ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    [exo] See through B's trick (chanbaek)

    ลำดับตอนที่ #2 : - CH 1 : hi -

    • เนื้อหาตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 4.84K
      55
      13 เม.ย. 59

     

    chapter 01

     


     

    เรื่องตลกร้ายในชีวิตผม คือการที่ใครบางคนที่ผมพร้อมจะโดดรับลูกปืนแทนเขา

    กลับเป็นคนยิงผมซะเอง
    .....

     

            โถ่เว้ย !!”

     

            อู๋ อี้ฝานตะโกนด้วยความหัวเสียเมื่อเป้าหมายที่ติดตามมาร่วมสิบนาทีหายไปจากสายตา มาร์เซราติที่เขานั่งอยู่ดูจะไร้ความหมายเมื่อมันไม่สามารถไล่ทันดูคาติสีดำคันนั้นได้

     

             ดูคาติของผู้ชายอันตรายคนนั้นปาร์คชานยอล

     

            “เป้าหมายหายไปจากการติดตามแต่ยังคงมุ่งหน้าไปตามเส้นทางที่วางแผนไว้ ขอให้ทุกคนเตรียมตัวให้พร้อม ระวังตัวกันด้วย!”

     

           อี้ฝานกรอกเสียงผ่านบลูทูธที่เหน็บไว้บนใบหูเพื่อสั่งการกับคนอื่นๆภายในทีม จงอินที่ทำหน้าที่ขับรถก็มีสีหน้าเคร่งเครียดไม่ต่างกัน ทุกคนต่างร้อนใจเพียงแค่ได้รู้ว่าเป้าหมายหายไป แม้ชานยอลจะยังคงอยู่ในเส้นทางที่วางแผนเอาไว้ แต่โอกาสพลาดก็ยังคงมีอยู่

     

                สายลับของพวกไนท์แมร์อย่างปาร์คชานยอลขี่ดูคาติหลบหนีได้อย่างเชี่ยวชาญราวกับรู้เส้นทางของที่นี่เป็นอย่างดี เขามีฝีมือมากกว่าที่อี้ฝานประเมินไว้ กิตติศัพท์ของชานยอลว่าร้ายกาจเพียงใดก็ไม่อาจเทียบเท่าตัวตนที่แท้จริง

     

              [ บีรายงาน ! พบพิกัดของเป้าหมายแล้ว ผมกับวายจะทำการติดตามภายในสิบวินาที!]

     

                เหมือนแสงสว่างในถ้ำมืดเมื่อเจ้าหน้าที่เลือดร้อนอย่างบยอนแบคฮยอนรายงานความคืบหน้ามาให้รับรู้ อี้ฝานกลืนน้ำลายอึกใหญ่ก่อนจะทำการตอบรับ “ติดตามอย่าให้คลาดสายตา ผมจะไปรอยังปลายทางตามแผน รักษาตัวกันด้วย!!”

     

                [รับทราบ!!]

     

                สิ้นเสียงการขานรับ อี้ฝานก็ถอนหายใจอย่างเหนื่อยอ่อน ดวงตาคมดังเหยี่ยวของเขาเต็มไปด้วยความมุ่งมั่นแต่ก็ยังฉายแววความหนักใจ จงอินที่ยังคงขับรถไปตามท้องถนนหันมามองคนเป็นหัวหน้าเพียงชั่วครู่แต่ก็ไม่ได้เอ่ยอะไรออกมา

     

                เพียงแค่หัวหน้าของทีมนึกไปถึงคนตัวเล็กที่ได้ยินเสียงไปเมื่อครู่นี้ ความอึดอัดก็ถาโถมเข้ามาเล่นงานหัวใจของเขา มันไม่ใช่ความอึดอัดในเชิงที่ทำให้ลำบากใจ แต่มันเป็นความอึดอัดที่ต้องแสดงออกสวนทางกับความรู้สึกเสียมากกว่า

     

                เขาไม่อยากให้แบคฮยอนทำภารกิจนี้เลย

     

                เขาบอกเจ้าหน้าที่ตัวเล็กว่าอะไรกันนะรักษาตัวด้วยอย่างนั้นเหรอ?  มันก็เป็นคำที่เหมาะสมกับสถานะหัวหน้ากับลูกทีมแล้วนี่

     

                ใช่ มันถูกต้องแล้วที่เขาพูดไปแบบนั้น

     

                แต่ใครเล่าจะรู้ได้ว่าภายในใจของอี้ฝานกลับมีเพียงประโยคเดียวที่อยากพูดออกไปมากที่สุดในเวลานี้

     

                พี่เป็นห่วงเรานะ แบคฮยอน

     

                แต่เขาก็ทำได้เพียงแค่คิด

     

     

                บรื้นนนนนนน

     

