ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    [exo] See through B's trick (chanbaek)

    ลำดับตอนที่ #23 : - CH 18 : word -

    • เนื้อหานิยายตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 2.35K
      24
      12 ก.ค. 59



    chapter 18




    Home for me is where you are

    เพียงแค่มีคุณกับผม ไม่ว่าที่ไหน ที่แห่งนั้นคือบ้านของเรา

    .....

     

    ผมออกจากโรงพยาบาลเร็วกว่าที่คิดเอาไว้

     

    ผมได้รับอนุญาตให้หยุดพักอีกหนึ่งอาทิตย์ ถึงจะพยายามบอกว่าไม่ได้เป็นอะไรมากอย่างที่ทุกคนคิด แต่แผลบนร่างกายกลับเป็นเครื่องยืนยันว่าผมนั้นโกหก ผมจึงต้องยอมทำตามคำสั่งและบอกกับหัวหน้าอี้ฝานว่าให้เรียกตัวผมได้เสมอหากที่หน่วยต้องการเจ้าหน้าที่ซึ่งเขาก็รับปากเป็นอย่างดี

     

    เป็นอีกครั้งที่ผมกลับมาที่บ้านของชานยอล ผมเพิ่งรู้ว่าที่นี่ไม่ใช่บ้านที่แท้จริงของเขาแต่เป็นบ้านที่ทางสตาสเตรียมไว้ให้ ตอนนั้นเองที่ผมเพิ่งเข้าใจว่าทำไมที่นี่ถึงอยู่ลับสายตาผู้คนนัก เพราะทางหน่วยคงต้องการเก็บชานยอลไว้เป็นความลับที่สุดนั่นเอง

     

    นาฬิกาบอกว่าเป็นเวลาห้าทุ่มครึ่งแล้ว ความเงียบและไอเย็นของอากาศที่ฝนกำลังตกปรอยๆเป็นชนวนชิ้นดีที่จะทำให้ง่วง แต่เป็นเพราะความคิดที่หลั่งไหลอยู่ภายในหัวทำให้ผมไม่อาจข่มตาลงได้

     

    ถึงแม้ว่ายังไม่อาจแน่ใจว่าไฟล์ที่อีแทมินพูดถึงมีอยู่จริงหรือไม่ แต่การสอบสวนแทมินนั้นผ่านไปอย่างราบรื่นและข้อมูลที่ได้มานับว่าเป็นประโยชน์ต่อคดี แทมินยังคงต้องพักฟื้น แต่เมื่อใดก็ตามที่เขาดีขึ้น เมื่อนั้นก็จะเป็นเวลาที่เขาต้องได้รับโทษตามกฎหมาย

     

    ผมยังจำคำขอของแทมินได้อย่างดีเยี่ยม นั่นเองที่เป็นสาเหตุให้ผมไปไหว้ศพของจงอินทันทีหลังจากที่ออกจากโรงพยาบาล คำขอโทษของผู้เป็นน้องชายถูกส่งให้พี่ชายโดยผ่านตัวกลางอย่างผม การไหว้ศพของเพื่อนรักกินเวลาน้อยกว่าที่คิดเอาไว้เพราะผมตัดสินใจออกจากสุสานก่อนที่จะร้องไห้  สิ่งสุดท้ายที่ผมทำจึงเป็นการยิ้มให้กับรูปของจงอิน มันเป็นรอยยิ้มที่ทั้งบอกลาและขอบคุณเพื่อนรัก

     

    ผมไม่ได้อยากจมอยู่กับความเศร้า แต่ทุกครั้งที่อยู่คนเดียวผมก็อดไม่ได้ที่จะคิดถึงเขา จงอินเป็นเพื่อนสนิท เป็นเพื่อนร่วมทีม เป็นคนที่ร่วมทำอะไรกับผมหลายๆอย่าง รวมทั้งเป็นคนสอนให้ผมเข้าใจในคำว่ามิตรภาพ มันเป็นเรื่องยากที่ผมจะทำใจต่อการสูญเสียครั้งนี้ กระนั้นด้วยวัยและประสบการณ์ทำให้ผมใช้หน้ากากของความเข้มแข็งมาปกปิดความเศร้า ทั้งๆที่ในใจของผมนั้นยังคงเสียใจอยู่ตลอดเวลา

     

    ผมตวัดผ้าห่มออกจากกายเพราะไม่อยากให้ความเงียบดึงผมให้ดำดิ่งลงไปในความเศร้าโศกมากกว่านี้ การออกไปดื่มน้ำเย็นๆคงช่วยให้ผมผ่อนคลายขึ้นมาบ้าง

     

