ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    Tales of Yuyan ตำนานเรื่องเล่าแห่งยูยาน

    ลำดับตอนที่ #95 : ลูกสาวเจ้าไม่คิดว่านี่เป็นเรื่องไม่ถูกต้องหรือ [รีไรท์]

    • เนื้อหาตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 15.52K
      415
      12 ธ.ค. 60





    กาเล็ทหันไปค้อมหัวให้แก่เมลเอมเป็นเชิงขออภัย สาเหตุที่กาเล็ทกระทำเช่นนี้ก็เพราะว่าการวิวาทของตนเมื่อครู่ทำให้เกิดความวุ่นวายขึ้นอีกทั้งบริเวณยังเป็นบริเวณหน้าร้านอาหารของเมลเอม การกระทำของตนเองย่อมส่งผลให้ลูกค้าของเมลเอมหนีหายไป
    เมลเอมที่ยืนดูเหตุการณ์อยู่ด้วยความตกตะลึงก็ผงกหัวระรัวตอบกลับแก่กาเล็ท ตัวมันในตอนนี้ตื่นตะลึงจนสติไม่อยู่กับเนื้อกับตัว แม้ว่าตนเองจะได้เห็นเหตุการณ์ที่กาเล็ททะเลาะวิวาทกับกลุ่มอันธพาลเมื่อไม่กี่สิบนาทีที่ผ่านมาก่อนหน้านี้ทว่าครั้งนี้นั้นแตกต่าง เหตุการณ์วิวาทของกาเล็ทกับผู้ซึ่งดูเหมือนจะเป็นขุนนางใหญ่นั้นเกิดขึ้นต่อหน้าต่อตาของตนเอง "คนผู้หนึ่งสามารถใช้นิ้วมือหักทำลายดาบที่สร้างขึ้นมาจากเหล็กกล้าได้เชียวหรือ" มัันพึมพำอยู่กับตนเองขณะที่ใช้สาตามองไล่หลังกลุ่มของกาเล็ทไป

    "เจ้าเห็นหรือไม่"

    "เข..เขาใช้เพียงนิ้วเมือหักดาบที่ทำจากเหล็กกล้าได้"

    "น..นี่หรือความแข็งแกร่งของผู้ฝึกพลัง ข้าไม่คิดว่าจะถึงขนาดนี้"

    "เขาเป็นใครกัน?"

    หลังจากกลุ่มของกาเล็ทจากไปเสียงซุบซิบพูดคุยของชาวบ้านก็ดังขึ้น บ้างเอ่ยถามอย่างสังสัยใคร่รู้ถึงตัวตนของกาเล็ทว่าเป็นผู้ใด บ้างเอ่ยพูดคุยแสดงความเห็นถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น สตานอฟเองก็มีคำถามร้อยแปดเกินขึ้นในจิตใจของมันเช่นกัน แต่คำถามที่มันอยากรู้มากที่สุดยามนี้ย่อมเป็น "เด็กน้อยเมื่อครู่นั้นคือผู้ใดกัน?" และแน่นอนว่าย่อมไม่มีผู้ใดสามารถให้ความกระจ่างแก่มันที่นอนบาดเจ็บอยู่กลางพื้นถนนได้

    ทางด้านกาเล็ทนั้นแม้จะนำพาทุกคนออกจากจุดเกิดเหตุมาไกลแล้วทว่ามือของตนเองก็ยังมิได้คลายออกจากฝ่ามือนวลเนียนของซิลเวีย กาเล็ทพบว่าตลอดเวลาหลายนาทีที่เดินมาซิลเวียนั้นนิ่งเงียบไม่กล่าววาจา ไม่เพียงไม่กล่าววาจานางยังนำฮูดขึ้นมาสวมเพื่อปิดบังใบหน้าของตนเองไว้อีก

    "โกรธข้าหรือ" กาเล็ทเอ่ยถามขึ้นขณะที่ก้าวเดินไปตามท้องถนนทว่ากลับไร้เสียงตอบกลับมาจากเจ้าหญิงแห่งโรฮานทำให้กาเล็ทมีความรู้สึกร้อนใจไม่น้อย เมื่อหวนนึกกลับไปถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น กาเล็ทก็รู้สึกว่าตนเองนั้นหุนหันพลันแล่นเกินไปจะอย่างไรสตานอฟก็เป็นคนรู้จักของซิลเวีย ดังนั้นตนเองย่อมไม่สมควรที่จะลงมือหนักถึงเพียงนั้นทว่าแม้จะรู้สึกเสียใจแต่ก็ไม่สามารถกลับไปแก้ไขสิ่งที่ผ่านมาแล้วได้

