คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #21 : - CH 16 : worth -
Every cloud has a silver lining
ทุกเรื่องร้ายๆมักมีเรื่องดีๆแฝงไว้เสมอ
.
.
.
.
หวงจื่อเทาเคยให้ผมอ่านหนังสือเล่มหนึ่ง
ผมจำได้ว่าวันนั้นเป็นวันเกิดครบสิบห้าปีของเขา เราฉลองกันเงียบๆที่บ้านของผมเอง เสื้อฮู้ดสีน้ำเงินคือของขวัญที่ผมซื้อให้เด็กแสบ เขายิ้มรับด้วยท่าทางดี๊ด๊าหลังจากนั้นก็ยื่นหนังสือหน้าปกเรียบๆมาให้ผม
"The Interpretation of Dreams" คือชื่อของหนังสือเล่มนั้น ถึงแม้ว่าเทาจะไฮเปอร์หรือมีความเป็นเด็กในตัวมากแค่ไหนแต่เขาก็มีเรื่องที่ผมคาดไม่ถึงเสมอ การให้หนังสือเล่มนี้ก็เช่นกัน ผมไม่คิดว่าเด็กสิบห้าอย่างเขาจะสนใจหนังสือชวนปวดหัวที่เกี่ยวกับทฤษฎีความฝัน ตอนผมอายุสิบห้าผมยังตระเวนอ่านกัชเบลกับวันพีซอยู่เลย อ้อใช่ ชินจังก็ด้วย
“ผมรู้ว่าพี่ฝันร้ายบ่อยๆใช่มั้ยล่ะ? ความจริงมันช่วยอะไรพี่ไม่ได้หรอก แต่มันอาจทำให้พี่เข้าใจตัวเองมากขึ้นก็ได้นะ”
เด็กแสบบอกผมไว้แบบนั้นซึ่งผมก็ทำเพียงแค่อมยิ้มแล้วรับหนังสือนั่นมาไว้ในมือ ฝันร้ายที่เทาพูดถึงก็คือเรื่องพ่อกับแม่ของผม มันไม่แปลกอะไรเลยที่เทาจะรู้เรื่องโรคและอดีตของผมในเมื่อเรารู้จักกันมากว่าสิบปีแล้ว
“ความจริงผมไม่ค่อยเชื่อไอ้พวกขี้โม้ในหนังสือนี่หรอก ผมก็แค่ต้องอ่านเพื่อประดับสมองอ่ะ โคตรเซ็งเลย อ่านแล้วเครียด”
“อ่านแล้วเครียดเลยเอามาให้พี่อ่านเนี่ยนะ?”
“เห้ย ไม่ใช่ดิ! ที่ผมให้พี่เพราะผมคิดว่ามันน่าจะมีประโยชน์กับพี่ต่างหากเล่า”
ผมผลักหัวน้องชายจอมแถแรงๆด้วยความหมั่นไส้ หลังจากนั้นเราก็ไม่ได้พูดถึงประเด็นนี้อีกและเปลี่ยนไปเป็นการเป่าเค้กแทน
“ผมอยากดู The Divide อ่ะ” เทาบอกผมเบาๆเมื่อเค้กในจานหมดเกลี้ยงไม่เหลือแม้แต่ผลสตรอเบอร์รี่ที่ประดับหน้าเค้ก
“วันเกิดทั้งทีจะทำแค่กินแล้วก็ดูหนังรึไง?”
เทาพยักหน้าเป็นการตอบคำถาม ผมจึงยอมตามใจเจ้าของวันเกิดด้วยการเก็บจานไปไว้ที่ซิงค์แล้วเดินไปเปิด The Divide อย่างที่น้องชายต้องการ
ทันทีที่ทิ้งตัวลงบนโซฟา หัวไหล่ของผมก็ถูกจับจองด้วยศีรษะของจื่อเทา ไหนจะแขนยาวๆที่เกี่ยวรอบตัวผมอีก แต่ผมก็ไม่ได้ว่าอะไรนอกจากสนใจกับสิ่งที่ฉายในโทรทัศน์
The Divide เป็นเรื่องราวของเมืองที่ถูกโจมตีด้วยขีปนาวุธ ทำให้กลุ่มคนบางส่วนหนีไปใช้ชีวิตอยู่ในห้องใต้ดิน พวกเขาต้องปิดประตูอย่างแน่นหนาเพื่อกันไม่ให้กัมมันตรังสีเล็ดรอดเข้ามา การใช้ชีวิตในช่วงแรกๆถือได้ว่าไม่แย่นัก เพราะมีอาหารและมีที่ให้หลับนอนถึงแม้ว่าห้องน้ำจะดูโสโครกมากก็ตาม
“พี่แบคฮยอนดูดิ แม่งอย่างน่าเกลียดอ่ะ”
เทากระซิบบอกผมเมื่อถึงฉากที่ตัวละครในเรื่องต้องทำการแยกชิ้นส่วนศพที่เริ่มเน่าเพื่อทิ้งลงชักโครก ศพนี้เป็นศพของ...อืม ผมไม่รู้ว่าจะเรียกเขาว่าอะไรดี อาจจะเป็นทหารล่ะมั้ง ทหารคนนี้บุกรุกห้องใต้ดินพร้อมกับพรรคพวกอีกหลายคน แน่นอนว่ามันต้องเกิดการต่อสู้ ตัวละครหลักได้ฆ่าทหารไปสองนายและแน่นอนว่าเมื่อเวลาผ่านไปศพก็ย่อมเน่าเหม็นตามธรรมชาติ การฆ่าทหารทำให้ได้ชุดกันกัมมันตรังสีที่เขาใส่มาแต่ต้องแลกกับการที่ประตูถูกปิดตายเพราะทหารที่รอดกลับออกไปนั้นทำการเชื่อมเหล็กจนไม่สามารถเปิดประตูได้อีก
ผมขำน้อยๆให้กับความเป็นเด็กของจื่อเทาก่อนจะลูบหัวเขาด้วยความเอ็นดู
“น่าเกลียดอะไรล่ะ ปกติพี่ก็เห็นเราดูแต่หนังแบบนี้ไม่ใช่รึไง?”
ผมว่าก่อนจะหันมาสนใจกับเนื้อเรื่องที่ดำเนินไปเรื่อยๆจนกระทั่งถึงตอนที่เหลือตัวละครเพียงแค่ห้าคน ประกอบไปด้วย อีวา แซมชายผู้เป็นคนรักของเธอ มิกกี้ผู้ซึ่งเป็นเจ้าของห้องใต้ดินห้องนี้และบ๊อบบี้กับจอร์ชผู้ชายเสียสติสองคน อันที่จริงแล้วผมไม่แน่ใจว่าเขาสองคนเสียสติหรือเป็นผลข้างเคียงของความสิ้นหวังกันแน่ เพราะตอนที่พวกเขาใช้ชีวิตอยู่ด้วยกันในตอนแรก ทุกคนล้วนเข้มแข็งและดูเป็นผู้เป็นคนมากกว่านี้ แต่ในตอนนี้เขาทั้งสองกลับทำตัวเอาแต่ใจและทำให้คนอื่นเดือดร้อน
อย่างที่คุณรู้ ว่าความสิ้นหวังมันเหมือนบาดแผลสาหัสที่ส่งผลร้ายแรงต่อความรู้สึก มันเปลี่ยนคนๆหนึ่งให้กลายเป็นอีกคน และสิ่งที่น่ากลัวก็คือความสิ้นหวังนี้มันยากเกินกว่าที่จะเยียวยา
“หดหู่ว่ะพี่” ผมไม่ได้ตอบอะไรกลับไปแต่ปล่อยให้เทาเกาะแขนผมไว้แถมยังเนียนเอาหน้ามาซุกคอผมอีก ด้วยเหตุนั้นผมจึงโบกหัวเทาไปสุดแรงจนเด็กกะล่อนร้องซี้ดด้วยความเจ็บ
เรื่องราวในหนังบีบคั้นจนผมไม่ได้สนใจเทาที่บ่นงุ้งงิ้งอยู่ข้างหู อีวาตัดสินใจใช้ฝาของอาหารกระป๋องปาดคอบ๊อบบี้จนปืนในมือของเขาร่วงลงพื้น เธอหยิบปืนนั้นยิงไปที่จอร์ชคนที่ทำให้เกิดปัญหามากที่สุดเพื่อจบเรื่องซะ แต่เรื่องมันเลวร้ายตรงที่ก่อนจอร์ชจะตาย เขาหยิบตะเกียงซึ่งมีไฟจุดอยู่ทุ่มลงใส่พื้นที่มีน้ำมันจนไฟลุก
ในขณะที่แซมกับมิกกี้พยายามช่วยกันดับไฟ อีวากลับหนีไปในห้องซึ่งเก็บชุดกันกัมมันตรังสีของทหารที่พวกเขาเคยฆ่าเอาไว้ เมื่อไฟลามจนยากที่จะดับได้ มิกกี้กับแซมจึงพยายามวิ่งไปยังห้องเดียวกับอีวาแต่เธอได้ล็อคประตูห้องและพยายามใส่ชุดกันรังสีโดยไม่สนใจอีกสองชีวิตข้างนอกที่พยายามร้องเรียกให้เธอเปิดประตู อีวาโกยอาหารกระป๋องลงถุงใบใหญ่หลังจากนั้นก็กระโดดลงในบ่ออุจจาระที่เชื่อมต่อไปยังข้างนอกได้และทิ้งไว้เพียงแค่ผู้ชายสองคนที่กำลังจะถูกไฟคลอกตาย
มันสะเทือนใจผมตรงที่อีวารู้ทางออกจากห้องปิดตายนี้ได้เพราะมิกกี้เคยบอกเธอเอาไว้ ทั้งๆที่เขาบอกเธอ แต่เธอกลับทิ้งเขาให้ตายอย่างนี้น่ะหรือ...
“ใจมนุษย์น่ากลัวยิ่งกว่าสัตว์อีกอ่ะพี่...” ผมจำได้ดีว่าเทาพูดประโยคนี้พร้อมกับจ้องไปที่โทรทัศน์ เดาว่าเขาคงช็อคน่าดูที่อีวา คนที่เราคิดว่าเป็นนางเอกมาโดยตลอดกลับกลายเป็นคนเห็นแก่ตัวถึงเพียงนี้
แต่มันก็เป็นสัจธรรมของมนุษย์...
ความเห็นแก่ตัวนั้นหยั่งรากอยู่ในนิสัยของเราเหมือนกับว่ามันคืออวัยวะชิ้นหนึ่งของร่างกาย บางคนอาจมีมาก บางคนอาจมีน้อย แต่เราไม่อาจปฏิเสธได้ว่าเรานั้นไม่มี
“อย่างนี้แหละเทา คนเราก็ต้องคิดถึงตัวเองก่อนเป็นเรื่องธรรมดา”
“…”
“บางทีเรื่องที่เราคิดว่าทำเพื่อคนอื่น นั่นอาจจะเป็นแค่ข้ออ้างของการทำเพื่อตัวเองก็ได้นะ”
เทาเงียบไปพร้อมๆกับที่หนังจบลงและฉายไว้เพียงแค่ตัวอักษรภาษาอังกฤษแสดงเครดิต เขาหยิบรีโมทมาปิดโทรทัศน์ก่อนจะหันมายิ้มร่าเป็นเด็กกวนประสาทใส่ผมอีกครั้ง
“สนุกดีเนอะพี่ โคตรหักมุมเลย”
น้องชายของผมยิ้มทะเล้นแต่ผมกลับยิ้มไม่ค่อยออกเพราะเนื้อหาของหนังยังคงติดตรึงอยู่ในใจ
แม่ง จื่อเทามันให้ผมดูหนังแบบนี้ในวันเกิดเหรอวะ ผมหดหู่นะเว้ย!
ผมพยักหน้ารับคำของเทาเพราะผมคิดว่าหนังเรื่องนี้หักมุมและมีจุดสะเทือนใจที่เล่นกับความรู้สึกของคนดูได้อย่างดีเยี่ยม
แต่ในตอนนั้น ผมไม่ได้เอะใจเลยซักนิดว่าชีวิตจริงนั้นเล่นกับความรู้สึกของผมมากกว่านิยายหรือภาพยนตร์เรื่องไหนๆเสียอีก
เมื่อเสร็จสิ้นงานฉลองเล็กๆ เทาก็ต้องรีบกลับบ้านเพราะถูกพ่อเรียกตัว ผมรู้ว่าการเป็นลูกของตำรวจยศสูงสำหรับเทาไม่ใช่เรื่องง่าย ตัวผมเองรู้จักกับพ่อของเขาแค่เพียงผิวเผิน พ่อของเทารู้ว่าผมเป็นใคร มีความสัมพันธ์กับลูกชายของเขายังไงแต่เราก็ไม่เคยที่จะถามไถ่เพื่อเพิ่มความสนิทสนม
หลังจากอาบน้ำและทิ้งตัวลงบนเตียง "The Interpretation of Dreams" ก็ถูกผมหยิบขึ้นมาอ่าน
ผมไม่อยากเชื่อจริงๆว่าเทาจะอ่านหนังสือแบบนี้
เนื้อความของหนังสือพูดถึงทฤษฎีความฝันซึ่งเป็นความเชื่อของซิกมันด์ ฟรอยด์ เขากล่าวว่าความฝันคือการแสดงออกของจิตใต้สำนึก เป็นสัญลักษณ์ของความต้องการที่ถูกเก็บซ่อนไว้ เป็นสิ่งต้องห้ามและเป็นปมบางอย่างในใจของผู้ฝัน
แต่คาร์ล กุลสตาฟ จุง เชื่อว่าความฝันคือสิ่งที่เข้ามาเติมเต็มส่วนที่ขาดหายไปในชีวิตเพื่อสร้างความสมดุลในจิตใจ ในขณะที่แอดเลอร์เชื่อว่าความฝันเป็นเรื่องราวของความรู้สึกและอารมณ์ที่ต่อเนื่องมาจากช่วงกลางวัน มากกว่าที่จะเป็นเรื่องของความปรารถนาในระดับจิตใต้สำนึกหรือการชดเชยสิ่งที่ขาดหาย
ตอนที่ผมอ่าน ผมคิดว่าเด็กแสบนั่นต้องการให้ผมซึมซับอะไรจากเรื่องน่าปวดหัวเหล่านี้กันแน่ ผมรู้หรอกน่าว่าที่ผมฝันร้ายเป็นเพราะปมในอดีต
ผมไม่รู้ว่าคำนิยามสำหรับความฝันที่แท้จริงนั้นคืออะไร แต่สำหรับผม ผมเชื่อว่าสิ่งที่อยู่ตรงหน้านี่ต่างหาก...คือความฝัน
“จะนอนแล้วเหรอลูก?”