    ผมเดาว่าชานยอลคงหลับไปแล้วเพราะพรุ่งนี้เขาต้องเข้าหน่วย  ถึงแม้ว่าผมจะกลับมาอยู่ที่บ้านของชานยอลแต่ก็ใช่ว่าเราจะนอนห้องเดียวกัน เขาก็นอนในห้องของเขา ส่วนผมก็นอนในห้องเดิมที่เคยนอน ทั้งๆที่สถานะของเราสองคนเปลี่ยนไปแล้วและมันคงไม่ใช่เรื่องแปลกถ้าเราจะนอนร่วมเตียงกัน แต่สำหรับชานยอล เขาก็เหมือนไฟที่มีผมเป็นเชื้อเพลิงชั้นดี แค่ดูจากตอนที่เราจูบกันก็รู้แล้ว ถ้าผมไม่เป็นคนบอกให้พอ อย่าหวังเลยว่าเขาจะหยุด ไม่ใช่ว่าผมหวงตัวหรือว่าชานยอลเป็นคนหมกมุ่น แต่เป็นเพราะเราเป็นผู้ชายเหมือนกัน ผมจึงรู้ดีว่าอะไรที่จะทำให้เขาเกิดอารมณ์แบบนั้นฉะนั้นเรื่องการนอนห้องเดียวกันจึงไม่ควรเกิดขึ้นในตอนนี้

     

    แต่เมื่อบานประตูถูกเปิดออก ความคิดที่ว่าชานยอลคงหลับไปแล้วก็ถูกทำลายลงในทันที

     

     “โอ๊ะ!ผมร้องอย่างลืมตัวเมื่อหน้าผากปะทะเข้ากับแผ่นอกกว้างของใครบางคน ผมตั้งหลักก่อนจะสบตากับคนตัวสูงที่ยืนนิ่งอยู่ตรงหน้า ดวงตาสีน้ำตาลยังคงไม่ฉายอารมณ์เหมือนอย่างที่เคยเป็น  ทั้งๆที่อากาศเย็นแต่ชานยอลกลับใส่เพียงแค่เสื้อกล้ามและกางเกงผ้ายืด ผมรู้ว่าเขาเป็นคนขี้ร้อน แต่ให้ตายเถอะ แค่ใส่เสื้อผ้าอุ่นๆบ้างเขาจะทำไม่ได้เลยรึไง

     

    จะไปไหน?”

     

    ชานยอลเป็นฝ่ายทำลายความเงียบหลังจากที่เราจ้องตากันอยู่ครู่หนึ่ง เขาใช้แขนยันประตูไว้ราวกับต้องการกันไม่ให้ผมออกไปจากห้อง

     

    จะไปกินน้ำ หลบหน่อยผมตอบพร้อมทำท่าออกเดิน แต่การกวนประสาทในตอนกลางคืนคงเป็นเรื่องสนุกสำหรับเขา ชานยอลไม่ฟังคำที่ผมพูดแถมยังดันผมเข้ามาในห้องแล้วปิดประตู  ผมเกือบจะโวยวายแล้วว่าเขาทำบ้าอะไร แต่เสียงทุ้มต่ำอันเป็นเอกลักษณ์นั้นกลับพูดแทรกขึ้นมาเสียก่อน

     

    ฉันนอนไม่หลับ

     

    ผมขมวดคิ้วฉับพร้อมมองคนตรงหน้าที่ยังคงไว้เพียงแค่ใบหน้าเรียบนิ่ง เส้นผมสีดำสนิทยุ่งเล็กน้อยเพราะไม่ได้ถูกเซ็ต  คิ้วเข้มและสันจมูกโด่งยิ่งเพิ่มความดูดีให้เขาอีกเป็นเท่าตัว หากชานยอลไม่ได้เป็นเจ้าหน้าที่ ผมคิดว่าชานยอลอาจจะเป็นพระเอกหนังสักเรื่องและต้องเป็นพระเอกที่ขี้เก๊กมากแน่ๆ

     

                “นอนไม่หลับแล้วมาเข้าห้องคนอื่นทำไม?”

     

                “อยากเข้าการพูดหน้าตายยังคงเป็นสิ่งที่ป่วนประสาทผมได้เป็นอย่างดีรองจากการล้อเลียน  ผมจิ๊ปากอย่างขัดใจที่เขาตอบไม่ตรงคำถาม สรุปแล้วที่ชานยอลเข้ามาหาผมถึงในห้องก็เพื่อจะกวนประสาทกันอย่างนั้นรึไง  ขอนอนด้วย”         

     

                ปากที่กำลังจะอ้าถามชะงักทันที ไม่รู้ว่าวันนี้ผมขมวดคิ้วไปกี่ครั้งแล้ว

    อะไร ห้องนายก็มีจะมานอนกับฉันทำไม?”