                ผมขี่ CBR สีน้ำเงินคู่ใจด้วยความเร็วสูง ถ้าถามว่าผมรู้สึกตื่นเต้นมากแค่ไหน ขอให้เสียงหัวใจที่คงดังพอๆกับเสียงของเครื่องยนต์และมือที่ชื้นเหงื่อเป็นคำตอบ มันเป็นความรู้สึกที่ตื่นเต้นและท้าทายยิ่งกว่าภารกิจใดๆที่เคยทำมา 

     

               แน่ล่ะ ในเมื่อตอนนี้ผมกำลังตามจับวายร้ายของชาติอยู่นี่

     

                เบื้องหน้าของผมคือปาร์คชานยอลที่ยังคงพุ่งทะยานไปพร้อมๆกับดูคาติสีดำ ฮโยยอนเพื่อนร่วมทีมที่ขี่ CBR ไล่ตามมาด้วยกันหายไปจากสายตาเสียแล้ว ผมเดาว่าเธอน่าจะคลาดกับผมเมื่อสี่แยกก่อน

     

                แต่ตอนนี้สิ่งที่ผมควรสนใจมากที่สุดก็คือชานยอล เป้าหมายมาอยู่ตรงหน้าแล้วแต่ทำไมผมถึงไล่ตามไม่ทันสักที

     

                ผมไม่แน่ใจว่าหมอนั่นขี่รถหรือเหาะกันแน่ถึงได้ไวอย่างนี้ ช้าๆหน่อยสิโว้ยยย!!! แต่เอาเถอะ ผมมันก็พวกตีนผีพอตัว เราคงต้องมาลองกันสักตั้ง!

     

                เสียงเครื่องยนต์ที่ดังแข่งกันชวนให้ปวดแก้วหูแต่สายตาของผมมองแค่เป้าหมายเท่านั้น หมวกกันน็อคแบบเต็มใบที่ชานยอลสวมใส่ดูคล้ายคลึงกับของผมมาก แม้กระทั่งแจ็คเก็ตหนัง กางเกงยีนส์สีดำและรองเท้าผ้าใบของเราก็ยังคล้ายกันจนแทบแยกไม่ออก หากคุณไม่รู้ว่าผมกับเขาไม่รู้จักกันมาก่อน คุณอาจจะคิดว่าเราเป็นฝาแฝดกันก็ได้ให้ตายเถอะ!

     

                “เป้าหมายอยู่ห่างจากสะพานราวๆหนึ่งกิโลเมตร ทุกคนเตรียมอาวุธให้พร้อมได้เลย” ผมรายงานทุกคนในทีมอีกครั้งด้วยบลูทูธที่เหน็บไว้บนใบหู

     

                ชานยอลเร่งเครื่องหนี ผมรีบบิดคันเร่งตาม เขาเว้นช่วงทิ้งห่างผมไปได้แต่ยังไม่หายไปจากสายตา เขามุ่งหน้าไปยังเส้นทางที่จะตรงไปสู่สะพานข้ามแม่น้ำ ซึ่งที่นั่นพวกเราได้วางกำลังสกัดจับไว้แล้ว หากชานยอลขี่ไปถึงสะพานนั้น ทุกอย่างก็จะเป็นไปตามแผนอย่างง่ายดาย

     

                กว่าผมจะรู้ตัวว่าเรื่องมันไม่ง่ายขนาดนั้นก็ตอนที่ชานยอลเลี้ยวหายเข้าไปในตรอกเล็กๆแทนที่จะขับตรงไปยังสะพาน

     

                “บ้าเอ๊ย!!” ผมสบถด้วยความหัวเสีย ทำไมมันไม่ได้อย่างใจเลยวะ! “เป้าหมายออกนอกเส้นทางแต่ผมติดตามไว้ได้ ตอนนี้กำลังมุ่งหน้าไปทางทิศใต้!”

     

                 [เราจะส่งกำลังเสริมไปช่วย ส่งพิกัดมาแบคฮยอน]

     

                “กว่าพวกคุณจะมาผมคิดว่าคงไม่ทันการ ผมจะทำการจับกุมด้วยตัวเอง ไม่ต้องเป็นห่วง

     

              [แบคฮยอนนายคิดจะทำบ้าอะไร?!! แบคฮยอนแบคฮยอน!]

     

                ผมตัดบทสนทนาโดยไม่สนใจเสียงหัวหน้าอี้ฝานที่ยังคงตะโกนลั่น คุณอาจจะคิดว่าผมผลีผลามและอวดเก่ง ใช่ ผมรู้ว่าผมเป็นแบบนั้น แต่บางเรื่องมันก็ดีกว่าถ้าเราจะทำด้วยตัวคนเดียว

     

                ผมเร่งเครื่องตามชานยอลเข้าไปในตรอกแต่กลับพบว่ามันเป็นทางตัน ผมจอดรถช้าๆ ถอดหมวกกันน็อคที่ปกปิดใบหน้าออกก่อนจะกวาดสายตามองไปรอบๆ ที่นี่เป็นตรอกเล็กๆและมีแต่ตึกทรุดโทรม ซึ่งดูจากสภาพแล้วคงไม่มีคนอาศัยอยู่เป็นแน่

     

                ผมเห็นดูคาติสีดำจอดนิ่งอยู่ตรงท้ายตรอกแต่กลับไร้เงาเจ้าของ ผมเดาว่าชานยอลคงเข้าไปซ่อนอยู่ในตึกร้างสักตึก

     

               เพล้ง!!

