั้งแต่ต้นจนจบกาเล็ทแทบไม่ได้ขยับกายจากจุดเดิมที่ยืนกุมมือซิลเวียอยู่เลย จากนั้นกาเล็ทจึงหันไปเอ่ยกับมิร่า "เจ้าตัวน้อยของปะป๋าทำได้ดีมาก" ทำเหมือนว่าจะคิดอะไรเพิ่มเติมได้ "อ่อเลิกเรียกนางว่าน้องหญิง นางหาใช่น้องหญิงของเจ้า นางเป็นเจ้าหญิงแห่งโรฮาน เป็นคู่หมั้นของข้า เป็นภรรยาของข้าในอนาคต อย่าได้บังอาจยกตนขึ้นมาเทียบเปรียบกับนางเพราะเจ้านั้นไม่คู่ควร"

    "ฮี ฮี่" มิร่าหัวเราะร่าด้วยความชอบใจจากนั้นก็กระโดดทะยานเข้าเกาะกุมร่างของกาเล็ทไว้

    "ท่านพี่สตานอฟโปรดรักษาตัว" ก่อนจากไปซิลเวียก็หันมาเอ่ยกับสตานอฟที่นอนบาดเจ็บอยู่กลางพื้นถนนคราหนึ่ง หากเลือกได้นางย่อมไม่ต้องการให้เกิดเหตุการณ์เช่นนี้ขึ้น

    ปล.จากผู้เขียน กาเล็ทดูไร้เหตุผลไปป่าวอะตอนนี้ นิยายพระเอกเราที่ผู้อ่านอาจจะยังไม่รู้คือหึงโหดนะครับ 555
    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×