ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    [exo] See through B's trick (chanbaek)

    ลำดับตอนที่ #18 : - CH 14 : heart -

    • เนื้อหาตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 3.09K
      25
      13 เม.ย. 59

    ch 14




    My asylum is in your arms

    ที่หลบภัยของผม คือในอ้อมกอดของคุณ

    .

    .

    .

    .

     

    กลับมาทำงานแล้ว~ ดีใจด้วยนะแบคฮยอน

     

    ผมรักอีจินกิ คนที่มีใบหน้าใจดีที่มาพร้อมรอยยิ้มอ่อนโยนบนใบหน้าเสมอ เขาตบไหล่ผมสองครั้งเป็นการทักทายก่อนจะขอตัวเพื่อไปทำงานตามหน้าที่

     

    ตอนนายไม่อยู่ ฉันรู้สึกว่าหน่วยเราน่าเบื่อไปเลยแฮะ

     

    ผมรักคิมจงแด คนที่เป็นมันสมองของทีม คนที่เป็นผู้ใหญ่และมีความคิดที่หลักแหลม ถึงแม้บางครั้งเขาจะชอบพูดจาเหน็บแนมก็ตามที แต่เชื่อเถอะว่าดวงตาภายใต้กรอบแว่นคู่นั้นแสดงถึงความหวังดีเสมอ

     

    ตอนฉันออกจากโรงพยาบาลแล้วรู้ว่านายไม่อยู่นี่ทำเอาฉันตกใจเลยนะ

     

    แล้วผมก็รักลู่หาน คนที่พูดน้อยแต่ถ่ายทอดความเป็นห่วงผ่านทางแววตาได้อย่างชัดเจน เราเป็นเพื่อนร่วมทีมกันมานาน ดังนั้น ผมจึงรู้ว่าเขาคงตกใจไม่น้อยที่ผมถูกพักงานไป

     

    แต่ให้ตายเถอะ...

     

     ผมเกลียดคิมจงอิน !!

     

                นม !! นม !! นม!! ตูด !! ตูด !! ตูด !! ขอต้อนรับมึงด้วยเนื้อนมตูดครับเพื่อน!!”   

     

             ทันทีที่เสียงกวนตีนของคนดำจบลงนมทั้งสองเต้าก็แปะเข้าหน้าผมเต็มๆ

     

                เชี่ยจงอิน!!”

     

                ผมว่าพร้อมกับดันแม็กกาซีนที่หน้าปกเป็นเมแกน ฟ็อกซ์ใส่บิกินี่ที่โคตรเซ็กซี่ออกจากใบหน้า ถึงผมจะมีท่าทีรำคาญที่มันเอาหนังสือนั่นมาแปะหน้าผมก็เถอะ แต่อดยอมรับไม่ได้ว่าดูมๆของเมแกนนี่มัน.....

     

             แม่เจ้าโว้ย

     

    มึงหยุดไปตั้งอาทิตย์นึง พอกลับมากูก็อุตส่าห์ต้อนรับมึงด้วยของดี มึงควรจะเช็ดน้ำตาแห่งความปลาบปลื้มมากกว่าที่จะมาทำหน้าเหมือนขี้หักในแบบนี้ว่ะเพื่อนรัก

     

    กูทำหน้าเหมือนขี้หักในก็เพราะมึงเนี่ยแหละ!” ผมพยายามแกะท่อนแขนของจงอินที่ล็อคคอออก ส่วนมันก็แค่ยิ้มกวนประสาทแล้วจึงยอมปล่อยผมแต่โดยดี แล้วอย่างกูเขาไม่ได้เรียกหยุด กูเรียกว่าถูกพักงาน

     

    ก็ใช้คำให้ดูดีเหมือนหน้าตากูได้ป่ะว้า ใช้คำว่าถูกพักงานแม่งเสียเครดิตหมดคนตัวดำแต่มั่นใจกล่าวก่อนที่จะยัดแม็กกาซีนใส่มือผม เรามองหน้ากันอยู่ครู่หนึ่งและสุดท้ายผมก็ขำน้อยๆให้กับความบ้าบอของเพื่อนรัก

     

    ผมเข้าหน่วยเป็นวันแรกหลังจากที่ถูกพักงานไปหนึ่งอาทิตย์ด้วยความผิดที่ทำนอกเหนือจากคำสั่ง เพื่อนร่วมทีมต่างกล่าวต้อนรับผมอย่างดีราวกับว่าผมเพิ่งกลับมาจากการเดินทางรอบโลก แต่แน่นอนว่าทุกคำพูดของพวกเขาก็คือการแสดงออกถึงความใส่ใจ

     

    เวลาหนึ่งอาทิตย์มันทั้งช้าและเร็วในความรู้สึกของผม หากถามว่าผมได้อะไรจากการถูกพักงานในครั้งนี้ ผมคงตอบได้เพียงแค่สองข้อ คือ

     

    1.ผมควรลดความผลีผลาม วู่วามและความใจร้อนของตนเองลงเพราะสิ่งเหล่านั้นรังแต่จะทำให้เกิดผลเสียทั้งต่อตัวผมและต่อผู้อื่น

     

    2.ผมได้เรียนรู้ตัวตนของใครอีกคนมากขึ้น รวมทั้งได้รู้ความรู้สึกของตัวเองที่มีต่อเขาคนนั้นเช่นกัน

     

    แน่นอนว่าคนที่ผมกล่าวถึงนั้นคือปาร์ค ชานยอล

     

    อาจจะเป็นเพราะความใกล้ชิด การถูกปกป้องหรืออะไรก็ตามแต่ที่ทำให้หัวใจของผมเต้นผิดจังหวะเสมอเมื่ออยู่กับเขาและผมคงต้องยอมรับ....ว่าเผลอรู้สึกดีต่อเขาเข้าให้แล้ว

     

    การตัดสินใจพักอยู่ที่บ้านของชานยอลต่อไปเป็นความคิดที่ดีที่สุดในตอนนี้ ผมไม่อาจแน่ใจได้ว่าที่บ้านของตัวเองจะปลอดภัย ชานยอลพร่ำบอกอยู่เสมอว่าเอสต้องส่งพรรคพวกมารอจับตัวผม อย่างที่รู้กันดีว่าเอสเป็นคนประเภทกัดไม่ปล่อย แต่ผมก็ไม่เข้าใจนักว่าทำไมหัวหน้าของไนท์แมร์คนนั้นถึงได้ต้องการตัวผมมากถึงขนาดนี้

     

    จับไปเพื่อฆ่างั้นหรือ? แต่การเผชิญหน้าระหว่างผมกับพวกไนท์แมร์ทั้งสองครั้งก็เป็นโอกาสมากพอแล้วที่จะฆ่าผมได้ แต่สุดท้ายพวกเขาก็ไม่ได้ลงมือ

     

    ไม่ว่าเหตุผลของเอสจะเป็นอะไรก็ตาม แต่ชีวิตของผมรวมทั้งเพื่อนร่วมทีมในตอนนี้ไม่ปลอดภัยเอาเสียเลย

     

    ไง หยุดงานไปอาทิตย์นึงคงได้ชาร์ตแบตเต็มที่เลยใช่มั้ย? จงแดว่าพร้อมกับยื่นอเมริกาโน่ร้อนซึ่งเป็นกาแฟที่ผมชอบมากที่สุดมาให้ เดาว่าเขาคงชงมันเพื่อเป็นการต้อนรับผมกลับเข้าหน่วย

     

    ทุกคนก็เป็นซะแบบนี้ ชอบแสดงออกถึงความเป็นห่วงผ่านทั้งคำพูดและการกระทำ นั่นเองที่ทำให้ผมรู้สึกว่าที่นี่เป็นมากกว่าที่ทำงาน ผมเคยบอกคุณแล้ว ว่าสตาสเปรียบเป็นอีกครอบครัวและเป็นดังบ้านหลังที่สอง

     

    เห็นมะ ใครๆก็ใช้คำว่าหยุดงานแทนถูกพักงานทั้งนั้นแหละ คราวหลังอย่าเถียงพี่งินอีกนะน้องแบค

     

    น้องแบคพ่อง

     

    เสียงเพี้ยะอันมาจากการที่ผมตบหัวของจงอินดังลั่นจนลู่หานและจงแดหัวเราะออกมาอย่างห้ามไม่อยู่ ร่างดำลูบหัวตัวเองป้อยๆพร้อมกับค้อนผมไปด้วยแต่พวกเราต่างรู้ดีว่ามันไม่โกรธหรอกที่ผมทำแบบนี้

     

    หัวหน้าอี้ฝานเข้าหน่วยมารึยัง?ผมถามออกไปก่อนจะยกกาแฟขึ้นจิบ รสชาติขมๆของอเมริกาโน่ทำให้ผมรู้สึกดีไม่น้อย

     

    คิดว่าอยู่ในห้องประชุมนะ แปลกนะเนี่ยที่เขาไม่ออกมาหานายลู่หานเป็นคนตอบคำถามก่อนที่พวกเราจะเริ่มออกเดินเพื่อไปยังห้องทำงานของทีม อันที่จริงลู่หานและจงอินต้องไปทำภารกิจแฝงตัวเพื่อสืบจองอึนจีอีกภายในวันนี้และผมเห็นว่าพวกเขาสะพายเป้เอาไว้ เดาว่าข้างในคงเป็นชุดที่เอาไว้ใส่เพื่อภารกิจ

     

    แน่นอนว่าชุดของลู่หานคงจะเป็นชุดนักเรียน แต่ชุดของคิมจงอินคงจะเป็นชุดภารโรง

     

    ผมพยักหน้าน้อยๆเป็นการตอบรับและทำเมินกับประโยคหลัง ตลอดเวลาที่อยู่บูชอน ผมหลีกเลี่ยงการคุยกับหัวหน้าอี้ฝาน ทั้งไม่ติดต่อเขาและไม่ตอบรับเขาแม้แต่วันเดียว นั่นเป็นเพราะผมคิดว่าการคุยกับหัวหน้าอี้ฝานทั้งๆที่มีชานยอลอยู่ข้างกายคงไม่ใช่เรื่องที่เหมาะสมนัก หัวหน้าอี้ฝานเป็นคนฉลาดและมีประสาทการรับรู้ว่องไว ผมกลัวว่าเขาอาจจะรู้ว่าผมอยู่กับไนท์แมร์อย่างชานยอล และถ้าหากเป็นดังนั้น แน่นอนว่าเรื่องวุ่นวายต้องเกิดขึ้นอย่างที่ผมไม่อยากจะจินตนาการเอาเสียเลย

     

    โว้ว ตายยากแห้ะ? ฉันเพิ่งคุยกับคยองซูไปเองว่านายจะเข้าหน่วยวันนี้หรือจะพักต่ออีกซักสองสามเดือน

     

    ตอนนั้นเองที่เสียงยั่วโมโหดังขึ้น ร่างสูงโปร่งในเสื้อเชิ้ตสีฟ้าอ่อนและกางเกงแสล็คดังที่เจ้าหน้าที่ทุกคนใส่ยืนขวางเราไว้ เสื้อผ้าที่พวกเราใส่นั้นทำให้เราดูเหมือนพนักงานบริษัทและนั่นคือสิ่งที่สตาสตั้งใจ ผมถอนหายใจเมื่อเห็นบุคคลตรงหน้า แน่นอนว่าไม่ใช่ใครที่ไหน โอเซฮุนตัวป่วนประสาทเจ้าเก่านั่นเอง

     

    เฮ้! อย่าทำหน้าแบบนั้นกันสิ ฉันเข้ามาเพื่อแสดงความดีใจที่นายกลับมาหรอกนะ เขาพูดเมื่อเห็นพวกผมชักสีหน้า อันที่จริงผมไม่แน่ใจนักหรอกว่าเซฮุนคิดยังไงต่อทีมเอ เพราะเท่าที่เขาแสดงออกก็มีแค่การกวนตีนไปเรื่อยกับการชอบพูดจาเหน็บแนมก็เท่านั้น

     

    งั้นก็ขอบใจ ผมว่าก่อนจะทำท่าเดินเลยเขาไป แต่เสียงทุ้มแหบก็ยังคงรั้งเอาไว้

     

    เดี๋ยวก่อนสิ! ทำไมพวกนายต้องเดินหนีฉันตลอดเลยวะ

     

    แล้วนายจะมายุ่งกับพวกเราทำไมล่ะวะ ก็ไปอยู่กับทีมของตัวเองดิ ไป๊!” จงอินแกล้งทำมือสะบัดๆเป็นเชิงไล่เซฮุนให้กลับไปที่ทีมของตัวเอง พวกเรามองดูคู่กัดหยินหยางแล้วก็ได้แต่ส่ายหน้า ไม่เคยมีเลยซักครั้งที่สองคนนี้เจอหน้ากันแล้วจะไม่เกิดการทะเลาะ

     

    ไล่ให้กลับทีมนี่รู้บ้างไหมว่าฉันก็เพิ่งโดนคยองซูไล่ออกมา

     

    พูดง่ายๆว่าไม่มีใครเอาว่างั้น?จงอินหัวเราะกวนประสาทใส่เซฮุนและหันมาแท็กมือกับจงแดที่พูดจาถูกใจ ว่าก็ว่าเถอะ โอเซฮุนจัดได้ว่าเป็นมนุษย์ที่ทำตัวว่างแล้วเดินหาเรื่องคนอื่นทั้งได้ทั้งวัน ไม่แปลกที่เจ้าหน้าที่หลายๆคนรวมถึงโดคยองซูจะรำคาญเขาเต็มทน

     

    ก็อยากจะสละเวลาเล่นด้วยอยู่หรอกนะ แต่พอดีว่าเราไม่ว่างขนาดนั้นผมบอกเซฮุนพร้อมกับที่จงอินเดินเข้ามากอดคอผมเอาไว้ก่อนที่พวกเราจะเริ่มออกเดินอีกครั้ง

     

    ทีมเอนี่งานเยอะดีจริงจริ๊ง

     

    เขากล่าวเสียงสูงซึ่งมันทำให้ตีนของทุกคนกระตุกพร้อมกันโดยไม่ได้นัดหมาย แต่ลู่หานผู้ที่เงียบมาตลอดบทสนทนาได้กลายเป็นผู้ปิดท้ายทุกอย่างและประโยคนั้นก็ทำให้เซฮุนผู้น่ารำคาญเงียบลงได้อย่างเหลือเชื่อ

     

    นั่นจึงเป็นเหตุผลที่เราไม่ว่างพอจะไปทำให้ใครเกลียดขี้หน้าเหมือนนายไงเซฮุน

     