     

                เสียงขวดแก้วแตกกระจายบนพื้นเรียกให้ผมหันไปมอง มันดังออกมาจากตึกที่อยู่ข้างหลังผมนี่เอง

     

                ไม่รอช้า สองขาก็พาผมวิ่งเข้ามาข้างใน บรรยากาศอึมครึมที่เป็นสัญญาณเตือนก่อนฝนตกทำให้ภายในตัวตึกดูเก่าและทึบแสงกว่าที่ผมคาดเดาไว้

     

                วังเวง

     

                บรรยากาศแบบนี้มันหนังสยองขวัญสุดๆ ให้ตายสิ นอกจากเสียงฟ้าร้องแล้วก็มีผีอีกอย่างที่ผมกลัวจนแทบบ้า

     

                ผมก้าวขาไปข้างหน้าช้าๆพร้อมกับดึงปืนออกจากซองที่เหน็บไว้ตรงต้นขาอย่างเบามือ แม้จะพยายามเดินให้เกิดเสียงน้อยที่สุดแล้วก็ตาม แต่น้ำที่ขังจนชื้นแฉะอยู่บนพื้นกลับทำให้เกิดเสียงสะท้อนเมื่อผมทิ้งน้ำหนักเท้าลงไป

     

                ข้างล่างนี่ไม่ปรากฏสิ่งมีชีวิตผมจึงต้องจำใจเดินขึ้นไปชั้นสอง ข้างล่างว่าวังเวงแล้วแต่ข้างบนหลอนกว่าเป็นสองเท่า ผมกระชับปืนในมือเล็งไปยังข้างหน้าอย่างมาดมั่น อะไรโผล่มาตอนนี้พ่อได้ยิงไส้แตกแน่

     

                ผมเดินสำรวจจนทั่วแต่กลับไม่พบชานยอลหรือแม้แต่หมาสักตัว บางทีเขาอาจจะไม่ได้ซ่อนอยู่ในตึกนี้และผมต้องรีบออกไปให้เร็วที่สุดเพื่อค้นตัวเขาให้พบก่อนที่เขาจะหนีไปได้

     

                แต่ยังไม่ทันที่จะก้าวขาเพื่อออกจากห้อง สัญชาตญาณก็สั่งให้ผมหันไปมองทางด้านหลัง

     

                !!

     

               “เห้ยย!!” ผมร้องได้เท่านี้เมื่อขายาวของใครบางคนเตะข้อมือของผมจนปืนกระเด็นหล่นไปบนพื้น ผมเงยหน้ามองเขาอย่างตกใจและตอนนั้นเองที่หัวใจของผมถึงกับเต้นผิดจังหวะ

     

                เขาที่เป็นคนอันตราย

     

                เขาที่ไม่ได้เป็นเพียงแค่ภาพถ่ายอย่างที่ผมเคยเห็น

     

                เขาที่ชื่อว่าปาร์คชานยอล

     

                ในวินาทีที่ดวงตาเรียวเล็กของผมสบเข้ากับดวงตาสีน้ำตาลของเขา ความรู้สึกหนึ่งก็ถาโถมเข้ามาจนทำให้ผมปั่นป่วน 

     

              เหมือนกับว่าเราเคยเจอกันมาก่อน ณ ที่ใดสักแห่งบนโลกใบนี้

     

                ผมตั้งสติก่อนจะกระโดดถีบไปที่ยอดอกของเขา ชานยอลเซถอยหลังแต่เพียงชัวครู่เขาก็กลับมาตั้งหลักได้และมองผมด้วยสายตาเรียบเฉย เขาปัดรอยเท้าของผมบนหน้าอกตัวเองก่อนจะยกยิ้มกวนประสาท ผมวาดหมัดออกไปหวังชกให้เขาล้มลง แต่ชานยอลเร็วกว่า เขาเอี้ยวตัวหลบหมัดผมได้และยกขายาวๆข้างหนึ่งถีบหน้าอกผมอย่างแรงเป็นการเอาคืน

     

              ผลั่ก!!

     

              แผ่นหลังของผมกระแทกเข้ากับผนังจนรู้สึกชา ผมตั้งหลักอีกครั้งและพุ่งเข้าหาชานยอลก่อนจะวาดขาเตะไปที่ซี่โครงของเขา แต่ท่อนแขนแข็งแกร่งกลับปัดขาของผมออกและหมัดหนักๆก็ซัดลงมาบนใบหน้าหลายครั้งจนผมเบลอไปชั่วขณะ

     

            “อั่ก…!”