ผู้หญิงในชุดนอนผ้าฝ้ายสีครีมที่เดินเข้ามาหาทำให้หนังสือในมือร่วงลงพื้นทั้งๆที่ยังอ่านได้ไม่ถึงสิบหน้าด้วยซ้ำ
“ทำไมถึงทำหน้าแบบนั้นล่ะ หือ?”
เธอนั่งลงบนเตียงข้างๆผมก่อนจะยกมือเรียวขึ้นมาลูบหัวของผมเบาๆ แค่สัมผัสเพียงแผ่วเบาจากผู้หญิงตรงหน้ากลับทำให้ผมรู้สึกสั่นไหวไปทั้งแผ่นอก ผบสบตากับเธอ ดวงตาที่เหมือนกับผมอย่างไม่มีผิดเพี้ยนคู่นั้นกำลังมองผมด้วยความรักใคร่ มันเป็นสิ่งที่ผมโหยหามาโดยตลอด ใบหน้าแบบนี้ น้ำเสียงแบบนี้ ทุกอย่างที่เกิดขึ้นทำให้ผมสับสนจนขอบตาร้อนผ่าว ผมไม่รู้ว่าเวลาผ่านไปนานเท่าไหร่กว่าที่ผมจะหาเสียงของตัวเองเจอและคำที่ผมไม่ได้พูดมานานแล้วก็เป็นสิ่งแรกที่ผมเอ่ยออกไป
“…แม่”
คำว่าแม่ถูกบัญญัติว่าเป็นคำศัพท์ที่สวยที่สุดของทุกๆภาษา แต่สำหรับผม ผมคิดว่าหาใช่คำศัพท์ที่สวยงาม แต่เป็นความรักของแม่ต่างหากที่งดงามยิ่งกว่าสิ่งใด
ผมโถมเข้ากอดแม่โดยไม่ได้คิดเลยว่าท่านจะเจ็บหรือเปล่า ผมกอดแม่แน่นเพราะกลัวว่าถ้าเพียงแค่กะพริบตาแล้วแม่ก็จะหายไป
“เป็นอะไรน่ะเรา ร้องไห้ทำไมฮึ?”
น้ำเสียงอ่อนโยนที่ผมแทบจำไม่ได้แล้วว่าเป็นยังไงยิ่งทำให้ผมร้องไห้หนักมากกว่าเดิม น้ำตาของผมหยดลงบนไหล่ของแม่จนเนื้อผ้าเปียกชุ่ม กระนั้นแม่ก็ไม่ได้ว่าอะไรนอกจากลูบแผ่นหลังของผมเพื่อเป็นการปลอบประโลม
“ผม...ผม...คิดถึงแม่”
“แม่ก็อยู่ตรงนี้แล้วไง ทำไมขี้แยล่ะวันนี้ ปกติเราไม่ร้องไห้ง่ายๆไม่ใช่เหรอ?”
ผมพยักหน้าลงกับไหล่ของแม่ทั้งๆที่ยังกอดท่านเอาไว้แน่น แม่พูดถูก ปกติผมไม่ใช่คนร้องไห้ง่ายๆแบบนี้ ถึงแม้ว่าจะมีเรื่องทุกข์ใจแต่การร้องไห้จะเป็นสิ่งสุดท้ายที่ผมจะทำ แต่คนที่อยู่ตรงหน้าในตอนนี้คือคนที่ผมไม่ได้พบมาเกือบยี่สิบปี ผมไม่ได้เจอแม่มานานขนาดนี้แล้วจะให้ผมทนเก็บน้ำตาไว้ได้ยังไง
ใช่ ผมไม่ได้เจอแม่มาเกือบยี่สิบปีเพราะท่านตายไปแล้ว
ท่านตายไปแล้ว...
ยิ่งถูกความจริงตอกย้ำมากเท่าไหร่ ผมก็ยิ่งร้องไห้หนักมากขึ้นเท่านั้น ผมรู้ว่านี่คือความฝัน อ้อมกอดอุ่นๆนี่ไม่ใช่ของจริง สัมผัสอ่อนโยนที่ลูบหัวผมอยู่ก็ไม่ใช่ของจริง ทุกอย่างไม่มีอะไรจับต้องได้ มันไม่มีอะไรจริงแม้แต่หยดน้ำตาที่ผมหลั่งในตอนนี้
ตอนนั้นเองที่ความคิดหนึ่งพุ่งเข้ามาในสมองราวกับการเคลื่อนที่ของดาวหาง
ถ้านี่คือความฝัน แล้วก่อนที่ผมจะฝันผมกำลังทำอะไรอยู่?
ดูหนังกับเทางั้นเหรอ? แต่นั่นมันเป็นเหตุการณ์ที่เคยเกิดขึ้นในชีวิตจริงซึ่งผ่านมานานแล้ว แม้ว่าผมจะจำรสชาติของเค้กที่กินในวันนั้นได้ว่ามันอร่อยมากแค่ไหน จำได้ถึงเรื่องราวต่างๆที่แลกเปลี่ยนกับน้องชายแล้วก็จำได้ว่าหนังสือทฤษฎีความฝันเล่มนี้ก็อยู่ในห้องนอนของผมเช่นกัน แต่ผมรับรู้ได้ว่าการดูหนังกับเทามันไม่ใช่ปัจจุบัน มันเป็นแค่ความทรงจำในสมองของผมก็เท่านั้น
ความสับสนรุนแรงเข้าเล่นงานจนผมเผลอขมวดคิ้วมุ่น ทำไมผมจึงฝันถึงแม่ แล้วก่อนหน้าที่ผมจะฝันแท้จริงแล้วผมกำลังทำอะไรอยู่
“เจ็บไหมลูก?” แม่ถามผมก่อนที่ผมจะค่อยๆผละออกจากอ้อมกอดเพื่อสบตากับท่าน ตอนนั้นเองที่แม่ยื่นมือมาลูบใบหน้าของผม ผบเบ้หน้าด้วยความเจ็บเพราะถูกลูบตรงรอยแผลที่โหนกแก้มพอดี
รอยแผลงั้นเหรอ? ทำไมผมถึงมีแผลอยู่บนใบหน้าล่ะ?
“แบคฮยอน เราเหนื่อยหรือเปล่า? แม่ไม่อยากเห็นลูกเจ็บตัวแบบนี้อีกแล้วนะ” ผมมองแม่อย่างไม่ค่อยเข้าใจนัก ความจริงแล้วผมไม่เข้าใจอะไรเลยด้วยซ้ำกับสิ่งที่เกิดขึ้นในเวลานี้
ผมเหนื่อยไหม?
เป็นคำถามที่ผมเคยถามตัวเองเช่นกัน ผมไม่แน่ใจว่าแม่หมายถึงเหนื่อยในเรื่องไหน แต่สำหรับผม ผมรู้สึกเหนื่อยกับสิ่งที่เป็นอยู่ ทั้งเรื่องหน้าที่หรือเรื่องความสัมพันธ์กับคนรอบตัวก็ตาม ผมไม่ได้คิดที่จะท้อแท้แต่ก็ปฏิเสธไม่ได้ว่าผมอ่อนแรง
“ถ้าเหนื่อย ไปอยู่กับแม่ไหมลูก?”
สมองของผมประมวลผลอย่างหนักหลังจากฟังคำถามของแม่ รอยยิ้มอ่อนโยนของแม่ทำให้ใจอันแสนว้าวุ่นของผมสงบลงอย่างน่าประหลาด ท่านเป็นคนที่ผมโหยหาและคิดถึงมากที่สุดในชีวิต ถ้าผมตัดสินใจไปอยู่กับท่าน ผมอาจจะไม่ต้องเหนื่อยอย่างที่เป็นอยู่ ภายในอ้อมแขนของแม่คือสถานที่ที่ทำให้ผมรู้สึกสบายใจและปลอดภัย การละทิ้งทุกอย่างแล้วไปอยู่กับแม่ก็คงเป็นสิ่งที่ดี
ถ้าผมจะเลือกไปอยู่กับแม่มันก็คงไม่เป็นอะไรหรอกใช่ไหม ในเมื่อตอนนี้ทุกสิ่งทุกอย่างมันก็เป็นเพียงแค่ความฝันนี่
“ว่าไงลูก ไปอยู่กับแม่ไหม?” แม่ถามย้ำเมื่อเห็นว่าผมเงียบไป ผมก้มมองมือของตัวเองที่จับอยู่กับมือเรียวของผู้หญิงที่ผมรัก ผมควรละทิ้งทุกอย่างแล้วไปอยู่กับเธอไหม? นั่นจะเป็นทางเลือกที่ดีที่สุดใช่หรือเปล่า?
ใช่ นั่นคือสิ่งที่ผมควรจะทำ ผมควรไปอยู่กับแม่ซะ
“ผม...”
“เห้ย ตื่นเว้ย! เดี๋ยวนี้หัดอู้งานเหรอวะ”
เสียงตะโกนและแรงเขย่าที่แขนทำให้ผมสะดุ้งสุดตัว ผมลืมตาขึ้นช้าๆก่อนจะพบว่าตัวเองนอนฟุบหน้าอยู่บนโต๊ะทำงานภายในหน่วย ผมสะบัดหัวไล่ความมึนงงสองสามทีก่อนจะมองไปรอบตัว มันเป็นภาพที่แสนคุ้นตานั่นคือโต๊ะทำงานของเจ้าหน้าที่แต่ละนายอย่างที่เคยเห็นในทุกๆวัน ไม่มีเตียงนอน ไม่มีหนังสือที่เทาให้ผม และแน่นอนว่าไม่มีแม่...
นี่ผมเผลอหลับในเวลางานเหรอเนี่ย ให้ตายเถอะ
“กูจะฟ้องหัวหน้าอี้ฝานว่ามึงแอบหลับ”
เสียงทุ้มที่เข้าสู่โสตประสาททำให้ผมขมวดคิ้ว ผมเงยหน้าเพื่อมองคนที่ยืนค้ำหัวผมเอาไว้ ตอนนั้นเองที่ผมต้องเบิกตากว้างด้วยความตกใจ
คิมจงอิน
ผมไม่รู้ว่าผมตกใจทำไมในเมื่อผมก็เห็นเพื่อนรักของผมเป็นปกติอยู่แล้ว แต่ไม่ ความรู้สึกของผมบอกว่ามีบางอย่างผิดแปลกไป
คล้ายว่าไม่ใช่เรื่องปกติที่จงอินจะมายืนอยู่ตรงนี้ ผมไม่รู้ว่าอะไรทำให้ผมรู้สึกแบบนั้นแต่การที่ผมได้พบกับเขามันทำให้ผมรู้สึกหน่วงไปทั้งใจ
ตอนนี้ผมกำลังตื่นหรือฝันอยู่กันแน่?
ตอนนั้นเองที่ผมหยิกหลังมือของตัวเองแรงๆแล้วก็ต้องร้องโอ๊ยดังลั่นเพราะความเจ็บ
นี่ผมไม่ได้ฝันอยู่งั้นหรือ?
“อ้าวๆๆๆ อย่าทำร้ายตัวเองประชดกูดิวะ” จงอินดึงมือของผมออก สัมผัสอุ่นตรงที่ฝ่ามือของเขาประทับลงมาทำให้ผมรู้ว่าผมไม่ได้ฝันไป ทุกอย่างที่เกิดขึ้นตรงหน้าคือเรื่องจริง นั่นคงเป็นสาเหตุที่ทำให้เพื่อนรักมองผมอย่างสงสัยว่าผมเป็นบ้าอะไรถึงมานั่งหยิกตัวเองแบบนี้
“กูหลับไปนานแค่ไหนวะ?”
“ก็นานพอที่กูจะแอบถ่ายมึงนอนน้ำลายยืดได้อ่ะ น่าเกลียดชิบหาย ฮ่าๆๆ” ผมลุกขึ้นยืนก่อนจะพุ่งเข้าไปหาจงอินเพื่อหวังโบกหัวมันซักทีที่กวนประสาทผมได้ตลอดเวลา จงอินเบี่ยงตัวหลบก่อนที่จะชูนิ้วชี้ขึ้นมาส่ายตรงหน้าผมด้วยท่าทีกวนส้นตีน
“ไม่ได้แดกพี่หรอกนะจ๊ะ”
เมื่อโบกหัวจงอินไม่ได้ ผมจึงรอทีเผลอแล้วเตะหน้าแข้งของจงอินเต็มแรง มันร้องดังลั่นก่อนที่จะใช้มือลูบขาของตัวเองแล้วกระโดดไปมาด้วยความเจ็บปวด
สมน้ำหน้า ให้มันเจ็บซะบ้าง ชอบกวนตีนผมดีนัก
“แล้วคนอื่นไปไหนกันหมดวะ?” ผมถามเมื่อสังเกตได้ว่าไม่มีเจ้าหน้าที่คนอื่นเลยนอกจากผมและจงอิน โต๊ะทุกตัวว่างเปล่ารวมทั้งตรงทางเดินก็ไร้แม้แต่เงาของสิ่งมีชีวิต
“คนอื่น...”