     

    ผ่านไปกว่าครึ่งวันที่ผมนั่งอยู่ที่โต๊ะของตัวเองโดยไม่พบหัวหน้าอี้ฝาน จงแดบอกผมว่าเขาอาจจะกำลังจัดการกับบางอย่างอยู่และคงจะเรียกพวกเราประชุมภายในวันนี้ จงอินและลู่หานเดินทางไปโรงเรียนของอึนจีเพื่อทำหน้าที่แล้ว ภายในทีมของเราจึงเงียบกว่าที่เคยเป็น ผมหยิบแฟ้มคดีมาอ่านคร่าวๆ ส่วนใหญ่มีแต่คดีเล็กน้อยที่ผมคิดว่าทางตำรวจไม่จำเป็นต้องมอบหมายงานให้พวกเราเลยด้วยซ้ำ แต่อย่างว่า การโยนงานให้ผู้อื่นเพื่อให้ตนเองสบายมันเป็นสิ่งที่เกิดขึ้นบ่อยๆและผมเองมีหน้าที่ที่ต้องยอมรับมันก็เท่านั้น

     

    ตอนนั้นเองที่ผมวางแฟ้มคดีปล้นร้านขายของชำในมือลงก่อนจะหยิบแฟ้มคดีเก่าๆอย่างคดีฆาตรกรต่อเนื่องที่ทางตำรวจได้มอบหมายมาให้พวกเราสืบสวนเมื่อหนึ่งเดือนก่อนขึ้นมาอ่าน ผมรู้ว่าคดีนี้ถูกปิดไปแล้ว แต่โค้ดเนมที่ปรากฏตรงบรรทัดของผู้จับกุมก็ทำให้ผมอดสงสัยไม่ได้เพราะมันเป็นโค้ดเนมที่ไม่คุ้นเคยเอาเสียเลย

     

    ปิดคดี : 2015/02/03

    เจ้าหน้าที่ผู้จับกุม : อู๋ อี้ฝาน, ทริซ

     

    มันเป็นปกติที่ทางหน่วยเราจะใส่ชื่อของผู้ที่จับกุมคนร้ายได้เสมอเพื่อเอาไว้พิจารณาในการมอบเหรียญสำหรับเจ้าหน้าที่ดีเด่น ทุกคนต่างรู้ดีว่าการจะได้เหรียญอันทรงเกียรตินี้มันยากแค่ไหน และเจ้าหน้าที่ส่วนใหญ่ที่ได้รับเหรียญนี้ก็คือผู้ที่จบชีวิตลงในภารกิจสำคัญๆหรือที่เรียกอย่างง่ายๆว่าตายในหน้าที่นั่นเอง

     

    ผมว่ามันก็ตลกดีที่หน่วยงานของรัฐบาลมักเป็นเช่นนี้ จะมอบรางวัล มอบเหรียญกล้าหาญก็ต่อเมื่อพวกเขาตาย พิการ หรือสูญเสียอะไรบางอย่างไปในระหว่างทำภารกิจ ทั้งๆที่ตอนพวกเขามีชีวิตอยู่แทบไม่ได้รับคำชมเลยด้วยซ้ำ

     

    ชื่อของทริซปรากฏอยู่ในแฟ้มคดีมาสองครั้งแล้วภายในระยะเวลาหกเดือน มันน่าแปลกที่ไม่มีแม้แต่ชื่อจริงของเขา ผมรู้สึกคุ้นกับชื่อนี้อย่างบอกไม่ถูก เหมือนผมเคยได้ยินมาจากที่ไหนซักแห่ง บางทีผมอาจจะลองถามหัวหน้าอี้ฝานเพราะเขาเป็นคนเดียวที่ได้จับกุมร่วมกับเจ้าของโค้ดเนมว่าทริซคนนี้

     

    ผมปิดแฟ้มคดีลงพร้อมกับนวดขมับเบาๆคลายความเมื่อยล้าจากการนั่งอ่านเอกสารเป็นเวลานาน ตอนนั้นเองที่อีจินกิเดินเข้ามาหาที่โต๊ะพร้อมบอกข่าวสำคัญ

     

    แบคฮยอน! หัวหน้าอี้ฝานเรียกพวกเราประชุมด่วนแน่ะ ไปเร็วเข้า!”

     

     

    พวกเราสามคนประกอบด้วยผม คิมจงแดและอีจินกิต่างเข้ามานั่งอยู่ในห้องประชุมประจำทีมภายในเวลาอันสั้น หัวหน้าอี้ฝานอยู่ตรงหัวโต๊ะดังเช่นทุกครั้ง เขามีสีหน้าสงบต่างจากการประชุมครั้งอื่นๆ แต่ผมรู้ว่าท่าทางสงบเช่นนี้หมายความว่าเขากำลังปิดบังความรู้สึกบางอย่างไว้ และแน่นอนว่าสิ่งที่เขารู้สึกอยู่มันไม่ใช่เรื่องที่ดี

     

    ยินดีต้อนรับกลับมานะแบคฮยอน

     

    ครับ

     

    ผมขานรับเบาๆเมื่อหัวหน้าอี้ฝานหันมามองผมก่อนจะกวาดสายตาไปที่คนอื่น น่าแปลกที่ครั้งนี้เขาเฉยชาอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน ปกติเขาจะมองผมด้วยสายตาที่เป็นห่วงหรือไม่เขาก็คงเข้ามาคุยกับผมตั้งแต่เมื่อเช้าแล้ว แต่ครั้งนี้ไม่ เขาเก็บซ่อนทุกความรู้สึกไว้ภายใต้ใบหน้าเรียบเฉยได้อย่างดีเยี่ยม

     

    ขอโทษด้วยนะทุกคนที่ต้องเรียกประชุมด่วน

     

    หัวหน้าอี้ฝานเอ่ยปากพร้อมกับประสานมือไว้บนโต๊ะ ผมคิดว่าเรื่องที่เขาเรียกมาประชุมคงจะเป็นเรื่องที่สำคัญมากและเขาคงเรียบเรียงข้อมูลและคำพูดมาเป็นอย่างดีแล้ว

     

    ผมได้รับรายงานจากลู่หานเมื่อสามสิบนาทีก่อนหัวหน้าอี้ฝานพูดเนิบนาบเหมือนตั้งใจจะให้เรื่องราวทั้งหมดค่อยๆซึมเข้าสู่การรับรู้ จองอึนจียอมมอบตัวต่อพวกเรา ลู่หานกับจงอินได้ควบคุมตัวและส่งให้ทางตำรวจแล้ว ผมคิดว่าอีกไม่นานข่าวการถูกจับกุมคงกระจายไปทั่วทั้งเกาหลี

     

    แน่นอนว่าเราทั้งสามต่างรู้สึกประลาดใจไม่แพ้กัน แต่อีจินกิก็ยังคงทำหน้าที่พูดเป็นคนแรกเสมอ

     

    มอบตัวเหรอครับ? แสดงว่าแผนที่พวกเราแฝงตัวเข้าไปกว่าสามวันนั้นได้ผล?

     

    อาจจะเป็นไปได้ ตอนนี้เธอไม่ใช่ผู้ต้องสงสัยอีกต่อไปแล้ว แต่เป็นผู้ต้องหาหัวหน้าอี้ฝานถอนหายใจหนักๆออกมาซึ่งนั่นทำให้ผมแปลกใจ การจับกุมจองอึนจีได้ควรจะทำให้เขายินดีมากกว่าจะมีท่าทีอึดอัดแบบนี้ไม่ใช่หรือ? วุฒิภาวะของเธอยังน้อยทางตำรวจคงสอบสวนได้ไม่ยาก เราอาจจะได้ข้อมูลสำคัญที่เป็นประโยชน์ในการจับกุมไนท์แมร์คนอื่นๆ ไม่ว่ายังไงก็ตามตอนนี้ขอให้ทุกคนเตรียมตัวไว้ให้พร้อม เพราะไนท์แมร์อาจมีการเคลื่อนไหวเพราะพรรคพวกถูกจับได้แบบนี้ ส่วนขั้นตอนอื่นๆผมจะบอกอีกครั้งเมื่อลู่หานกับจงอินกลับมา

     

    ตอนนั้นเองที่ผมเป็นห่วงเทาขึ้นมา อย่างที่ผมเคยบอกว่าจองอึนจีนั้นเรียนอยู่ที่เดียวกันกับน้องชายของผม ผมไม่รู้ว่าตอนนี้เทาจะรู้ข่าวการถูกจับของเพื่อนร่วมโรงเรียนแล้วหรือยัง ล่าสุดที่เราคุยกันก็คือตอนที่ผมอยู่ที่บ้านของป้านาบี ซึ่งนั่นมันก็หลายวันมาแล้ว

     

    ยังมีอีกเรื่องหนึ่งที่สำคัญหัวหน้าอี้ฝานพูดต่อหลังจากที่ปล่อยให้พวกเราประมวลผลกับคำสั่งเมื่อครู่ พวกคุณคงยังจำการวางระเบิดของเอสที่สนามเบสบอลกันได้

     

    ครับจงแดตอบรับพร้อมกับดันแว่นที่ร่นลงบนสันจมูกให้เข้าที่

     

    อย่างที่รู้กันว่าจากการสอบปากคำคังมินฮยอกและผู้เกี่ยวข้อง ไม่มีใครรู้ว่าผู้ให้กล่องของขวัญที่บรรจุระเบิดนั้นคือใคร ซึ่งจากการตรวจสอบจากกล้องวงจรปิดพบว่าสัญญาณของกล้องได้ถูกตัดก่อนที่จะเริ่มการแข่งขันและมีกล้องบางส่วนได้ถูกทำลายจนเสียหาย นั่นทำให้ไม่สามารถรู้ได้ว่าใครเป็นคนร้ายที่นำระเบิดไปวางไว้

     

    อีจินกิยืดหลังตรงเพื่อตั้งใจฟังสิ่งที่หัวหน้าอี้ฟานกล่าว ผมจับกระแสความตึงเครียดได้จากดวงตาคู่คมของหัวหน้าอี้ฝาน นั่นเองที่ทำให้ผมรู้ถึงสาเหตุที่เขาพยายามตีสีหน้าเรียบนิ่งเพราะเรื่องที่เขากำลังจะบอกกับพวกเราต่อไปคงไม่ใช่เรื่องที่ดีนัก

     

    ผมลองใช้เวลาทบทวนทุกอย่างแล้ว สนามเบสบอลไม่ได้เปิดให้ใช้งานนอกจากมีการแข่งขันและมีแค่พวกเราเท่านั้นที่ได้รับอนุญาตให้เข้าไปตรวจสอบสนาม...

     

    “…”

     

    มันมีความเป็นไปได้ที่หนึ่งในพวกเราจะเป็นคนทำลายกล้องวงจรปิดรวมทั้งนำระเบิดไปติดตั้งเอาไว้ซะเอง

     

    คำสันนิษฐานและสีหน้าจริงจังของหัวหน้าอี้ฝานเร่งให้หัวใจของผมเต้นเร็วขึ้น ความตื่นตระหนกอัดแน่นไปทั่วทั้งความรู้สึกของผมในตอนนี้ แม้ไม่อยากจะเชื่อกับสิ่งที่ได้ยินแต่เมื่อคิดตามคำพูดของหัวหน้าอี้ฝานแล้วมันก็เป็นจริงทุกประการดังที่เขาว่า

     

    หัวหน้ากำลังจะบอกว่ามีไนท์แมร์อยู่ในทีมของเราอย่างนั้นใช่ไหมครับ?ผมทำตัวดังเช่นอีจินกิที่ถามสิ่งที่รู้คำตอบอยู่แล้ว หัวหน้าอี้ฝานสบตาผม สายตาของเขาไม่ได้เรียบเฉยดังก่อนหน้านี้แต่ถึงกระนั้นเขาก็ยังคงรักษามาดน่าเกรงขามไว้ได้

     

    ผมมั่นใจแปดสิบเปอร์เซนต์ ว่ามีไนท์แมร์อยู่ในทีมของเรา...ผมมั่นใจเขาหันไปสบตากับจงแดและจินกิคล้ายว่าจะเป็นการส่งความกดดัน และถ้าสิ่งที่ผมคิดเอาไว้มันถูกต้อง ตอนนี้ไนท์แมร์คนนั้นก็อาจจะรู้ตัวแล้วว่าผมรู้ทัน แต่นั่นแหละ คือความตั้งใจของผม

     

     น้ำเสียงจับผิดและดวงตาคมคล้ายเหยี่ยวของหัวหน้าอี้ฝานทำให้จงแดกับจินกินิ่งไป ผมไม่เคยคิดมาก่อนเลยว่าเรื่องแบบนี้จะเกิดขึ้นในหน่วยของเรา

     

    ทั้งห้องตกอยู่ในความเงียบเมื่อหัวหน้าอี้ฝานกล่าวความประสงค์ออกไป มันเหมือนกับว่าเขากำลังประกาศว่าไม่ไว้วางใจลูกทีมของตัวเอง และนั่นย่อมส่งผลให้พวกเราไม่ไว้ใจซึ่งกันและกันด้วย

     

    วินาทีนั้นเอง...ที่ผมอยากพบชานยอลเหลือเกิน

     

    ผมอยากเล่าสิ่งที่เกิดขึ้นให้เขาฟัง แม้มันจะไม่เหมาะสมแต่ผมมั่นใจว่าชานยอลจะทำให้ผมรู้สึกสบายใจได้ ไม่รู้ว่าตั้งแต่เมื่อไหร่ที่เขาเริ่มมีอิทธิพลต่อผม แต่ในเวลานี้ผมไม่อยากอยู่ท่ามกลางการจับผิดแบบนี้เลย

     

    เสียงกริ๊งของโทรศัพท์ประจำทีมที่ดังขึ้นเป็นดังตัวทำลายม่านหมอกแห่งความอึดอัดนี้ลง หัวหน้าอี้ฝานเลิกส่งสายตากดดันก่อนที่จงแดจะทำหน้าที่ลุกขึ้นไปรับสาย อีจินกิแอบลอบถอนหายใจโล่งอกที่สถานการณ์เมื่อครู่ถูกขัดจังหวะ จงแดรับสายก่อนจะกรอกเสียงลงไป ตลอดบทสนทนาผมเห็นว่าคิ้วของเขาขมวดเข้าหากัน มันเป็นดังสัญญาณที่บอกให้พวกเรารู้ว่าเรื่องที่เขากำลังรับฟังอยู่นั้นไม่ใช่เรื่องน่ายินดี

     

    สารวัตรมินซอกโทรมาครับหัวหน้าจงแดรายงานให้หัวหน้าอี้ฝานรับทราบหลังจากที่วางสายไปแล้ว

     

    ว่ายังไงบ้าง?

