คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #14 : - CH 10 : bless -
I don't quite know
ผมเองก็ไม่ค่อยเข้าใจเหมือนกัน
How to say , How I feel
และไม่รู้จะอธิบายยังไงกับสิ่งที่ผมรู้สึกกับคุณในเวลานี้
…..
อาจจะเป็นเพราะการตื่นเช้าได้ฝังรากลึกจนกลายเป็นนิสัยไปแล้ว
ผมจึงตื่นตั้งแต่ฟ้าสาง อากาศยามเช้าค่อนข้างเย็นเนื่องจากความชื้นของสายฝน
แต่ผมกลับไม่รู้สึกหนาวอย่างที่ควรจะเป็นเพราะชุดของชานยอลที่สวมใส่อยู่ทั้งใหญ่และอบอุ่นในคราวเดียวกัน
กลิ่นกายอันเป็นเอกลักษณ์ของเขายังคงกรุ่นอยู่ในทุกอณูของเนื้อผ้าเสมือนเป็นสิ่งย้ำเตือนว่าเหตุการณ์ทั้งหมดที่ผมกำลังเผชิญอยู่นั้นมันคือเรื่องจริง
ผมถูกทำร้าย ชานยอลช่วยผมไว้และตอนนี้ผมอยู่ที่บ้านของเขา
ทุกอย่างเกิดขึ้นอย่างกะทันหัน มันรวดเร็วจนผมรับมือแทบไม่ไหว
ในตอนนั้นชานยอลช่วยผมให้พ้นจากการถูกทำร้ายทั้งๆที่ไม่มีความจำเป็นที่จะต้องทำ
แต่เขากลับทำให้ผมแปลกใจโดยการเลือกที่จะหักหลังพรรคพวกเพื่อช่วยผม
ซึ่งการกระทำของชานยอลได้ส่งผลให้มีบางอย่างเกิดขึ้นในความรู้สึกของผม
มันเป็นความรู้สึกที่ผมพยายามหลีกเลี่ยงตลอดระยะเวลาที่ผ่านมา
แต่ชานยอลไม่ได้เพียงแค่เอ่ยวาจาเพื่อให้ดูน่าเชื่อถือ เขาพูด เขาแสดง เขาทำจริง
เขาจึงได้รับความเชื่อใจ
แม้ความรู้สึกนั้นจะยังไม่เต็มร้อยแต่ก็จำเป็นที่จะต้องยอมรับว่าผมเชื่อใจและไว้ใจเขามากกว่าที่เคย
หากชานยอลต้องการที่จะสืบตัวตนที่แท้จริงของเอส
ผมก็พร้อมที่จะช่วยเขาอย่างไร้ข้อกังขา ผมอาจจะต้องทำตามคำพูดของชานยอลที่ว่าตอนนี้เราไม่ใช่ศัตรูแต่เราเป็นพันธมิตร
พันธมิตรที่ไม่ได้หมายถึงการเป็นเพื่อน
แต่มันหมายถึงการช่วยเหลือกันโดยมีผลประโยชน์เป็นตัวกลางเชื่อมความสัมพันธ์เท่านั้น
ผมอาจจะญาติดีกับเขาในเวลาสั้นๆ แต่เมื่อเราได้สิ่งที่ปรารถนา ผมกับชานยอลก็จะกลับไปเป็นศัตรูเช่นเดิม
ผมวาดขาออกจากผ้าห่มหลังจากที่นอนครุ่นคิดจนกระทั่งท้องฟ้าเริ่มสว่าง
ผมยังคิดไม่ออกว่าควรจะจัดการกับอนาคตอย่างไรดีแต่สิ่งที่ทำให้ผมต้องพาร่างกายอันบอบช้ำออกมาจากห้องนอนนั่นก็เพราะว่า...
โครกกกก
ผมหิว...
เสียงท้องร้องเป็นตัวกระตุ้นให้ผมลุกขึ้นจากเตียง ผมค่อยๆปิดประตูห้องอย่างเบามือก่อนจะมองซ้ายขวาเพื่อดูให้แน่ใจว่าชานยอลยังคงอยู่ในห้องของเขา
เมื่อเห็นว่าบ้านทั้งหลังเงียบเชียบผมจึงสรุปกับตัวเองว่าชานยอลคงยังไม่ตื่น
ผมออกเดินเพียงครู่เดียวก็พบห้องครัว
เสียงท้องร้องและอาการปวดท้องเพราะความหิวสั่งให้ผมสาวเท้าเข้าไปหาตู้เย็นหลังใหญ่ที่น่าจะอัดแน่นไปด้วยของกินแต่ก็ต้องผิดหวังเมื่อภายในมีแต่ของสด
ซึ่งถ้าให้ผมเดาจากการสังเกตของสดพวกนี้ ชานยอลน่าจะลงมือทำอาหารกินเองมากกว่าที่จะซื้อแบบสำเร็จรูป
ให้ตายเถอะ
คนอย่างเขาน่ะเหรอที่จะทำกับข้าวเอง แค่คิดภาพชานยอลใส่ผ้ากันเปื้อนจับกระทะผมก็อยากจะลงไปนอนขำกับพื้นแล้ว
ผ้ากันเปื้อนสีชมพูลายคิตตี้ด้วยเป็นไง? หรือจะลายคุมะหมีหน้าโง่ดี? มันคงเหมาะกับปาร์คชานยอลพ่อครัวหัวป่าสุดๆไปเลย
เหอะ!
ผมกลอกตาให้กับความคิดของตัวเองก่อนจะปิดตู้เย็นพร้อมถอนหายใจ ผมมองไปทั่วห้องครัวแต่ก็ไม่พบสิ่งที่จะทำให้หายหิวได้เลย
ตอนนั้นเองที่ผมเห็นห่อรามยอนหลายห่ออยู่ในบิวท์อินบนผนัง ผมยิ้มก่อนจะรีบเดินไปหาอย่างมีความหวังแต่เพียงครู่เดียวความหวังเหล่านั้นก็ดูเหมือนจะถูกขยี้ให้แหลกอย่างช้าๆ
ทำไมบิวท์อินแม่งสูงจังวะ!
ผมเงยหน้ามองรามยอนที่อยู่สูงกว่าอย่างสุดจะเอื้อม
พยายามเขย่งอย่างสุดความสามารถแต่เพียงแค่ปลายเท้ายกขึ้น
ความเจ็บของรอยช้ำที่ท้องก็เข้าเล่นงานจนต้องเบ้หน้า
ผมกลั้นใจเขย่งขึ้นอีกครั้งแม้ว่าผิวหนังที่ยืดออกจะทำให้ผมเจ็บแผล แต่อย่างที่คุณก็คงรู้ว่าเรื่องกินน่ะมันสำคัญที่สุดในชีวิตแล้ว!
อีกนิด!
อีกนิดเดียว!
อีกนิด!
“เตี้ย”
!!!