“จงอิน นายต้องไปแล้วนะ!”
เสียงเรียกที่ดังขึ้นขัดการตอบคำถามทำให้ผมหันไปมอง คิม ฮโยยอนยืนอยู่ตรงประตูพร้อมยิ้มให้ผม ผมขมวดคิ้วอย่างไม่เข้าใจนัก ทำไมเธอถึงมายืนอยู่ตรงนั้นในเมื่อเธอตายไปแล้วไม่ใช่หรือ?
ตอนนนั้นเองที่ความทรงจำสุดท้ายบอกกับผม มันร้องลั่นในสมองเหมือนกับระฆังในหอคอยเพื่อย้ำเตือนเรื่องราวที่เกิดขึ้น ย้ำเตือนให้ผมรู้...ว่าคิมจงอินก็ตายแล้วเหมือนกัน
“กูต้องไปแล้วว่ะ”
ความโศกเศร้าได้เข้ามาขโมยรอยยิ้มเมื่อครู่นี้ของเราให้หายไปในพริบตา ผมมองหน้าเพื่อนรักอย่างคนที่เข้าใจเรื่องทุกอย่างชัดเจนแล้ว คิมจงอินที่ยืนอยู่ตรงหน้าผมก็เป็นเพียงแค่ความฝัน รวมทั้งฮโยยอนเองก็ด้วย
“มึงไม่ไป...ไม่ได้เหรอวะ?” ผมถามอย่างที่รู้คำตอบดีอยู่แล้ว ตอนที่ทุกคนจะจากไปผมไม่มีโอกาสแม้แต่จะอ้อนวอนให้พวกเขาอยู่เลยด้วยซ้ำ ไม่มีโอกาสแม้กระทั่งการเอ่ยคำลา ตอนนี้เองก็เช่นกัน ถึงแม้ว่าผมจะพยายามรั้งพวกเขาไว้ แต่สิ่งที่เกิดขึ้นไปแล้วผมก็ไม่สามารถแก้ไขอะไรได้อีก “มึงจำสัญญาไม่ได้เหรอวะ มึงบอกกูว่าเราจะจับไนท์แมร์ด้วยกันแล้วทำไมมึงถึงจะทิ้งกูไปแบบนี้?”
“กูขอโทษ”
น้ำตาหนึ่งหยดไหลออกมาจากดวงตาคู่คมของจงอิน หลังจากนั้นมันก็ร่วงลงมาเป็นสายคล้ายกับพายุฝนรุนแรง เขาพยายามจะพูดแต่การสะอื้นก็ทำให้เขาไม่ได้ทำอย่างที่ตั้งใจ
เราสบตากัน อาจจะหนึ่งนาทีหรือน้อยกว่านั้น ผมรู้สึกว่าคิมจงอินห่างออกจากผมออกไปเรื่อยๆ เหมือนว่าสิ่งรอบตัวต่างพากันเคลื่อนไหวไปข้างหน้าแต่กลับมีแค่ผมที่หยุดนิ่งอยู่กับที่
ผมเคยสงสัยว่าตอนที่ทุกคนตาย พวกเขาจะเจ็บปวดหรือเปล่า พวกเขาจะทรมานมากไหมแล้วพวกเขาจะอาลัยอาวรณ์ต่อคนที่อยู่ข้างหลังหรือเปล่า
แต่ตอนนี้ผมได้คำตอบแล้ว
ว่าคนที่มีชีวิตอยู่ต่อ มันเจ็บปวดและทรมานยิ่งกว่าคนที่จากไปหลายเท่านัก
เฮือกกกก!!
ผมลืมตาโพลงก่อนจะต้องหรี่ตาลงอีกครั้งเพราะแสงไฟจากบนเพดาน สีขาวและกลิ่นของความสะอาดยังคงเป็นเอกลักษณ์ของโรงพยาบาลเสมอ นั่นเองที่ทำให้ผมค่อยๆตั้งสติแล้วพยายามคิดทบทวนเรื่องราวทั้งหมดแต่อาการปวดหัวก็เขาเล่นงานจนผมต้องยกมือขึ้นมากุมหัวเอาไว้
ผมพยายามจะขยับตัวแต่ความรู้สึกเจ็บแปลบที่ท้องก็ทำให้ผมต้องนอนนิ่งๆ เข็มของสายน้ำเกลือที่อยู่บนหลังมือทำให้ผมรู้ว่ามันคือต้นเหตุของความเจ็บที่ผมหยิกตัวเองในฝัน
วินาทีนั้นเองที่ผมเพิ่งตระหนักรู้ว่านี่ต่างหาก...คือของจริง
ภาพความทรงจำแล่นเข้ามาให้ผมเห็นเป็นฉากๆคล้ายกับวิดิโอที่ถูกฉายซ้ำในสมอง ทั้งเอส ไนท์แมร์ ปืน มีด คิมจงอินและเฮโรอีน ผมจำเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นได้ทั้งหมดและเป็นตอนนั้นเองที่ความรู้สึกแย่เกาะกินหัวใจของผมจนรู้สึกเกินกว่าที่จะรับมือไหว
คล้ายว่าบาดแผลและความเจ็บปวดจะเป็นสิ่งที่เด่นชัดมากที่สุดในเวลานี้ ชุดคนไข้ที่ผมสวมใส่ทำให้ผมรู้ว่าที่นี่คือโรงพยาบาลเดียวกันกับที่อีแทมินเข้ารับการผ่าตัดและคำถามที่เกิดตามมาก็ทำให้ผมขมวดคิ้วมุ่น
ใครเป็นคนพาผมมาที่นี่?
อาจจะเป็นเพราะอาการบาดเจ็บและสภาพจิตใจที่ไม่มั่นคงจึงทำให้สมองของผมประมวลผลอย่างเชื่องช้า ผมหันมองรอบกายแต่กลับไม่พบใครแม้กระทั่งหมอหรือนางพยาบาลซักคน
ผมเพิ่งเข้าใจในคำว่าโดดเดี่ยวก็วันนี้ การตื่นขึ้นมาด้วยความบอบช้ำทั้งร่างกายและจิตใจนับว่าเป็นเรื่องแย่แต่ก็ไม่อาจเทียบเท่ากับการที่ตื่นขึ้นมาแล้วไม่พบใครเลยซักคนเดียว
ตอนนั้นเองที่เสียงเปิดประตูดังขึ้น ผมรีบหลับตาลงเพื่อแสร้งทำเป็นหลับทั้งๆที่ไม่รู้ด้วยซ้ำว่าใครเป็นผู้เข้ามา ผมไม่เข้าใจตัวเองเหมือนกันว่าทำไมถึงต้องแกล้งทำเป็นหลับด้วย มันคงเป็นกลไกในการป้องกันตัวเองของร่างกายล่ะมั้งที่ทำให้ผมตัดสินใจทำแบบนี้
“ยังไม่ฟื้นอีกเหรอ...?”
เสียงทุ้มที่แสนคุ้นเคยทำให้ใจของผมกระตุกอย่างไม่อาจหาสาเหตุ แม้ว่าจะไม่ได้ลืมตาแต่ผมก็รับรู้ได้ว่าเจ้าของเสียงนี้เป็นใคร
หัวหน้าอี้ฝาน...
ประสาทหูทำงานหนักแทนประสาทตาเมื่อผมพยายามฟังสิ่งที่เกิดขึ้นรอบตัว เสียงฝีเท้าที่เดินมายังเตียงทำให้ผมรู้ว่าไม่ได้มีเพียงแค่หัวหน้าอี้ฝานที่เข้ามาหาผม อาจจะเป็นจงแดหรือไม่ก็ลู่หานล่ะมั้งที่ติดตามหัวหน้าอี้ฝานมาด้วย แต่ช่างเถอะ ผมไม่อยากลืมตาในตอนนี้เพื่อพูดคุยกับใคร ความเงียบทำให้ผมอึดอัดจนแทบทนไม่ไหวเพราะไม่มีบทสนทนาใดเกิดขึ้นอีก พวกเขายืนอยู่ข้างเตียงของผมเงียบๆจนกระทั่งเสียงฝีเท้าหลายคู่ค่อยๆดังไกลออกไปและตามมาด้วยเสียงปิดประตู
แรงทิ้งตัวบนเก้าอี้ข้างเตียงทำให้ผมรู้ว่าหัวหน้าอี้ฝานไม่ได้ออกไปเหมือนคนอื่นๆ เขาถอนหายใจออกมาจนลมอุ่นๆกระทบเข้ากับผิวแก้มของผม เสียงหายใจที่เกิดขึ้นทำให้ผมรู้ว่าหัวหน้าอี้ฝานคงจะหนักใจไม่น้อยที่ผมเจ็บตัวแบบนี้ เขาจับมือผมไปแนบแก้มอย่างเชื่องช้าและวินาทีต่อมาเขาก็เปลี่ยนเป็นจุมพิตลงมาบนหลังมือของผมแทน
ผมพยายามนอนนิ่งๆและไม่สนใจกับการแตะเนื้อต้องตัวจากหัวหน้าอี้ฝาน เขาหยัดกายขึ้นก่อนจะประทับจูบลงมาที่หน้าผากของผม ผมกลั้นหายใจไปขั่วขณะและได้แต่ภาวนาว่าเขาจะไม่รู้ว่าผมนั้นไม่ได้หลับ กระทั่งสัมผัสอุ่นเคลื่อนมาที่เปลือกตา จมูก สองข้างแก้มและหยุดลงตรงริมฝีปาก ตอนนั้นเองที่ผมตัดสินใจลืมตาขึ้นด้วยความไม่ชอบใจที่หัวหน้าอี้ฝานฉวยโอกาสในตอนที่ผมไม่ได้สติและผมต้องการที่จะต่อว่าเขาแรงๆให้รู้ว่าผมเกลียดการกระทำแบบนี้
แต่ทันทีที่เห็นเจ้าของจุมพิตอย่างแน่ชัด ผมก็เกิดความไม่แน่ใจอีกครั้งว่าผมฝันหรือตื่นอยู่กันแน่
เพราะคนตรงหน้าผมในตอนนี้ไม่ใช่หัวหน้าอี้ฝาน แต่เป็น...ชานยอล
“ตื่นแล้วเหรอ..?”
“…”
“มากอดเร็ว”
ผมแน่ใจว่าเสียงที่ผมได้ยินในตอนแรกเป็นเสียงของหัวหน้าอี้ฝาน แต่เหตุใดถึงกลายเป็นเขา…
ทั้งๆที่ผมคิดว่าจะไม่ร้องไห้ แต่เสียงทุ้มที่เป็นเอกลักษณ์ของคนตรงหน้ากลับทำให้ผมกลั้นน้ำตาไว้ไม่อยู่ ผมค่อยๆยันตัวขึ้นพร้อมกับที่ชานยอลรับผมเข้าไปในอ้อมแขน ผมกอดเอวเขาแน่นแล้วแนบใบหน้าลงกับหน้าท้องแกร่งเหมือนต้องการหาที่ยึดเหนี่ยว
“ชานยอล...ฮือออ”
ผมสะอื้นจนสั่นไปทั้งตัว คล้ายว่าเป็นการระเบิดของความรู้สึกที่อัดแน่นเพราะผมไม่อาจกักเก็บน้ำตาเอาไว้ได้ ผมไม่ได้ร้องไห้เพราะความเสียใจ แต่มันเป็นหลากหลายความรู้สึกที่ตีรวนอยู่ในอกของผม หนึ่งในนั้นมันมีความรู้สึกตื้นตันร่วมอยู่ด้วย
เหมือนผมได้ตื่นขึ้นมาเจอสิ่งที่ดีที่สุดในชีวิต เพราะผมได้ตื่นขึ้นมาเจอเขา
ผมได้ตื่นขึ้นมาเพื่อพบกับปาร์ค ชานยอล
แรงกอดและตัวที่สั่นระริกนั่นเองที่ทำให้ร่างสูงคิดว่าคนตัวเล็กคงกักเก็บความรู้สึกแย่ๆไว้คนเดียวมากเกินไป ชานยอลเลือกที่จะไม่พูดอะไรและทำเพียงแค่จูบกลุ่มผมนิ่มของแบคฮยอนซ้ำๆเพื่อให้คนตัวเล็กได้รู้ว่าเขาอยู่ตรงนี้
วินาทีที่น้ำตาของแบคฮยอนซึมเข้ากับเสื้อตรงแผ่นอกเป็นวินาทีที่ชานยอลได้รู้ว่าหัวใจของเขาไม่ได้มีไว้เพียงแค่ทำหน้าที่สูบฉีดเลือดเพียงอย่างเดียวเท่านั้น
แต่หัวใจของเขามีไว้...เพื่อรักแบคฮยอนด้วยเช่นกัน
“ร้องไห้ให้พอนะแบคฮยอน”
“ฮืออออออ”
“ฉันจะเป็นคนกอดนายไว้เอง”
50%
[จากคำให้การของนายจอง เซโฮ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ ซึ่งเป็นบิดาของผู้ต้องหาจอง อึนจี หนึ่งในสมาชิกไนท์แมร์ เผยว่าความสัมพันธ์ระหว่างครอบครัวและลูกสาวนั้นไม่ดีนัก รวมทั้งจอง อึนจียังมีบุคลิกชอบเก็บตัวและไม่มีเพื่อน ทางตำรวจคาดว่าชนวนที่ทำให้เด็กสาวตัดสินใจเป็นอาชญากร ก็คือการไร้สังคมและขาดการพูดคุยกับครอบครัว ซึ่งในขณะนี้การสอบสวนยังไม่มีความคืบหน้าเนื่องจากผู้ต้องหาไม่ให้การใดๆ แต่เธอยืนยันว่าจะรับผิดตามกฎหมายทั้งหมดโดยไม่มีข้อโต้แย้ง และที่ทุกคนเห็นอยู่เบื้องหน้าในขณะนี้คือสถานีตำรวจยางชอน ซึ่งเป็นที่ที่เราจะเข้าไปเกาะติดสถานการณ์กันค่ะ]
ท้องฟ้าสีส้มที่ปรากฏนอกหน้าต่างทำให้ผมรู้ว่าตอนนี้เป็นเวลาเย็น
ชานยอลบอกว่าผมหมดสติไปสองวันนั่นหมายความว่างานศพของจงอินคงจะถูกจัดขึ้นแล้ว โทรทัศน์ที่กำลังฉายข่าวของจอง
อึนจีถูกปิดลง พนันได้เลยว่าถ้าสตาสไม่ได้เก็บเรื่องของแทมินไว้เป็นความลับ
นักข่าวคงแห่มาที่นี่อย่างแน่นอน
คนตัวสูงที่เป็นผู้ปิดโทรทัศน์หันมายิ้มให้ผมน้อยๆ
นั่นเองที่ทำให้ผมยิ้มกลับไปให้อย่างอ่อนล้า
หลังจากที่ผมหยุดร้องไห้ชานยอลก็เรียกให้หมอเข้ามาดูอาการ
โชคดีที่ซี่โครงของผมไม่หักอย่างที่คิดแต่ก็ช้ำเอาเรื่อง ยอมรับว่าครั้งนี้ผมเจ็บหนักเอาการ
หน้าของผมเต็มไปด้วยแผล ไหนจะตามเนื้อตัวที่ขึ้นเป็นรอยช้ำเลือดช้ำหนอง ไม่อยากคิดเลยว่าถ้าป้านาบีหรือเทามาเห็นผมอยู่ในสภาพนี้ผมจะอธิบายกับพวกเขายังไงดี
ผมสบตากับชานยอลที่ไม่พูดอะไรซักคำเดียวตั้งแต่ที่หมอออกไป
เขาคงดูออกว่าสายตาของผมเต็มไปด้วยคำถาม
กระนั้นชานยอลก็ไม่ได้เปิดประเด็นเพื่อคลายความสงสัย เขาเดินมานั่งลงที่เก้าอี้ข้างเตียง
แม้ไม่มีใครบอกแต่ผมก็รู้ว่าชานยอลคงนอนเฝ้าผมในคืนนี้
“หนาวไหม?”