    แชลเทียที่อยู่ด้านข้างกลับเผยรอยยิ้มประหลาดออกมาเมื่อเห็นว่ากาเล็ทเอ่ยถามอย่างร้อนใจ

    "ซิลเวียอย่าได้โกรธเคืองข้าได้หรือไม่ ข้ารู้ดีว่าข้าไม่สมควรลงมือหนักถึงเพียงนั้น จะอย่างไรสตานอฟก็เป็นคนรู้จักของเจ้าแต่ว่าเมื่อเห็นว่ามันแสดงท่าทีสนิทสนมกับเจ้า เห็นว่ามันเอ่ยประหนึ่งว่าเจ้าเป็นสิ่งของที่สามารถยกให้แก่กันได้ จิตใจของข้าก็รู้สึกโกรธเคืองอย่างไม่อาจควบคุมได้ ให้อภัยข้าได้หรือไม่" กาเล็ทเอ่ยบอกความรู้สึกที่แท้จริงของตนเองออกมาเพื่อหวังให้ซิลเวียที่นิ่งเงียบอยู่คลายความโกรธเคืองที่มีต่อตนเอง

    ได้ฟังคำกล่าวของกาเล็ทร่างเล็กที่ถูกยึดกุมมืออยู่ก็เกิดปฎิกริยาเล็กน้อยทว่ายังไร้เสียงตอบกลับมาทำให้กาเล็ทรู้สึกผิดหวังยิ่ง

    "นี่พอแล้วกระมังหากเจ้ายังไม่เอ่ยกล่าววาจาอีกเขาคงเข้าใจผิดไปกันใหญ่แล้ว" เสียงของแชลเทียเอ่ยกล่าวขึ้นจากนั้นนางก็หันมาหากาเล็ท "เจ้าเข้าใจว่านางโกรธเคืองอยู่หรือ เจ้าดูว่าใบหน้าของนางตอนนี้ดูคล้ายคนที่โกรธเคืองอยู่หรือไม่" กล่าวจบแชลเทียก็ถกผ้าคลุมที่คลุมหัวของซิลเวียออกอย่างรวดเร็ว

    "อ๊ะ แชลเทียเจ้าทำอะไร" ซิลเวียส่งเสียงอุทานออกมาด้วยความตกใจที่อยู่ๆผ้าคลุมที่ปกปิดใบหน้าของนางก็ถูกถกออกทำให้ใบหน้าของนางที่กำลังยิ้มอย่างเปี่ยมสุขเปิดเผยออกมา

    "เจ้าดูกาเล็ท นางนั้นยิ้มแย้มจนพวงแก้มของนางแทบจะปริแตกออกจากกันแล้ว" แชลเทียเอ่ย

    กาเล็ทเห็นเช่นนั้นก็ได้แต่หยุดยืนตะลึงลานอยู่กับที่ "เจ้าไม่ได้โกรธเคืองข้าหรอกหรือ" กาเล็ทเอ่ยถามขึ้นอย่างไม่อยากจะเชื่อ

    "ข.ข้าจะไปโกรธเคืองกาเล็ทได้อย่างไร" ซิลเวียหันมองมาอย่างเอียงอาย ที่นางไม่เอ่ยกล่าววาจาเมื่อครู่เหตุเพราะนางนั้นรู้สึกยินดีจนไม่สามารถกล่าววาจาได้ นางยินดีที่บรุษซึ่งนางเถิดทูนมอบหัวใจให้ไม่เฉยชาต่อนาง นางยินดีที่บรุษของนางออกตัวเพื่อปกป้องนาง นางยินดีที่ได้รู้ว่าตนเองก็มีคุณค่าในสายตาของเขา ด้วยเหตุผลทั้งหมดทั้งมวลที่กล่าวมานั้นทำให้นางยินดีจนไม่อาจที่จะหุบยิ้มลงได้เป็นเหตุให้นางนำฮูดขึ้นมาสวมอีกครั้งเพื่อปกปิดรอยยิ้มของตนเองไว้