เสียงทุ้มนุ่มที่ดังขึ้นจากด้านหลังทำให้สะดุ้งสุดตัวจนนิ้วของผมเกี่ยวเอารามยอนร่วงติดมือลงมาสองห่อ
ผมถอนหายใจอย่างหงุดหงิดกับสรรพนามที่อีกฝ่ายเรียกก่อนจะหันไปพบกับเจ้าของบ้านที่ยืนกอดอกพิงกรอบประตูมองมาที่ผมด้วยสายตาเรียบนิ่งเช่นเคย
ชานยอลวันนี้ดูแปลกตาเพราะเสื้อกล้ามสีดำที่เขาใส่เผยให้เห็นมัดกล้ามสวยตัดกับผมสีไวน์องุ่น
ไหนจะกางเกงผ้ายืดขายาวที่ดูสบายๆแบบนั้นอีก แต่ผมก็ยังต้องยอมรับว่าแม้ชานยอลจะอยู่ในชุดธรรมดาๆแต่ความดูดีของเขานั้นกลับไม่ได้ลดน้อยลงเลย
“ใครเตี้ย?”
ผมเอ่ยถามอย่างไม่สบอารมณ์ คำว่าเตี้ยที่เขาเอ่ยออกมาคงไม่ได้หมายถึงผมใช่ไหม?
คุณก็เห็นนี่ว่าผมสูงพอที่จะหยิบของที่อยู่สูงๆได้
ให้รามยอนสองห่อที่อยู่บนพื้นเป็นพยานเลย
ชานยอลไม่ตอบคำถามก่อนจะสาวเท้าเข้ามาหา
แต่ละก้าวของเขานั้นเชื่องช้าแต่กลับทำให้เส้นประสาทของผมเต้นตุบตับ
ทำไมเขาต้องมองเหมือนกับว่าผมทำอะไรผิดอย่างนั้นด้วย
“ขโมย” เสียงทุ้มว่าแบบนั้นก่อนจะเบนสายตาไปที่รามยอนสองห่อบนพื้น
ผมปั้นหน้าไม่ถูกไปชั่วขณะ แต่เพียงไม่กี่วินาทีนิสัยของผมก็ส่งผลให้โวยวายกลับไป
“อะไร!”
“นายเป็นขโมย”
ชานยอลหยิบรามยอนขึ้นมาถือไว้ในมือแล้วมองหน้าผมอย่างเรียบเฉย
ผมไม่แน่ใจนักว่าเขามีโป๊กเกอร์เฟซชั้นเยี่ยมที่ช่วยซ่อนความรู้สึกทั้งหมดไว้ภายใต้ใบหน้าหรือที่แท้จริงแล้วเขาขี้เก๊กกันแน่
“ก็ฉันหิว...”
โอเค ผมยอมรับก็ได้ว่ากำลังจะขโมยรามยอนในบ้านของเขาซึ่งนั่นดูจะเป็นเรื่องใหญ่สำหรับเจ้าของบ้านจอมกวนประสาทคนนี้
การที่ต้องทำเป็นเสียงอ่อนสื่อว่ายอมแพ้คงจะทำให้เขาใจอ่อนได้บ้าง
ผมหวังว่าชานยอลจะไม่ใจร้ายปล่อยให้ผมหิวตายหรอกนะ
“ไปอาบน้ำแปรงฟันซะ รู้ตัวรึเปล่าว่ากลิ่นปากนายโชยมาถึงนี่แล้ว”
ชานยอลหันหลังให้ผมอย่างไม่ใยดีก่อนที่เขาจะเก็บรามยอนเข้าที่เดิม
ผมมองตามอาหารประทังชีวิตตาละห้อยแต่ชานยอลก็ไม่ใจอ่อน เขาทิ้งให้ผมยืนเคว้งอยู่ในห้องครัว
ผมได้แต่เม้มปากแน่นเป็นการข่มอารมณ์กับสิ่งที่เขากระทำลงไปเมื่อครู่
นอกจากจะไม่ให้ผมกินแล้วยังว่าผมปากเหม็นอีก
ผมขอคืนคำที่ว่าจะญาติดีกับเขาตอนนี้ทันไหม!
หลังจากอาบน้ำอย่างไม่เต็มใจและแปรงฟันจากแปรงสีฟันด้ามใหม่ที่เขาวางทิ้งไว้ในห้องน้ำ
อารมณ์ที่คุกรุ่นก็ดูคล้ายว่าจะหายไปเสียแล้วแต่ความหิวของผมนั้นไม่ได้ลดน้อยลงไปเลย
กระเพาะเริ่มบีบรัดจนอาการปวดท้องเข้าเล่นงาน แต่ถึงร่างกายจะถูกความปวดรุมเร้าแค่ไหน
ในใจของผมกลับอารมณ์ดีจนแทบเก็บรอยยิ้มไว้ไม่อยู่ สาเหตุที่ทำให้ผมเป็นแบบนั้นเพราะผมได้นำแปรงสีฟันที่คิดว่าน่าจะเป็นของชานยอลมาขัดถูตามซอกเท้าจนเท้าของผมสะอาดเอี่ยม
ถ้าเขาจะใช้แปรงอันนั้นต่อไปผมก็ไม่รู้หรอกว่าเขาจะเป็นยังไง รู้แค่ว่าผมสะใจ!
ผมกวาดสายตาหาไอ้คนใจร้ายแต่ไม่พบ บางทีเขาอาจจะหมกตัวอยู่ในห้อง
จากที่ผมได้พบกับชานยอลเมื่อครู่
ผมก็รู้ได้ทันทีว่าเขาตื่นก่อนผมและดูท่าว่าจะตื่นก่อนนานเสียด้วย ตอนนั้นเองที่กลิ่นหอมๆของอะไรบางอย่างเป็นสิ่งดึงสติให้ผมหันไปสนใจ
ผมทำจมูกฟุดฟิดเดินตามกลิ่นไปเรื่อยๆจนกระทั่งได้พบกับที่มาของกลิ่นหอมนั้น
บนโต๊ะอาหารปรากฏมักกะโรนีผัดซอสหน้าตาน่ากินจนผมลอบกลืนน้ำลาย
ควันอุ่นๆยังลอยล่องเหนือจานเป็นตัวบ่งชี้ได้ว่ามักกะโรนีจานนี้เพิ่งทำเสร็จได้ไม่นาน
“กินสิ หิวไม่ใช่รึไง”
เสียงทุ้มที่เป็นเอกลักษณ์ของใครบางคนเรียกให้ผมหันไปมอง ชานยอลยืนอยู่ใกล้กับเคาน์เตอร์บาร์ที่มีไว้สำหรับประกอบอาหารก่อนจะพยักเพยิดหน้าเป็นเชิงสั่งให้ผมนั่งลงที่เก้าอี้พร้อมกับที่เขาถอดผ้ากันเปื้อนออกจากกาย
จากองค์ประกอบทั้งหมดผมคงไม่ต้องอธิบายให้คุณฟังหรอกใช่ไหมว่ามักกะโรนีจานนี้มีที่มายังไง
ผมเดินไปนั่งที่เก้าอี้อย่างว่าง่ายก่อนจะลอบมองผ้ากันเปื้อนที่เขาใช้ซึ่งมันยังถูกวางไว้บนเคาน์เตอร์บาร์และผมคงต้องขอบคุณพระเจ้าที่มันไม่ใช่ลายคิตตี้หรือหมีคุมะอย่างที่ผมคิดไว้
“รีบกินซะ นายก็รู้ว่าเรายังต้องคุยกันอีกยาว”
ชานยอลเดินมานั่งที่เก้าอี้ฝั่งตรงข้ามพร้อมพูดประโยคที่เป็นเสมือนเครื่องดึงสติของผม
เป็นความจริงที่ว่ายังมีเรื่องที่ต้องจัดการอีกหลายเรื่องด้วยกัน
ผมไม่รู้ว่าป่านนี้บ้านของผมจะเป็นยังไงบ้าง จะมีใครรู้ไหมว่าเกิดอะไรขึ้นกับผม