     

             ชานยอลไม่ให้โอกาสผมตั้งตัวเป็นครั้งที่สอง แรงเตะที่ส่งเข้ามาที่ท้องทำเอาผมจุกจนตัวงอ ทุกอย่างเกิดขึ้นภายในไม่กี่วินาทีเมื่อชานยอลพุ่งตัวเข้ามาหา แผลที่มุมปากจากหมัดของเขาทำให้ผมเบ้หน้าด้วยความเจ็บประกอบกับหายใจไม่ออกเพราะท่อนแขนที่เขาใช้ล็อคคอผมไว้ แผ่นหลังเล็กๆของผมกระทบกับแผ่นอกกว้างของชานยอล ร่างกายของเราใกล้ชิดจนแทบแนบสนิทกัน

     

                 ผมพยายามจะใช้ข้อศอกกระทุ้งไปที่หน้าท้องของชานยอลแต่เขากลับรู้ทัน

     

               “อ๊ากกก!!” ผมร้องลั่นเมื่อความเจ็บปวดเข้าเล่นงาน เขาบิดแขนข้างนั้นอย่างแรงจนผมน้ำตาคลอ เสียงแค่นหัวเราะของชานยอลเหมือนตัวกระตุ้นให้เส้นประสาทของผมปวดหนึบ ผมรับรู้ได้ทันทีว่าตอนนี้ผมตกเป็นรองเขาเสียแล้ว

     

                ทั้งขนาดร่างกาย ชั้นเชิง ฝีมือหรือแม้กระทั่งตอนนี้ที่ริมฝีปากของเขาลากผ่านต้นคอของผมก่อนจะส่งเสียงกระซิบชิดใบหู

     

                เสียงทุ้มต่ำของเขาเล่นเอาผมขนลุกซู่ แต่นั่นไม่เท่ากับประโยคที่เขาตั้งใจพูดราวกับสนุกที่ได้แกล้งกัน

     

                ตัวนายหอมดีนะ

     

                แบคฮยอนได้แต่ยืนนิ่งหลังจากคำพูดที่ทำให้เกิดไฟฟ้าอ่อนๆช็อตไปทั่วร่างจบลง ตัวหอมงั้นเหรอเขาไม่เข้าใจว่าคนตัวสูงที่แสนอันตรายคนนี้ต้องการจะสื่ออะไร มันต้องเป็นเรื่องบ้าไปแล้วแน่ๆที่เขาใจกระตุกเพียงแค่ได้ยินประโยคไม่ชัดเจนจากชานยอล

     

                ไม่มีใครทำให้แบคฮยอนต้องตั้งสติหลายครั้งภายในวันเดียวได้เท่าชานยอลอีกแล้ว ทั้งๆที่คนตัวเล็กเคยฝึกร่างกายมาเป็นเวลานาน เคยบู๊แหลกกับภารกิจอื่นๆมาก็เยอะ แต่ทำไมครั้งนี้เขาถึงสู้ชานยอลไม่ได้

     

                “ปล่อยฉัน” แบคฮยอนกัดฟันพูดช้าๆแต่ไม่มีทีท่าว่าชานยอลจะคลายวงแขนออกเลยสักนิด

     

                “…”

     

                “ปล่อยสิวะ!”

     

                “พูดไม่เพราะเลยนะคุณเจ้าหน้าที่” อีกครั้งที่เสียงทุ้มทำให้แบคฮยอนชะงัก แต่เพียงชั่วครู่ร่างเล็กก็เริ่มแผลงฤทธิ์ออกแรงดิ้นจนชานยอลต้องออกแรงมากขึ้น จากล็อคคอก็ดูเหมือนจะกลายเป็นการกอดไปเสียแล้ว

     

                “ฉันคิดว่าการมอบตัวคือทางเลือกเดียวของนายนะชานยอล” แบคฮยอนหยุดดิ้นและเปลี่ยนเป็นใช้น้ำเย็นเข้าลูบ แม้ตอนนี้สภาพของเขาจะดูไม่จืดเลยก็ตาม

     

                “มอบตัวงั้นเหรอสภาพอย่างนายน่ะเหรอที่จะมาจับฉัน หืม?”