    "ข้ากลับหวั่นวิตกแทบตายแล้วว่าเจ้าจะโกรธเคือง" กล่าวจบกาเล็ทก็ถอนหายใจออกมาคราหนึ่ง "บางทีกับสตานอฟข้าก็ลงมือหนักจนเกินไป ไม่ทราบว่ามันต้องใช้เวลาพักฟื้นสักกี่เดือนกว่าจะกลับเป็นปกติดังเดิม"

    "กาเล็ทในความเห็นของข้าเจ้าหาได้ลงมือหนักจนเกินไปไม่ อันที่จริงสตานอฟอะไรนั่นเป็นผู้ลงมือก่อนด้วยซ้ำเจ้าเพียงแต่ป้องกันตัวเองเท่านั้น" แชลเทียเอ่ย

    ได้ฟังคำกล่าวของเพื่อนสาวซิลเวียก็หวนนึกกลับไปถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น สตานอฟนั้นแม้ว่าปากจะเอ่ยชื่นชมตนเองและดูผิวเผินปฎิบัติกับตนเองด้วยดีทว่าพอความโกรธเข้าครอบงำบรุษผู้ซึ่งเป็นเพื่อนของพี่ชายผู้นี้กลับเผยธาตุแท้ออกมา มันกลับลงมือโดยไม่ได้สนใจเลยด้วยซ้ำว่าตนเองที่อยู่ใกล้ๆจะได้รับอันตรายไปด้วยหรือไม่ คิดถึงตรงนี้ซิลเวียก็ถอนหายใจออกมาคราหนึ่ง เมื่อก่อนเป็นตนเองที่โง่เขลาจนไม่สามารถมองทะลุถึงภาพลวงที่เหล่าบรุษสร้างขึ้นมาหลอกลวงตบตาออก เห็นทีจะมีเพียงแต่เขาที่ไม่ได้หลอกลวงตบตาและเป็นห่วงเป็นใยตนเองจากใจจริง คิดได้เช่นนั้นซิลเวียก็หันมองไปยังกาเล็ทด้วยแววตาที่เทิดทูนยิ่งกว่าเดิม ประกายในดวงตาของนางนั้นเต็มเปี่ยมไปด้วยความรัก

    กาเล็ทที่สัมผัสได้ถึงความรักความเทิดทูนที่อยู่ในแววตาซิลเวียซึ่งมองมาก็หวนนึกกลับไปถึงเหตุการณ์เมื่อครู่ เหตุการณ์ที่ซิลเวียหลบเลี่ยงไม่ยอมให้สตานอฟสัมผัสถูกตัวอย่างไม่ไว้หน้าหากแต่กลับยินยอมให้ตนเองสัมผัสได้โดยง่าย นึกถึงจุดนี้กาเล็ทก็เกิดความรู้สึกรักผูกพันขึ้นมา "ซิลเวียวันนี้ให้ข้าพาเจ้ากลับไปราชวังเป็นอย่างไร เจ้าจะได้ถือโอกาสนี้จัดเตรียมข้าวของเครื่องใช้จำเป็นครั้งที่แล้วมาอย่างฉุกละหุกคงไม่ได้นำข้าวของมามากพอกระมัง อีกอย่างข้าจะได้ถือโอกาสนี้ไปพูดคุยกับองค์ราชาด้วย" กาเล็ทเอ่ย

    "อืม" ซิลเวียผงกหัวรับ

    "ดีเลยข้าจะได้กลับตระกูลเรนเดลไปเยี่ยมท่านพ่อกับท่านแม่ด้วย" แชลเทียเอ่ยขึ้น

    "เช่นนั้นไปส่งเจ้าที่ตระกูลเรนเดลก่อน ข้าจะได้ถือโอกาสนี้ถามไถ่ถึงความคืบหน้าของการฝึกวิชาของท่านพ่อตาด้วย" กาเล็ทเอ่ย