ความคิดมากมายจุดความกังวลให้เกิดขึ้นแต่คนตรงหน้ากลับนั่งมองผมเฉยๆราวกับคนว่างงานที่ไม่รู้ว่าจะทำอะไรดี
มองไปเถอะ ถ้าไอ้มักกะโรนีนี่ไม่อร่อยล่ะก็ผมจะพ่นมันใส่หน้าเขาให้ดู
แต่เพียงแค่ตักคำแรกเข้าปากรสชาติของซอสมะเขือเทศและความนุ่มนิ่มของเส้นก็ทำให้ผมน้ำตาแทบไหล
อาจเป็นเพราะความหิวที่ทำให้ฝีมือของชานยอลอร่อยถึงขนาดนี้ บางทีเขาอาจจะเคยเรียนทำอาหารมาก่อนหรือไม่เขาก็ทำอร่อยแค่ไอ้มักกะโรนีจานนี้เพียงอย่างเดียว
ผมนั่งกินไปเรื่อยๆท่ามกลางความเงียบ
ชานยอลแค่นั่งมองผมส่วนผมก็กินอย่างไม่สนใจเขาเช่นกัน
เอาเป็นว่าเรื่องแปรงสีฟัน....ผมจะลองแกล้งเตือนให้เขาทิ้งมันไปก็แล้วกัน
เสียงช้อนส้อมกระทบจานเมื่อคำสุดท้ายหมดลงเป็นดังสัญญาณเริ่มต้นของบทสนทนาจริงจัง
แต่เพียงแค่ผมเงยหน้าขึ้นมองชานยอลอย่างชัดเจนแล้วผมก็แทบหลุดขำออกมาเสียให้ได้
ผมส่งนิ้วเรียวของตัวเองไปเช็ดคราบซอสที่ติดอยู่ตรงปลายคางของชานยอลพร้อมกับกลั้นขำไปด้วย
ชานยอลชะงักเมื่อสัมผัสจากนิ้วของผมแตะลงบนคางของเขา เดาว่ามันคงเลอะเมื่อตอนที่เขาเช็ดหน้า
ผมยื่นนิ้วชี้ของตัวเองให้เขาดูก่อนจะเอ่ยด้วยน้ำเสียงติดล้อเลียน
“เลอะเทอะ”
ชานยอลขมวดคิ้วมุ่นก่อนจะมองหน้าผม ผมยักคิ้วใส่อย่างกวนประสาทบ้างหลังจากที่ปล่อยให้เขากวนอยู่ฝ่ายเดียว
ผมรู้สึกว่าเป็นผู้ชนะได้ไม่ถึงสิบวินาทีด้วยซ้ำ
เมื่อนิ้วยาวของชานยอลยื่นเข้ามาหาก่อนจะเช็ดมุมปากให้ผมอย่างแผ่วเบา
ผมหุบยิ้มก่อนจะค้างนิ่งพร้อมกับหัวใจที่เต้นผิดไปหนึ่งจังหวะ
ใจกระตุก...อาจจะเป็นคำที่เหมาะสมที่สุดกับสิ่งที่ผมเป็นในเวลานี้
ชานยอลยื่นนิ้วของเขาให้ผมดูบ้าง
มันมีคราบซอสติดที่อยู่นิ้วของเขาด้วย ผมเรียกสติของตัวเองก่อนที่ความอับอายจะเข้ามาแทนที่
นี่ผมกินยังไงให้ซอสเลอะปากวะเนี่ย!
“เลอะเทอะ”
ชานยอลว่าก่อนจะยักคิ้วให้อย่างผู้ชนะ เอออออ ใช่ซี่ พ่อคนเก่ง
ผมจะไปสู้อะไรเขาได้นอกจากพ่นลมหายใจแรงๆอย่างขัดใจอยู่ตรงนี้!
“นายจะเอายังไงต่อ ว่ามา” ชานยอลลบความกวนประสาทออกจากใบหน้าก่อนที่จะกลับมาเป็นปาร์คชานยอลผู้เรียบเฉยคนเดิม
ผมยืดตัวขึ้นตรงเนื่องด้วยความจุกจากมักกะโรนีก่อนจะตอบเขากลับไป
. “ตอนนี้ ฉันถูกพักงาน” เพียงแค่ประโยคบอกเล่าสั้นๆแต่ชานยอลกลับหัวเราะในลำคอจนผมสงสัย “ขำอะไร?”
“ฉันก็แค่คิดไว้แล้วว่าคนหัวดื้ออย่างนายต้องโดนจัดการเข้าสักวัน” ผมถอนหายใจออกมาอย่างไร้ข้อโต้แย้ง
ผมรู้ว่าความอวดดีของผมมันฉายชัดจนกลายเป็นนิสัยไปแล้ว
แต่ผมไม่คิดว่าชานยอลจะเห็นนิสัยของผมชัดเจนเทียบเท่ากับคนอื่นๆ “แต่ยังไงตอนนี้นายก็ยังกลับบ้านไม่ได้ เอสคงไม่ปล่อยนายไปง่ายๆหรอก”
“ทำไมเอสต้องจ้องเล่นงานฉันขนาดนี้?” นี่เป็นอีกข้อสงสัยที่ผมเริ่มคิดได้หลังจากถูกตามเล่นงานเป็นครั้งที่สอง
“เอสไม่ได้จ้องเล่นงานแค่นายหรอกนะแบคฮยอน” ดวงตาสีน้ำตาลของชานยอลสบเข้ากับดวงตาเรียวของผม วินาทีนี้เองที่ผมเพิ่งค้นพบว่าดวงตาของชานยอลนั้นสวยแค่ไหน “แต่เอสตั้งใจที่จะเก็บทีละคนและในตอนนี้มันอยู่ที่ลำดับของนายก็เท่านั้นเอง”
ผมพยักหน้าช้าๆอย่างเข้าใจ แสดงว่าข้อสันนิษฐานที่หัวหน้าอี้ฝานเคยบอกว่าเอสอาจจะตามเก็บพวกเราทีละคนเป็นเรื่องจริง
ซึ่งนั่นแสดงว่าชีวิตของทุกคนในทีมเอนั้นมีแต่ความเสี่ยง
ตอนนั้นเองที่ผมนึกไปถึงคำพูดของลู่หาน
หากชานยอลเคยช่วยลู่หานไว้จริงมันก็เท่ากับว่าตอนนี้เขาได้ช่วยชีวิตเจ้าหน้าที่ของสตาสไว้ถึงสองคนแล้ว
ผมจะไม่เอ่ยถามว่าทำไมชานยอลถึงได้ช่วยพวกเราไว้
ผมเชื่อว่าเวลาน่าจะเป็นตัวเฉลยคำตอบได้ดีที่สุด
ส่วนผมก็มีหน้าที่เพียงแค่รอจังหวะและเก็บเกี่ยวข้อมูลเท่านั้น
“แต่วันมะรืนฉันต้องกลับบ้านเกิด ของอะไรก็ยังอยู่ที่บ้าน
แถมบ้านยังไม่ได้ล็อคอีก” ผมพูดอย่างเป็นกังวล
ตอนที่หนีออกมาไม่มีอะไรติดตัวผมนอกจากชุดที่ใส่ ของทุกอย่างล้วนอยู่ในบ้านและผมได้คุยกับป้านาบีไว้แล้วว่าจะไปหาท่านในสองวันข้างหน้า
อีกอย่าง จุดประสงค์ของการกลับบูชอนก็คือการไปพบหมอเกี่ยวกับโรคที่ผมเป็นอยู่
อย่างที่คุณก็รู้ว่าผมกลัวฟ้าร้องแต่นั่นไม่ใช่อาการกลัวธรรมดา
มันคือโรคประจำตัวของผม
“นายจะมีเพื่อนไว้ทำไมถ้าไม่รู้จักใช้” ชานยอลเอ่ยเสียงเรียบราวกับเรื่องที่ผมเพิ่งบอกเขาไปนั้นได้ทะลุออกหูไปแล้ว
นี่เขาไม่เข้าใจผมหรือยังไงกัน
“ฉันก็บอกอยู่ว่าไม่ได้เอาอะไรออกมา แล้วจะติดต่อกับคนอื่นได้ยังไง?”