     

                “…”

     

                “ไว้เราค่อยมาเล่นไล่จับกันใหม่ก็แล้วกัน

     

                สิ้นเสียง ชานยอลก็ผลักคนตัวเล็กออกจากอ้อมแขนจนแบคฮยอนไถลไปกับพื้น กว่าจะตั้งหลักได้ชานยอลก็พาร่างของตัวเองไปนั่งอยู่บนหน้าต่างบานใหญ่เสียแล้ว ร่างสูงหันกลับมามองแบคฮยอนอีกครั้งและครั้งนี้เองที่ทำให้เขาอมยิ้มเจ้าเล่ห์

     

                ดวงตาเรียวรี ริมฝีปากได้รูปที่เขาฝากรอยแผลเอาไว้ แม้ใบหน้าจะมีรอยฟกช้ำแต่แก้มยุ้ยๆสองข้างนั่นก็ยังคงชัดเจน ไหนจะหางตาตกๆที่ทำให้นึกถึงสัตว์ตัวเล็กๆสักตัว อาจจะเป็นลูกหมาตัวน้อยล่ะมั้ง เครื่องหน้าที่ประกอบกันเป็นแบคฮยอน ทำให้ชานยอลเข้าใจคำว่าจิ้มลิ้มได้โดยไม่ยาก

     

                ใช่ จิ้มลิ้ม

     

                 คำๆนี้คงเหมาะกับแบคฮยอนที่สุดแล้ว

     

                “ถ้าเราได้เจอกันอีกครั้ง หวังว่าเราจะมีโอกาสคุยกันมากกว่านี้นะ คุณเจ้าหน้าที่

     

                ฟุ่บ

     

                ไม่ทันที่แบคฮยอนจะได้โต้ตอบ ร่างสูงโปร่งก็กระโดดลงจากหน้าต่างชั้นสองไปแล้ว แบคฮยอนวิ่งมาเกาะขอบหน้าต่างด้วยความตกใจก่อนจะพบว่าเบื้องล่างคือแม่น้ำที่ติดกับด้านหลังของตึกร้าง เพียงไม่กี่วินาที ชานยอลก็โผล่ขึ้นมาเหนือน้ำเพื่อหายใจแล้วว่ายน้ำไปยังเจ็ทสกีที่จอดนิ่งอยู่ไม่ไกล

     

                เสียงสตาร์ทเครื่องยนต์ทำให้แบคฮยอนกลืนน้ำลาย ชานยอลเงยหน้ามองคนตัวเล็ก โบกมือให้อย่างคนขี้แกล้งก่อนจะขับเจ็ทสกีไกลออกไปจากสายตา

     

                บ้าเอ๊ยยยย!!” แบคฮยอนเตะกำแพงอย่างแรงด้วยความโมโหที่เสียรู้ให้กับเป้าหมาย

     

                ปาร์คชานยอลหายไปแล้ว

     

    ...เหลือทิ้งไว้เพียงความเจ็บปวดที่อยู่บนร่างกายของบยอนแบคฮยอนเพียงเท่านั้น

     


    …...

     

     

                หน่วยกลยุทธ์พิเศษและเจ้าหน้าที่สืบราชการลับ (The Special Tactics And Secret agent Unit : S.T.A.S.)

     

                เกือบชั่วโมงแล้วที่หัวหน้าอี้ฝานถูกคุณคิมเข้าเรียกพบ คุณคิมคือคนที่มีอำนาจมากที่สุดใน หน่วยสตาส’ ของเรา หากให้เปรียบเป็นตำแหน่งก็คงจะคล้ายกับผู้กำกับของตำรวจ

     

                เหตุผลหลักๆที่คุณคิมจะเรียกพวกเราเข้าพบมีเพียงสามข้อ คือเมื่อมีภารกิจใหม่มอบหมายให้ทำ เมื่อเราทำภารกิจสำเร็จและเมื่อเราทำภารกิจล้มเหลว

     

                แน่นอนว่ากรณีของพวกเราอยู่ในข้อสุดท้าย

     

                ชานยอลมีฝีมือมากกว่าที่ประเมินไว้ เขาฉลาด เป็นนักวางแผนและเอาตัวรอดเก่ง

     

                ผมนึกถึงดวงตาสีน้ำตาลอันแสนเจ้าเล่ห์คู่นั้น เหมือนเขาอ่านแผนการของเราออกทั้งหมด จากที่ผมเห็นเจ็ทสกีที่เขาเตรียมไว้ก็ทำให้ผมเข้าใจว่าชานยอลได้มีแผนของเขามาเช่นกัน และเป็นแผนที่เหนือกว่าพวกเรามากนัก

     

               เขาเพียงแค่หลอกล่อให้พวกเราตายใจว่าจะจับเขาได้ แต่ท้ายที่สุดแล้วเขาก็กลายเป็นผู้ชนะ

     

                เขาร้ายกาจนี่คือสิ่งที่ผมต้องจดจำเกี่ยวกับชานยอลอีกหนึ่งข้อ

     

                “มึงโอเคเปล่าวะ?” จงอินเดินเข้ามาหาผม เรายังไม่ได้คุยกันแม้แต่คำเดียวตั้งแต่กลับมา ทุกคนต่างรู้ว่าผมคือคนเดียวที่ได้ปะทะกับชานยอล