     

    เขาบอกว่าจองอึนจีถูกคุมตัวไว้ที่สน.แล้ว แต่เธอไม่ยอมปริปากพูดอะไรเลยนอกจากคำว่าเธอต้องการพบกับแบคฮยอน

     

    และนั่นเป็นวินาทีแรกของวันนี้ที่หัวหน้าอี้ฝานสบตากับผมตรงๆ เขาขมวดคิ้ว มองผมอย่างคลางแคลงใจแต่มันยังไม่น่าอึดอัดเท่าที่เขาไม่ปริปากพูดอะไรออกมาแม้แต่คำเดียว

     

     

     

    ด้วยสาเหตุข้างต้นนั่นเองที่ทำให้ผมมาอยู่ที่นี่

     

    สถานีตำรวจในเวลานี้คราคร่ำไปด้วยนักข่าวจากสำนักข่าวต่างๆ และแน่นอนว่าพ่อของจองอึนจีอย่างท่านรัฐมนตรีจองเซโฮก็อยู่ที่นี่ด้วย

     

    เขาเป็นผู้ชายสูงอายุที่ดูภูมิฐานสมกับตำแหน่ง แต่แววตาของเขาตอนถูกนักข่าวสัมภาษณ์หรือแม้แต่ตอนที่ถูกตำรวจสอบปากคำมันช่างดูเฉยชาและเรียบนิ่งไม่เหมือนกับคนเป็นพ่อที่ลูกสาวเพิ่งถูกตำรวจจับกุมเลยซักนิด

     

    ไม่รู้สิ... แต่ผมมองไม่เห็นความห่วงใยที่มีต่อจองอึนจีจากพ่อของเธอเลย

     

    ผมไม่รู้หรอกนะว่าอึนจีมีธุระอะไรกับคุณ แต่เธอไม่ยอมพูดอะไรกับเราเลยนอกจากคำว่าเธอต้องการจะพบคุณสารวัตรมินซอกบอกผมแบบนั้นก่อนจะพาผมเดินหนีนักข่าวสองสามคนที่มองมายังพวกเรา ผมเดินตามเขาไปตามทางเดินแคบๆก่อนจะหยุดอยู่ที่หน้าห้องเล็กๆห้องหนึ่ง

     

    ไม่ว่าเธอจะพูดอะไร คุณคงรู้ใช่ไหมว่าต้องบอกผมด้วย

     

    ครับ ผมเข้าใจ

     

    สารวัตรมินซอกปล่อยให้ผมเข้าไปในห้องตามลำพัง ส่วนเขาทำหน้าที่ยืนสังเกตการณ์อยู่ด้านนอก ห้องนี้เป็นห้องขนาดเล็กที่มีกระจกใสล้อมรอบ คนด้านในจะมองไม่เห็นข้างนอก กลับกัน คนที่อยู่ข้างนอกนั้นสามารถมองเห็นภายในห้องได้อย่างชัดเจน

     

    ผมเดินไปยังโต๊ะกลางห้องและนั่งลงบนเก้าอี้ฝั่งตรงข้ามที่มีหญิงสาวในชุดนักเรียนนั่งอยู่ก่อนแล้ว เธอถูกใส่กุญแจมือเอาไว้และไม่สนใจผมซักนิดเดียวแม้ว่าผมจะนั่งลงและส่งสายตามองเธอมาร่วมสิบวินาทีแล้ว

     

    ไง ได้ยินมาว่าอยากเจอฉันใช่ไหม?ผมเป็นฝ่ายทักเธอก่อนและพยายามใช้น้ำเสียงที่แสดงถึงความเป็นมิตร ยังไงซะ จองอึนจีก็เป็นเพียงแค่เด็กสาวอายุสิบเจ็ด เธออาจจะหลงผิดที่มารวมตัวกับพวกไนท์แมร์ซึ่งนั่นหมายความว่าอนาคตของเธอต่อจากนี้ได้เปลี่ยนจากขาวเป็นดำเรียบร้อยแล้ว

     

    คิดว่าคนอย่างฉันอยากเจอแกมากรึไง?อึนจีว่าก่อนจะมองมาที่ผม เป็นวินาทีแรกที่ผมได้สังเกตเธออย่างชัดเจนและพบว่าใบหน้าไร้เดียงสากลับถูกแต่งแต้มไปด้วยเครื่องสำอางที่ทำให้เธอดูโตกว่าวัยฉันก็แค่มาทำหน้าที่ ไม่อย่างนั้นอย่าหวังว่าคนอย่างฉันจะเดินเข้ามาหาพวกหน้าโง่อย่างแกเลย

     

    คิ้วของผมกระตุกทันทีหลังจากจบประโยคนั้น ทั้งน้ำเสียงและสรรพนามของอึนจีไร้ซึ่งความให้เกียรติ เธอดูไม่เหมือนคนที่เติบโตมาในบ้านของรัฐมนตรีแม้แต่น้อย จองอึนจีแข็งกร้าว และดูท่าว่าจะเอาแต่ใจไม่น้อย

     

    ในวินาทีที่ผมกำลังจะอ้าปากเพื่อต่อบทสนทนา อึนจีก็พูดแทรกขึ้นราวกับว่าอยากพูดสิ่งที่เธอต้องการให้จบๆไปเหตุเพราะไม่อยากเห็นหน้าผมนานไปกว่านี้

     

    ออกจากสตาสซะ ที่นั่นไม่ปลอดภัย

     

    “…”

     

     แต่ถ้าดื้อ...ก็อย่าหาว่าไม่เตือน

     

    ผมเช็ดเหงื่อที่ซึมอยู่ที่ขมับลวกๆก่อนจะสบตากับอึนจี เธอคิดว่าผมมาที่นี่เพื่อเล่นตลกอย่างนั้นหรือ?

     

    ฉันไม่ได้มาเพื่อจะฟังเรื่องล้อเล่นจากเธอนะอึนจีผมพ่นลมหายใจอย่างไม่พอใจนัก อึนจีแค่นหัวเราะก่อนจะเอื้อมมือมาลูบคางผมคล้ายหยอกล้อ

     

    คิดว่าที่ฉันพูดไปเป็นเรื่องตลกงั้นเหรอ? เหอะ โง่ยังไงก็ยังโง่อยู่อย่างนั้น น่าสงสาร คล้ายว่ากุญแจมือจะไม่เป็นอุปสรรคกับเธอแต่อย่างใด นิ้วเรียวไล้จากคางจนมาหยุดอยู่ที่หัวไหล่ของผม และตอนนั้นเองที่รอยยิ้มร้ายอย่างที่เด็กแรกรุ่นไม่น่าจะทำได้ปรากฏอยู่บนใบหน้าของอึนจี แล้วถ้าฉันบอกว่าเอสเป็นคนพูดมันเอาไว้ล่ะ

     

    ผมนิ่งไปหลังจากที่ชื่อของเอสหลุดออกมาจากริมฝีปากของเด็กสาว อึนจีละนิ้วออกจากตัวผมก่อนจะเปลี่ยนเป็นนั่งไขว่ห้างแล้วมองผมด้วยแววตาที่เต็มไปด้วยความสนุก

     

    เอส?

     

    ใช่ เอสฝากคำนี้ให้ฉันมาบอกกับแก ฉันมอบตัวก็เพื่อมาบอกข้อความ

     

    ความจริงที่ผมได้รู้ทำให้ตกใจไม่น้อย อึนจียอมทำเพื่อผู้ชายคนนั้นขนาดนี้เชียวหรือ ยอมมอบตัว ยอมทิ้งอนาคตเพื่อเข้ามาบอกข้อความไร้สาระนั่น ผมไม่เข้าใจพวกไนท์แมร์เลยซักนิดว่าสิ่งที่พวกเขาทำเกิดประโยชน์อะไรกับตัวเองบ้าง

     

    หัวหน้าของเธอคิดว่าตัวเองเป็นใคร ทำไมฉันถึงต้องเชื่อ? สตาสไม่ปลอดภัยงั้นเหรอ? เหอะ ฉันต้องขำไหม?

     

    อึนจียังคงไม่คลายรอยยิ้ม เธอเลื่อนใบหน้าเข้ามาใกล้ผมมากขึ้น สาบานได้ว่าสายตาของเธอนั้นเต็มไปด้วยความตื่นเต้น และไม่รู้สิ แต่เหมือนว่าเธอจะฉายความรู้สึกบางอย่างออกมาด้วย อาจจะเป็น...ความสมเพช?

     

    จะตายอยู่แล้วยังมีหน้ามาปากดีอยู่อีกนะอึนจีหันไปมองที่บานกระจกรอบห้องเล็กน้อย ราวกับว่าเธอรู้ว่าสารวัตรมินซอกยังคงจับตาดูเราอยู่เธอถึงได้พยายามทำหน้าให้กลับมาเป็นปกติตามเดิม แต่กระนั้นน้ำเสียงที่เธอใช้กับผมมันก็ยังฟังดูร้ายกาจอยู่ดี

     

    ฉันจะบอกอะไรให้นะแบคฮยอน ฉันน่ะ...ได้เห็นหน้าเอสมาแล้ว

     

    “…”

     

    พอฉันได้เห็นหน้าเขา ฉันก็รู้สึกสมเพชแกขึ้นมาเลยล่ะ แต่น่าเสียดายที่ฉันคงบอกไม่ได้ว่าตัวตนจริงๆของเขาเป็นใคร เพราะถ้าแกเสียใจเร็วเกินไปมันก็คงจะไม่สนุก จริงไหม?

     

    “..”

     

    และถ้าแกยังมีความฉลาดอยู่บ้างก็อย่าลองดีกับเอส ฉันเตือนได้เท่านี้

     

    อึนจียิ้มเยาะเย้ยผมที่ยังคงนั่งนิ่งกับสิ่งที่ได้ยิน เธอละสายตาออกจากใบหน้าของผมเหมือนเป็นการสื่อว่าเธอหมดเรื่องที่จะคุยกับผมแล้วและไม่ต้องการเห็นหน้าผมอีก แต่ทุกอย่างที่เธอบอกมันยังคงกรอซ้ำไปซ้ำมาอยู่ในทุกอณูของการรับรู้

     

    และเป็นครั้งแรกที่ผมเริ่มตระหนักว่าแม้กระทั่งเด็กสาวอายุสิบเจ็ดอย่างเธอยังมีหัวใจที่เย็นชาถึงเพียงนี้ แล้วไนท์แมร์คนอื่นๆจะร้ายกาจแค่ไหน

     

    นี่ผมกำลังเผชิญกับอะไรอยู่กันแน่?

     

     

       

     

    ผมเล่าสิ่งที่อึนจีบอกต่อผมให้กับสารวัตรมินซอก เขาเองดูจะตกใจไม่น้อยที่เด็กคนนั้นยอมมอบตัวเพียงเพื่อเข้ามาบอกสิ่งที่เอสต้องการ แน่นอนว่าเป็นใครก็ต้องประหลาดใจทั้งนั้น ที่พวกไนท์แมร์จะภักดีต่อหัวหน้าของตัวเองมากถึงเพียงนี้

     

    ผมขอร้องให้สารวัตรมินซอกเก็บสิ่งที่อึนจีพูดกับผมไว้เป็นความลับ ผมบอกกับเขาว่าผมจะเล่าทุกอย่างให้หน่วยของผมรู้ด้วยตัวเอง แม้ว่าเขาจะไม่เข้าใจนักแต่ก็ยอมรับคำขอร้องแต่โดยดี

     

    คิมจงอินได้นำ CBR ของผมมาจอดไว้ให้ที่หน่วยตามที่ผมได้ขอเขาไว้ตั้งแต่ก่อนจะไปหาป้านาบี ทำให้วันนี้ผมได้ขี่มอเตอร์ไซค์คู่ใจอีกครั้ง ผมพยายามเลี่ยงออกจากเพื่อนร่วมทีมทุกคนและมุ่งหน้ากลับสู่บ้านของชานยอล คนที่ผมต้องการเจอหน้ามากที่สุดในเวลานี้

     

    ลมเย็นๆที่พัดผ่านยามเมื่อมอเตอร์ไซค์เคลื่อนที่คล้ายว่าจะช่วยผ่อนคลายความรู้สึกของผมได้บ้าง เรื่องที่ผมเจอมาทั้งหมดในวันนี้มันไม่ได้หนักหนาในเชิงกายภาพ แต่มันช่างหนักหนากับจิตใจของผมมากเหลือเกิน

     

    วลีที่ว่าบ้านคือวิมานของเรามันจะเป็นจริงก็ต่อเมื่อมีองค์ประกอบทั้งสาม อันได้แก่ สิ่งแวดล้อมที่เหมาะสม ความสัมพันธ์ของคนในบ้านที่อบอุ่นและความสบายใจของเราเองยามเมื่ออยู่บ้าน บ้านของป้านาบีทำให้ผมเข้าใจวลีนี้อย่างถ่องแท้ แต่ภายในตอนนี้บ้านของชานยอลกลับทำให้ผมเข้าใจวลีนั้นด้วยเช่นเดียวกัน

     

                    ไม่ใช่แค่ผมที่ให้ความไว้วางใจต่อชานยอล เขาเองก็ไว้ใจผมเช่นกัน เขาให้กุญแจสำรองไว้และนั่นหมายความว่าผมสามารถเข้าออกบ้านของเขาได้เสมอไม่ว่าเขาจะอยู่หรือไม่ก็ตาม ถึงแม้มันจะดูเป็นเรื่องเล็กน้อย แต่การที่คนสองคนซึ่งมีสถานะต่างกันโดยสิ้นเชิงยอมเชื่อใจกันถึงเพียงนี้ก็นับได้ว่าเป็นเรื่องที่ยิ่งใหญ่นักในความคิดของผม

     

    กินอะไรมารึยัง?