วินาทีนั้นเองที่ชานยอลหยิบอะไรบางอย่างออกจากกระเป๋ากางเกง
โทรศัพท์และกระเป๋าตังค์ที่แสนคุ้นตาถูกยื่นมาตรงหน้า ผมถึงกับตาโตเพราะคาดไม่ถึง
“นายหยิบมันออกมาจากบ้านฉันเหรอ?”
“เปล่า มันมีขาวิ่งมาหานายเองต่างหาก”
ผมถอนหายใจให้กับคำตอบนั้น เขาจะหยุดกวนผมสักสิบนาทีไม่ได้เลยรึไง
ผมไม่แน่ใจนักว่าเมื่อก่อนเขากวนประสาทขนาดนี้รึเปล่าหรือว่าสิ่งที่ชานยอลแสดงออกในเวลานี้คือตัวตนที่แท้จริงของเขากันแน่
“นายจัดการเรื่องของนายไปแล้วกัน ช่วงนี้ก็อยู่ที่นี่ไปก่อน ส่วนเรื่องที่นายจะกลับบ้านเกิด...นายได้กลับแน่”
ชานยอลลุกขึ้นจากเก้าอี้ก่อนจะเท้าแขนแล้วโน้มใบหน้าเข้ามาใกล้
ผมเงยหน้ามองเขาด้วยความประหลาดใจแต่วินาทีต่อมาคำพูดของเขาก็ทำเอาผมแทบจะลุกขึ้นมาตะโกนใส่หน้ากวนประสาทนั่นซะ
“แต่ฉันต้องไปด้วย”
“ไปทำไม!” ผมโวยวายทันทีหลังจากสิ้นเสียงทุ้ม
เขาจะไปบูชอนกับผมเนี่ยนะ? มันต้องเป็นเรื่องบ้าที่สุดในรอบปีแน่ถ้าผมยอมให้เขาไปด้วย
“จัดการเรื่องของวันนี้ก่อนเถอะ เรื่องอื่นค่อยว่ากันทีหลัง”
ชานยอลผละออกไปพร้อมๆกับที่ผมสาปแช่งเขาในใจ
ผมเลิกสนใจคนตัวสูงนั่นก่อนจะวางแผนอย่างคร่าวๆในหัวว่าคงต้องโทรไปขอให้จงอินจัดการเรื่องบ้าน
แต่เพียงแค่ละสายตาจากหน้าจอโทรศัพท์
ผมกลับสังเกตเห็นว่าหลังมือข้างหนึ่งของชานยอลมีพลาสเตอร์ปิดแผลไว้
“มือนายไปโดนอะไรมา?” ผมจำได้ว่าเมื่อวานนี้เขายังไม่มีรอยให้เห็นสักแผลหรือบางทีอาจจะเป็นเพราะการปล่อยหมัดใส่พวกไนท์แมร์
แต่ถ้าเป็นแผลจากการออกแรงชกก็น่าจะเป็นที่สันหมัดมากกว่าที่หลังมือแบบนี้
“หมากัด” เขาพูดเท่านั้นก่อนจะสบตาผมเป็นครั้งสุดท้ายแล้วเดินออกไป
ทิ้งผมไว้ในห้องครัวกับจานมักกะโรนีที่ว่างเปล่า
แต่คำตอบของชานยอลกลับทำให้ผมมั่นใจ...
ว่าหมาที่เขาพูดถึงนั้นมันไม่ใช่หมา
แต่หมายถึงผม
ภาพจากเมื่อคืนนี้ถูกฉายชัดในสมองอีกครั้งราวกับม้วนวิดีโอที่ถูกกรอซ้ำ
ผมตื่นขึ้นมากลางดึกพร้อมหัวใจที่สั่นระรัว แสงแปลบปลาบจากนอกหน้าต่างยังคงสาดส่องให้ผมผวา
ผมตื่นขึ้นเพราะแรงสั่นและเสียงก้องจากสายฟ้าที่คงผ่าลงมาไม่ไกลนัก
ผมหอบหายใจถี่พร้อมกับความกลัวที่รุมเร้าจนหัวใจของผมปวดหนึบไปด้วยความตระหนก
วินาทีนั้นเองที่สัมผัสอบอุ่นเป็นตัวเรียกให้ผมได้สติ
ผมพยายามปรับสายตาให้ชินกับความมืดและสิ่งที่ผมเห็นเป็นลำดับแรกก็คือ...กลุ่มผมของใครบางคนที่ฟุบหลับอยู่ข้างเตียง
แต่มือของเขากลับกุมมือของผมไว้และหลังมือนั้นเต็มไปด้วยรอยจิกที่ผมรู้ดีว่าใครเป็นผู้สร้างรอยแผลนี้
ผมเอง...ที่เป็นผู้สร้างรอยแผลให้ชานยอล
ผมนอนนิ่ง ไม่กล้าแม้แต่จะขยับตัวเพราะกลัวว่าเขาจะตื่น
ผมปล่อยให้เรากุมมือกันอยู่แบบนั้นจนกระทั่งผมเผลอหลับไปอีกครั้งและเมื่อตื่นขึ้นมาก็พบว่าชานยอลนั้นได้หายไปเสียแล้ว
ในชั่วขณะหนึ่งผมอยากรู้ว่าชานยอลทำแบบนั้นทำไม
แต่บางทีการที่ผมไม่รับรู้ความรู้สึกของเขานั้น...มันคงจะดีกว่า
…..