     

                แหงล่ะ แผลบนหน้าผมที่เขาฝากไว้ฟ้องให้เห็นอยู่ทนโท่

     

                “กูโอเค แต่ตอนนี้กูอยากรู้ว่าคุณคิมจะพูดอะไรกับหัวหน้าอี้ฝานวะ

     

                “ก็คงโดนด่า โดนสั่งโอนภารกิจให้ทีมอื่นทำแทนหรือถ้าหนักเข้าหน่อยก็โดนสั่งพักงานทั้งทีม” คำตอบของจงอินเล่นเอาผมแทบอยากฟาดเท้าใส่ปากมัน ห่านี่แม่ง พูดจาเป็นมงคลบ้างไม่ได้รึไงวะ!

     

                “หลบไปดิ๊!!...แบคฮยอน ฉันขอโทษนะที่ช่วยอะไรนายไม่ได้ บางทีถ้าเราไม่คลาดกันคงจับชานยอลได้ไปแล้ว

     

                ฮโยยอนดันจงอินให้พ้นทางก่อนจะแทรกตัวเข้ามา เธอพูดด้วยความรู้สึกผิดแต่ผมว่ามันไม่ใช่ความผิดเธอหรอก ผมจึงส่ายหน้าน้อยๆเพื่อไม่ให้เธอคิดมาก “ไม่ใช่ความผิดเธอหรอกน่า เราทุกคนก็ทำเต็มที่แล้วนี่

     

                “ใช่ๆ เจ๊อย่าคิดมากดิ ตีนกาจะขึ้นรอบหน้าละเนี่ย

     

                “ไอ้จงอิน!!”

     

                ฮโยยอนหันไปฟาดไหล่จงอินแรงๆจนเขาต้องยกมือขึ้นมาบังตัวเองให้วุ่นวายไปหมด สองคนนี้ทะเลาะกันเป็นปกติ ถ้าเป็นเวลาอื่นผมคงขำกับท่าทางตลกๆเหล่านั้นไปแล้ว ในตอนนั้นเองที่เสียงทุ้มของใครบางคนทำให้พวกเราชะงัก

     

                “ได้ข่าวว่าทีมเอทำงานพลาดงั้นเหรอว้าๆๆๆ เสียงกวนประสาทที่ทำให้ผมคันเท้ายิบๆไม่ใช่ของใครนอกจาก โอเซฮุน ยักษ์ใหญ่ประจำทีมบีที่มาพร้อมกับตัวจ้อยอย่าง โดคยองซู

     

                “…”

     

               “ถ้ารู้ตัวว่าทำไม่ได้ ทำไมไม่ให้ทีมอื่นทำซะตั้งแต่แรก

     

                “…”  เซฮุนยังคงพล่ามไปเรื่อยๆคนเดียวโดยที่คยองซูทำเพียงแค่เหลือกตามองเขาและทำหน้าเบื่อโลกเต็มทีโดยไม่ได้ทำตัวเป็นลูกคู่รับมุกของเซฮุนเลย

     

                นี่มันมาด้วยกันเปล่าวะเนี่ย

     

                “สงสัยคราวนี้ทีมเอคงจะต้องโดนพักงานซะหน่อยละม้างงง” เซฮุนยืนล้วงกระเป๋ากางเกงพูดด้วยใบหน้าที่คงคิดว่ากวนประสาทพวกผมได้ และคงต้องขอแสดงความยินดีด้วย เพราะหน้าเขาตอนนี้แม่งโคตรกวนตีนเลยให้ตาย!

     

                “เชิญกลับทีมของนายไปซะเซฮุน อย่าเอาหมาในปากมาปล่อยแถวนี้

     

                ลู่หาน หนึ่งในทีมของผมที่นั่งเงียบอยู่นานเอ่ยด้วยน้ำเสียงเรียบนิ่ง เขาเป็นคนพูดน้อย แต่ขอโทษเถอะ ถ้าเอ่ยปากแต่ละครั้งก็แสบทรวงอย่างที่คุณเห็น พูดน้อยแต่ต่อยซี่โครงแตกนะคุณ

     

                “โว้ๆๆๆ ลู่หาน ปากคอเราะร้ายนะนายน่ะ

     

                “ถ้านายยังไม่ไปจากตรงนี้ภายในห้าวิ ฉันจะตามหัวหน้าทีมบีมาลากนายไปซะ” หัวหน้าทีมบีที่ลู่หานว่านั้นหมายถึงจาง อี้ชิง ผมขอไม่พูดถึงมากนักเพราะผมไม่รู้อะไรเกี่ยวกับหัวหน้าทีมบีเลยนอกจากเขาเป็นคนจีน

     

                “นี่นายขู่ฉันเหรอ?”

     

                “1”

     

               “คิดว่าคนอย่างโอเซฮุนจะกลัวรึไง?”