ผมส่ายหัวช้าๆโดยไม่ละสายตาออกจากใบหน้าได้รูป
ความอุ่นใจแล่นไปทั่วทั้งร่างเพียงแค่ผมได้เห็นหน้าชานยอล แต่ถึงอย่างนั้นผมก็ยังคงคาดไม่ถึงจริงๆว่าเขาจะอยู่ที่นี่
เขาคงรู้เรื่องทุกอย่างแล้วว่าเกิดอะไรขึ้นกับผมบ้าง
แต่ผมก็ยังไม่เข้าใจว่าทำไมชานยอลถึงอยู่กับผมทั้งๆที่โรงพยาบาลนี้แทมินเองก็พักฟื้นอยู่ด้วย
นั่นหมายความว่าจะต้องมีเจ้าหน้าที่สตาสและตำรวจเข้าออกเกือบตลอดเวลา แม้ว่าจะสงสัยแต่ผมก็เลือกที่จะไม่ถามและทำทุกอย่างให้เป็นปกติ
“เจ็บหรือเปล่า?” ชานยอลแตะลงมาบนแก้มของผมผะแผ่ว
ผมจับกระแสของความเป็นห่วงในน้ำเสียงของเขาได้ ยิ่งได้เห็นแววตาที่เขาใช้มองผมก็ทำให้รู้สึกผิดขึ้นมาอย่างห้ามไม่อยู่
ผมส่ายหัวแทนคำตอบแต่เขาคงไม่เชื่อผมหรอก แผลขนาดนี้ผมจะไม่เจ็บได้ยังไง
ชานยอลกุมมือผมเอาไว้ก่อนจะคลึงหลังมือเบาๆคล้ายการปลอบประโลม
“แบคฮยอน”
เพียงแค่การเรียกชื่อก็ทำให้ผมตื่นเต้น
ผมหวังว่าชานยอลจะบอกในสิ่งที่ผมอยากรู้
เป็นอีกครั้งที่เขาจ้องลึกเข้ามาในดวงตาของผม
ผมเห็นไอ้ตี๋คนหนึ่งที่หน้าเต็มไปด้วยแผลแถมโหนกแก้มยังปูดอย่างน่าเกลียดสะท้อนอยู่ในดวงตาสีน้ำตาลของเขา
และเป็นครั้งแรกที่ผมเพิ่งรู้ว่าตัวเองดูไม่จืดขนาดนี้
“ทำไมนายถึงไปคนเดียว?”
“…”
ความเงียบกระจายไปทั่วทั้งห้องหลังสิ้นคำถาม
มันผิดจากที่ผมคาดเอาไว้ ชานยอลไม่ได้เอ่ยปากเพื่อคลายความสงสัย กลับกัน
เขาต่างหากที่เป็นฝ่ายต้องการคำตอบ และผมรู้ว่า ‘ไปคนเดียว’ ที่เขาพูดนั้นหมายถึงไปที่ไหน
“นายจะบ่นคนเจ็บอย่างฉันรึไง”
ผมสูดจมูกแล้วทำเป็นเมินกับสายตากังวลคู่นั้น
พยายามที่จะเบี่ยงประเด็นเพราะผมไม่อยากที่จะพูดถึงเรื่องของเอส การพูดถึงคนพวกนั้นก็ยิ่งตอกย้ำผมให้รู้ตัวว่าคนที่อยู่ตรงหน้าก็เป็นไนท์แมร์เหมือนกัน
และเมื่อคิดถึงไนท์แมร์
ผมก็จะคิดถึงจงอิน...
“นายมันดื้อ แบคฮยอน”
“ดื้อแล้วไงอ่ะ ถ้าจะบ่นก็ออกไปเลยไป”
ผมว่าอย่างไม่จริงจังนักพลางดึงมือของตัวเองออกจากการกอบกุม เขาเข้ามาจับมือผมไว้อีกรอบ
ส่วนผมก็พยายามดึงมือหนี เราสู้กันอย่างไร้สาระอยู่แบบนั้น สุดท้ายชานยอลก็จับมือของเราไปประสานกันไว้เพราะกลัวว่าผมจะดึงมือของตัวเองออกมาอีก
“อย่ามาทำหน้าบึ้ง” ชานยอลแกล้งทำเสียงดุ
บรรยากาศหม่นหมองค่อยๆจางหายไปเมื่อเขาเป็นผู้ทำให้มันดีขึ้น นิ้วยาวของชานยอลดีดลงมาที่ปากเบะๆของผมเบาๆ
ผมถลึงตามองเขาก่อนจะตอบโต้กลับตามประสาคนอวดดี
“ทำไมจะทำไม่ได้
ทีนายยังชอบเก๊กหน้าขรึมเลย”
“ยังจะเถียงอีก”
ผมลอยหน้าลอยตาทำเป็นไม่สนใจกับการคำพูดของชานยอล
แต่จู่ๆภาพของเพื่อนรักก็ลอยเข้ามาในความคิดและนั่นเองที่ทำให้ผมได้สติ
อาจเป็นเพราะการไม่โต้เถียงและสีหน้าที่สลดลงจึงทำให้ชานยอลรู้ว่าผมกลับไปหม่นหมองอีกครั้งทั้งๆที่เพิ่งอวดเก่งได้ไม่นาน
เขาเขยิบเข้ามาใกล้ก่อนจะบีบมือที่กุมกันไว้แน่น
“เรื่องมันเป็นแบบนี้ก็เพราะฉันใช่ไหม?”
ผมถามเสียงแผ่ว อดคิดไม่ได้ว่าที่ทุกอย่างเป็นแบบนี้ก็เพราะผม
ถ้าวันนั้นผมไม่ใจร้อนจนไม่ได้บอกใครหรือถ้าผมชนะเอสได้ จงอินก็คงยังอยู่ตรงนี้
“ฉันรู้ว่าที่นายทำลงไปก็เพราะเป็นห่วงเพื่อน แต่จำไว้เป็นบทเรียนนะแบคฮยอน
ว่าการทำอะไรไม่คิดหน้าคิดหลังมันส่งผลเสียเสมอ”
“…” ผมเงียบเพราะไม่รู้จะเอ่ยคำใดออกไป
ชานยอลไม่ได้โทษว่าทั้งหมดนั้นเป็นความผิดของผมแต่เขาก็ไม่ได้ปฏิเสธว่าผมเองก็เป็นสาเหตุหนึ่งในเรื่องราวครั้งนี้
ตอนนี้ชานยอลเป็นเหมือนพี่ชายคนหนึ่งที่กำลังอบรมน้องชายจอมดื้อและน้องอย่างผมก็ทำได้เพียงแค่ก้มหน้ารับฟังคำสั่งสอน
“นายไม่ได้ผลีผลามเป็นครั้งแรก
นายเคยถูกพักงานก็เพราะความวู่วามของตัวเอง ยังจำได้ใช่ไหม?”
ผมพยักหน้าช้าๆ
ตอนนั้นเองที่ชานยอลส่งมือหนามาลูบที่หัวของผมเบาๆ
ทุกอย่างที่เขาทำมันช่างอ่อนโยนจนทำให้ผมนึกย้อนไปในวันที่เราเจอกันครั้งแรก
ตอนนั้นเราต่างใช้กำลังต่อกัน ไม่มีการออมแรงหรือการประนีประนอมใดๆทั้งสิ้น แต่ตอนนี้คนที่เคยทำให้ผมเจ็บตัวกลับนั่งกุมมือพร้อมกับลูบหัวผมไว้
ไหนจะน้ำเสียงที่แสดงถึงความเป็นห่วงอย่างไม่ปิดบังนั่นอีก
ตอนนั้นเองที่ผมเพิ่งตระหนักรู้
ว่าไม่ใช่แค่ชานยอลที่มีอิทธิพลต่อหัวใจของผม แต่ผมเองก็มีอิทธิพลต่อเขาเช่นกัน
“ฉันอยากให้นายคิดทบทวนถึงผลที่จะเกิดก่อนที่จะด่วนตัดสินใจ
ทั้งๆที่วันนั้นฉันก็อยู่กับนาย แต่ทำไมนายถึงไม่บอกฉันล่ะ”
“...”
“หรือว่านายยังไม่ไว้ใจฉันอีก?”
“ม...ไม่ใช่” ผมปฏิเสธก่อนจะสบตากับเขา ชานยอลยังคงไม่เปลี่ยนท่าทีอ่อนโยนที่มีต่อผม
ตอนนั้นเองที่ผมคิดถึงแม่ ตอนเด็กๆแม่ไม่เคยตีเมื่อผมทำผิด
แต่จะให้ผมสำนึกเกี่ยวกับเรื่องที่ทำลงไปด้วยตัวเองพร้อมกับสั่งสอนว่าสิ่งใดควรทำและไม่ควรทำ
ชานยอลทำให้ผมนึกถึงแม่ ถึงแม้ว่าเขาจะต่างจากแม่ของผมมากแต่ก็มีสิ่งที่คล้ายกันอย่างไม่น่าเชื่อ
เขาเป็นคนที่ทำให้ผมรู้สึกปลอดภัย
อุ่นใจและรู้สึก..รัก
ทั้งๆที่ความรู้สึกนี้มันไม่น่าเกิดขึ้นระหว่างผมกับชานยอล
แต่การที่เราได้เจออะไรหลายๆอย่างร่วมกัน ได้เรียนรู้ตัวตน
ได้สัมผัสถึงด้านดีๆของกันและกัน นั่นเองที่ทำให้ผมตกหลุมรักเขาอย่างไม่อาจห้ามได้
กระนั้นผมก็ไม่อยากแสดงออกว่าผมรู้สึกยังไงต่อชานยอล
อย่างที่ผมเคยบอก
เรามีสถานะต่างกันเกินไปและการรักใครซักคนด้วยความไม่สบายใจนั้นหาใช่ความสุข ดังนั้น
ผมจึงพยายามที่จะซ่อนความรู้สึกของตัวเองเอาไว้ คอยเตือนตัวเองเสมอเวลาที่รู้สึกดีกับเขาว่าความรักของเรานั้นไม่อาจเป็นไปได้
แต่เมื่อคนเรามีความรัก
สุดท้ายแล้วเหตุผลก็ไม่อาจเอาชนะความรู้สึกได้
ผมเคยคิดว่าสิ่งที่ซับซ้อนที่สุดของมนุษย์นั้นคือสมอง
แต่เมื่อได้พบกับเขาผมจึงได้รู้ว่าผมคิดผิด เพราะหัวใจต่างหากล่ะที่ซับซ้อนยิ่งกว่า
การเผลอตกหลุมรักชานยอล
มันก็เหมือนกับการที่ผมยืนอยู่ปากเหวโดยมีข้างล่างเป็นกระแสน้ำเชี่ยวกราดที่สาดกระทบกับโขดหินโสโครก
ในขณะที่สมองของผมบอกว่า “อย่าโดดนะ ไม่งั้นนายเละแน่ไอ้งั่งเอ๊ย!” แต่หัวใจของผมกลับบอกว่า “เอาเลย! ฉันรู้ว่านายบินได้ นายไม่ตายหรอกแบคฮยอน!”