     

    ร่างสูงของคนที่นั่งอยู่บนโซฟาเอ่ยถามเมื่อผมเดินไปนั่งลงข้างๆเขา รายการถ่ายทอดสดฟุตบอลที่ฉายอยู่ในโทรทัศน์กลายเป็นหมันเมื่อเขาปิดมันลงแล้วหันมาสนใจผมแทน ผมวางหมวกกันน็อคลงบนโต๊ะกระจกด้านหน้าก่อนจะถอนหายใจอย่างเหนื่อยล้า

     

    เรียบร้อยแล้วล่ะ

     

    ผมตอบเขาแล้วเอนหลังพิงโซฟา ผมรู้ว่าถ้าผมตอบว่ายังไม่ได้กิน เขาก็จะลุกไปทำให้โดยไม่อิดออด เราต่างรู้ว่ามีความรู้สึกเกิดขึ้นระหว่างเราและพวกเราโตพอที่จะรู้ว่ามันคืออะไร เพียงแค่เราต่างคิดว่ายังไม่ถึงเวลาที่จะต้องเร่งความสัมพันธ์ให้รวดเร็วขนาดนั้น เรายังต้องการเวลา ความแน่นอน และอะไรอีกหลายอย่าง

     

    การเริ่มทำเป็นเมินคำว่าไนท์แมร์และสตาสเกิดขึ้นกับตัวผมมาระยะหนึ่งแล้ว ผมไม่อยากคิดว่าเขาเป็นศัตรูดังเช่นในครั้งแรกที่เราพบกัน แต่การที่จะให้ดำเนินความสัมพันธ์อย่างชัดเจนในตอนนี้ก็เป็นเรื่องที่ผมยังทำใจยอมรับให้มันเกิดขึ้นไม่ได้

     

    อย่างน้อย...ก็ขอให้ผมได้มั่นใจเสียก่อน ว่าความรู้สึกระหว่างผมและชานยอลนั้นเป็นความรู้สึกที่เราทั้งสองต่างรู้สึกเท่าๆกัน ไม่ใช่ว่ามีฝ่ายใดที่รู้สึกไปมากกว่า

     

    ชานยอลมองผมไม่ละสายตานั่นทำให้ผมต้องหันไปสบตาเขาอย่างช่วยไม่ได้ เราสบตากันอยู่พักหนึ่งก่อนที่ชานยอลจะเขยิบเข้ามาใกล้ผมจนกระทั่งแขนของเราสัมผัสกันเบาๆ

     

    เป็นอะไรรึเปล่า?เสียงทุ้มต่ำเอ่ยถามเมื่อเขาคงจับกระแสความเครียดของผมได้ ผมส่ายหัวน้อยๆเป็นการปฏิเสธ แต่แน่นอนว่าไม่เคยมีซักครั้งที่เขาจะไม่รู้ทัน อย่าปิดบัง หน้านายมันบอกฉันอยู่ว่ามีเรื่องไม่สบายใจ

     

    ผมมองใบหน้าของชานยอล เรือนผมสีแดงถูกแทนที่ด้วยสีดำตามเดิมแล้วหลังจากที่ผมขอให้เขาย้อมกลับเพราะไม่อยากให้เขาดูโดดเด่นมากเกินไป

     

    วันนี้ทีมของฉันเรียกประชุมน่ะผมเริ่มเล่าให้เขาฟัง และเป็นตอนนั้นเองที่ชานยอลเอื้อมมือข้างหนึ่งมาโอบไหล่ผมไว้ มันเป็นวินาทีที่ผมรู้สึกว่าตัวเองอ่อนแอเหลือเกิน ผมอ่อนแอเกินไปที่จะปัดมือของเขาออกและกลายเป็นว่าผมยอมนั่งนิ่งๆให้เขาโอบไว้แบบนั้น

     

    เหรอ แล้วยังไงต่อล่ะ?

     

    อึนจีถูกจับได้แล้ว นายรู้รึยัง?

     

    ชานยอลพยักหน้าน้อยๆ นั่นทำให้ผมรู้ว่าข่าวการถูกจับกุมของเธอคงแพร่ไปทั่วเกาหลีดังเช่นที่หัวหน้าอี้ฟานคาดการณ์เอาไว้ มือของชานยอลเปลี่ยนจากวางบนไหล่มาสัมผัสที่หัวของผมแทน เขาลูบมันเบาๆคล้ายว่าจะบอกผมว่าเขายินดีฟังทุกอย่างที่ผมต้องการจะบอก ความผ่อนคลายเริ่มซึมเข้ามาในความรู้สึกของผมราวกับมันถูกถ่ายทอดมาจากมือใหญ่นั้น

     

    นายอยากรู้ไหมว่าหัวหน้าของฉันบอกว่าอะไร?” ชานยอลไม่ตอบแต่ผมรู้ว่าเขาตั้งใจฟังอยู่ มือของเขาก็ยังคงลูบเส้นผมเบาๆคล้ายว่าเป็นการปลอบประโลม เขาบอกว่าอาจจะมีไนท์แมร์อยู่ในทีมของฉันเอง

     

    “…”

     

    แล้วหลังจากนั้นตำรวจก็เรียกฉันไปหาเพราะจองอึนจีต้องการที่จะเจอฉัน นายรู้ไหมท่าทางของเธอราวกับสนุกนักหนาที่ปั่นหัวฉันได้ เธอบอกกับฉัน เธอบอกฉันชานยอล เธอบอกว่า--

     

    ใจเย็นๆ ค่อยๆเล่านะชานยอลดึงตัวผมให้ไปซบที่อกเมื่อผมเริ่มพูดติดขัดเพราะความรู้สึกแย่ที่อัดแน่นอยู่ในใจ มือใหญ่นั้นยังคงลูบหัวผมเหมือนไม่รู้จักเบื่อ กลิ่นกายและสัมผัสจากชานยอลทำให้ผมใจเย็นลง ผมไม่อยากพูดให้มันดูเกินจริง แต่การกระทำของชานยอลในตอนนี้เหมือนกับพระอาทิตย์ที่เข้ามาปัดเป่าพายุให้หายไป มันอบอุ่นและทำให้ผมสงบ

     

    จองอึนจีบอกกับฉันว่าเธอเห็นหน้าของเอสแล้ว และเธอก็บอกว่าฉันก็เป็นแค่คนโง่

     

    “…”

     

    ฉันไม่อยากจะคิดในแง่ร้ายหรอกนะชานยอล แต่...แต่ฉันคิดว่าทั้งเอสและไนท์แมร์อาจจะเป็นคนใกล้ตัวฉันเอง

     

    ชานยอลหยุดลูบหัวผมไปแล้วแต่ยังคงให้ผมซบบนอกเขาตามเดิม เขาเงียบไปไม่ถึงสิบวินาทีก่อนที่เสียงทุ้มต่ำอันเป็นเอกลักษณ์จะเปล่งออกมา

     

    ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น...ฉันจะอยู่ข้างนายเอง

     

    ผมเงยหน้าสบกับดวงตาสีน้ำตาลคู่นั้น หูที่แนบอยู่กับแผ่นอกกว้างทำให้ได้ยินเสียงหัวใจของเขาอย่างชัดเจน มันดังตึก ตัก ตึก ตัก บางทีมันอาจเป็นเรื่องตลกที่จังหวะหัวใจของเขาเป็นเสียงเดียวกับจังหวะหัวใจของผม

     

    เชื่อใจฉัน ว่าทุกอย่างมันจะไม่เป็นไร

     

                ชานยอลจับมือผมไว้ข้างหนึ่งและใช้นิ้วโป้งคลึงหลังมือผมเบาๆ วินาทีที่เราสบตากันเหมือนว่าจะเกิดกระแสประหลาดที่ดึงดูดให้เขาเลื่อนใบหน้ามาใกล้ผมมากขึ้นเรื่อยๆ ในจังหวะที่ริมฝีปากของเราใกล้จะสัมผัสกัน ชานยอลกลับหยุดการกระทำทุกอย่าง เขามองผมคล้ายว่าจะไม่มั่นใจนักกับสิ่งที่กำลังจะทำ นั่นจึงเป็นสาเหตุให้ผมตัดสินใจยืดตัวไปสัมผัสกับริมฝีปากของเขาเสียเอง

     

                ทันทีที่ผมแตะริมฝีปากเขาได้สำเร็จ ชานยอลก็ไม่ลังเลที่จะจูบผมอีกต่อไป เขาประกบปากลงมาจนไม่เหลือช่องว่างให้อากาศแทรกผ่าน กลิ่นลมหายใจของเขาทำให้ผมรู้ว่าวันนี้เขาสูบบุหรี่อีกแล้ว แต่ก็เป็นเพราะกลิ่นความดิบเถื่อนนั้นที่ทำให้จูบของเราร้อนแรงขึ้นเรื่อยๆ ชานยอลดูดดุนที่ริมฝีปากล่างคล้ายการหยอกล้อและเมื่อเหยื่ออย่างผมตายใจ ผู้ล่าอย่างเขาก็แทรกเรียวลิ้นเข้ามาสังหาร

     

                ก่อนที่ผมจะหลับตาลงเพื่อรับสัมผัส องค์ประกอบภายในบ้านตั้งแต่ผ้าม่านสีครีมตรงหน้าต่างจนกระทั่งถึงพรมเช็ดเท้าสีน้ำเงินที่บานประตูก็ทำให้ผมตระหนักได้ว่าที่นี่ไม่ได้เป็นเพียงแค่บ้านของชานยอล

     

                แต่เป็นที่หลบภัยสำหรับผม เป็นที่ซ่อนตัวและเป็นที่พักพิง

     

                ความไว้ใจกำเนิดขึ้นในหัวใจของผมอย่างช้าๆคล้ายกับการสร้างผืนแผ่นดินใหม่ แน่นอนว่าปาร์คชานยอลเป็นวายร้ายแสนร้ายกาจที่ผมยังคงตามความคิดไม่ทันนัก แต่ถึงกระนั้นทุกๆการช่วยเหลือและทุกๆการกระทำของเขากลับทำให้ผมมองเขาในแง่ดี มันลบภาพผู้ชายอันตรายและแทนที่ด้วยผู้ชายที่ผมสามารถพึ่งพาได้ มันอาจจะฟังดูพิลึกที่เจ้าหน้าที่อย่างผมจะมีความรู้สึกดีๆต่อเขา แต่...ผมจะห้ามหัวใจตัวเองได้ยังไง?

     

                ชานยอลจูบผมดูดดื่มอย่างที่ใครหลายคนเรียกมันว่าจูบสูบวิญญาณ แต่สำหรับผมมันไม่ใช่จูบสูบวิญญาณ

     

                แต่มันเป็นจูบสูบความรัก

     

                และชานยอลกำลังค่อยๆได้รับความรักจากผม ทีละเล็ก ทีละน้อย เขากักเก็บ เขาสะสมความรู้สึกดีๆจากผมและมันคงจะเพิ่มพูนมากขึ้นไปอีกภายในอนาคต

     

                เขาละริมฝีปากออกมาเมื่อผมเริ่มหมดลมหายใจ แต่ชานยอลก็ยังคงคลอเคลียอยู่ที่ริมฝีปากของผมไม่ห่าง มือที่มีขนาดต่างจากผมเลื่อนมาอยู่ที่ท้ายทอยของผมแล้ว เป็นดังสัญญาณที่ทำให้รู้ว่าจูบต่อไปก็คงจะลึกซึ้งไม่แพ้กับจูบเมื่อครู่

     

     ชานยอล...ถ้า...ถ้าความสัมพันธ์ของเราไปถึงจุดนั้น เราจะต้องปิดบังคนอื่นๆใช่ไหม? ทั้งฉันและนายจะต้องหลบๆซ่อนๆอย่างนั้นเหรอ?

     

    ผมถามออกไปอย่างกล้าๆกลัวๆ ไม่ใช่ว่าผมไม่คิดว่าถ้าหากวันหนึ่งผมและชานยอลพัฒนาความรู้สึกไปจนถึงขั้นนั้นจริงๆ ชีวิตของเราทั้งสองคงจะแตกต่างจากตอนนี้ ทั้งผมที่ต้องปิดบังต่อสตาส และเขาที่ต้องปิดบังต่อพวกพ้อง

     

                ชานยอลขำน้อยๆ เสียงหัวเราะทุ้มๆนั้นกึกก้องอยู่ในโสตประสาท สายตาของเขาสื่อออกมาว่าเอ็นดูผมเหลือเกินและคำพูดทิ้งท้ายก่อนที่เราจะเริ่มต้นการจุมพิตก็ทำให้หัวใจของผมสั่นไหวอย่างไม่อาจห้ามได้

     

    อย่าเพิ่งคิดถึงคนอื่น เพราะตอนนี้มีแค่เราเท่านั้น แบคฮยอน

     

                เป็นอีกครั้งที่ผมได้เรียนรู้ว่าเรื่องที่เกี่ยวข้องกับความรู้สึก มันมักไม่มีเหตุผลใดๆมารองรับ ก็แค่ปล่อยให้ทุกอย่างดำเนินไปตามที่มันควรจะเป็น ก็เท่านั้น

     

    มีแค่ฉัน...กับนาย

     

    และเป็นอีกครั้งที่ผมหวั่นไหวซ้ำๆกับผู้ชายคนเดิม


    60%

     

    เอสไม่เคยคิดมาก่อนเลยว่าชีวิตของตัวเองจะดำเนินมาจนถึงจุดๆนี้ได้

     

    จุดที่เรียกได้ว่าหมดหนทาง ท้อแท้และยอมทำทุกอย่างเพื่อให้สิ่งที่คิดเป็นดังปรารถนา

     

    ทฤษฎีทางจิตวิทยาที่ชื่อว่า ทฤษฎีความต้องการ 5 ขั้นของมาสโลว์ ได้กล่าวถึงความต้องการของมนุษย์ไว้ 5 อย่างด้วยกัน

     

    ขั้นที่ ความต้องการทางกาย คือความต้องการปัจจัยพื้นฐานในการดำรงชีวิต นั่นคือ อาหาร ที่อยู่อาศัย เครื่องนุ่งห่มและยารักษาโรค

    ขั้นที่ ความต้องการที่จะมีชีวิตที่มั่นคงและปลอดภัย 

    ขั้นที่ ความต้องการความรักและการเป็นที่ยอมรับ

     

    ขั้นที่ ความต้องการได้รับการยกย่องจากผู้อื่น 

     

    และขั้นที่ ความต้องการในการเข้าใจและรู้จักตนเอง 

     

    ชายหนุ่มรู้ว่าทฤษฎีข้างต้นเป็นทฤษฎีพื้นฐานที่ใครหลายคนอาจรู้จักและเคยได้ยิน แต่สิ่งที่เอสอยากจะตั้งคำถามต่อนักจิตวิทยาผู้เก่งกาจทั้งหลายก็คือ เมื่อเขารู้ทฤษฎีโง่ๆเหล่านี้แล้วมันเกิดประโยชน์อะไรกับชีวิตของเขางั้นหรือ?