     

               “2”

     

              “เฮ้ลู่หาน…”

     

                “3” ผมไม่รู้ว่าเซฮุนกลัวลู่หานไหมแต่ผมเห็นว่าเขากำลังเหงื่อแตก

     

                “…”

     

                “4”

     

                “เออๆๆไปก็ได้วะไอ้พวกไก่อ่อน!!” เซฮุนว่าเสียงดังก่อนจะกระฟัดกระเฟียดเดินออกไป คยองซูชูนิ้วโป้งให้เราอย่างขี้เล่น เดาว่าเขาก็คงถูกใจที่ลู่หานเอาชนะเซฮุนได้

     

                สาบานเถอะว่าพวกเขามาจากทีมเดียวกัน

     

                “ประสาท” จงอินบ่นเหมือนตาแก่ทันทีที่สองคนนั้นเดินไปจนลับตา “กวนตีนได้ทุกวี่ทุกวัน มันน่าอัดให้ล้ม

     

                ผมกำลังจะด่ามันว่าทีเมื่อกี๊ไม่เห็นเก่งแบบนี้แต่ก็ต้องเป็นอันชะงักไปเมื่อเห็นหัวหน้าอี้ฝานเดินออกมาจากห้องของคุณคิมแล้ว

     

                สีหน้าเขาดูเคร่งเครียดแต่ถึงกระนั้นก็ยังดูดี พวกผมรีบเดินเข้าไปหาเขาแล้วใช้สายตาเป็นคำถาม หัวหน้าอี้ฝานถอนหายใจอย่างเหนื่อยล้า เขามองหน้าพวกผมทีละคนก่อนจะเอ่ยปากพูดช้าๆ

     

                “หมดหน้าที่ของพวกคุณแล้ว กลับบ้านไปพักผ่อนเถอะ

     

                “หมายความว่ายังไงครับหัวหน้า แล้วเรื่องชานยอลล่ะ?” อีจินกิ ละล่ำละลักถาม หมอนี่เป็นคนที่ตื่นตูมที่สุดในทีม แม้คนอื่นๆจะตกใจไม่ต่างกันแต่เขามักเป็นคนแรกที่พูดออกมาเสมอ

     

                “ลืมเรื่องของชานยอลแล้วกลับไปพักผ่อนซะ นี่คือคำสั่ง

     

                “แต่ภารกิจของเรายังไม่สำเร็จเลยนะคะหัวหน้า อีกอย่างเราก็ควรวางแผนเพื่อเตรียมตัวในขั้นต่อๆไปไม่ใช่เหรอ?” น้ำเสียงของฮโยยอนเต็มไปด้วยความไม่เข้าใจ แต่ไม่ใช่แค่เธอคนเดียวหรอกที่มีความรู้สึกนั้น พวกเราทุกคนต่างก็ไม่เข้าใจเช่นกัน

     

                “ผมบอกให้พวกคุณกลับไปซะ

     

               หัวหน้าอี้ฝานบอกพวกเราอย่างไม่สบอารมณ์และทำท่าจะเดินฝ่าวงล้อมของพวกเราไป ในวินาทีนั้นเองที่ผมส่งมือของตัวเองไปคว้าข้อมือของเขาไว้

     

                “แต่ผมต้องการคำอธิบาย” วูบหนึ่งที่ผมเห็นดวงตาของหัวหน้าอี้ฝานสั่นไหวเมื่อมองไปยังมือของผมที่สัมผัสกับร่างกายของเขา ผมปล่อยข้อมือนั้นให้เป็นอิสระและพยายามไม่สนใจสายตาคู่นั้นที่ส่งความรู้สึกประหลาดมาให้

     

               หัวหน้าอี้ฝานมองใบหน้าของผมนิ่ง เขาทำท่าเหมือนจะเอื้อมมือมาจับบาดแผลแต่ผมเบือนหน้าหนี นั่นทำให้เขารู้สึกตัวและกระแอมไอแก้เก้อสองสามที เขาจ้องตาผมนิ่งในระหว่างที่พูด น้ำเสียงของเขาเหมือนอะไรสักอย่างที่ซึมเข้าสู่โสตประสาทช้าๆ

     

                “ผมไม่มีคำอธิบาย

     

                “…”

     

               “แต่เรื่องของทีมเราและภารกิจที่เกี่ยวข้องกับชานยอลมันจบลงแล้ว

     

                “…”

     

               “เลิกพูดถึงเรื่องนี้ซะ

     

     

              บ้า!! 

     

             ผมว่าเรื่องนี้มันโคตรบ้า!!