อีแทมินไม่คาดฝันมาก่อนเลยว่าการได้พูดคุยกับพี่ชายที่แสนเคารพในครั้งนี้จะเป็นการสนทนาที่แย่ที่สุดในชีวิต
“กลับมาแล้วเหรอครับ”
เด็กหนุ่มละสายตาจากจอโทรทัศน์เมื่อได้ยินเสียงเปิดประตู
ร่างสูงโปร่งที่แทมินทั้งรักและเคารพพยักหน้าส่งๆเป็นเชิงตอบรับ
พี่ชายของเขาถอดแจ็คเกตพาดไว้ที่โซฟาก่อนจะนั่งลงข้างๆอย่างเหนื่อยอ่อน
“เอาน้ำสักแก้วไหมพี่?”
แทมินเอ่ยถามเมื่อเห็นความเหนื่อยล้าจากร่างสูงแต่คำตอบที่ได้รับคือการส่ายหัวเบาๆเป็นการปฏิเสธ “งานหนักมากเลยเหรอครับ?”
“ก็หนักอยู่ ช่วงนี้งานยุ่งจนแทบไม่ได้พัก ถ้าเลือกได้ก็อยากนอนเกาตูดอยู่บ้านมากกว่า
สบายกว่ากันเยอะ” ร่างสูงโปร่งว่าก่อนจะบิดขี้เกียจคลายความเมื่อย
เห็นดังนั้นแทมินจึงให้พี่ชายหันหลังเพื่อนวดไหล่ให้ “แต่ก็อย่างว่าแหละ
ต้องเลี้ยงน้องทั้งคน ถ้าไม่ทำงานแล้วจะเอาเงินที่ไหนส่งแกเรียน”
แทมินออกแรงบีบนวดไปตามไหล่แกร่ง
เขารู้ดีว่าการทำงานเป็นลูกน้องคนอื่นนั้นไม่ใช่เรื่องง่ายเลย
การเป็นพนักงานบริษัทอย่างพี่ชายของเขายิ่งสร้างความเหนื่อยล้าและบั่นทอนการพักผ่อน
แต่น่าแปลกที่แม้ว่าพี่ของเขาจะเป็นเพียงแค่พนักงานบริษัทแต่จำนวนเงินที่ได้รับในแต่ละเดือนกลับมีมูลค่ามากกว่าพนักงานทั่วไป
แต่จะว่าไปแล้ว แทมินเองก็ไม่รู้ข้อมูลเกี่ยวกับงานที่พี่ชายของตนทำมากนัก
เขารู้แค่ว่าพี่ที่เขาเคารพรักทำงานให้กับบริษัทแห่งหนึ่งซึ่งร่างสูงไม่เคยเอ่ยถึง
ไม่เคยแม้แต่จะบอกว่าทำอยู่ในหน้าที่หรือแผนกใด แทมินเองก็ไม่เข้าใจว่าเหตุใดจึงดูคล้ายว่ามีบางอย่างที่พี่ชายต้องการจะปิดบัง
แต่แทมินก็ยังเชื่อว่าสิ่งที่พี่ของเขาทำนั้นคือสิ่งดีที่สุด
“ให้ผมออกจากมหาลัยแล้วมาช่วยพี่ทำงานก็ได้นะ”
“ลองออกมาสิ พี่จะจับแกแก้ผ้าแล้วถ่ายลงเฟสบุ๊ค
ตรงคออ่ะนวดให้แรงอีกหน่อยซิ”
แทมินหัวเราะน้อยๆกับคำขู่ที่ไม่จริงจังพร้อมกับออกแรงบีบตามที่ร่างสูงขอ
เด็กหนุ่มสังเกตมาหลายวันแล้วว่าช่วงนี้พี่ของเขาทำงานหนักมากกว่าเมื่อก่อน
บางวันก็ออกจากบ้านไปตั้งแต่เช้าตรู่และกลับเข้ามาในเวลาบ่ายของอีกวัน
สิ่งที่แทมินอยากทำมากที่สุดคือการลดภาระเพื่อช่วยพี่ชายบ้างเท่านั้นเอง
แทมินรักพี่ชายเช่นเดียวกับที่พี่ชายก็รักเขา
การใช้ชีวิตโดยไร้พ่อแม่นั้นไม่ใช่เรื่องง่าย แต่ความเข้มแข็งและความห่วงใยจากร่างสูงได้ทำให้แทมินเติบโตขึ้นอย่างสมบูรณ์
เขามองไหล่ของคนตรงหน้าด้วยสายตาแสนรัก พี่ชายของเขาเป็นดังพ่อ เป็นดังครู
เป็นที่พักพิง เป็นต้นแบบ
เป็นหลายๆสิ่งที่ทำให้เขาสบายใจและทำให้เขาเรียนรู้การใช้ชีวิตอย่างไม่ยอมแพ้
หากไม่มีพี่ชายแล้ว
แทมินยังคิดไม่ออกเลยว่าเขาจะสามารถใช้ชีวิตอยู่ได้อย่างไร
พ่อและแม่ของพวกเขาถูกฆาตกรรมตั้งแต่ที่ทั้งสองยังอยู่ชั้นมัธยม ทั้งๆที่หลักฐานมีมากพอที่จะมัดตัวคนร้ายได้แต่เพราะพวกเขาเป็นเพียงแค่เด็กวัยรุ่นที่ไม่มีญาติคอยช่วยเหลือ
ทำให้คดีไม่มีความคืบหน้า ไม่มีการสืบหาตัวคนร้ายและถูกปิดคดีไปในที่สุด
แม้จะมีการยื่นคำร้องต่อศาลแต่คำขอของพวกเขาก็ไม่ได้รับความสนใจเช่นกัน
แทมินรู้ว่ามันไม่ยุติธรรม คนเหล่านั้นทำเหมือนกับว่าชีวิตของพ่อและแม่เป็นเพียงแค่สิ่งไร้ค่า
ราวกับว่าเขาและพี่ชายเป็นแค่เด็กวัยรุ่นที่ไม่จำเป็นต้องรับผิดชอบ
เขาเกลียดทุกสิ่งที่ทำให้ชีวิตของเขาเป็นแบบนี้
แทมินเกลียดรัฐบาลที่ช่วยอะไรเขาไม่ได้ เกลียดตำรวจเส็งเคร็งที่ไม่ทำตามหน้าที่
อาชีพที่เขาเคยชื่นชมกลายเป็นสิ่งที่เขาขยะแขยงมากที่สุด
ปกป้องประชาชนงั้นเหรอ? รับใช้ประชาชนงั้นเหรอ?