     

    เขาไม่เคยเชื่อในความต้องการ 5 ขั้นอะไรนั่น เพราะมนุษย์ล้วนมีความต้องการที่ไม่สิ้นสุด หากให้บอกสิ่งที่อยากได้อยากมีเป็นข้อๆก็คงจะเป็นร้อยๆข้อหรืออาจจะมากกว่านั้น

     

    การคิดขวางโลกไม่ได้ทำให้เอสรู้สึกว่าตนเองผิด ด้วยเหตุนี้เขาจึงไม่เคยศรัทธาต่อนักจิตวิทยาคนไหนไม่ว่าจะเป็นซิกมันด์ ฟรอยด์ผู้โด่งดังหรือคาร์ล โรเจอรส์ผู้รอบรู้

     

    เอสเชื่อมั่นในความคิดของตนเองมากกว่าสิ่งใดบนโลกและนั่นคือจุดเริ่มต้นที่ทำให้เขามายืนอยู่ในจุดนี้

     

    จุดที่ใครๆต่างเรียกเขาว่าเอสแทนการเรียกชื่อจริง

     

    [หลังจากที่เราติดตามคิมจงอินมาหลายวัน พบว่ามันจะออกจากบ้านเพื่อมาวิ่งที่ริมแม่น้ำฮันตอนเจ็ดโมง ผมคิดว่าพรุ่งนี้เราจะลงมือเงียบๆตอนที่มันกำลังวิ่งอย่างสบายใจอยู่ครับ]

     

    สิ่งที่เอสเห็นผ่านจอแอลซีดีของตัวเองในตอนนี้คือชายหนุ่มสองคนที่มีลักษณะแตกต่างกันโดยสิ้นเชิง ถ้าให้บอกเป็นชื่อก็คือคิมอูบินและอีแทมิน แต่ถ้าให้เรียกตามสถานะก็คงต้องบอกว่าสองคนนี้เป็นลูกกะจ๊อกของเขา

     

    พวกแกแน่ใจใช่ไหมว่าจะทำได้อย่างที่คิด?

     

    [ครับ ผมมั่นใจ] อูบินยืนยันหนักแน่นพร้อมกับส่งสายตาไปให้แทมินที่ยังคงนั่งไม่พูดไม่จาอยู่ข้างๆ เขารู้สึกหงุดหงิดนิดหน่อยที่ไอ้ผอมนี่เอาแต่เงียบแล้วไม่ตอบรับผู้เป็นนายซักคำ

     

    ดี ถ้าอย่างนั้นพวกแกก็ทำให้ได้อย่างที่พูดก็แล้วกัน

     

    ชายผู้สวมหน้ากากสีขาวในจอแอลซีดีฉายความพึงพอใจออกมาทางน้ำเสียงนั่นทำให้อูบินใจชื้นที่อย่างน้อยวันนี้เอสก็ไม่แสดงท่าทีเกรี้ยวกราด

     

    พรุ่งนี้ จะเป็นวันจบชีวิตของคิมจงอิน แต่ถ้าไม่ใช่ มันจะเป็นวันจบชีวิตของพวกแก จำคำของฉันไว้ให้ดี

     

    เอสตัดบทสนทนาเพียงเท่านั้นก่อนที่จอแอลซีดีภายในห้องจะดับลง เขาใช้วิธีนี้ติดต่อไนท์แมร์มาเป็นเวลานานแล้วนับตั้งแต่แรกเริ่มเลยก็ว่าได้ ไม่เคยมีสมาชิกไนท์แมร์คนไหนสงสัยว่าเขาเป็นใคร ทุกคนล้วนทำตามที่เขาสั่งเพียงเพราะเขาทำให้คนเหล่านั้นสนุกได้

     

    มันไม่ใช่เรื่องน่าแปลกอะไรเลยที่เอสจะมีอิทธิพลต่อไนท์แมร์ขนาดนั้น หากจะให้เรียกชื่ออื่นแทนอาชญากร ไนท์แมร์ก็คงจะเป็นการรวมตัวของคนที่มีความแค้นเคล้าไปด้วยความสิ้นหวัง ไม่ว่าจะเป็นคิมอูบิน อีแทมิน อิมแจบอม จองอึนจี ไนท์แมร์อีกหนึ่งคนที่เอสไม่อยากเอ่ยชื่อรวมทั้งตัวของเอสเองก็ล้วนแต่เป็นผู้ที่จนตรอกทั้งสิ้น

     

    พวกเขาจนตรอกกับปัญหา จมปลักอยู่กับอดีตที่ฝังใจและสุดท้ายสิ่งที่พวกเขาเลือกทำ ก็คือการระบายออกผ่านการกระทำอันรุนแรง

     

    แต่ก็นั่นแหละ ผลลัพธ์ที่ไนท์แมร์ลงมือทำแต่ละอย่าง มันช่างคุ้มค่ายิ่งนัก

     

    ชายหนุ่มผู้ได้ชื่อว่าเป็นหัวหน้าของอาชญากรแสนร้ายกาจถอดหน้ากากสีขาวออกจากใบหน้าช้าๆ นั่นเองที่เผยให้เห็นดวงตาสีดำขลับของเขาที่มีใครคนหนึ่งเคยชมว่าแสนน่ามอง มันเป็นดวงตาคู่สวยที่ดุดันไปในเวลาเดียวกันและเสริมให้เขาดูมีอำนาจน่าเกรงขาม แต่ ณ ตอนนี้ ดวงตาของเขาไม่ได้ฉายไว้ซึ่งความน่าเกรงขามใดๆเลย กลับกัน มีแต่ความหม่นหมองเท่านั้นที่ถูกฉายออกมาอย่างชัดเจน

     

    ภายในห้องทึบแสง เอสลุกออกจากเก้าอี้ซึ่งเป็นตำแหน่งอันคุ้นตาสำหรับไนท์แมร์ ทั้งชั้นวางหนังสือและรูปภาพประหลาดที่ทำให้ห้องอึมครึมก็ยังคงวางอยู่ในตำแหน่งเดิมไม่เปลี่ยนแปลง แต่สิ่งที่เอสสนใจที่สุดกลับเป็นกรอบไม้สี่เหลี่ยมที่ห้อยอยู่บนผนัง มันเป็นกรอบไม้ที่บรรจุสิ่งสำคัญเอาไว้

     

    เหรียญกล้าหาญสำหรับเจ้าหน้าที่ดีเด่นแห่งหน่วย S.T.A.S.’

     

    นั่นคือชื่อเรียกของเหรียญที่เขาเก็บมันไว้เป็นอย่างดี เหรียญที่เรียกได้ว่าเป็นเครื่องยืนยันถึงความสามารถและเกียรติยศ แต่สำหรับชายหนุ่มแล้วมันก็เป็นเพียงแค่สิ่งโสมม

     

    ในขณะที่คนอื่นต่างกล่าวว่าเหรียญนี้คือรางวัลสำหรับการทำงาน แต่สำหรับเอสมันคือสิ่งที่ประกาศให้เขารู้....ว่าเขาได้สูญเสียแม่ไปแล้ว

     

    ผมทำแบบนี้มันถูกแล้วใช่ไหมครับแม่?

     

    ชายหนุ่มลูบเหรียญนั้นเบาๆด้วยความรักใคร่พร้อมกับหัวใจที่เจ็บปวด มันอาจฟังเป็นเรื่องบ้าที่คนอย่างเอสผู้ซึ่งมีแม่เป็นถึงเจ้าหน้าที่มากฝีมือกลับกลายมาเป็นวายร้าย แต่สาเหตุทั้งหมดก็เป็นเพราะสตาสที่ทำให้แม่ของเขาต้องจากไปและทิ้งเขาไว้กับความทุกข์เช่นนี้

     

    เหรียญที่มอบให้แก่เจ้าหน้าที่สตาสเหรียญนี้เป็นของผู้หญิงที่เอสรักสุดหัวใจ ผู้หญิงที่เอสเรียกว่า...แม่

     

    แม่ที่ตายในหน้าที่ แม่ที่จากไปเพราะหน่วยบ้าๆพวกนั้น

     

    ถึงแม้ว่าแม่จะจากไปกว่าสิบปีแล้ว จากไปตั้งแต่เขายังไม่รู้ด้วยซ้ำว่าสตาสคืออะไรจนตอนนี้ที่เขารู้ลึกถึงหน่วยสตาสดีแล้ว กระนั้นความเกลียดชังและความคับแค้นก็ไม่เคยลดน้อยลงแม้เวลาจะผ่านไปนานแค่ไหนก็ตาม

     

    ถ้าผมไม่ทำแบบนี้ เขาก็คงไม่ยอมออกจากสตาส ผม...ผมไม่อยากเสียเขาไปเหมือนแม่

     

    สิ่งที่ดังที่สุดในห้องทึบแสงห้องนี้คงเป็นความเศร้าที่ถูกระบายออกมาจากชายหนุ่ม เขาไม่เหลือคราบของความเจ้าเล่ห์ ความร้ายกาจหรือความเลวร้ายใดๆยามที่ไร้หน้ากาก เอสอ่อนแอยามเมื่ออยู่ต่อหน้ากรอบไม้ซึ่งบรรจุเหรียญที่ได้ชื่อว่าเป็นตัวแทนของแม่ รวมทั้งอ่อนแอต่อภาพถ่ายใบหนึ่งที่เขากำลังค่อยๆหยิบออกมาจากกระเป๋าเสื้อ

     

    มันเป็นรูปถ่ายธรรมดาๆแต่กลับมีความพิเศษอย่างสูงสุดต่อเอส เขาลูบใบหน้าของคนในรูปก่อนจะเอ่ยขอโทษออกมาซ้ำๆ น้ำตาที่คิดว่าจะเก็บมันเอาไว้ไหลออกมาจนห้ามไม่อยู่ ยิ่งมองรอยยิ้มของคนในรูป ชายหนุ่มก็รู้สึกราวกับว่าหัวใจของเขากำลังถูกฉีกและกระทืบซ้ำด้วยความเลวร้ายทั้งหมดที่เขากำลังจะทำต่อเจ้าของรอยยิ้มผู้นี้

     

    เขาไม่ได้อยากทำแบบนี้เลย

     

    ไม่ได้อยากทำแบบนี้เลยซักนิด

     

    นั่นคือสิ่งที่เอสอยากจะบอกคนในรูป คนที่ชื่อว่าบยอน แบคฮยอน

     

    เอสต่อต้านทุกๆทฤษฎีจากนักจิตวิทยา แต่เอสไม่เคยรู้ตัวเลยว่าเขาเองก็ได้ดำเนินชีวิตให้เป็นไปตามทฤษฎีเหล่านั้น

     

    จากทฤษฎีของมาสโลว์ขั้นที่ 3 มนุษย์ต้องการความรักและการยอมรับ

     

    หากเอสจะยอมเห็นด้วยกับนักจิตวิทยาซักคน เขาก็คงเลือกที่จะศรัทธาในมาสโลว์

     

    เพราะเขายังคงต้องการความรักจากแม่...และจากบยอน แบคฮยอน

     

    ขอโทษที่ต้องทำแบบนี้...ได้โปรดยกโทษให้ด้วย ได้โปรด

     

    เสียงทุ้มเอ่ยคำขอโทษซ้ำๆพอๆกับน้ำตาที่ไม่หยุดไหล ชายหนุ่มทรุดตัวลงกับพื้นและกอดรูปถ่ายใบนั้นไว้อย่างแสนรัก เขารู้ดีว่าแบคฮยอนมีนิสัยเป็นอย่างไรและเป็นเพราะเอสรู้จักสตาสดีเช่นกัน เขาจึงรู้ว่าที่หน่วยไม่ปลอดภัยสำหรับแบคฮยอนในตอนนี้

     

    ความเป็นห่วงผลักดันให้เขาทำเรื่องที่แสนเลวทรามทั้งการฆ่าคิมฮโยยอน ทำร้ายลู่หานหรือแม้กระทั่งการพยายามจับตัวแบคฮยอน แต่ทั้งหมดที่เขาทำก็เพียงเพื่อบีบให้คนตัวเล็กออกจากสถานที่อันตรายแห่งนั้น เขาทำทุกอย่างเพราะไม่สามารถเตือนโดยตรงต่อแบคฮยอนได้

     

    ใครหลายคนอาจคิดว่าเขาเป็นคนเย็นชาและไร้หัวใจ แต่เปล่าเลย เขาเป็นแค่ผู้ชายคนหนึ่งที่โง่เง่าและไม่รู้ว่าควรทำอย่างไรเพียงแค่เรื่องที่ประสบอยู่เป็นเรื่องที่เกี่ยวข้องกับบยอนแบคฮยอน

     

    น่าแปลกที่คนเราชอบนำตัวเองไปผูกไว้กับคนที่ไม่เคยแม้แต่จะสนใจเราด้วยซ้ำ

     

    คงเป็นเรื่องตลกร้ายที่เอสเองก็เป็นดังเช่นคนเหล่านั้น

     

     

     

     

     

     

    ถ้าเราทำงานพลาดอีกบอสคงไม่เอาเราไว้ แกก็เห็นแล้วว่าอึนจียอมมอบตัว เราเสียไนท์แมร์ไปคนนึงแล้วและนั่นคงทำให้บอสหงุดหงิดน่าดู

     

    ภายในชั้นที่สิบแปดของคอนโดซึ่งเป็นแหล่งกบดานประจำของไนท์แมร์ อูบินบอกแทมินแบบนั้นหลังจากที่เอสตัดการติดต่อไปด้วยคำขู่ ร่างสูงรู้ดีว่าพักนี้พวกเขาทำงานพลาดติดต่อกันหลายครั้งซึ่งนั่นไม่สมกับการเป็นไนท์แมร์เอาเสียเลย

     

    แต่ฉันไม่คิดหรอกนะว่าคนอย่างอึนจีจะยอมมอบตัวง่ายๆ นายก็รู้นิสัยของเธอนี่ว่าชอบเอาชนะมากแค่ไหน ฉันว่าเรื่องนี้มันน่าจะมีเบื้องลึกเบื้องหลัง

     

    ประโยคแรกที่อีแทมินพูดหลังจากเงียบมานานเรียกให้คิ้วของคนตัวสูงกว่ากระตุก แล้วไง? ยัยนั่นจะยอมมอบตัวหรืออะไรก็ช่าง ที่แกต้องสนใจมากกว่าจองอึนจีก็คือการฆ่าคิมจงอินในคืนพรุ่งนี้