     

                หัวหน้าอี้ฝานไม่อธิบายอะไรให้พวกเราฟังจริงๆและนั่นทำให้ผมหงุดหงิด โมโห บันดาลโทสะ จะใช้คำไหนก็ช่างเหอะ แต่ผมอารมณ์ไม่ดีที่ภารกิจนี้มันจบง่ายเกินไป

     

                ผมอยากจะตะโกนคำว่าแม่งเอ๊ยยยยยยใส่หน้าหัวหน้าอี้ฝานดังๆแต่ก็ทำได้แค่คิด

     

                ผมกลับมาบ้านปล่อยเวลาให้ผ่านไปอย่างไร้ประโยชน์ รู้สึกตัวอีกทีก็มืดเสียแล้ว กว่าจะทำภารกิจส่วนตัวเสร็จเวลาก็ล่วงเลยมาจนห้าทุ่ม

     

                บ้าเอ๊ย!!” ไม่รู้ว่าวันนี้ผมพูดคำนี้ไปกี่รอบแล้ว รอยแผลที่ชานยอลฝากไว้ตามร่างกายเริ่มระบมจนช้ำ ยิ่งแผลที่มุมปากกับโหนกแก้มนี่โคตรเจ็บเลยให้ตาย หมอนั่นหมัดหนักโคตรๆ คงใช้เวลาหลายวันกว่ารอยแผลจะหาย ผมทำแผลให้ตัวเองเงียบๆและไม่รู้ว่าเป็นเพราะความเงียบหรือเปล่าที่ทำให้ผมนึกถึงชานยอลขึ้นมา

     

              ‘ถ้าเราได้เจอกันอีกครั้ง ฉันหวังว่าเราจะมีเวลาคุยกันมากกว่านี้นะ คุณเจ้าหน้าที่

     

                เสียงทุ้มต่ำของเขาฝังลึกอยู่ในโสตประสาท ถ้าเราได้เจอกันอีกครั้งผมจะกระโดดถีบเอาคืนให้สะใจไปเลยคอยดู!

     

                ตัวนายหอมดีนะ

     

                ผมก้มตัวดมตามเสื้อผ้าที่สวมใส่หรือแม้แต่รักแร้แต่ก็ไม่เห็นว่าจะมีกลิ่นหอมบ้าบออย่างที่ชานยอลว่า บางทีหมอนั่นอาจจะแค่คนปากว่างที่ชอบพูดจาเลอะเทอะ

     

                “…”

     

                แล้วผมจะไปใส่ใจทำไมวะเนี่ย!!

     

                ผมเก็บกล่องยาลวกๆแล้วเตรียมตัวเข้านอน ท้องฟ้าที่อึมครึมมาทั้งวันเริ่มปล่อยเม็ดฝนลงมา จากหยดเล็กๆก็กลายมาเป็นสายฝนที่ตกกระหน่ำพร้อมกับแสงแปลบปลาบน่ากลัว

     

                ผมได้แต่ภาวนาขอให้ค่ำคืนนี้ไม่มีเสียงฟ้าร้อง

     

                เปรี้ยง!!

     

                แต่เหมือนกับว่าพระเจ้าจะไม่เคยฟังคำร้องขอของผมเลยแม้สักครั้งเดียว

     

                ผมนอนขดตัวอยู่บนเตียง หัวใจเต้นรัวเร็วด้วยความกลัว หลับตาปี๋และพยายามไม่ฟังเสียงฟ้าคำรามนั่น แต่ทุกครั้งที่ฟ้าร้องหัวใจของผมก็ยิ่งเต้นไม่เป็นจังหวะ ผมรีบคลำไปที่คอเพื่อกำสร้อยรูปกุญแจอันเป็นที่พึ่งเดียวในการฝ่าความกลัวครั้งนี้ไป

     

                แต่ลำคอของผมกลับว่างเปล่า

     

                ผมเบิกตากว้างอย่างตกใจแต่ก็ต้องกลับมาหลับตาปี๋เหมือนเดิมเมื่อฟ้าส่งเสียงร้องอีกครั้ง สร้อยของผมหายไปแล้ว ผมไม่รู้ว่ามันหายไปตอนไหน หัวสมองของผมว่างเปล่า คิดอะไรไม่ออกในตอนนี้

     

                ภาพของพ่อและแม่เข้าเล่นงานผมอีกครั้ง เสียงหวีดร้อง เสียงมีดคมที่แทงทะลุผิวเนื้อ ภาพเลือดที่สาดกระเซ็น ทุกอย่างดูชัดเจนยิ่งกว่าครั้งไหนๆในยามที่ผมไร้ที่พึ่งเช่นนี้

     

                เปรี้ยง!!

     

                และคืนนี้คือค่ำคืนที่ผมฝันร้ายที่สุดในชีวิต

     

     

     

    TBC.

    ปล้น ! นี่คือการหยุด มีให้หมดส่งมาเท่าไหร่

    คอมเม้นท์หรือติดแท็ก#ficsee2b เป็นกำลังใจได้น้า
    @BlackQ238

    up : 19/09/2014

     

               

     

               

     

               

     

     

     

    © themy  butter
    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×