และมันช่างเป็นเรื่องน่าขำสิ้นดี ที่คนหัวดื้ออย่างผมกลับเลือกที่จะฟังเสียงของหัวใจ
ผมเลือกที่จะกระโดดออกจากเหว
ทั้งๆที่รู้ว่าความตายรออยู่ข้างล่าง
ผมเลือกที่จะรักชานยอล
ทั้งๆที่รู้ว่าปัญหากำลังรอเราอยู่ในอนาคต
แต่ทุกอย่างมันก็เป็นสิ่งที่ผมเลือกแล้ว
ความรู้สึกกระชากเหตุผลให้แยกขาดจนไม่เหลือรูปเดิมที่จะมาต่อกรได้ มันทำลายทุกข้อขัดแย้งและอคติในใจผมโดยเหลือทิ้งไว้เพียงแค่ความจริงเพียงสิ่งเดียวนั่นคือ...ผมรักชานยอล
“ฉันไม่ได้กำลังว่านายนะ
แต่บางทีนายก็ต้องใจเย็นกว่านี้ เข้าใจไหม?” ผมหลุบตาลงอย่างคนสำนึกผิดแต่ชานยอลกลับเชยคางผมให้หันไปสบสายตากับเขา
“นายคงไม่รู้ว่าฉันรู้สึกยังไง”
“...”
“บาดแผลของนาย
น้ำตาของนาย ฉันไม่อยากเห็นมันอีก”
กลิ่นกายของชานยอลอบอวลอยู่ในจมูกของผม
แต่ความอุ่นใจได้ตีตื้นไปทั่วทั้งแผ่นอก ชานยอลเป็นเหมือนขอนไม้แข็งแกร่งที่ลอยเข้ามาหาในวันที่ผมถูกทิ้งอยู่กลางทะเล
เป็นเหมือนยาแก้พิษที่ขจัดทุกความเจ็บปวดให้หายไป เขากลายมาเป็นสิ่งที่มีความหมายสำหรับผม
เป็นคนแรกที่อยู่กับผมในวันที่เลวร้าย แต่ถ้าผมต้องการที่พึ่งพิง
เขาจะเป็นคนสุดท้ายที่ปล่อยมือ
จากการพรรณนาทั้งหมด คุณคงรู้แล้วว่าผมตกหลุมรักชานยอลเข้าอย่างจัง
ผมมองเห็นข้อดีของเขาเต็มไปหมดจนเกือบจะลืมไปแล้วว่าครั้งหนึ่งเขาเคยร้ายกาจขนาดไหน
“ห้ามออกไปทำเรื่องแบบนั้นตัวคนเดียวอีกเด็ดขาด
มีอะไรเราต้องบอกกัน แล้วนายก็ต้องเชื่อฟังด้วย”
“คนเผด็จการ”
ผมว่า
ซึ่งนั่นเป็นการเรียกรอยยิ้มจากชานยอลได้เป็นอย่างดี ผมยิ้มตอบให้เขา
บรรยากาศดีขึ้นมาอีกครั้งหลังจากที่ความเป็นห่วงจากชานยอลส่งมาถึงผม
ตอนนั้นเองที่นางพยาบาลเข้ามาในห้องเพื่อฉีดยาแก้ปวด
ชานยอลลุกออกจากเก้าอี้ก่อนจะยืนดูอยู่ข้างๆไม่แม้แต่จะละสายตาออกจากปลายเข็ม
คุณพยาบาลแทงเข็มลงมาบนผิวเนื้อทำให้ผมเบ้หน้าด้วยความเจ็บ
ตอนนั้นเองที่ชานยอลพูดว่า “เบาๆหน่อยสิครับ” ใส่คุณพยาบาลคนสวยจนเธออมยิ้มน้อยๆ
ผมอยากจะบอกเขาเหลือเกินว่าโดนเข็มทิ่มน่ะยังไงมันก็เจ็บ ต่อให้คนมือเบามาฉีดให้ยังไงผมก็เจ็บอยู่ดี
แต่ผมก็คิดว่ามันน่ารักดีที่ชานยอลทำหน้านิ่วคิ้วขมวดแถมยังพูดกับผมว่า "เธอทำนายเจ็บ" ตอนที่พยาบาลออกจากห้องไปแล้ว
ความเป็นธรรมชาติและความซื่อตรงของชานยอลทำให้ผมอดคิดไม่ได้ว่าเขาช่างเหมือนกับหนังสือเล่มโปรดที่ผมเคยอ่าน
ทั้งๆที่รู้ว่าเรื่องราวนั้นดำเนินไปยังไง
ตอนจบเป็นแบบไหนแต่ผมก็ยังอ่านมันวนไปวนมาอยู่หลายรอบ
และชานยอลเองก็เป็นดังหนังสือเล่มนั้นที่ผมอยากอ่านซ้ำๆในทุกๆวัน
อ่านซ้ำๆด้วยการที่ผมตื่นขึ้นมาแล้วยังพบกับเขา...เหมือนอย่างวันนี้
เวลาล่วงเลยไปจนกระทั่งความง่วงเริ่มเล่นงานผมอันเป็นผลมาจากยาแก้ปวด
ที่จริงผมเบื่อจะตายแล้วกับการนอนบนเตียงทั้งวันแบบนี้
แต่มันก็ไม่มีอะไรที่พอจะคลายความเบื่อผมได้เลย
“ฉันเปิดโทรศัพท์นายให้แล้วนะ
แล้วก็เมมเบอร์ฉันไว้ให้ที่เลขหนึ่งแล้วด้วย ต่อไปถ้ามีอะไรห้ามปิดเครื่องอีก
แล้วก็โทรหาฉันทันที เข้าใจนะ”
“อือ...” ผมขานรับคำของชานยอลเบาๆเพราะตาเริ่มจะหนักขึ้นเรื่อยๆ
ผมยังไม่อยากนอนตอนนี้แต่ฤทธิ์ยาก็ทำให้ผมแทบจะลืมตาไม่ไหว
ชานยอลสั่งผมหลายเรื่องรวมถึงประโยคก่อนหน้าด้วยก็เช่นกัน
ผมรู้ว่าเขาก็แค่เป็นห่วง นั่นจึงทำให้วันนี้ชานยอลพูดเยอะเป็นพิเศษ ถ้าไอ้จงอินรู้มันคงบอกกับผมว่า
“โหแม่ง...สั่งเป็นเสื้อ
กางเกง หมวก รองเท้าเลยว่ะ” แล้วผมก็จะทำหน้าประมาณว่าอะไรของมึง
จากนั้นเขาก็จะเฉลย “สั่งเป็นชุดไง ผ่างๆๆๆ!”
แต่...เขาไม่อยู่แล้ว
คำพูดของจงอินในงานศพของฮโยยอนถูกขุดขึ้นมาจากความทรงจำ
เขาเคยบอกว่าความตายไม่ได้พรากใครไปไหน แต่มันเพียงแค่เคลื่อนย้ายคนที่เรารักจากข้างกายมาไว้ในใจเราเท่านั้นเอง
ตอนนี้คิมจงอินได้ประทับอยู่ในใจของผมเป็นที่เรียบร้อย
นี่ผมคิดถึงเขาเป็นครั้งที่เท่าไหร่แล้วนะ
“ป้านาบีโทรมาสองสาย
ฉันส่งข้อความไปบอกแล้วว่านายไม่สบาย แล้วก็มีคนที่ชื่อเทาอีกเป็นสิบสายเลย
ฉันว่านายน่าจะโทรกลับไปเองนะ บางทีบ้านหมอนี่อาจจะไฟไหม้”
ชานยอลที่ยังคงง่วนอยู่กับโทรศัพท์ของผมเลิกคิ้วข้างหนึ่งเมื่อเห็นว่าเทาโทรมาหลายสายแบบนั้น
ตามจริงผมก็อยากจะโทรกลับอยู่หรอกแต่ตอนนี้แค่จะลืมตายังยากเลย ผมคิดว่าชานยอลอยากจะถามผมด้วยซ้ำว่าจื่อเทาเป็นใคร
แต่เมื่อเขาหันมาเห็นว่าผมใกล้หลับเต็มทีเขาจึงทำเพียงแค่เก็บโทรศัพท์แล้วห่มผ้าให้ผมแทน
“นอนเถอะ ฉันไม่กวนนายแล้ว” เสียงทุ้มพูดอยู่ใกล้ใบหูของผมคล้ายกระซิบ
ผมส่ายหัวก่อนที่จะพยายามพูดสิ่งที่คิด
ผมเกือบลืมไปแล้วว่าเรื่องนี้เป็นเรื่องสำคัญและผมไม่พูดไม่ได้
“เอส...ฉีดเฮโรอีนให้ฉัน”
“ว่าไงนะ?”
“เฮโรอีน...เอสฉีด...” ให้ตายเถอะ
ทั้งที่ผมต้องคุยเรื่องนี้กับชานยอล แต่ผมกลับง่วงจนแทบจะขยับปากไม่ไหวอยู่แล้ว
“เปล่าแบคฮยอน
นายไม่ได้โดนฉีดเฮโรอีนอะไรทั้งนั้น” จากสีหน้าแปลกใจของเขากลายเป็นการยิ้มน้อยๆ
ชานยอลกุมมือผมไว้ก่อนจะพูดใกล้ใบหูผมอีกครั้ง “หมอพบแค่สารจากยาสลบในตัวนายเท่านั้น
บางทีเอสอาจจะแค่ขู่ว่ามันคือเฮโรอีน แต่ไม่ต้องกังวลหรอกนะ มันไม่มีอะไร”
ผมจับใจความได้ว่าเอสอาจจะแค่ฉีดยาสลบใส่ผมแต่บอกว่าเป็นเฮโรอีนเพื่อขู่เท่านั้น
ถ้าผมถูกฉีดราชาของยาเสพติดแบบนั้นจริง ป่านนี้ผมต้องแสดงอาการออกมาบ้างแล้ว
ซึ่งเมื่อผมได้คิดตามมันก็เป็นจริงดังที่ชานยอลว่า
เอสก็แค่ใช้ความร้ายกาจหลอกให้ผมว้าวุ่นงั้นเหรอ
มันน่าเจ็บใจชะมัด
“ฉันจะนอนแล้ว
ส่วนนายก็ไปซะ” ผมเอ่ยปากไล่เมื่อชานยอลยังคงนั่งกุมมือผมไว้ไม่ยอมลุกไปไหน
คิ้วของเขากระตุกอย่างไม่สบอารมณ์จนผมต้องชิงพูดเสียก่อน “ยังไงตำรวจก็ต้องมาที่นี่
ฉันไม่อยากเห็นนายถูกจับ”
ตอนนั้นเองที่รอยยิ้มเจ้าเล่ห์ถูกจุดขึ้นที่มุมปากของคนตรงหน้า
เขายิ้มราวกับว่าเรื่องที่ผมพูดไปมันน่าขัน แต่ไม่ใช่
สำหรับผมมันจริงจังเกินกว่าที่เขาจะเดาได้เสียอีก
ถึงวันนี้จะไร้วี่แววจากตำรวจและสตาส แต่ผมมั่นใจว่ายังไงซะพรุ่งนี้พวกเขาก็ต้องโผล่มาแน่ๆ
แต่คำพูดของชานยอลกลับทำให้ผมขมวดคิ้วด้วยความสงสัยทั้งๆที่ผมหลับตาไปแล้ว
“ไม่มีใครจับฉันทั้งนั้นแหละ”
“หมายความว่ายังไง...?”
“เดี๋ยวนายก็ได้รู้”
ผมได้ยินเสียงขยับตัวจากชานยอลจากนั้นสัมผัสหยุ่นก็ถูกทาบทับลงมาบนริมฝีปากเพียงไม่กี่วินาทีก่อนที่เขาจะผละออกไป
ตามมาด้วยการนวดที่คิ้วซึ่งขมวดเป็นปมของผมให้คลายออกจากกัน “นอนซะ ไอ้ลูกหมา”
ผมลืมตาขึ้นมาด้วยอาการมึนๆที่หัวอาจเป็นเพราะว่านอนมากเกินไปล่ะมั้ง
นอกหน้าต่างมีแสงแดดอ่อนๆซึ่งเป็นสัญญาณของวันใหม่ ผมจำได้ว่าเมื่อคืนชานยอลนั่งฟุบหน้าแล้วกุมมือผมไว้ทั้งคืน
แต่พอตื่นขึ้นมากลับไร้แม้แต่เงาของเขา
ผมลุกออกจากเตียงเพื่อไปเข้าห้องน้ำพร้อมกับลากเสาน้ำเกลือไปด้วย
ให้ตาย คราวนี้ผมเจ็บหนักกว่าทุกภารกิจที่เคยทำมาเลยก็ว่าได้ แล้วไอ้รอยเตะตรงท้องก็ทำเอาผมเบ้หน้าเมื่อตอนที่ต้องยืดตัวขึ้นเพื่อถอดกางเกง
ผมกลับมานั่งที่เตียงอย่างเบื่อหน่าย
ผมไม่รู้ว่าชานยอลไปไหน บางทีเขาอาจจะเลี่ยงการเผชิญหน้ากับสตาสดังที่ผมบอกไปเมื่อคืนซึ่งนั่นก็เป็นสิ่งที่ดีแล้ว
ผมยังคิดภาพไม่ออกเลยว่าจะทำหน้ายังไงดีถ้าหัวหน้าอี้ฝานหรือใครซักคนเปิดประตูมาพบชานยอลเข้า
ตอนนั้นเองที่เสียงเปิดประตูทำให้ผมสะดุ้งน้อยๆ
ผมคิดว่าอาจจะเป็นชานยอลที่กลับเข้ามา แต่ไม่ใช่
มันกลับกลายเป็นคนที่ผมเฝ้าถามกับตัวเองมาทั้งวันว่าทำไมพวกเขาถึงเงียบหายไปอย่างผิดปกติแล้วไม่มาพบผมซักที
คุณคิม หัวหน้าอี้ฝานและปิดท้ายด้วยจางอี้ชิงกำลังเดินเข้ามาที่เตียงอย่างไม่รีบร้อน
ผมโค้งหัวเพื่อทำความเคารพคุณคิม คาดไม่ถึงเลยว่าเขาจะมาที่นี่ด้วยตัวเองแบบนี้
หัวหน้าอี้ฝานยิ้มให้ผมและนั่นเองที่ทำให้ผมต้องยิ้มกลับไปเช่นกัน
“เป็นยังไงบ้าง? เห็นบอกว่าเจ็บหนักเอาการเลยใช่ไหม?”