     

    เรื่องนั้น...หนักใจ คือสิ่งที่อธิบายถึงสีหน้าของแทมินได้ดีที่สุดในเวลานี้ เจ้าของผมบลอนด์หลุบสายตาลงราวกับไม่อยากจะรับฟัง  

     

    แกมีอะไรจะพูดรึเปล่า? อูบินถามเมื่อเห็นสีหน้าไม่สู้ดีของอีแทมิน มันทำให้เขาหงุดหงิดกว่าที่เป็นอยู่ คนตัวสูงจับสังเกตมาได้ระยะหนึ่งแล้วระหว่างที่แอบสะกดรอยตามคิมจงอินเพื่อสังเกตการณ์ อีแทมินมักทำให้เขาเสียสมาธิและเกือบทำให้ถูกคิมจงอินจับได้หลายครั้งแล้ว

     

    แทมินลังเลไปกว่าสองนาที เขาดูออกว่าอูบินใกล้จะหมดความอดทน การตัดสินใจเล่าทุกอย่างให้พรรคพวกฟังคือสิ่งที่อีแทมินเลือก อย่างน้อยหากอูบินได้รู้ว่าความสัมพันธ์ระหว่างเขากับคิมจงอินเป็นอย่างไร อูบินอาจจะช่วยเขาได้ไม่มากก็น้อย

     

    คิมจงอิน

     

    “…”

     

    เป็นพี่ชายของฉันเอง

     

    คิมอูบินยืดตัวขึ้นหลังจากได้ยิน เขาพยายามจับผิดจากแววตาของอีแทมินแต่มันไร้ซึ่งประโยชน์ ทั้งสีหน้าและน้ำเสียงสื่อให้เห็นว่าเรื่องที่คนผมบลอนด์พูดไม่ใช่เรื่องล้อเล่น

     

    นายเองก็มีน้องสาว คงเข้าใจวามรู้สึกของฉันใช่มั้ย?น้ำเสียงที่ฟังดูเว้าวอนทำให้อูบินอดไม่ได้ที่จะรู้สึกสมเพชคนตรงหน้า อย่าฆ่าพี่ชายฉันเลยนะ ขอร้องล่ะ

     

    เสียงแค่นหัวเราะทำให้ใจของแทมินหล่นวูบ อีกทั้งสายตาที่ไร้ซึ่งความเห็นใจและใบหน้าที่สมเพชเขาเต็มทน มันเป็นเครื่องยืนยันได้ดีว่าคิมอูบินไม่ได้รู้สึกอะไรกับความจริงที่เขากล่าวออกไปเลยแม้แต่น้อย

     

    นั่นมันเรื่องของแกไม่ใช่เรื่องของฉันอูบินพูดด้วยสีหน้าเรียบเฉย เขาทิ้งให้แทมินนั่งนิ่งอยู่ที่โซฟาก่อนจะเดินไปที่บานประตูเตรียมตัวที่จะออกจากห้องไป การที่แกก้าวเข้ามาเป็นไนท์แมร์นั่นหมายความว่าแกได้ละทิ้งอีแทมินคนเก่าไปแล้วและคิมจงอินก็ไม่ใช่ครอบครัวของแกอีกต่อไป

     

    “…”

     

    ระหว่างไอ้ขี้แพ้แทมินที่รักแต่พี่ชายหน้าโง่กับแทมินหนึ่งในไนท์แมร์ที่ใครๆต่างก็เกรงกลัว แกอยากเป็นแบบไหน? เลือกเอาแล้วกัน

     

    สิ้นเสียงปิดประตูแทมินก็ทรุดลงไปนั่งกับพื้นอย่างสิ้นหวัง สิ่งที่เขาอยากจะทำมากที่สุดในตอนนี้คือการขอโทษคิมจงอินเป็นพันๆครั้ง ให้พี่ชายของเขาต่อยสั่งสอนหรือฆ่าเขาให้ตายให้สมกับความผิดและความชั่วช้าที่เขาได้กระทำลงไปทั้งหมด

     

    ใช่ เขาอยากให้จงอินฆ่าเขาให้ตายไปซะ

     

    เพราะถ้าคิมจงอินไม่ฆ่าเขาเสียก่อน อาจจะเป็นอีแทมินคนนี้ที่ฆ่าพี่ชายซะเอง

     

     

       

     

    หลังจากมื้อเช้าจบลง ผมยังเหลือเวลาอีกกว่าหนึ่งชัวโมงครึ่งก่อนที่จะเข้าหน่วย การเปิดดูข่าวภาคเช้าเป็นสิ่งที่ผมเลือกจะทำ การจับกุมของจองอึนจีถูกรายงานโดยทุกๆสำนักข่าวและนั่นถือได้ว่าเป็นการเปิดเผยไนท์แมร์คนแรกต่อสาธารณชน

               

                ชานยอลที่เพิ่งทิ้งตัวลงนั่งข้างๆผมบนโซฟาตัวเดิม ไม่มีใครพูดถึงจูบเมื่อคืนนี้ แต่เราต่างรู้ดีว่าความรู้สึกจากรสจูบนั้นยังไม่ได้จางหายไปไหน

     

                จะออกไปข้างนอกเหรอ? ผมถามคนตัวสูงที่กำลังจับจ้องข่าวในโทรทัศน์ ชานยอลตื่นเช้าเป็นปกติแต่วันนี้เขาแต่งตัวราวกับว่ามีธุระที่ต้องออกไปทำ

     

                “ใช่ มีเรื่องที่ต้องทำนิดหน่อยผมไม่ได้ถามต่อเพราะรู้ดีว่าถ้าชานยอลอยากให้ผมรู้ เขาคงพูดมันออกมาแล้ว ถึงแม้เราจะรู้สึกดีต่อกัน แต่ชานยอลก็ยังคงให้ผมรู้เฉพาะบางเรื่องเท่านั้น

     

                วันนั้นนายกับพี่หมอคุยอะไรกันเหรอ?

     

                ผมพยายามทำเป็นไม่สนใจกระบอกปืนที่เขาเหน็บไว้ที่เอวแล้วเปลี่ยนประเด็น ตั้งแต่กลับมาจากบูชอนผมยังไม่รู้เลยว่าพี่หมอจองซูเรียกชานยอลเข้าไปคุยเรื่องอะไร ชานยอลหันมาสบตากับผมก่อนจะยกยิ้มอย่างที่ผมคิดว่ามันช่างสุดแสนกวนประสาท

     

                “เกี่ยวกับโรคของนาย เขาบอกก่อนจะลดเสียงโทรทัศน์ลงหลังจากข่าวจบไปแล้ว นายรู้ใช่ไหมว่าอาการของนายเคยดีขึ้น?

     

                “ใช่

     

                “หมอบอกว่าฉันมีส่วนช่วยให้นายหายได้

     

                นายน่ะเหรอ?

     

                ผมถามชานยอลอย่างไม่อยากจะเชื่อนัก ที่ผ่านมาผมรู้ว่ามีช่วงหนึ่งที่ผมเกือบจะหายจากโรคบรอนโทโฟเบียแต่นั่นก็เป็นเพราะความช่วยเหลือจากคนรักอย่างหัวหน้าอี้ฝาน พอเราเลิกกันผมก็กลับมาแสดงอาการหวาดกลัวต่อฟ้าร้องอย่างหนักเช่นเดิม

     

                หมอบอกว่าถ้าเราได้จูบกันในทุกๆเช้านายจะหายจากโรคภายในหนึ่งเดือน

     

                “พี่หมอพูดอย่างนั้นเหรอ?รอยยิ้มเจ้าเล่ห์ปรากฏบนใบหน้าของชานยอลและนั่นเองที่ทำให้รู้ว่าผมโดนเขาหลอกเสียแล้ว ผมชกไหล่เขาไปหนึ่งทีก่อนจะชี้หน้าเป็นการคาดโทษ ตลกมากรึไง?

     

                ชานยอลขำน้อยๆแล้วปิดโทรทัศน์ลง เดาว่าเขาคงรำคาญเพลงจากบอยแบนด์หน้าใหม่ที่ฉายอยู่

     

    แต่เรื่องที่บอกว่าฉันช่วยให้นายหายได้ ฉันไม่ได้โกหกนะ

     

                ผมรู้ดีว่าวิธีที่จะทำให้ผมหายจากโรคคืออะไร มันอาจจะฟังดูแปลก แต่การที่ผมอยู่คนเดียวมันทำให้ผมฟุ้งซ่านทุกครั้งที่ฟ้าร้อง และฝันร้ายก็จะเล่นงานผมอย่างโหดเหี้ยม ในทางกลับกันถ้าผมได้รับการปลอบโยน ความหวาดกลัวนั้นก็จะทุเลาลง แน่นอนว่าสิ่งที่พี่หมอต้องการก็คือให้ผมรักกับชานยอล เพราะความรักนั้นช่วยผมได้

     

                ตอนนั้นเองที่เส้นโละหะที่โผล่พ้นจากคอเสื้อจะเป็นตัวเรียกความสนใจจากผม ผมยืดตัวขึ้นก่อนจะจ้องมันไม่วางตา

     

                สร้อยนายเหมือนของฉันที่หายไปเลยชานยอลรีบเก็บสร้อยเข้าไปในเสื้ออย่างรวดเร็ว นั่นยิ่งสร้างความสงสัยแก่ผมมากขึ้นไปอีก จริงๆนะ ต่างกันแค่ของฉันเป็นแม่กุญแจ แต่ของนายเป็นลูกกุญแจอ่ะ นายซื้อมันมาจากที่ไหนเหรอ?

     

                “ความลับคำตอบของชานยอลทำเอาผมถอนหายใจ ใช่ซี่ ผมก็ลืมไป ว่าคนอย่างเขามันลึกลับ เปิดเผยไม่ได้แม้กระทั่งร้านขายสร้อย! ให้ตายเถอะ

     

                “ยังมีอีกหลายเรื่องเลยใช่ไหมที่นายยังให้ฉันรู้ไม่ได้?

     

    เมื่อถึงเวลาฉันจะบอกนายทุกอย่างด้วยตัวเอง

             

                ผมทำปากขมุบขมิบล้อเลียนเขา เอาเป็นว่าผมไม่อยากรู้แล้วก็ได้ ถ้าเขาอยากให้ผมรู้เดี๋ยวเขาก็บอกผมเองนั่นแหละ ตอนนั้นเองที่ผมลุกขึ้นเพื่อไปหาน้ำดื่ม จังหวะที่ยืดตัวชานยอลกลับคว้าข้อมือของผมไว้ ผมมองเขาอย่างไม่เข้าใจนักแต่ก็ไม่ได้สะบัดออก ทำไม? จะบอกชื่อร้านสร้อยแล้วไง๊?

     

                รอยสักนายอ่านว่าอะไร?

     

                ผมไม่รู้ว่าเขาสังเกตเห็นรอยสักที่เอวของผมตั้งแต่เมื่อไหร่ แต่จากคำถามนี้ทำให้ผมรู้ว่าชานยอลเองก็สนใจในตัวผมและมีเรื่องของผมที่เขาไม่รู้เช่นกัน ดูจากความสงสัยที่ปรากฏบนใบหน้าของเขาแล้วทำให้ผมไม่อยากตอบโดยเร็วและคิดว่านี่คงเป็นทีของผมบ้าง

     

                “ความลับ

     

                เขายิ้มจ้าเล่ห์เหมือนไม่แคร์กับคำตอบและใบหน้ากวนประสาทของผมแม้แต่น้อย ชานยอลปล่อยข้อมือก่อนจะเลิกเสื้อของผมขึ้นจนเผยให้เห็นรอยสักที่เอว เขาสบตากับผมและไม่ทันตั้งตัวริมฝีปากอุ่นๆก็ประทับจูบลงมาบนรอยสัก

     

                อาจจะหนึ่งหรือสองวินาทีที่เขาค้างจุมพิตไว้ แต่มันอาจจะเป็นสิบหรือร้อยครั้งที่หัวใจของผมเต้นแรงเพียงเพราะต้นเหตุนั้นมาจากผู้ชายตรงหน้า

     

                “Praise the bridge that carried you over.” เขาเอ่ยประโยคภาษาอังกฤษออกมา ซึ่งนั่นก็คือประโยคที่สลักอยู่บนเอวของผมเอง จงขอบคุณสะพานที่ให้ก้าวข้ามมา?

     

                ผมที่ยังคงทำอะไรไม่ถูกเพราะสัมผัสอุ่นได้แต่นั่งนิ่ง จนกระทั่งชานยอลจัดเสื้อของผมให้เข้าที่ตามเดิม นั่นเองที่เรียกสติของผมให้กลับมา ความจริงมันมีความหมายแฝงน่ะ มันหมายถึงขอบคุณแม่ที่ให้ฉันเกิดมา

     

                เขาพยักหน้าเหมือนจะเข้าใจและเมื่อเขาไม่ได้ถามอะไรต่อผมจึงลุกขึ้นไปหาน้ำดื่มอย่างที่ตั้งใจในทีแรก

     

                ชานยอลเป็นผู้ชายประเภทซื่อตรงต่อความต้องการและความรู้สึก เขาจึงได้แสดงออกต่อผมอย่างเปิดเผยว่าเขารู้สึกอย่างไรต่อผมบ้าง แต่ผมที่ยังอยากให้ทุกอย่างมันแน่นอนและชัดเจนก็ทำได้เพียงแค่ห้ามตัวเองไม่ให้รู้สึกมากไปกว่านี้ก็เท่านั้น

     

                ผมเดินกลับไปที่โซฟาแต่ชานยอลไม่ได้นั่งอยู่ตรงนั้นแล้ว ตอนนั้นเองที่เสียงทุ้มดังขึ้นจากทางด้านหลัง

     

                มีคนอยากเจอนายแหน่ะชานยอลบอกพร้อมกับพยักเพยิดไปที่โทรศัพท์ของผมซึ่งวางอยู่บนโต๊ะหน้าโซฟา ผมขมวดคิ้วสงสัยแต่ก็เดินไปอย่างว่าง่าย ข้อความที่ผมได้อ่านจากโทรศัพท์ยิ่งทำให้ผมขมวดคิ้วหนักขึ้นไปอีกเมื่อเห็นว่ามันถูกส่งมาจากใคร

     

                [มาพบพี่ที่ริมแม่น้ำฮันตรงที่เราเคยไปเดินเล่นบ่อยๆได้ไหม? พี่มีเรื่องจะคุยด้วย]

     

                หัวหน้าอี้ฝาน...