    ใช้เวลาเดินทางไม่นานกาเล็ทก็มาถึงตระกูลเรนเดล เมื่อมาถึงหน้าตระกูลเรนเดลทหารซึ่งทำหน้าที่เฝ้ายามอยู่เพียงเห็นว่าผู้มาเยือนเป็นการเล็ทมันก็ส่งสัญญาณให้แก่เพื่อนทหารซึ่งยืนอยู่ไม่ใกลเพื่อให้เข้าไปรายงานการมาถึงของกาเล็ทแก่ครู่โซ่ ส่วนตัวมันก็ยืนตัวตรงเพื่อที่จะรอทำความเคารพต่อกาเล็ท

    กล่าวไปแล้วเมื่อแรกเริ่มเดิมทีที่กาเล็ทมาเยือนตระกูลเรนเดลในช่วงแรกนั้นทหารยามส่วนใหญ่ยังไม่รู้จักด้วยซ้ำว่ากาเล็นนั้นคือผู้ใด มีความสัมคัญเช่นไร เคยมีอยู่ครั้งหนึ่งที่กาเล็ทนั้นต้องยืนรออยู่หน้าตระกูลเรนเดลนานนับสิบนาทีเพื่อให้ทหารยามเข้าไปรายงานต่อครูโซ่ ผลที่เกิดขึ้นคือเมื่อครูโซ่รู้ว่ามีเหตุการณ์เช่นนั้นเกิดขึ้นก็ได้ลงโทษทหารยามกะน้อยอย่างหนักเป็นเหตุให้ในตอนนี้ทหารยามและข้ารับใช้ทุกผู้คนของตระกูลเรนเดลสามารถจดจำออกว่ากาเล็ทคือผู้ใดและมีความสำคัญเช่นไร นับจากวันนั้นเป็นต้นมากาเล็ทก็สามารถเข้านอกออกในตระกูลเรนเดลได้เสมือนว่าเป็นบ้านของตนเอง

    เมื่อมาถึงกาเล็ทก็เอ่ยพูดคุยทักทายทหารยามจากนั้นทหารยามก็ทำหน้าที่นำพาทั้งหมดเข้าไปยังห้องรับรองของตระกูลเรนเดล

    "ฮึดูสิ ไม่ทราบนี่เป็นบ้านของผู้ใดกันแน่" แชลเทียเอ่ยขึ้น

    กาเล็ทซึ่งได้ฟังก็หัวเราะออกมาคราหนึ่ง "ยังมีบ้านเจ้าบ้านข้าอีกหรือพวกเราสองครอบครัวมิใช่รวมเป็นหนึ่งเดียวกันแล้วหรือ" กาเล็ทเอ่ยเป็นเชิงหยอกล้อกับแชลเทียซึ่งกำลังแสดงอาการน้อยเนื้อต่ำใจที่ข้ารับใช้ของตนเองไม่เหลือบแลสนใจตนเองเลยแม้แต่น้อย ตั้งแต่มาถึงไม่ว่าหญิงหรือชายก็เอาแต่พูดคุยแสดงความเคารพต่อกาเล็ทประหนึ่งว่ากาเล็ทนั้นเป็นนายเหนือแห่งตระกูลเรนเดลก็ไม่ปาน

    "ยังไม่" แชลเทียเอ่ยตอบพร้อมแสดงอาการเหนียมอายออกมาให้ได้เห็น


    เมื่อมาถึงห้องรับรองแชลเทียก็ขอตัวไปเพื่อจัดการตระเตรียมข้าวของเครื่องใช้ของตนเอง ส่วนซิลเวียก็นั่งเล่นอยู่กับมิร่าในส่วนห้องรับรองของตระกูลเรนเดล

    สครูโซ่นั้นแสดงอาการประหลาดใจออกมาให้ได้เห็นเล็กน้อยเมื่อเห็นซิลเวียเจ้าหญิงแห่งโรฮานซึ่งกำลังนั่งเล่นอยู่กับมิร่าอย่างสนิทสนมคุ้นเคย ไม่ทราบว่าเจ้าหญิงซิลเวียไปสนิทสนมกับหลานสาวบุญธรรมของตนเองถึงเพียงนี้ได้ตั้งแต่เมื่อใด ชั่วแวบหนึ่งแววตาของครู่โซ่ก็ปรากฎความรู้สึกอิจฉาเลื่อมใสขึ้น