คุณคิมนั่งลงตรงเก้าอี้ที่ชานยอลเคยจับจองไว้
ในขณะที่หัวหน้าอี้ฝานกับคุณอี้ชิงยืนขนาบข้างคุณคิม มองเผินๆแล้วคล้ายการอารักขายังไงยังงั้น
“ไม่เป็นไรมากหรอกครับ ก็แค่เป็นแผลนิดหน่อย”
“นิดหน่อยอะไรกัน เห็นๆอยู่ว่าคุณเจ็บหนักขนาดนี้”
คุณคิมยิ้มอย่างสุขุม
การนั่งหลังตรงและประสานมือกันไว้บนเตียงยิ่งทำให้เขาดูน่าเกรงขาม
แม้ว่าใบหน้าของคุณคิมจะดูใจดี แต่ผมรู้ว่าความจริงแล้วเขาเป็นคนเคร่งครัดและจริงจังมากแค่ไหน
“เอาเถอะ คุณไม่เป็นอะไรมากไปกว่านี้มันก็ดีแล้ว”
คุณคิมขยับตัวเพื่อให้นั่งอย่างสบายครั้งหนึ่งก่อนจะสบตากับผม
ผมเพิ่งสังเกตว่ามีกระเช้าผลไม้วางอยู่บนโต๊ะข้างเตียง นั่นทำให้ได้รู้ว่าผมเบลอจนไม่ได้มองเลยว่าพวกเขาถือมันเข้ามาด้วย
“เรื่องของจงอินพวกเราจัดการกันเรียบร้อยแล้ว
คุณไม่ต้องเป็นห่วง”
“ครับ” ผมขานรับพร้อมกับมองไปยังพวกเขาทั้งสาม
ทุกคนต่างใส่ชุดสีดำเพื่อเป็นการไว้ทุกข์และให้เกียรติแก่เจ้าหน้าที่ที่จากไป
นั่นเองที่ทำให้ผมสบายใจไปได้หนึ่งอย่างว่าเพื่อนของผมคงจะไปสบายแล้วแต่ก็ยังอดเสียใจไม่ได้ที่ไม่มีแม้แต่โอกาสไปร่วมส่งจงอินขึ้นสวรรค์
“อีแทมิน...รู้เรื่องของจงอินแล้วหรือยังครับ?”
ตอนนั้นเองที่คุณคิมถอนหายใจออกมาคล้ายกับการระบายความหนักใจก่อนที่เขาจะพยักหน้าเพื่อแทนคำตอบ
ผมสัมผัสได้ถึงความตึงเครียดมาจากหัวหน้าอี้ฝานและอี้ชิงด้วย
แต่กระนั้นผมก็หาได้สนใจสิ่งอื่นนอกจากคนที่มีอำนาจมากที่สุดในสตาสอย่างคุณคิม
“เขาฟื้นก่อนหน้านายหนึ่งวัน
โชคดีที่กระสุนไม่ถูกจุดสำคัญแต่ก็ต้องรักษาตัวอีกนานพอดู เราพยายามที่จะสอบปากคำเขาแต่แทมินยืนกรานว่าจะไม่บอกเบาะแสกับใครทั้งนั้น
นอกจากคุณ”
“…”
“เขารู้ว่าคุณเป็นเพื่อนกับจงอิน
ผมเองเข้าใจเขานะที่ต้องตื่นมาเพื่อพบว่าพี่ชายของตัวเองไม่อยู่แล้วแบบนี้
คุณคงเป็นคนเดียวที่เขาอยากจะคุยด้วยมากที่สุดแล้วล่ะแบคฮยอน”
ตอนนั้นเองที่ขอบตาของผมร้อนผ่าว
แต่ผมพยายามกลั้นน้ำตาเอาไว้เพราะไม่ต้องการแสดงความอ่อนแอให้ใครเห็น
เพียงแค่ผมนึกไปถึงอีแทมินก็ทำให้หัวใจของผมเจ็บคล้ายกับการถูกบีบรัด
ในตอนที่จงอินตาย
แทมินไม่มีแม้แต่สติด้วยซ้ำ ตอนที่พี่ชายของเขาเจอกับเรื่องเลวร้ายแบบนั้น
แต่เขากลับทำได้เพียงแค่นอนแน่นิ่งอยู่บนเตียงอย่างนั้นน่ะเหรอ?
ผมสงสารพวกเขาเหลือเกิน
ผมจะไม่โทษพระเจ้าอีกแล้วที่ทำให้ชีวิตของมนุษย์ต้องมาพบเจอกับเรื่องทำร้ายความรู้สึกแบบนี้
เพราะผมได้ตระหนักแล้วว่าพระเจ้านั้นไม่มีอยู่จริง ผมมันก็แค่ไอ้โง่ที่ได้แต่หวังว่าพระองค์จะทรงมีเมตตา
แต่ไม่ใช่ ชีวิตของผม ผมสิที่ต้องดิ้นรนด้วยตัวเอง นี่คือสิ่งที่ผมได้เรียนรู้เพิ่มขึ้นมาอีกหนึ่งข้อ
“เราจะรอจนกว่าคุณจะพร้อมแล้วส่งให้คุณเข้าไปคุยกับแทมินซะ
ยังไงตอนนี้เขาก็เป็นผู้ต้องหา ผมจึงหวังว่าคุณคงจะได้ข้อมูลดีๆจากเขามาบ้าง”
ผมพยักหน้ารับคำก่อนที่จะแอบถอนหายใจเบาๆ
ผมบอกแล้วว่าคุณคิมเป็นคนเคร่งครัดแม้ว่าเขาจะมาพบผมด้วยความเป็นห่วงก็ตาม กระนั้นมันก็ยังมีหน้าที่แอบแฝงมาด้วยเช่นกัน
แต่ผมก็เข้าใจดีและคิดที่จะไปหาแทมินในตอนนี้เลยด้วยซ้ำ
“ผมจะขอพูดรวบๆเลยก็แล้วกันนะ
คนที่โทรมาแจ้งว่าคุณกับจงอินถูกทำร้ายก็คือไนท์แมร์เองนั่นแหละ
กวนประสาทใช้ได้เลยว่าไหม?” ผมอมยิ้มน้อยๆเมื่อคุณคิมแค่นหัวเราะอย่างไม่จริงจังนัก
“คุณคงรู้ดีว่าเราก็ต้องถามคุณเกี่ยวกับเหตุการณ์ในวันนั้นเหมือนกัน
ผมได้ส่งเจ้าหน้าที่เพื่อมาดูแลคุณแล้วและเขาจะเป็นคนที่สอบปากคำคุณด้วย เมื่อวานคงพบกันแล้วใช่ไหม?”
“เมื่อวานเหรอครับ?”
ผมขมวดคิ้วหลังจากสิ้นประโยคพลางคิดทบทวนว่าผมพลาดตรงจุดไหนไปหรือเปล่า
แต่ไม่ว่าจะพยายามคิดยังไง เมื่อวานนี้ก็มีเพียงแค่ชานยอลที่อยู่กับผม
หรือบางทีเจ้าหน้าที่ที่คุณคิมว่าอาจจะเข้ามาตอนที่ผมยังไม่ฟื้น แต่นั่นก็ไม่น่าเป็นไปได้
เพราะคำว่าดูแลของคุณคิมก็เท่ากับการเฝ้ายี่สิบสี่ชั่วโมง
ดังนั้นเขาไม่น่าที่จะปล่อยให้ผมอยู่กับชานยอลได้ทั้งวัน แม้กระทั่งวันนี้ที่ตื่นขึ้นมาผมก็ยังไม่พบกับเขา
“ทำไมคุณทำหน้าเหมือนยังไม่เจอแบบนั้นล่ะ?
เขาดูแลคุณมาตั้งแต่วันแรกที่คุณพักฟื้นเลยนะ ผมว่าพวกคุณน่าจะเจอกันแล้วสิ”
“แบคฮยอนอาจจะยังไม่รู้เรื่องราวระหว่างที่หลับไปล่ะมั้งครับ
เดี๋ยวผมอธิบายเองดีกว่า” จู่ๆหัวหน้าอี้ฝานที่ยืนเงียบมานานก็เอ่ยปากขึ้น
คุณคิมพยักหน้าช้าๆก่อนจะลุกขึ้นยืน
“ผมต้องไปประสานงานกับตำรวจต่อ คงต้องไปก่อน
ยังไงก็หายไวๆล่ะ” คุณคิมตบไหล่ผมสองสามครั้งอย่างให้กำลังใจ
ผมโค้งหัวเพื่อทำความเคารพเขาแล้วความเงียบก็ปกคลุมไปทั้งห้องเมื่อคุณคิมออกไปแล้ว
“โชคดีที่นายไม่เป็นอะไรมากนะ” หัวหน้าของทีมบีอย่างจางอี้ชิงเอ่ยกับผมพร้อมส่งรอยยิ้มอ่อนโยนมาให้
ผมว่ามันเป็นรอยยิ้มที่เข้ากับใบหน้าใจดีของเขาเหลือเกิน
“เอาล่ะ พี่รู้ว่าเรากำลังสงสัยหลายอย่าง แต่ไม่เห็นต้องขมวดคิ้วเป็นลูกหมาแบบนั้นเลยนี่”
หัวหน้าอี้ฝานเข้ามานั่งแทนที่คุณคิมก่อนจะพูดกับผมด้วยน้ำเสียงนุ่มลึก
ฟังดูก็รู้ว่าเขายังคงเอ็นดูผมเหมือนอย่างที่เคยเป็น
ตอนนั้นเองที่ผมแอบสังเกตสีหน้าของอี้ชิง
ทั้งๆที่หัวหน้าอี้ฝานบอกเลิกผมเพราะเขาและผมเข้าใจว่าพวกเขาสองคนคงรักกัน
แต่เหตุใดอยู่ๆหัวหน้าอี้ฝานกลับมาขอคืนดีกับผมแบบนั้น
แล้วทำไมอี้ชิงเองไม่เคยแสดงท่าทีเป็นเจ้าของต่อหัวหน้าอี้ฝานเลยซักครั้ง แค่คิดผมก็สงสัยอย่างไม่อาจที่จะรู้คำตอบได้
“เรื่องแรกที่พี่จะบอก คือเลือดในซอกเล็บของเรา”
ผมเพิ่งสังเกตว่าหัวหน้าอี้ฝานตัดผมให้สั้นลงกว่าเดิม ซึ่งนั่นเสริมให้เขาดูดีขึ้นอีกเป็นเท่าตัว
เขายังคงพูดอย่างราบเรียบแต่นั่นเองที่ทำให้ผมนึกออกว่าก่อนที่ผมจะสลบไปผมได้ข่วนกกหูของเอสจนเลือดซิบ
“ผมข่วนกกหูของเอสครับ เลือดนั้นเป็นเลือดของเอส
แต่ผมไม่เห็นหน้าเขา”
“นี่คุณเจอกับเอสเลยเหรอ?”
จางอี้ชิงมีสีหน้าประหลาดใจหลังจากจบคำบอกเล่าของผม
ผมพยักหน้าตอบก่อนที่หัวหน้าอี้ฝานจะยิ้มน้อยๆคล้ายกับการพึงพอใจ
“มันเป็นประโยชน์มากแบคฮยอน เราได้ส่งเลือดนั้นไปตรวจดีเอ็นเอแล้ว
ส่วนผลจะออกมาภายในสองอาทิตย์ มันเป็นหลักฐานชิ้นดีที่จะทำให้เรารู้ตัวตนของเอสได้”
“สองอาทิตย์เหรอครับ?”
“ใช่ มีอะไรหรือเปล่า?”