โกหกสิ้นดี
แม้ว่าเหตุการณ์ทั้งหมดจะส่งผลให้สองพี่น้องเกลียดชังคนเหล่านั้นมากแค่ไหน
แต่พี่ชายของเขาได้พร่ำสอนเสมอว่าการที่ต้องฝ่าฟันสู้กับความยากลำบากคือสิ่งที่จะทำให้เขาเข้มแข็ง
แต่ความเกลียดและความแค้นในหัวใจของแทมินไม่เคยลดลงไม่ว่าเวลาจะผ่านไปนานเท่าไหร่ก็ตาม
เขาต้องการให้ไอ้พวกสวะในชุดเครื่องแบบเจ็บปวดอย่างที่เขารู้สึก
เขาอยากให้พวกมันไม่มีความสุขอย่างที่เขาเคยเป็น
และการที่แทมินได้รู้จักกับ ไนท์แมร์ ก็ดูเหมือนจะเป็นสิ่งที่ตอบความปรารถนาของเขาได้ดีเสียยิ่งกว่าที่คิด
ปล้นธนาคาร
เผาสถานีตำรวจหรือแม้กระทั่งทำร้ายเจ้าหน้าที่หน่วยงานรัฐ
แทมินพร้อมจะทำทุกอย่างหากมันสามารถทำให้พวกหน้าโง่เหล่านั้นร้อนรนได้
แทมินไม่ได้เกลียดหน่วยงานรัฐบาลทั้งหมดแต่การที่เอสจ้องเล่นงานหน่วยสตาสในขณะนี้เขาก็ไม่ได้มีข้อโต้แย้งใดๆ
เขากลับรู้สึกสนุกที่ได้ต่อกรกับหน่วยงานที่มีฝีมือเก่งกาจและทุกอย่างที่ไนท์แมร์ทำก็เรียกได้ว่าเป็นการท้าทายและทำลายความน่าเชื่อถือของรัฐบาลได้อย่างดีเยี่ยม
แน่นอน
ว่าสิ่งที่แทมินทำ พี่ชายของเขาไม่เคยรับรู้
“จะมองพี่อีกนานไหม?” ร่างสูงเอ่ยปากเมื่อจับสังเกตได้ว่าน้องชายมองเขามาครู่หนึ่งแล้ว
เขารับรู้ได้ว่าถูกจับจ้องถึงแม้ว่าจะหันหลังอยู่ก็ตาม
ร่างโปร่งมักมีประสาทการรับรู้ไวกว่าคนทั่วไปซึ่งนั่นทำให้แทมินแปลกใจเสมอ “พักนี้กินข้าวให้มันเยอะๆหน่อยก็ดีนะ ดูแกสิ ผอมยังกับเปรต
แล้วนั่นสีผมอะไร หงอก?”
แทมินหลุดหัวเราะกับคำประชดนั้น
เขารู้ดีว่าพี่ชายค่อนข้างปากร้ายและสุดแสนจะกวนประสาท
แต่ถึงกระนั้นแทมินก็ยังเคารพและรักพี่ชายอย่างสุดหัวใจ
แรงบีบนวดถูกเพิ่มมากขึ้นเพื่อให้คนตรงหน้ารู้สึกผ่อนคลายจากความเมื่อยล้า
“อันนี้เขาเรียกสีบลอนด์ต่างหากครับ”
“อ๋อเหรอ ย้อมผมเพราะคิดว่าจะหล่อกว่าพี่ได้สินะ เสียใจด้วยว่ะ”
ร่างสูงยิ้มขำก่อนที่จะส่ายหัวอย่างติดตลก แทมินรู้ดีว่าพี่ชายของเขานั้นทำงานหนักจนแทบไม่มีเวลาได้คุยกันเช่นเมื่อก่อน
เด็กหนุ่มคิดถึงสมัยที่เขาเป็นเพียงแค่เด็กมอปลายที่ติดพี่ยิ่งกว่าเพื่อน
ไม่ว่าแทมินจะพบเจอกับความสุขหรือความทุกข์
คนที่ได้รับรู้เรื่องราวของเขาเป็นคนแรกก็คือพี่ชายคนนี้
“พี่ก็พักเยอะๆนะครับ ดูพี่สิผอมลงกว่าแต่ก่อนอีก”
“อันนี้เขาเรียกหล่อสมส่วนโว้ยไม่ใช่ผอม”
แทมินรู้ว่าพี่ชายของเขาเป็นคนดีและอบอุ่นมากแค่ไหน
ถึงแม้การกวนประสาทจะเป็นองค์ประกอบที่พี่ของเขามีมากจนหลายคนเอือมระอา
แต่แทมินนั้นรักทุกอย่างที่รวมกันเป็นคนตรงหน้า
และเป็นเพราะแทมินรู้ว่าร่างสูงโปร่งที่ทำงานหนักเพื่อเลี้ยงดูเขาเป็นเพียงแค่พนักงานบริษัท
เป็นเพียงแค่คนธรรมดาที่เขาทั้งรักและเคารพนั่นจึงเป็นสาเหตุที่ทำให้เขาพยายามลบเสียงทุ้มที่ยังคงฝังอยู่ในสมอง
แต่เหมือนว่าเสียงของคนที่ได้ชื่อว่าเป็นเจ้านายจะหยั่งรากลึกจนเกินกว่าจะควบคุมได้
เสียงทุ้มแปร่งที่มาพร้อมกับประโยคสั้นๆแต่กลับคุกคามทุกความรู้สึกของแทมินจนยากที่จะรับมือ
‘มีคนมาช่วยมันไว้ได้ครับบอส พวกผมพยายามที่จะจัดการมันแล้วแต่เป็นเพราะไฟดับเราจึงไม่เห็นว่ามันเป็นใคร’
ในห้องพักของคอนโดชั้นที่สิบแปดซึ่งเป็นแหล่งนัดพบของไนท์แมร์
ปรากฏร่างของชายสามคนนั่งอยู่บนโซฟาท่ามกลางความตึงเครียด อูบินเอ่ยด้วยความกังวลหลังจากที่การจับตัวแบคฮยอนล้มเหลว
แจบอมที่ได้รับการเข้าเฝือกที่แขนนั่งก้มหน้าอยู่ข้างๆแทมินด้วยสีหน้าไม่สู้ดีนัก
จอแอลซีดีฉายภาพชายใส่หน้ากากสีขาวแสนคุ้นตา แม้ว่าใบหน้าของผู้เป็นนายจะถูกปกปิด
กระนั้นความกดดันก็ยังถูกส่งผ่านแววตาจนรู้สึกได้
‘มันดวงแข็งกว่าที่ฉันคิดไว้สินะ’ ไม่รู้ว่าเป็นเพราะการคิดไปเองหรือไม่ที่ทำให้ทั้งสามคิดว่าน้ำเสียงของเอสนั้นเย็นเยียบมากกว่าที่เคย ‘ยืดเวลาชีวิตให้มันอีกหน่อยก็คงไม่เป็นไร’
ประกายความสนุกฉายชัดในน้ำเสียงของเอส และแน่นอนว่าความสนุกของผู้เป็นนายนั้นหมายถึงงานใหม่ที่พวกเขากำลังจะได้รับ
‘ไปรักษาแขนให้หายซะแจบอม
ส่วนพวกแก ฉันมีบางอย่างจะให้ทำ’