    "ท่านพ่อตาวันนี้ข้าเพียงแต่นำแชลเทียกับองค์หญิงซิลเวียเข้ามาเดินตรวจตราดูภายในเมือง ที่มาหาท่านในวันนี้ก็เพื่อนำแชลเทียมาเอาข้าวของเครื่องใช้จำเป็น ม.ไม่ทราบว่าท่านพ่อตาจะว่าอะไรหรือไม่หากว่าข้าจะขอให้แชลเทียอยู่ต่อที่ตระกูลบุสโซ่อีกสักหลายวัน" กาเล็ทเอ่ยทักทายพร้อมทั้งบอกจุดประสงค์การมาของตนเองในวันนี้ต่อว่าที่พ่อตาของตนเอง พอเอ่ยถึงช่วงท้ายน้ำเสียงก็แสดงออกถึงความหวั่นใจอยู่บ้าง จะไม่ให้หวั่นใจได้หรือ? รอบเดือนที่ผ่านมานี้แชลเทียนั้นแทบจะพำนักอยู่ที่ตระกูลบุสโซ่เสมือนว่าเป็นบ้านของตนเองไปแล้วมาวันนี้ตนเองจะมีหน้าที่จะเอ่ยปากร้องขอจะให้นางอยู่ต่ออีก จะมีบิดาผู้ใดที่จะสามารถทนแยกจากบุตรสาวของตนเองได้นานถึงเพียงนี้?

    ได้ฟังคำกล่าวขอกาเล็ทครู่โซ่ก็เผยรอยยิ้มออกมา "เห็นท่าทีของเจ้าข้าก็คิดว่ามีเรื่องหนักหนาอะไรเสียอีก จะให้นางอยู่ต่ออีกนานเท่าใดก็แล้วแต่เจ้าเถอะลูกเขย" แม้ครูโซ่จะถือได้ว่าเป็นบุคคลอีกผู้หนึ่งที่ใกล้ชิดกับกาเล็ทไม่น้อยและก็ยังถือได้ว่าเป็นญาติผู้ใหญ่ที่กาเล็ทให้ความเคารพอีกคนหนึ่งแต่ไม่ว่าจะได้ใกล้ชิดพูดคุยกับกาเล็ทมากเพียงไรครูโซ่ก็ยังไม่สามารถที่จะทำความเข้าใจกับลูกเขยของตนเองผู้นี้ได้ บางเวลาลูกเขยผู้นี้ของตนเองกลับเป็นกังวลใจกับเรื่องเล็กน้อยยกตัวอย่างเช่นเรื่องเมื่อครู่เป็นต้น ด้วยตำแหน่งฐานะและยศฐาบรรดาศักดิ์ที่ลูกเขยผู้นี้ของตนเองมีประกอบกับพลังความแข็งแกร่งที่ยากจะหยั่งถึงของเขา เขายังคงจำเป็นที่จะต้องให้ความเคารพนบนอบกับตนเองเช่นนี้หรือ? เรื่องเล็กน้อยเช่นนี้จำเป็นด้วยหรือที่จะต้องมาเอ่ยขออนุญาติ? การปฎิบัติตนของกาเล็ทที่กระทำต่อตนเองเช่นนี้นั้นไม่ใช่ว่าครู่โซ่ไม่ยินดี การที่กาเล็ทแสดงความเคารพนพนอบต่อตนเองถึงเพียงนี้ การที่กาเล็ทให้ความสำคัญกับตนเองนั้นทำให้ครูโซ่รู้สึกยินดียิ่งกว่าสิ่งใด ทว่าที่มาพร้อมกับความรู้สึกยินดีก็คือความรู้สึกกลัว กลัวว่าสักวันหนึ่งลูกเขยผู้นี้ของตนเองจะเปลี่ยนไป

    "ท่านพ่อตา ว่าแต่การฝึกพลังของท่านราบรื่นดีหรือไม่ และวิชาอาภรณ์วารีท่านฝึกไปถึงขั้นใดแล้ว ไม่ทราบว่าท่านพ่อตาติดปัญหาที่ใดหรือไม่" กาเล็ทเอ่ยถาม คำถามของกาเล็ทนี้ปลุกให้ครูโซ่ตื่นจากภวังค์ความคิด