     

                “รีบไปสิ ก่อนที่หัวหน้านายจะโกรธชานยอลบอกกับผมด้วยสีหน้าเรียบเฉย เขาคงเห็นข้อความนี้แล้วถึงได้รู้ว่าหัวหน้าต้องการพบผม ผมพยักหน้าเป็นการตอบรับก่อนจะหยิบกุญแจรถแล้วออกจากบ้านไป บางทีหัวหน้าอี้ฝานอาจมีเรื่องสำคัญที่ต้องการคุยกับผมจริงๆเพราะเมื่อวานนี้เราแทบไม่ได้คุยกันเลย

     

                โดยที่แบคฮยอนไม่รู้เลยว่าสายตาที่ชานยอลใช้มองตัวเองนั้นมันทั้งเป็นห่วงและเต็มไปด้วยความกังวล ทันทีที่แบคฮยอนก้าวออกจากบ้าน แจ็กเกตหนังก็ถูกร่างสูงนำขึ้นมาสวมและไม่กี่วินาทีหลังจากนั้นดูคาติสีดำก็เร่งเครื่องตามคนตัวเล็กออกไป

     

     

               

     

    เวลาเจ็ดนาฬิกาเป็นช่วงเวลาที่ดีที่สุดในการออกกำลังกายสำหรับคิมจงอิน เขามีเวลากว่าหนึ่งชั่วโมงครึ่งก่อนที่จะไปปฏิบัติหน้าที่ นอกจากการเข้าฟิตเนสในตอนกลางคืนแล้ว การวิ่งจ๊อกกิ้งที่ริมแม่น้ำฮันในตอนเช้าก็เป็นอีกทางเลือกหนึ่งที่ร่างโปร่งเลือกกระทำ

     

    เขาหยุดพักหลังจากวิ่งมาร่วมยี่สิบนาทีแล้ว การทำให้ร่างกายแข็งแกร่งเป็นเรื่องสำคัญมากสำหรับเจ้าหน้าที่สตาส รูปร่างสูงโปร่งและกล้ามเนื้อแข็งแรงทำให้คิมจงอินมีเสน่ห์และเป็นที่หมายปองของหญิงสาว แต่สิ่งที่เขาสนใจที่สุดกลับเป็นการทำงานเพื่อชาติเท่านั้น ผ้าที่พาดไว้ที่คอถูกเขานำมาซับเหงื่อบนใบหน้าก่อนจะถูกพาดไว้ตามเดิม บนท้องฟ้าเริ่มปรากฏก้อนเมฆครึ้มฝน จงอินเดาว่าอีกไม่เกินสิบห้านาทีฝนคงจะตกอย่างแน่นอน

     

    ริมแม่น้ำฮันช่วงเช้าไม่ค่อยมีผู้คนเท่าไหร่นัก และมุมที่จงอินเลือกนั่งพักก่อนที่จะกลับบ้านเพื่อเตรียมตัวไปทำงานก็เป็นมุมลับตาคนพอสมควร เขาไม่ชอบให้ใครมาเดินผ่านยามเมื่อเขานั่งหรืออาจจะนอนบนพื้นเพื่อรับลมเย็นๆ วันนี้ก็เช่นกันที่หนุ่มผิวแทนเลือกจะนอนอย่างสบายใจบนพื้นตามประสาผู้ชายง่ายๆผู้ไม่สนใจกับความสกปรกใดๆบนโลกและฝนที่กำลังจะตก แต่มันเป็นตอนนั้นเองที่ความธรรมดาในชีวิตของคิมจงอินได้สิ้นสุดลง

     

    สบายใจมากเลยสินะ

     

    ร่างโปร่งดีดตัวขึ้นหลังจากได้ยินคำทักทายแสนกวนประสาทจากคนแปลกหน้า ไม่สิ เรียกว่าคุ้นเคยกันดีถึงจะถูก

     

    เพราะชายสองคนที่ยืนอยู่ตรงหน้าเขาในตอนนี้ต่างสวมหน้ากากสีขาวอันเป็นสัญลักษณ์ของไนท์แมร์...

     

                ไม่คิดว่าจะได้เจอพวกแกด้วยตัวเองแบบนี้ รู้สึกภูมิใจชิบหาย

     

                คิมจงอินว่าก่อนจะกระตุกยิ้ม เขารู้ดีว่าวันนี้จะต้องมาถึง วันที่ไนท์แมร์เล่นงานเขาเหมือนอย่างที่ฮโยยอน ลู่หานและแบคฮยอนเคยประสบมาก่อนหน้านี้ เพียงแต่เขาไม่คิดว่าพวกมันจะมาดักรอเขาในยามเข้าที่ริมแม่น้ำฮัน ซึ่งนั่นหมายความว่าความรู้สึกที่คล้ายถูกสะกดรอยตามในระยะหลังมานี้ถูกต้อง เขาถูกสะกดรอยตามจากพวกไนท์แมร์จริงๆ

     

                งั้นแกก็คงจะได้ภูมิใจมากขึ้นไปอีกที่กำลังจะตายด้วยฝีมือของพวกฉันมีเพียงแค่คนตัวสูงเท่านั้นที่เป็นคนเอ่ยปากพูดตั้งแต่ประโยคแรก จงอินสังเกตว่าคนตัวผอมอีกคนนั้นท่าทางลุกลี้ลุกลนแปลกๆ แต่ผมสีบลอนด์มันช่างคุ้นตาเสียเหลือเกิน....

     

                อย่ามาทำเป็นเก่งไปหน่อยเลยว่ะ ฆ่าให้ได้ก่อนแล้วค่อยโชว์พาวได้ป่ะ จะสองรุมหนึ่งหรือจะอะไรก็รีบๆเข้ามา เดี๋ยวแปดโมงครึ่งต้องไปทำงานต่อนะรู้ไหมเนี่ย?อูบินยอมรับในสติของจงอินที่ยังคงพูดจากวนประสาทเขาได้และไม่แสดงท่าทีหวาดกลัวเลยแม้แต่น้อย นี่เองสินะ เจ้าหน้าที่ของสตาส ผู้ที่ถูกฝึกมาอย่างดี

     

                แกเลือกได้รึยัง? อูบินหันไปถามแทมินที่ยังคงจับจ้องไปที่พี่ชายของตัวเอง จงอินตั้งการ์ดเตรียมสู้แล้ว เขามั่นใจในฝีมือของตัวเองว่าจะสามารถล้มสองคนนี้ได้ตราบใดที่พวกมันไม่เอาอาวุธออกมา

     

                “ได้แล้ว ฉันเลือกแล้วเสียงที่เปล่งออกมาจากแทมินทำให้จงอินขมวดคิ้วมุ่น

     

              น้ำเสียงนั่นมันช่างคุ้นเคยราวกับว่าได้ยินในทุกวัน...

     

                และเป็นตอนนั้นเองที่คิมจงอินเสียสมาธิ อูบินไม่ปล่อยให้เวลาสูญเปล่า ขายาวเตะไปที่สีข้างของจงอินอย่างรวดเร็วแต่โชคดีที่คนผิวแทนหลบได้และตอบกลับด้วยหมัดหนักๆซัดเข้าที่ซี่โครงและถีบเข้าที่ยอดอกอย่างแรงจนอูบินเสียหลัก

     

                เอาเด้ เข้ามาเลย

     

                จงอินว่าก่อนจะแกล้งหักนิ้วกร๊อบแกร๊บเป็นการป่วนประสาทฝ่ายตรงข้าม ความจริงมันคือวิธีที่จะทำให้อีกฝ่ายเกิดโทสะจนเสียสมาธิและโอกาสที่เขาจะชนะก็ย่อมมีมากขึ้น

     

                แต่ทุกอย่างไม่เคยง่ายตามที่ใจคิด เมื่ออูบินถูกถีบให้เซถอยหลัง ชายร่างผอมที่ยืนนิ่งมานานก็ควักปืนออกมาพร้อมกับเล็งไปที่คิมจงอิน

     

                แทมิน ยิงมันซะ!”

     

                ชื่อที่หลุดออกมาจากริมฝีปากของอูบินทำให้หมัดของคิมจงอินลดลงอย่างช้าๆรวมทั้งท่าทีกวนประสาทก็ค่อยๆหายไปคล้ายถูกสายลมพัด และเป็นตอนนั้นเองที่ฝนตกลงมาเป็นสายราวกับรู้จังหวะ

     

                แทมิน?

     

                ยิงซักทีสิวะ!”

     

                ปืนในมือสั่นแรงขึ้นพร้อมกับสีหน้าผิดหวังของจงอินที่เพิ่มขึ้นเรื่อยๆ แทมินสบตากับพี่ชายผ่านหน้ากาก สายตาที่ร่างโปร่งสื่อออกมาตีความเป็นอะไรไม่ได้เลย นอกจาก....คิมจงอินกำลังเสียใจ

     

                คนตรงหน้ารู้แล้วอย่างนั้นหรือว่าคนที่ยืนอยู่ตรงนี้เป็นน้องชาย?

     

                กระบอกปืนในมือของแทมินถูกลดลงช้าๆแต่กระนั้นสายตาของสองพี่น้องก็ยังคงประสานกัน คนหนึ่งมองด้วยความผิดหวังและเสียใจ แต่อีกคนหนึ่งมองด้วยความสำนึกผิดและอยากจะร้องไห้ออกมากับความโง่เง่าของตัวเองที่เลือกเดินบนเส้นทางแห่งความชั่วช้า

     

                “ทำเรื่องง่ายให้ยากนักนะ

     

                อูบินพูดอย่างหัวเสียเมื่อเห็นท่าทีของแทมิน สรุปแล้วสิ่งอีแทมินเลือกคือไอ้พี่ชายที่เป็นพวกของคนหน้าโง่เหล่านั้นน่ะหรือ เขาอยากจะเยอะเย้ยให้กับคนขี้แพ้อย่างแทมินซะเหลือเกิน แต่สิ่งที่เขาเลือกทำคือการควักปืนออกมาจากเอวแล้วเล็งไปที่คิมจงอินผู้ที่ยังมองไปยังน้องชายด้วยความเสียใจเช่นเดิม

     

                การลั่นไกเกิดขึ้นภายในไม่ถึงห้าวินาทีและลูกกระสุนก็แหวกผ่านอากาศออกไป

     

                ปัง!!!

     

                แม่งเอ๊ย!!” คิมอูบินสบถลั่นเมื่อพบว่าปืนเก็บเสียงที่นำมาถูกแทมินเปลี่ยนกระบอกจนกลายเป็นปินที่ส่งเสียงดังกึกก้อง ฝูงนกที่เดินอยู่ตามพื้นหญ้าต่างกระพือปีกบินด้วยความตกใจ พร้อมๆกับเสียงร้องของผู้ที่เห็นครอบครัวของตัวเองทรุดลงไปต่อหน้าต่อตา

     

              ไม่!!!!!!!!!!!!”

     

                อูบินออกวิ่งทันทีโดยที่ไม่สนใจอีแทมินและคิมจงอินอีกต่อไป แต่อย่างไรก็ตาม กระสุนก็ได้ฝังในร่างของเหยื่อตามที่เขาต้องการเรียบร้อยแล้วและสายฝนที่ตกกระหน่ำลงมาก็ดูจะเป็นตัวชะล้างคาวเลือดได้เป็นอย่างดี

     

     

     

     

     

                ผมมาพบกับหัวหน้าอี้ฝานตามที่ได้รับข้อความ ที่ที่เราเคยเดินเล่นด้วยกันบ่อยๆริมแม่น้ำฮันเมื่อครั้งที่เรายังเป็นคนรักกันนั้นผมยังจำได้ดี และแน่นอนว่าทันทีที่มาถึงผมก็เห็นร่างสูงโปร่งเกือบร้อยเก้าสิบเซ็นติเมตรของเขายืนรออยู่ตรงนั้นแล้ว

     

                ขอโทษที่เรียกออกมาแบบนี้นะหัวหน้าอี้ฝานเอ่ยทักและขอโทษไปในตัวแต่ผมไม่ได้ตอบกลับ เขาดูเคร่งเครียดไม่ต่างจากเมื่อวานเท่าไรนัก จะว่าไปแล้ว ตั้งแต่เราเลิกกันผมก็ไม่เคยได้เห็นรอยยิ้มของหัวหน้าอี้ฝานอีกเลย

     

                หัวหน้ามีอะไรกับผมรึเปล่าครับ?

     

                “น่าเสียใจจังเลยนะ ทั้งๆที่เมื่อก่อนเราเคยออกมาด้วยกันบ่อยๆโดยไม่มีเหตุผลแท้ๆ แต่ตอนนี้พี่จะเจอเราได้ก็ต่อเมื่อมีธุระเท่านั้นหัวหน้าอี้ฝานกระตุกยิ้มเศร้าที่ทำให้ผมต้องเบือนหน้าหนี ให้ตายเถอะ ผมไม่ชอบแบบนี้เลย เราคงอึดอัดสินะ

     

                “…” ผมอยากจะตะโกนออกไปว่าใช่ แต่ผมก็เลือกที่จะเงียบแล้วรอฟัง

     

    พี่ก็แค่อยากถามเรา ว่าเมื่อวานนี้อึนจีอยากพบเราไปทำไม

     

    ผมถอนหายใจเมื่อได้ยินคำถาม ผมยังไม่ได้เล่าเรื่องนี้ให้ใครฟังนอกจากชานยอล ทั้งๆที่ผมน่าจะมีเวลาเตรียมตัวอีกซักนิดแต่กลับกลายเป็นว่าหัวหน้าอี้ฝานกลับถามผมก่อนเสียอย่างนั้น

     

                คือ...เธอบอกกับผมว่าเอสสั่งให้ผมออกจากสตาส เธอบอกว่าหน่วยของเราไม่ปลอดภัย

     

                หัวหน้าอี้ฝานทำหน้าครุ่นคิดเพียงครู่ก่อนจะพยักหน้าตอบรับ

     

                “งั้นเหรอ? น่าแปลกที่เขาไม่ซักถามมากไปกว่านี้ เหมือนกับว่าเขากำลังคิดอะไรบางอย่าง ตอนนั้นเองที่ฝนเริ่มลงเม็ดและมันทำให้หัวหน้าอี้ฝานกางร่มในมือซึ่งผมไม่ทันสังเกตด้วยซ้ำว่าเขาถือมันไว้ตั้งแต่แรก  มือแกร่งดึงให้ผมเข้าไปอยู่ใต้ร่มก่อนที่เขาจะเอ่ยคำถามที่ผมไม่อยากตอบมากที่สุดออกมา ตอนนี้เราพักอยู่ที่ไหนล่ะ?