หัวหน้าอี้ฝานเลิกคิ้วถาม แต่ผมส่ายหน้าให้
ผมก็แค่คิดว่าสองอาทิตย์นี้เอสอาจจะก่อเรื่องอีกก็ได้
ตอนนั้นเองที่หัวหน้าอี้ฝานเอื้อมมือมาแตะแผลตรงหัวคิ้ว สายตาของเขาดูจะเจ็บแทนผมเมื่อเห็นว่ามีแผลเต็มใบหน้าของผมแบบนี้ แน่นอน ผมรู้ว่าเขาเป็นห่วง
เขาอาจจะเป็นสาเหตุหนึ่งของความดื้อรั้นของผมด้วย
เพราะที่ผ่านมาหัวหน้าอี้ฝานแทบไม่เคยตำหนิเมื่อผมทำผิด เขาทำเพียงแค่เป็นห่วง
เป็นห่วง แล้วก็เป็นห่วง แต่ช่างเถอะ ยังไงซะผมกับเขา เราก็จบกันไปแล้ว
“ขอผมบอกเรื่องของจงอินนะครับ” อี้ชิงที่เดินเข้ามาใกล้ทำให้หัวหน้าอี้ฝานละมือออกจากใบหน้าของผม
เขากระแอมสองสามทีเป็นการแก้เก้อที่เมื่อครู่นี้หลุดแสดงความห่วงใยต่อผมมากเกินไป
“ผมไม่รู้ว่าจิตใจของพวกไนท์แมร์ทำด้วยอะไรถึงได้ทำแบบนี้กับคนอื่นได้ เพราะจากผลชันสูตรเราพบว่าจงอินได้รับสารของยาไดจอกซินเข้าไปในปริมาณมากก่อนที่จะเสียชีวิต”
“อะไรนะครับ?” ผมถามออกไปทั้ง ๆ ที่ได้ยินชัดเจน ผมสบตาเป็นคำถามใส่หัวหน้าอี้ฝาน
แต่เขาก็ทำเพียงแค่บอกให้ผมตั้งใจฟังอี้ชิงเท่านั้น
“มันคือยาของคนเป็นโรคหัวใจน่ะครับ
ซึ่งยาเหล่านี้จะออกฤทธิ์โดยการไปเพิ่มแรงบีบตัวให้กับกล้ามเนื้อหัวใจ แต่คนที่มีหัวใจปกติอย่างจงอินไม่สมควรจะต้องใช้ยาตัวนี้เลยสักนิดเดียว”
“…”
“ผมได้ถามเซฮุน
คนที่อยู่กับจงอินเป็นคนสุดท้ายในวันนั้น
เขาบอกว่าจงอินได้รับข้อความบางอย่างในเวลาประมาณเก้าโมงครึ่งแล้วหุนหันที่จะออกไปคนเดียว
ทางเราคาดว่าเขาอาจจะถูกไนท์แมร์จับกรอกยาตัวนี้ก่อนที่จะถูกทำร้าย
ปกติตัวยาจะออกฤทธิ์ภายในหกถึงแปดชั่วโมง แต่อย่างที่ผมบอกไปแล้วว่าเขาได้รับในปริมาณมากจึงมีโอกาสทำให้หัวใจล้มเหลวอย่างเฉียบพลัน
แม้ว่าสาเหตุการตายของเขาคือการถูกปาดคอ แต่ถ้าเขารอดมาได้ เขาก็ต้องตายอยู่ดีเพราะฤทธิ์ของยาตัวนี้ครับ
มันอาจจะเป็นเรื่องที่ฟังดูโหดร้ายนะคุณแบคฮยอน แต่ไม่ว่ายังไง...พวกไนท์แมร์ก็วางแผนให้จงอินตายอยู่แล้ว”
คำบอกเล่าจากจางอี้ชิงทำให้ผมนิ่งไปจนหัวหน้าอี้ฝานต้องเอื้อมมือมาบีบไหล่ผมเบาๆ
ผมสบตากับเขาคล้ายกับไม่เชื่อในสิ่งที่ได้ยิน
แต่สายตาจากหัวหน้าอี้ฝานก็ทำเอาผมแทบอยากจะทรุดตัวลงกับพื้นพร้อมกับความโกรธที่สุมอยู่ในหัวใจ
ถึงผมจะชนะเกมประกอบปืนบ้าๆนั่น
แต่ยังไงจงอินก็ต้องตายอยู่ดีเพราะฤทธิ์ยา
เอสต้องการให้จงอินตายนั่นคือสิ่งที่ผมได้รู้ ทำไมเขาถึงต้องทำกับพวกเราขนาดนี้ ทำไมผมจะต้องออกจากสตาส
ทำไมเอสต้องยัดเยียดความรู้สึกผิดมาให้เพื่อให้ผมเข้าใจว่าจงอินนั้นตายเพราะผมแพ้เกม
ทำไมเอสถึงได้เลวร้ายขนาดนี้ จิตใจของเขาทำด้วยอะไรกัน ผมไม่เข้าใจเลย
แต่การที่หัวหน้าจากทั้งสองทีมไม่พูดถึงเฮโรอีนในร่างกายของผมก็เป็นเครื่องยืนยันได้แล้วว่า
ผมไม่ได้ถูกฉีดเฮโรอีนดังที่ชานยอลบอก แต่ประเด็นมันอยู่ที่ชานยอลรู้ได้ยังไง
เพราะข้อมูลเหล่านี้น่าจะมีแค่พวกเจ้าหน้าที่เท่านั้นไม่ใช่หรือที่ได้รู้
ในขณะที่หลากหลายอารมณ์เข้าเล่นงาน ตอนนั้นเองที่บานประตูถูกเปิดออกก่อนที่ผมจะต้องเบิกตากว้างด้วยความตระหนก
เพราะคนที่ยืนอยู่ตรงนั้น....คือปาร์ค ชานยอล
ทำไมจังหวะเวลาในชีวิตของผมถึงได้ผิดพลาดไปหมดแบบนี้วะ!
“เดี๋ยวครับหัวหน้า!”
ผมพยายามจับแขนของหัวหน้าอี้ฝานไว้เพื่อรั้งไม่ให้เขาพุ่งเข้าไปหาชานยอล
แต่กระนั้นจางอี้ชิงกลับเป็นฝ่ายลุกขึ้นมาสวนทางกับหัวใจของผมที่ร่วงลงไปกองอยู่กับพื้น
จางอี้ชิงขยับขาเพียงแค่สองก้าวก่อนที่เขา...จะโค้งให้กับชานยอล
โค้งอย่างนั้นเหรอ?
หัวหน้าอี้ฝานดึงแขนออกจากมือของผมช้าๆก่อนจะยิ้มให้
เขาลุกขึ้นก่อนที่ชานยอลจะเป็นฝ่ายก้าวเข้ามาหาท่ามกลางสายตางุนงงของผม
นี่มันอะไรกัน?
“มาช้านะ” หัวหน้าอี้ฝานเดินเขาไปชานยอลช้าๆไม่ได้พุ่งตัวเข้าไปแบบที่ผมคิดไว้
เขาพูดกับชานยอลคล้ายกับการทักทาย? ประชด? หรืออะไรก็ช่าง
แต่มันดูสนิทสนมจนผมที่นั่งอยู่บนเตียงได้แต่พูดไม่ออกเพราะจับต้นชนปลายไม่ถูก
“ผมคิดว่าคุณชานยอลจะมาช้ากว่านี้เสียอีก
กะว่าจะเสนอตัวเป็นคนดูแลแบคฮยอนแทนแล้วนะครับ” จางอี้ชิงพูดด้วยการหยอกล้อ
กระนั้นชานยอลก็ทำเพียงแค่ยิ้มรับและสบสายตากับผม
คุณชานยอล? ดูแล?
นี่มันเรื่องบ้าอะไรกันวะ!
“ทุกคนออกไปก่อนได้ไหมครับ?”
แบคฮยอนเอ่ยอย่างพยายามที่จะปกปิดความโกรธแต่ทุกคนก็ยังคงจับความคุกรุ่นในน้ำเสียงได้
ตอนนั้นเองที่อี้ฝานรู้สึกหน่วงไปทั้งใจเพราะคล้ายถูกคนตัวเล็กเอ่ยปากไล่ เขาเข้าใจดีว่าคำว่า
‘ทุกคน’
ของแบคฮยอนนั้นไม่ได้หมายรวมถึงปาร์คชานยอลด้วย
“งั้นกูไปก่อนแล้วกัน”
ร่างสูงโปร่งของอี้ฝานเป็นคนแรกที่เดินพ้นประตูออกไป
เขาไม่คิดแม้แต่จะหันกลับมามองเพราะกลัวเหลือเกินว่าตัวเองจะต้องเจ็บที่หัวใจไปมากกว่านี้
เขาเข้าใจดีว่าตอนนี้แบคฮยอนรู้สึกอย่างไร
และเขาคงทนไม่ได้ที่จะต้องมาเห็นสายตาที่ชานยอลและแบคฮยอนเลือกที่จะใช้มองกันและกัน
“หิวหรือเปล่า?”
ทันทีที่อี้ฝานและอี้ชิงออกจากห้องไป
ชานยอลกลับไม่ได้พูดสิ่งใดเพื่อคลายความสงสัยให้แก่คนตัวเล็กที่ยังคงนั่งขมวดคิ้วอยู่บนเตียง
กลับกัน เขาทำเพียงแค่เทโจ๊กที่เพิ่งซื้อลงไปในชาม กลิ่นหอมๆของมันทำให้มีบางคนท้องร้องแต่กระนั้นแบคฮยอนก็ยังคงจ้องไปที่ใบหน้าของชานยอลอย่างที่เรียกได้ว่าตาแทบไม่กะพริบ
“คิดจะบอกเมื่อไหร่?”
น้ำเสียงเรียบนิ่งทำให้ชานยอลชะงักมือที่คนโจ๊กอยู่ก่อนจะสบตาเข้ากับคนตัวเล็กที่ทำหน้าเหมือนลูกหมา
ปาร์คชานยอลมั่นใจมาโดยตลอดว่าแบคฮยอนเป็นคนที่มีเพียงมิติเดียว
อ่านง่ายและแสดงความรู้สึกอย่างเถรตรงเสมอ
แต่ในตอนนี้เขากลับไม่มั่นใจเอาเสียเลยว่าแบคฮยอนนั้นรู้สึกเช่นไร
จะว่าโกรธก็อาจใช่เพราะใบหน้าบึ้งตึงและคิ้วที่ขมวดเป็นปมแน่น
แต่ความจริงจังในความโกรธที่ฉายออกมาจากดวงตาเรียวเล็กนั่นแทบมีค่าเป็นศูนย์
มันทำให้เขาไม่รู้ว่าภายในใจนั้นแบคฮยอนรู้สึกอย่างไรกันแน่
แต่เขาหวังเพียงแค่สิ่งเดียว...คือแบคฮยอนจะไม่เกลียดเขา
“ฉันถาม ทำไมไม่ตอบ?”
ชานยอลวางชามโจ๊กลงก่อนจะตัดสินใจหยิบบางอย่างออกมาจากกระเป๋ากาง
เขาไม่อยากพูดเพราะกลัวว่าคำพูดเหล่านั้นจะไม่เข้าหูของคนตัวเล็กแล้วเรื่องจะยิ่งบานปลาย
เขารู้ดีว่าสิ่งที่ตัวเองทำมีผลกระทบต่อความรู้สึกของแบคฮยอน ทั้งๆที่เตรียมใจไว้แล้วว่าคงไม่พ้นการถูกโกรธแต่เมื่อมาประสบเข้าจริงๆ
ชานยอลเองก็แอบหวั่นใจไม่ได้ว่าแบคฮยอนนั้นจะโกรธเขาถึงขั้นไหน
เหรียญประจำตัวของเจ้าหน้าที่สตาสที่ถูกโชว์ขึ้นตรงหน้าทำให้หัวใจของแบคฮยอนเต้นแรงไปด้วยหลากหลายความรู้สึก
ความจริงเขาพอเดาเรื่องราวได้เล็กน้อยหลังจากเห็นการแสดงออกของอู๋อี้ฝานและจางอี้ชิง
กระนั้นเมื่อได้รับการตอกย้ำสิ่งที่คิดเช่นนี้เขากลับอดไม่ได้ที่จะนิ่งไป
“ทริซ”
“…”
“คือโค้ดเนมของฉัน”
ไม่ต้องอธิบายไปมากกว่านี้แบคฮยอนก็เข้าใจทุกอย่างราวกับได้พบกับจิ๊กซอว์ส่วนสำคัญ
วินาทีนั้นเองที่คนตัวเล็กได้รู้ว่าตัวตนของชานยอลนอกจากการเป็นไนท์แมร์แล้วร่างสูงนั้นคือใคร
แบคฮยอนได้รับคำตอบว่าทำไมชานยอลถึงมีฝีมือรวมทั้งแสดงด้านดีๆอย่างที่เขาไม่คาดคิดว่าคนเลวร้ายจะมีมุมแบบนั้นได้
โค้ดเนมที่ปรากฏอยู่ในบันทึกคดีที่แบคฮยอนเคยอ่านถูกฉายขึ้นในสมอง
ชานยอลเองหรือที่เป็นเจ้าหน้าที่คนนั้น การที่เขาได้รู้จักกับชานยอลในฐานะไนท์แมร์ก็คงเป็นส่วนหนึ่งของภารกิจอย่างนั้นหรอกหรือ
เรื่องมันเป็นแบบนี้เองสินะ
แบคฮยอนควรจะรู้สึกอย่างไรดีกับความจริงที่พุ่งเข้าให้รับรู้โดยที่ไม่ทันตั้งตัว
ทั้งๆที่เมื่อคืนเขายังหวาดระแวงว่าชานยอลอาจจะถูกจับ
แต่ตอนนี้ทุกอย่างกลับพลิกผันจนเขาแทบรับมือไม่ไหว ไหนจะคิดไปถึงระยะเวลาทั้งหมดที่เขาเคยเป็นกังวลเกี่ยวกับร่างสูง
นี่เขาต้องรู้สึกแย่เพราะการปกปิดตัวตนของชานยอลงั้นหรือ?
“มานี่”
เสียงราบเรียกที่หลุดจากปากของแบคฮยอนยิ่งทำให้ร่างสูงไม่สามารถเดาใจของอีกฝ่ายได้
ชานยอลทำเพียงแค่เดินเข้าไปหยุดอยู่ข้างเตียงแล้วก้มมองลูกหมาของเขาที่ยังคงขมวดคิ้ว
เขาไม่รู้เลยว่าแบคฮยอนจะว่ายังไงต่อไป
แต่วินาทีนั้นเองที่คนตัวเล็กขยับตัวและแรงโถมเพื่อเข้ามากอดตรงเอวก็ทำให้ชานยอลประหลาดใจอย่างห้ามไม่อยู่
คนตัวสูงมองกลุ่มผมที่อยู่ตรงหน้าท้องของเขา
ไหนจะวงแขนที่โอบรอบเอวสอบเอาไว้
ปาร์คชานยอลกำลังประหลาดใจกับการแสดงออกของแบคฮยอน มันผิดจากที่เขาคาดไว้
และกลายเป็นอะไรที่เขาไม่ได้คิดมาก่อนกับการกระทำเช่นนี้
“สุดท้าย นายก็ไม่ใช่คนไม่ดี”
ชานยอลก้มมองคนตัวเล็ก ตอนนั้นเองที่แบคฮยอนเงยหน้าขึ้นมาเพื่อสบตากับเขา
และรอยยิ้มจนดวงตาเรียวยิบหยีก็ทำให้เขาเกิดความหมั่นเขี้ยวจนอยากจะก้มลงไปกัดแก้มยุ้ยๆนั่นให้รู้แล้วรู้รอด
“นายไม่โกรธฉันเหรอ?”