‘เอ่อ...บอสครับ จะเป็นอะไรไหมถ้างานใหม่นี้จะให้ชานยอลมาช่วยอีกแรง
ผมคิดว่าหมอนั่นอาจจะทำให้งานของเราสำเร็จไวขึ้น’ แทมินเสนอความคิดเห็นอย่างกล้าๆกลัวๆ
แต่เขาคิดว่าการที่ได้ชานยอลมาช่วยนั้นคงจะทำให้งานสำเร็จได้อย่างไม่ยาก
ถึงแม้ว่าเขาจะยังไม่รู้ว่างานใหม่ที่เอสว่านั้นคืออะไร แต่หากเอสให้ชานยอลรับงานนี้ด้วยล่ะก็นั่นหมายถึงผลดีและโอกาสที่งานจะสำเร็จย่อมมากขึ้นเช่นเดียวกัน
‘ชานยอลงั้นเหรอ?’ เอสเอ่ยทวนก่อนจะเงียบไปเพียงไม่กี่วินาที ‘ปล่อยให้มันพักไปก่อน ฉันเตรียมงานไว้ให้มันแล้ว เป็นงานที่มีแค่ชานยอลเท่านั้นที่ฉันไว้ใจให้ทำ
ส่วนพวกแกแค่จับตัวไอ้เจ้าหน้าที่แบคฮยอนยังทำไม่ได้เลย’
อูบินและแทมินเม้มริมฝีปากเมื่อถูกเปรียบเทียบกับมือขวาอย่างชานยอล
พวกเขาไม่เคยอิจฉาหรือรู้สึกไม่ชอบชานยอลเลยสักครั้ง แต่การที่ถูกเอสเปรียบเทียบแบบนี้มันเหมือนกับการถูกหักหน้าให้รู้สึกชาไปทั้งกาย
‘ฉันจะพูดแค่ครั้งเดียวและหวังว่าพวกแกจะไม่พลาดอีกเพราะฉันชักไม่แน่ใจแล้วว่าคนที่ทำงานพลาดมันยังมีประโยชน์อยู่รึเปล่า’ เอสเว้นจังหวะเพียงชั่วครู่แต่นั่นคือวินาทีที่ทั้งแทมินและอูบินแทบหยุดหายใจ‘งานนี้ฉันไม่ได้ต้องการแค่ให้พวกแกจับตัว’
‘…’
‘แต่ฉันต้องการให้ฆ่ามันซะ’
แทมินไม่เข้าใจว่าเหตุใดความรู้สึกวูบโหวงถึงได้เกิดขึ้นในอกของเขา
มันเหมือนเป็นลางสังหรณ์บางอย่างที่เตือนให้เขาเตรียมใจกับสิ่งที่เอสกำลังจะเปล่งออกมา
และมันเป็นสิ่งที่อีแทมินไม่เคยคิดมาก่อนเลยว่าชื่อที่เขาแสนคุ้นเคยนั้นจะกลายมาเป็นชื่อของเป้าหมายรายใหม่
‘คิม จงอิน’
‘…’
‘งานของพวกแกคือฆ่าเจ้าหน้าที่คิมจงอินซะ’
“แค่บอกว่าหล่อไม่เท่าพี่ แกถึงกับนิ่งเลยเหรอ?”
แทมินหลุดออกจากภวังค์ก่อนจะขยับฝ่ามือนวดไหล่ให้พี่ชายพร้อมกับปฏิเสธสิ่งที่จงอินพูดเสียงแผ่ว
ภายในใจของเขามีข้อสงสัยมากมายที่ต้องการคำตอบ
แต่เขารู้ว่าคิมจงอินที่อยู่ตรงหน้าเป็นเพียงแค่พนักงานบริษัทธรรมดาๆ
เขามั่นใจว่าคิมจงอินที่เอสหมายถึงนั้นคือคนอื่น ประชากรเกาหลีมีหลายล้านคนและมันไม่ใช่เรื่องแปลกเลยหากจะมีคนชื่อซ้ำกับร่างสูง
พี่ชายของเขาไม่ใช่คนของสตาส แทมินเชื่อแบบนั้น เขาเชื่อใจว่าจงอินไม่มีความลับต่อเขา
แต่แทมินไม่เคยตระหนักถึงข้อเท็จจริงของมนุษย์เลยว่าสิ่งที่ยากกว่าการเก็บความลับก็คือการไม่สร้างความลับ
และคิมจงอินนั้นได้สร้างความลับต่อเขามาเป็นเวลานานแล้ว
ตอนนั้นเองที่เสียงโทรศัพท์ได้เบนความสนใจจากทั้งสอง
จงอินหยัดกายขึ้นก่อนจะล้วงโทรศัพท์ออกมาจากกระเป๋ากางเกง
แทมินปล่อยมือออกจากไหล่ของร่างสูงพร้อมกับนั่งพิงโซฟาตามเดิมแต่ดวงตาที่ราวกับถอดแบบออกมาจากจงอินนั้นยังคงจับจ้องไปที่ใบหน้าของพี่ชาย
“ว่าไงครับไอ้คุณแบคฮยอน”
ชื่อของปลายสายที่จงอินเอ่ยออกมาเป็นดังสิ่งที่ทำให้ลมหายใจของแทมินขาดห้วงไปในเสี้ยววินาที
แบคฮยอน อย่างนั้นเหรอ?
“แล้วมึงเป็นอะไรรึเปล่า?” น้ำเสียงขี้เล่นถูกแทนที่ด้วยความจริงจัง
จงอินมีสีหน้าเคร่งเครียดมากขึ้นตามบทสนทนาและดูเหมือนว่าความเครียดเหล่านั้นได้ส่งผ่านมายังแทมินด้วยเช่นกัน “แล้วมึงคุยกับหัวหน้ารึยัง? ได้ เดี๋ยวกูจัดการให้
ดูแลตัวเองดีๆนะมึง”
การพูดคุยกินเวลาไม่ถึงสองนาทีแต่มันช่างยาวนานเหลือเกินสำหรับแทมิน
เขาเฝ้ารอเวลาที่พี่ชายบอกลาปลายสายและเมื่อจงอินวางโทรศัพท์ลงคำถามแรกก็ถูกเปล่งออกจากริมฝีปากได้รูปทันที
“ใครโทรมาเหรอครับ?” ไม่เคยมีสักครั้งที่แทมินคิดจะยุ่งเรื่องส่วนตัวของจงอิน แต่ในครั้งนี้มันไม่ใช่
เขาต้องการรู้ว่าแบคฮยอนที่ร่างสูงเรียกนั้นจะไม่ใช่คนเดียวกันกับที่เขาคิดไว้
“เพื่อนที่ทำงานน่ะ”
“เขาเป็นอะไรเหรอครับ? ผมเห็นหน้าพี่เครียดๆนะ”
“อ่า...มันมีปัญหานิดหน่อย
เดี๋ยวพี่ต้องออกไปข้างนอกสักพัก ไม่ต้องรอกินข้าวเย็นนะ”
“เดี๋ยวครับ” แรงดึงจากชายเสื้อเป็นเหตุให้ร่างสูงชะงักก่อนจะหันไปหาน้องชายพร้อมกับเลิกคิ้วเป็นเชิงถาม “เพื่อนพี่จงอิน....ชื่อแบคฮยอนเหรอครับ?”