    "คงเพราะข้าไร้ความสามารถ เทพวิชาที่ลูกเขยคิดค้นขึ้นมาเห็นที่ชาตินี้ข้าคงจะไม่มีวันฝึกได้สำเร็จแล้ว" ครู่โซ่เอ่ยออกมาอย่างท้อแท้สิ้นหวัง

    กาเล็ทเมื่อได้ฟังคำกล่าวของว่าที่พ่อตาก็แสดงอาการประหลาดใจออกมาเล็กน้อย "ท่านพ่อตาอย่าได้ท้อแท้ไป ท่านติดขัดที่ส่วนไหนให้ข้าช่วยอธิบายดีหรือไม่" กาเล็ทเอ่ยให้กำลังใจแก่ครูโซ่พร้อมทั้งเสนอตัวเพื่อช่วยเหลือ

    "การที่จะแปลงพลังจิตวิญญาณให้กลายเป็นอาภรณ์นั้นว่ายากแล้วแต่ที่ยากยิ่งกว่าคือการที่จะคงสภาพของมันไว้ เมื่อข้าฝืนรวบรวมพลังจนสามารถสร้างอาภรณ์จิตวิญญาณขึ้นมาได้อย่างยากเย็นแล้วทว่าเพียงชั่วครู่ที่มันปรากฎข้าก็รู้สึกเหมือนว่าร่างทั้งร่างของข้าจะระเบิดออกจากนั้นมันก็แตกสลายหายไป" ครู่โซ่เอ่ย

    กาเล็ทได้ฟังคำกล่าวของครูโซ่ก็หยุดนิ่งครุ่นคิดอยู่พักหนึ่ง "เอาเช่นนี้เป็นอย่างไร ท่านพ่อตาลองแสดงหน้าข้าชมดูเที่ยวหนึ่ง" กาเล็ทเอ่ย

    เมื่อได้ฟังครูโซ่ก็แสดงสีหน้าลำบากใจออกมาวูบหนึ่งจากนั้นก็กัดฟันเร่งเร้าพลังจิตวิญญาณระดับ 7 ของตนเองอย่างยากลำบาก เพียงไม่น่าออร่าสีฟ้าก็ค่อยๆก่อตัวปรากฎขึ้นยังบริเวณรอบตัวของครูโซ่ทีละน้อยทว่าอยู่ๆมันก็กลับสลายหายไปอย่างกระทันหัน

    "สาเหตุของความล้มเหลวนั้นเกิดมาจากท่านกระจายพลังได้ไม่ทั่วถึง" กาเล็ทเอ่ยจากนั้นจึงเดินเข้าไปหาครูโซ่และใช้มือของตนเองแตะไปที่ร่างกายของว่าที่พ่อตาของตนเองผู้นี้ "ท่านพ่อท่านลองรวบรวมพลังจิตวิญญาณสร้างเป็นอาภรณ์พลังขึ้นอีกครั้งได้หรือไม่ ครั้งนี้ข้าจะเป็นผู้ช่วยเหลือท่านในการปรับการกระจายพลังให้คงที่เอง" กาเล็ทเอ่ย กาเล็ทมีความคิดที่ว่าการสอนที่ดีที่สุดคือการให้เจ้าตัวได้มีประสบการณ์สัมผัสอีก

    ได้ฟังครูโซ่ก็กลั้นใจเร่งเร้าพลังของตนเองขึ้นอย่างสุดชีวิตอีกครั้งหนึ่ง




    ปล.ขอตัดจบแบบนี้ก่อนนะครับง่วงมาก 555 ขอไปแอบงีบก่อนชื่อตอนไม่ตรงกับเนื้อหา รอตอนหน้านะแล้วจะรู้ว่าชื่อตอนหมายถึงเรื่องอะไร ลองเดาดูซิว่าชื่อตอนหมายถึงเรื่องอะไรถ้ามีคนเดาถูกพรุ่งนี้จะขายวิญญาณปั๊มให้สี่ตอนเลยเอ้า ว่างสามวันเน้อจะพยายามขายวิญญาณเข็นเนื้อหาออกมาให้เยอะๆนะครับ สุดท้ายแล้วขอขอบพระคุณผู้อ่านทุกคนที่อุดหนุดผลงานเน้อ

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×