แบคฮยอนส่ายหัวดิกจนกลุ่มผมนิ่มกระจายไปตามการสะบัด
แบคฮยอนยังคงยิ้มก่อนที่จะตัดสินใจซุกใบหน้าลงกับหน้าท้องแกร่งแล้วพูดเสียงอู้อี้อยู่แบบนั้น
“ฉันดีใจมากกว่า”
แม้เป็นคำสั้นๆแต่กลับอธิบายทุกความรู้สึกของแบคฮยอนให้ชานยอลได้รู้
คนตัวเล็กที่ต้องแบกรับความไม่สบายใจมาเนิ่นนานในตอนนี้เหมือนได้ปลดความกังวลออกจากไหล่
มันทั้งโล่งใจ สุขใจและอิ่มเอมที่สุดท้ายแล้วคนที่แบคฮยอนเลือกที่จะรักกลับกลายเป็นคนที่เขารักได้อย่างสบายใจและมันเป็นสิ่งที่มีค่าเหลือเกินในความรู้สึกของเขา
“ทำไมนายไม่บอกฉันให้เร็วกกว่านี้
รู้ไหมว่าใจร้ายแค่ไหนที่ปล่อยให้ฉันรู้สึกแย่แบบนั้นอยู่คนเดียว”
“ฉันไม่ได้ตั้งใจปิดบัง
แต่มันเป็นเพราะหน้าที่ นายเข้าใจฉันใช่ไหม?”
ชานยอลลูบหัวแบคฮยอนที่ยังเอาแต่กอดเขาไว้
ความรู้สึกของเขาในตอนนี้เหมือนกับการเติบโตของต้นไม้ที่ใกล้จะตายเพราะไม่ได้รับแสงแดด
แต่ทว่า วันนี้แสงแดดนั้นกลับส่องลงมาเพื่อให้ต้นไม้ได้โตขึ้นอย่างสมบูรณ์
การที่แบคฮยอนไม่โกรธเขาและการที่เขาได้เผยความจริงให้แบคฮยอนได้รับรู้นั้นคล้ายกับการชะล้างโซ่แห่งความหนักใจให้หายไปจนหมดสิ้น
แบคฮยอนเงยใบหน้าขึ้นเพื่อสบตาเรียวเข้ากับดวงตาสีน้ำตาล
และชานยอลที่รอจังหวะอยู่แล้วก็ได้โอกาสที่จะทาบริมฝีปากลงไป มือเรียวเปลี่ยนจากการกอดเอวเป็นขยำเสื้อของชานยอลไว้แน่น
สัมผัสหยุ่นที่ประทับลงมานั้นทำให้ใจของเขาเต้นอย่างรุนแรงจนแทบกระดอนออกมาจากอก มันเป็นจูบแรกบนความสบายใจที่แบคฮยอนได้รับและมันทำให้เขารู้สึกดีมากกว่าจูบไหนๆ
ชานยอลเอียงใบหน้าเพื่อป้อนจูบให้กับคนตัวเล็กได้มากขึ้น จนกระทั่งแผ่นหลังของแบคฮยอนราบลงไปกับผืนเตียงทั้งๆที่ลิ้นของทั้งสองยังคงสู้กันด้วยความอ่อนหวานอย่างที่ไม่มีใครยอมใคร
ชานยอลตัดสินใจผละออกเมื่อเห็นว่าแบคฮยอนเริ่มหมดลมหายใจ
แต่ลูกหมาของเขากลับใช้มือเรียวรั้งต้นคอแกร่งเอาไว้ก่อนจะจุ๊บลงบนริมฝีปากอิ่มของชานยอลด้วยตัวเอง
เจ้าหน้าที่จอมอวดดีมองใบหน้าของชานยอลตั้งแต่คิ้วเข้ม
ดวงตากลมโตที่เขาคิดว่าสวยไล่ลงมาจนถึงจมูกโด่งได้รูปและริมฝีปากที่เขาเพิ่งได้สัมผัส
แบคฮยอนประทับใบหน้านี้ลงในหัวใจทันทีว่าทั้งหมดคือใบหน้าของคนที่เขารัก แต่เป็นเพราะการสูญเสียเพื่อนทำให้แบคฮยอนกลัวการสูญเสียชานยอล
ตอนนั้นเองที่ความกังวลเกาะกินความรู้สึกของร่างเล็กและเขาเลือกที่จะพูดบางอย่างที่ตรงกับความคิดในตอนนี้
“จูบฉันอีกสิ”
“ทำไมวันนี้นายมาแปลกล่ะหืม?”
เสียงทุ้มถามคลอเคลียชิดริมฝีปากนิ่ม ปกติที่จูบกัน
คนตัวเล็กจะเป็นคนบอกให้เขาหยุดก่อนที่ทุกอย่างจะเลยเถิด แต่ครั้งนี้กลายเป็นแบคฮยอนเสียเองที่เรียกร้องอยากได้จูบเสียอย่างนั้น
“นายก็รู้ว่าการเป็นสตาสมันไม่ปลอดภัย และถ้าต้องมีใครซักคนตาย
เราจะได้ไม่เสียใจที่จูบกันน้อยเกินไปทั้งๆที่มีโอกาส”
คำตอบของแบคฮยอนทำให้ชานยอลอดไม่ได้ที่จะกดปลายจมูกลงไปที่แก้มของคนพูดจาฉายแววกังวลแต่แฝงไปด้วยความน่ารัก
ใบหน้าที่เต็มไปด้วยแผลของแบคฮยอนยิ่งทำให้ชานยอลรู้สึกอยากตั๊นหน้าของคนที่ทำให้ลูกหมาของเขาต้องเจ็บตัวแบบนี้
“จะไม่มีใครตาย แล้วก็ไม่มีการจูบน้อยอะไรทั้งนั้น”
สิ้นเสียงการจูบก็เริ่มต้นขึ้นอีกครั้ง
แบคฮยอนแดงก่ำไปทั้งตัวเพราะชานยอลดูดริมฝีปากของเขาอย่างร้อนแรง
ลิ้นของคนตัวสูงถูกส่งเข้ามาในโพรงปากเล็กคล้ายการหยอกล้อแต่เมื่อแบคฮยอนจะตอบสนองกับลิ้นนั้น
ชานยอลกลับชักลิ้นของตัวเองกลับแล้วหัวเราะจนเสียงทุ้มก้องอยู่ในลำคอโดยที่ริมฝีปากยังไม่ละออกจากกัน
แบคฮยอนหยิกแขนชานยอลเบาๆเป็นการทำโทษที่ถูกแกล้ง ก่อนที่วินาทีต่อมาการเกี่ยวกระหวัดของเนื้ออ่อนนุ่มก็ทำให้แบคฮยอนรู้สึกหวิวไปทั้งช่วงท้อง
“ฮ่ะ...”
เสียงครางหลุดออกจากริมฝีปากของแบคฮยอนอย่างลืมตัว
ชานยอลมองคนอวดเก่งที่ตอนนี้แดงก่ำไปทั้งผิวแก้ม
ไหนจะตัวที่สั่นระริกอย่างน่าเอ็นดูนั่นอีก มันทำให้เขาต้องก้มลงไปจูบที่ปากของแบคฮยอนหนักๆอีกครั้งด้วยความหมั่นเขี้ยวก่อนจะผละออกมาจนได้ยินเสียงดังจ๊วบ
“ถ้าไม่อยากเจ็บตัวไปมากกว่านี้
ฉันขอเตือนว่านายห้ามครางแบบนั้นอีก”
แบคฮยอนแยกเขี้ยวให้กับคำพูดกำกวมของคนตัวสูง
แต่วินาทีต่อมาเสียงหัวเราะทุ้มๆและเสียงแหบเล็กก็ดังเคล้าไปด้วยกัน
และเป็นตอนนั้นเองที่คำว่ารักกลบทุกความรู้สึกไปจนหมดสิ้น
อี้ฝานที่ยืนมองคนสองคนที่จูบอย่างดูดดื่มอยู่ตรงหน้าประตูได้แต่ยืนปั้นหน้าไม่ถูกอยู่ตรงนั้น
เขาคิดว่าแบคฮยอนอาจจะโกรธ โวยวายหรือแสดงท่าทีต่อต้านเมื่อรู้ว่าถูกโกหกจากชานยอล
แต่ไม่ใช่เลย แบคฮยอนแสดงออกตรงกันข้ามกับที่เขาคิดไว้ทุกอย่าง นั่นเองที่ความคิดหนึ่งแล่นเข้ามาให้เข้าได้รู้ว่าเขาหวังอะไรอยู่หรือ?
หรือบางที...เขาควรจะยอมแพ้ชานยอลได้แล้ว
ควรจะยอมแพ้ตั้งแต่ที่รู้ว่าชานยอลคิดยังไงกับแบคฮยอน
ยอมแพ้ตั้งแต่ที่เห็นว่าชานยอลร้อนใจแค่ไหนตอนที่แบคฮยอนถูกทำร้าย
ยอมแพ้ตั้งแต่ที่เขาไม่สามารถแสดงออกได้ว่าเป็นห่วงคนตัวเล็กมากแค่ไหน
และยอมแพ้ตั้งแต่ที่ได้เห็นว่าแบคฮยอนเองก็รู้สึกไม่ต่างกันกับปาร์คชานยอลเลยซักนิดเดียว
มันคงถึงเวลาแล้วสินะ...
แบคฮยอนยังคงไม่ยอมปล่อยมือออกจากลำคอแกร่งของชานยอล
เขาอยากให้คนตัวสูงจูบเขาไปเรื่อยๆจนกว่าจะพอใจ ถึงแม้ว่าการจูบแต่ละครั้งจะทำให้เขาเจ็บแผลบนใบหน้า
แต่ก็ช่างเถอะ ตอนนี้เขาไม่สนใจความเจ็บนั้นเท่ากับความสุขในตอนนี้
วินาทีที่ถูกดูดดึงที่ริมฝีปากล่างและถูกคลอเคลียที่พวงแก้มมันทำให้แบคฮยอนรู้สึกว่าหัวใจของเขามันไม่ใช่ของตัวเองอีกต่อไป
แต่มันกลายเป็นของชานยอลไปแล้ว
ปาร์คชานยอลเองก็เช่นกัน
ริมฝีปากนุ่มนิ่มที่เขาได้สัมผัสแทบจะทำให้สติของเขาพร่าเบลอ แต่ถึงกระนั้นเขาก็ยังพึงระลึกอยู่เสมอว่าแบคฮยอนบาดเจ็บ
สิ่งที่ทำได้จึงเป็นการยับยั้งใจของตัวเองแม้จะเป็นไปอย่างยากลำบากก็ตามที ผิวเนื้อเนียนและกลิ่นหอมๆของแบคฮยอนกำลังมอมเมาเขา
แต่ความรู้สึกอยากทะนุถนอมกลับมีมากกว่าความเอาแต่ใจเหล่านั้น
ชานยอลแน่ใจมาซักพักใหญ่แล้วว่าเขารู้สึกอย่างไรกับแบคฮยอน
ยิ่งได้เห็นบาดแผลและน้ำตาของแบคฮยอนเขาก็ยิ่งรับรู้ถึงความรู้สึกของตัวเอง
จากตอนแรกที่เพียงแค่อยากปกป้องมันได้กลับกลายเป็นอีกความรู้สึก องค์ประกอบทั้งสาม อันได้แก่
ความใกล้ชิด ความอ่อนหวานและความเอาใจใส่ได้หล่อหลอมให้เกิดสิ่งๆหนึ่งขึ้นภายในหัวใจของเขา
สิ่งที่เราทุกคนเรียกมันว่า “รัก”
“เราไม่ใช่สตาสและไนท์แมร์อีกต่อไปแล้ว”
“…”
“เราไม่ใช่ศัตรู
แล้วเราก็ไม่ใช่พันธมิตร”
“…”
“แต่เราเป็นคนรักกัน
จำไว้นะแบคฮยอน”
TBC
สั้นๆสำหรับแบค
: รู้สักที
สั้นๆสำหรับพี่ฝาน
: โอ๋นะ
สั้นๆสำหรับเรา
: จะตายแล้ว
ภาษาแปลกไปต้องขออภัยด้วยค่ะ
นี่แปดโมงแล้วยังไม่ได้นอนเลย...
มีคนเขียนคำนิยมให้ด้วย
ขอบคุณมากๆค่ะ ไม่นึกว่าจะมีคนเขียนให้เลยนะเนี่ย T_T
ช่วงนี้หนักใจ
(มาก) เลยเขียนพลอตลงกระดาษ พอกลับมาอ่านอีกรอบ น้ำตาแทบไหล อ่านลายมือตัวเองไม่ออก
แม่งโว้ย555555555555555555555555555555 เครียดกว่าเดิม
เราอยากให้แบคไม่โกรธชานยอลอะ
การที่จะรักคนๆนึงได้อย่างสบายใจนี่มันดีมากๆนะในความคิดเรา ฉะนั้นไม่มีดราม่าในส่วนนี้
มีความสุขกันหน่อยเนอะ ดราม่าเรื่องอื่นแล้วมาดราม่าแบคโกรธพี่ชานอีก ตายๆ อ่านฟิคแล้วเส้นเลือดในสมองแตก
สำหรับรวมเล่มมีคนสนใจเกิน
20 คนแล้วนะคะ เก็บเงินกันไปก่อนเนอะ ใกล้ๆจบโน่นเลยเราถึงเปิดจอง
แต่ปกใกล้เสร็จแล้ว (อ้าว) 555555555555555 เดี๋ยววันหลังเอามาให้ดูกัน
ขอบคุณคนที่ยังตามอ่านมาจนถึงตอนนี้
คนที่ให้กำลังใจเราด้วย รักนะ ♡
up
: 26/07/2015 (50%) 08/08/2015 (100%) #ficsee2b
ความคิดเห็น