“ใช่ มีอะไรรึเปล่า?” คิ้วเข้มขมวดเป็นปมแน่น
เขาสงสัยว่าเพราะเหตุใดแทมินจึงได้ใคร่รู้เกี่ยวกับเรื่องนี้ ทั้งๆที่ผ่านมานั้นไม่เคยเลยที่เด็กหนุ่มจะเอ่ยปากถามเกี่ยวกับเรื่องส่วนตัวของเขา
“เปล่าครับ ผมก็แค่ไม่เคยได้ยินชื่อนี้จากพี่มาก่อนเลย” แทมินเงียบเพียงครู่ก่อนจะพูดต่อพร้อมกับสีหน้าที่หม่นแสงลง “แต่จะว่าไป ผมก็ไม่เคยรู้อะไรเกี่ยวกับพี่เท่าไหร่อยู่แล้ว”
“อะไร? อย่ามาทำหน้าแบบนั้นสิวะแทมิน
คิดว่าน่ารักรึไง?” จงอินยิ้มขำเมื่อเห็นว่าน้องชายแสร้งทำหน้าหงอยเพื่อเรียกร้องความสนใจ
เขาลูบหัวแทมินแรงๆก่อนจะหันหลังเตรียมออกเดินแต่เสียงแผ่วเบาของน้องชายกลับรั้งเขาไว้อีกครั้ง
“ชื่อเพื่อนของพี่เพราะจัง
แบคที่แปลว่าสีขาว ฮยอนที่แปลว่าความดี
รวมแล้วหมายถึงความดีงามอันบริสุทธิ์สินะครับ” แทมินสบตากับผู้เป็นพี่ชายก่อนจะกลั้นใจถามในคำถามที่เขาได้แต่ภาวนาว่าคำตอบนั้นจะไม่ใช่สิ่งที่อยู่ในใจของเขา “ผมชอบชื่อนี้จังเลย ถ้าผมอยากรู้นามสกุลพี่เขาจะได้ไหมครับ?”
จงอินชั่งใจเพียงชั่วครู่ สายตาและสีหน้าของน้องชายทำให้เขาอดไม่ได้ที่จะใจอ่อน
อีกอย่างแบคฮยอนเองก็เป็นเพื่อนสนิทของเขา ถึงแม้จะยังไม่เคยพามาพบกับแทมินแต่แบคฮยอนเคยได้ยินชื่อแทมินจากปากของเขาหลายครั้งแล้ว
ดังนั้น การบอกชื่อของแบคฮยอนไปในตอนนี้ก็คงไม่ใช่เรื่องเสียหายอะไร
ในขณะที่แทมินได้แต่หวัง ว่ามันจะไม่ใช่นามสกุลที่เขาคิดไว้
“บยอน”
“…”
“เพื่อนพี่ชื่อบยอน แบคฮยอน”
แต่ในบางครั้ง
ความหวังกลับถูกดับลงได้ง่ายดายยิ่งกว่าเปลวไฟของแสงเทียนที่ถูกลมพัดเสียอีก
ยามเมื่อแสงเทียนดับลง สิ่งที่ตามมานั้นคือความมืด
แต่ยามเมื่อความหวังดับลง
สิ่งที่ตามมาได้กลายเป็นต้นเหตุที่ก่อให้เกิดผลกระทบอย่างร้ายแรงในหัวใจของมนุษย์
ซึ่งเราเรียกสิ่งนั้นว่า ความผิดหวัง
และความผิดหวังแย่ยิ่งกว่าความมืดหลายเท่านัก
“…”
“พี่ไปก่อนนะ อยู่บ้านดีๆล่ะ”
จงอินว่าพร้อมกับเดินไปที่ประตูไปโดยที่ไม่ทันได้เห็นแววตาของน้องชายเลยด้วยซ้ำ
ใบหน้าของสองพี่น้องที่คล้ายคลึงกันได้ฉายอารมณ์ที่แตกต่างกันในเวลานี้
แทมินเอนหลังไปยังโซฟาอย่างใช้ความคิด ราวกับเรี่ยวแรงของเขาถูกคำพูดของคิมจงอินทำลายไปจนหมดสิ้น
‘เพื่อนที่ทำงานน่ะ’
‘เพื่อนพี่ชื่อบยอน แบคฮยอน’
จงอินและแบคฮยอนเป็นเพื่อนกัน เพื่อนร่วมงาน เพื่อนที่จงอินบอกกับเขาว่าเป็นเพื่อนที่บริษัทแต่แทมินรู้ดีว่ามันไม่ได้หมายความแบบนั้น
คิมจงอินไม่ใช่พนักงานบริษัท ไม่ใช่คนธรรมดาอย่างที่เขาเข้าใจมาตลอดหลายปี
แต่จงอินเป็นเจ้าหน้าที่จากหน่วยสตาส...หน่วยงานของรัฐบาลที่แทมินไม่เคยคิดเลยว่าพี่ชายของเขาจะเป็นส่วนหนึ่งในพวกสวะเหล่านั้น
ประตูถูกปิดลงด้วยฝีมือของคิมจงอินพร้อมกับน้ำตาหยดแรกที่ไหลออกมาจากดวงตาของอีแทมินและไหลออกมาจากหัวใจของน้องชายผู้เจ็บปวด
“พี่จงอิน...ทำไม....”
มนุษย์มักคิดเสมอว่าความจริงคือสิ่งที่ควรถูกเปิดเผยและเป็นสิ่งที่น่าฟังยิ่งกว่าคำกล่าวใดๆ
แต่พวกเขาไม่เคยคิดเลยว่า ในขณะเดียวกันนั้นเอง...ความจริงก็ได้ทำร้ายเรามากที่สุดเช่นกัน
และความจริงอันน่าผิดหวังจากคนที่ไว้ใจนั้น
ทำร้ายเราได้อย่างสาหัสยิ่งกว่าคำโกหกเสียอีก
TBC
จริงๆมีพาร์ทชานแบคต่ออีก แต่ว่ามันยาวเกินไป เลยย้ายไปตอนหน้า ต้องขอโทษคนที่รออ่านพาร์ทชานแบคด้วยค่ะ เราก็อยากให้ความสำคัญกับทุกตัวละคร เข้าใจเราใช่มั้ยยย
ไม่รู้ว่ายังจำกันได้ไหม เราเคยบอกไปว่าหน่วยสตาสใช้ภาพลักษณ์ของบริษัท ACC เป็นฉากบังหน้า ดังนั้นคนก็จะเข้าใจว่าเจ้าหน้าที่ทุกคนคือพนักงานบริษัทเนอะ ยกเว้นพี่คริสที่พ่อรู้
บางเหตุการณ์ บางประโยคมันเชื่อมไปยังอดีต หรือไม่ก็อนาคต เราไม่ได้แต่งชุ่ยๆนะ พยายามให้มันเมคเซนส์ที่สุดอ่ะ
และนี่คือพี้น้องจงอินแทมิน คล้ายกันตั้งแต่เด็กจนโต5555555
สุดท้าย ขอบคุณสำหรับกำลังใจค่ะ บางคนเม้นท์และติดแท็กให้แทบทุกตอน เราซึ้งใจมาก มันทำให้เรารู้ว่ามีคนรออ่านแล้วเราก็ยิ่งแอคทีฟตัวเองเพื่อมาแต่ง ขอบคุณค่า
#ficsee2b
up : 08/02/2015 (50%) 21/02/2015 (100%)
ความคิดเห็น