     

                หัวหน้าอี้ฝานรู้เหมือนกับที่ทุกคนรู้ว่าผมถูกไนท์แมร์เล่นงานและไม่สามารถที่จะอยู่บ้านของตัวเองได้ แต่การที่เขาถามผมตรงๆแบบนี้มันก็ทำให้ผมรู้สึกอัดอัดใจไม่น้อย

     

                “บ้านเพื่อนครับ

     

                “เพื่อนเหรอ? เท่าที่พี่รู้เราไม่มีเพื่อนที่ไหนอีกนอกจากคิมจงอิน

     

                “…”

     

                “บอกพี่มาดีกว่าแบคฮยอน ว่าเราไปพักอยู่กับใคร

     

                ผมเกลียดน้ำเสียงจับผิดที่หัวหน้าอี้ฝานใช้กับผม ผมสบตากับเขาก่อนตอบอย่างหนักแน่น พยายามอย่างยิ่งที่จะไม่ส่อพิรุธ

     

                ผมอยู่กับเพื่อนจริงๆครับหัวหน้าเขาเลิกคิ้วขึ้นเหมือนกับรู้ว่าผมพูดโกหก แต่ผมแกล้งทำเป็นไม่สนใจและคิดว่าควรจะออกห่างจากเขาในตอนนี้ ถ้าหัวหน้าไม่มีอะไร ผมขอตัวนะครับ

     

                หมับ!

     

                เขาคว้าแขนผมไว้และแรงบีบของมันทำให้ผมต้องนิ่วหน้าด้วยความเจ็บ

               

    ปล่อยผมครับหัวหน้า

     

    ผมพยายามพูดด้วยความสุภาพแต่ดูเหมือนว่ามันจะไม่ได้ผล เมื่อหัวหน้าอี้ฝานเพิ่มแรงบีบขึ้นเรื่อยๆ เขาดูเหมือนคนที่กักเก็บความโกรธเอาไว้ และผมไม่รู้ด้วยซ้ำว่าเขาโกรธผมเรื่องอะไร

     

    ไปอยู่กับพี่แบคฮยอน เราก็รู้ว่าเราจะปลอดภัยถ้าอยู่กับพี่

     

    ผมไม่ไปอยู่กับใครทั้งนั้น แล้วก็ช่วยปล่อยผมด้วยครับผมเริ่มเสียงแข็งแต่หัวหน้าอี้ฝานไม่ได้สะทกสะท้านแม้แต่น้อย นั่นเองที่ทำให้ผมเริ่มแกะมือของเขาออกจากแขนของตัวเองแต่ก็ดูว่าจะไร้ประโยชน์

     

    เรารู้อะไรไหมแบคฮยอน?ผมไม่เคยเห็นหัวหน้าอี้ฝานเป็นแบบนี้มาก่อน แบบที่ข่มความเกรี้ยวกราดเอาไว้แต่ก็ยังฉายความน่ากลัวออกมาจากดวงตาคู่คมดังเหยี่ยวของเขา หมาป่ามันจะรักแค่คู่ของมันเท่านั้น และต่อให้มีใครมาแย่งคู่ของมันไป มันก็จะตามกลับมาแล้วก็ฆ่าคนที่มาแย่งของๆมันไปอย่างเลือดเย็น

     

    หัวหน้าพูดเรื่องอะไร! ปล่อยผม!”

     

                ผมโวยวายและออกแรงสะบัดจนร่มในมือของหัวหน้าอี้ฝานตกลงไปบนพื้น แรงบีบที่แขนเพิ่มขึ้นเรื่อยๆจนผมเจ็บเกินกว่าที่จะอยู่เฉย และเป็นตอนนั้นเองที่ผมใช้วิธีดังเช่นตอนที่เราเป็นคนรักกัน มันเป็นวิธีที่ทำให้โทสะของหัวหน้าอี้ฝานคลายลงเสมอ

     

                พี่อี้ฝานผมเจ็บ

     

                ได้ผล...

     

              หัวหน้าอี้ฝานปล่อยมือออก ผมเจ็บจนน้ำตาเล็ดแต่ก็ยังทำเป็นเข้มแข็งด้วยการมองเขาอย่างขุ่นเคือง ร่างกายของผมและหัวหน้าอี้ฝานเริ่มเปียกเพราะสายฝน ตอนนั้นเองที่เหมือนว่าเขาจะได้สติ หัวหน้าอี้ฝานมองมาที่ผมอย่างรู้สึกผิดก่อนจะจับแขนของผมไปดูอย่างอ่อนโยน และเป็นไปตามคาด มันช้ำแดงและขึ้นเป็นรอยมือ

     

                แบคฮยอน พี่ขอโทษ พี่ไม่ได้ตั้งใจจะทำให้เราเจ็บ พี่—

     

                ปัง!!!

     

                เสียงที่ดังกึกก้องเป็นตัวกระตุ้นให้เราผละออกจากกัน หัวหน้าอี้ฝานสบตากับผมและไม่ต้องมีใครเอ่ยอะไรออกมาด้วยหน้าที่และประสบการณ์เราต่างรู้ว่าเสียงที่ได้ยิน มันคือเสียงปืน

     

                เรื่องส่วนตัวถูกพับเก็บไปในทันทีหัวหน้าอี้ฝานนำผมวิ่งตากฝนไปหาต้นตอของเสียงปืนนั้นและไม่กี่อึดใจเราก็พบสาเหตุ

     

                เป็นสาเหตุที่ทำให้ใจของผมหล่นวูบเหมือนถูกเหวี่ยงลงมาจากตึกที่สูงที่สุดในโลก

     

    คิมจงอินอยู่ตรงนั้น สังเกตด้วยตาเปล่าไม่มีบาดแผลใดๆ แต่เขากำลังร้องไห้และมีผู้ชายใส่หน้ากากนอนจมกองเลือดอยู่บนตัก

     

    จงอิน!” ผมถลาเข้าไปหาเขา และทันทีที่เห็นหน้ากากของชายอีกคนอย่างชัดเจนผมก็เบิกตากง้างด้วยความตกใจ นี่มัน... ไนท์แมร์?

     

                อีกคนหนีไปทางนั้นครับหัวหน้าจงอินบอกหัวหน้าอี้ฝานด้วยน้ำตา ผมไม่เคยรู้มาก่อนเลยว่าตอนเพื่อนรักร้องไห้จะน่าสงสารถึงเพียงนี้ มันทำให้หัวใจของผมเจ็บปวดไปด้วย

     

                “ฝากทางนี้ด้วยนะแบคฮยอนหัวหน้าอี้ฝานบอกกับผมก่อนจะออกวิ่งไปตามทางที่จงอินบอก ผมกดเรียกรถพยาบาล บอกสถานที่อย่างละเอียดและทำได้แค่รอให้รถมาถึงเท่านั้น

     

                ช่วย...น้องกู

     

                จงอินสะอึกสะอื้นมันทำให้ผมรู้สึกอยากร้องไห้ตามทั้งๆที่ไม่รู้ด้วยซ้ำว่าจงอินร้องไห้ทำไม เลือดของไนท์แมร์คนนั้นไหลไปตามพื้น ผมไม่รู้ว่าทำไมเขาจึงถูกยิงแล้วจงอินถึงมาอยู่ตรงนี้แต่ดูเหมือนว่านั่นจะเป็นสิ่งที่ทำให้เพื่อนของผมกำลังเสียงใจ

     

                “มึงว่าอะไรนะ?

     

                น้องกู ช่วย...ช่วยแทมิน

     

                ผมไม่เข้าใจในสิ่งที่จงอินพูดแม้แต่น้อย แต่ในตอนนั้นเองที่ร่างสูงแสนคุ้นตาปรากฏตัวขึ้นท่ามกลางสายฝน มันเป็นเรื่องเหนือความคาดหมายที่ผมเห็นเขาอยู่ที่นี่

     

     

                ปาร์ค ชานยอล...ผู้ชายคนนั้นกำลังเดินเข้ามาหาเรา

     

                “ชานยอล...ผมเอ่ยเรียกเขาเสียงแผ่ว แต่ร่างสูงไม่สนใจ เขาเข้ามามาถอดหน้ากากไนท์แมร์คนนั้นออกโดยที่จงอินไม่โต้ตอบใดๆ อาจจะเป็นเพราะจงอินไม่ได้สนใจกับสิ่งรอบตัวนักนอกจากไนท์แมร์คนนั้น คนที่ทำให้เขาร้องไห้จนเหมือนไม่มีสติในตอนนี้

     

                ใบหน้ายามเมื่อไร้หน้ากากดูคุ้นเคยจนผมแทบไม่อยากเชื่อสายตาของตัวเอง ใบหน้าของไนท์แมร์คนนี้มันดูคล้ายกับคิมจงอินราวกับพี่น้อง

     

                พี่น้อง...อย่างนั้นเหรอ?

     

                ชานยอล นาย...

     

                “อย่าเพิ่งพูดอะไรตอนนี้ชานยอลสบตาผมเพื่อเป็นการบอกให้เงียบ เขาดูเคร่งเครียดและจริงจังจนผมต้องยอมเก็บทุกคำถาม คิ้วเข้มนั้นขมวดเข้าหากันเป็นปมแน่นและแววตาก็ไม่มีความล้อเล่นแม้แต่นิดเดียว

     

    ชานยอลใช้นิ้วชี้และนิ้วกลางแตะไปที่ชีพจรของคนบนตักของคิมจงอินก่อนที่เขาจะถอดแจคเกตออกมาคลุมร่างคนเจ็บเอาไว้และพยายามมองหาที่กำบังฝน

     

                ชีพจรอ่อนเกินไป ฉันจะพาเขาไปหลบฝนก่อนแล้วก็จะห้ามเลือดให้เขาเอง ส่วนนายดูเพื่อนนายเอาไว้จนกว่ารถพยาบาลจะมา ตอนนี้เขาคงเสียใจจนไม่ค่อยได้สติเท่าไหร่

     

    ชานยอลทำตามที่เขาว่าจนกระทั่งเขาพาคนเจ็บไปแล้ว แต่จงอินก็ยังคงนั่งอยู่ในท่าเดิม มันเป็นครั้งแรกที่ผมได้เห็นน้ำตาจากเขาผู้ที่แสนร่าเริง

     

    จงอิน...มึงไปหลบฝนกับกูก่อนนะ มีอะไรไปคุยกับกูนะผมพยายามปลอบเขาทั้งๆที่ยังไม่มั่นใจนักว่าเขาเสียใจเรื่องอะไร แต่การที่ผมได้เห็นใบหน้าของไนท์แมร์คนนั้นแล้วผมก็ได้แต่ภาวนาขอให้สิ่งที่ผมคิดมันไม่ใช่ความจริง

     

                น้องกู...น้องกูเป็นไนท์แมร์แบคฮยอน

     

                แต่สิ่งที่ผมภาวนาไว้มันไม่เคยเป็นดังที่ปรารถนา...แม้ซักครั้งเดียว

     

    จงอินโถมเข้ามากอดผมแน่นเหมือนต้องการจะถ่ายทอดความเสียใจมาให้ ผมกอดเขากลับและเริ่มร้องไห้ตามเพื่อนรักออกมา เราร้องไห้จนสายฝนที่ตกกระหน่ำดูเป็นเพียงแค่หยดน้ำเมื่อเทียบกับน้ำตาจากเราทั้งสอง

     

                มันเป็นจริงดังคำกล่าวที่ว่า คนที่ร่าเริงมักดูน่าสงสารเสมอยามเมื่อเขาร้องไห้ คิมจงอินทำให้ผมเข้าใจประโยคนั้นถึงแก่นแท้ เขาร้องไห้ราวกับจะขาดใจซึ่งมันทำให้ผมร้องตามออกมาด้วย ใบหน้าของเราต่างเต็มไปด้วยน้ำฝนและน้ำตา มันผสมปนเปกันจนแทบแยกไม่ออก

     

                แทมินรับกระสุนแทนกู แบคฮยอน แทมินรับกระสุนแทนกู มึงได้ยินไหมแบคฮยอน น้องกู...ฮึก น้องกู...

     

              เขาสะอึกอื้นเล่าเรื่องราวจนผมต้องกอดเขาแน่นขึ้นไปอีก อีแทมินน้องชายของเขาที่ผมเคยได้ยินผ่านคำบอกเล่าของจงอินเท่านั้น ไม่น่าเชื่อว่าเราจะมีการพบกันที่แสนเลวร้ายเช่นนี้

     

                ดูเหมือนว่าฝนที่ตกในวันนี้จะช่วยตอกย้ำความเจ็บปวดของผมและคิมจงอินได้ดีเหลือเกิน

     

     


     

    TBC

    ก่อนอื่นเราขอแจ้งว่าถ้าเราอัพลงกี่เปอร์เซ็นต์ก็มาอ่านกันเถอะนะ เพราะแต่ละตอนยาวมากๆๆๆๆๆๆๆ อ่านร้อยเปอร์ทีเดียวเดี๋ยวอ้วก

    ส่วนใหญ่คงมีคำตอบให้กับตัวเองแล้วว่าเอสคือใคร แต่ถ้าไม่อยากเดาก็รอเราเฉลยนะ เหมือนคนนึงเม้นว่าขี้เกียจคิดรอเฉลยดีกว่า น่ารักมาก5555555 

    นี่ตอนที่ 14 ซึ่งหมายความว่ามันครึ่งเรื่องแล้ว (จุดบั้งไฟฉลอง)  ส่วนตอนหน้ามีปืน เกมส์ มีดและเลือด อ่ะงง งั้นก็รออ่านนะ อย่าทิ้งเราไป 55555555555555555555 ตั้งแต่ตอนนี้ไปมันคือของจริง ไม่มีการปราณีหัวใจใครแล้วนะ

    ขอบคุณทุกการสนับสนุนนะคะ ไม่ว่าจะเป็นการคอมเม้น หรือติดแท็ก #ficsee2b เราเห็นทั้งหมด เราทำได้แค่ขอบคุณแล้วก็ขอบคุณ แต่จริงๆพูดคำอื่นก็ได้ ตัวอย่างเช่น มีใครให้ยืมซักห้าร้อยมั้ย55555555555555555555555555555555555555555555 ล้อเล่

    Up : 08/06/2015 (60%) 13/06/2015 (100%)

     

    © themy  butter
    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×