     

    นายก็น่าจะเข้าใจนะแบคฮยอน”  

     

    น้ำเสียงเรียบนิ่งยิ่งทำให้ผมไม่อยากมองดวงตาสีน้ำตาลคู่นั้น ผมรู้และเข้าใจว่าชานยอลต้องการจะสื่ออะไร ส่วนใหญ่แล้วผู้ชายต่างก็อยากนอนกับคนรักทั้งนั้น แต่เมื่อห้านาทีที่แล้วผมยังบอกกับตัวเองอยู่เลยว่าเราไม่ควรนอนห้องเดียวกันในเวลานี้ แล้วจะให้ผมกลืนน้ำลายตัวเองได้ยังไง        

     

                “ฉันเข้าใจผมพูดเสียงแผ่วแต่ชัดเจน ชานยอลกอดอกมองผมคล้ายเป็นการรอฟัง แต่เตียงก็เล็กแค่นั้น นายจะให้เรานอนเบียดกันจริงๆน่ะเหรอ?”

     

                “…”

     

                 “อีกอย่าง...ตอนนี้ฟ้าก็ไม่ได้ร้องด้วย ฉันนอนคนเดียวได้น่า

     

                “พูดมากจริงๆ

     

                “เห้ย! เดี๋ยวๆๆ!

     

                ชานยอลไม่ให้ผมตั้งตัวสักวินาที เขาลากผมไปที่เตียงจนผมเผลอร้องลั่น มือใหญ่คู่นั้นพยายามดันผมให้ลงไปนอนราบกับผืนเตียงก่อนที่จะห่มผ้าให้จนถึงคอ การดิ้นกลายเป็นสิ่งไร้ประโยชน์เพราะแรงที่มากกว่าของเขา ชานยอลถอนหายใจคล้ายเหนื่อยอ่อนกับอาการพยศที่ผมแสดงออก

     

                “ฉันมีค่าแค่ตอนที่ฟ้าร้องอย่างนั้นรึไง หืม?” คำถามของชานยอลทำให้ผมหยุดการเคลื่อนไหว ผมอยากจะบอกเขาว่าไม่ใช่ แต่ก็รู้ว่าชานยอลไม่ได้ถามเพราะต้องการคำตอบอย่างจริงจังนัก  เขาเดินไปปิดไฟก่อนที่แรงยวบของผืนเตียงข้างกายจะทำให้ลมหายใจของผมสะดุด

     

     ราวกับว่าพระจันทร์ทำหน้าที่ได้ดีกว่าที่มันเคยเป็น ผมเห็นชานยอลโน้มตัวลงนอนอย่างชัดเจน ท่อนแขนที่มีกล้ามเนื้อแข็งแกร่งสัมผัสกับแขนของผมเบาๆ ร่างกายของชานยอลอุ่นร้อนต่างจากผมที่เย็นชืด ผมนอนนิ่งสวนทางกับหัวใจที่เต้นระรัว เขาแทรกกายเข้ามาในผ้าห่มผืนเดียวกัน และเพียงแค่กะพริบตา เอวของผมก็ถูกจับจองด้วยแขนอุ่นๆของชานยอลเสียแล้ว

     

    นอนเถอะ นายควรจะพักผ่อนได้แล้ว

     

    ค...แค่นอนเฉยๆใช่ไหม?”

     

    สาบานได้ว่านี่จะเป็นคำถามงี่เง่าข้อสุดท้ายที่ผมจะถามชานยอล ผมไม่ได้อยากระแวง แต่ตลอดสองปีที่คบกับหัวหน้าอี้ฝาน มีหลายครั้งที่ผมกับเขายอมปล่อยให้ความต้องการชักนำเหนือเหตุผล แต่ทุกๆครั้งที่ถูกสัมผัส ความรู้สึกบางอย่างกลับร้องเตือนว่ามันต้องไม่ใช่แบบนี้ ทั้งๆที่ในตอนนั้นผมเองก็รักหัวหน้าอี้ฝาน แต่ผมกลับทำใจยอมรับสิ่งที่จะเกิดขึ้นไม่ได้ การทำอย่างนั้นมันไม่เหมือนกับการจับมือ การกอดหรือการจูบ มันซับซ้อนกว่า ละเอียดอ่อนกว่าและต้องใช้ความรู้สึกมากกว่า ผมเองไม่ได้ชอบผู้ชายด้วยกันมาตั้งแต่แรก มันเป็นเรื่องยากที่จะต้องถูกทำอะไรแบบนั้นด้วยน้ำมือของเพศเดียวกัน สุดท้าย หัวหน้าอี้ฝานก็จำต้องยอมแพ้และไม่เคยที่จะคิดเรื่องอย่างว่าต่อผมอีก

     

    กับชานยอลเองก็เหมือนกัน

     

    ตั้งแต่ที่เราเปิดเผยความรู้สึกต่อกัน ผมเองไม่เคยคิดถึงเรื่องนี้มาก่อน ผมอยากให้ความรักของเราเรียบง่ายและค่อยเป็นค่อยไป แต่กระนั้นด้วยธรรมชาติของมนุษย์ โดยเฉพาะเพศชาย มันเป็นเรื่องยากที่จะหลีกหนีความรู้สึกและความต้องการ เท่าที่ผ่านมาชานยอลเองมีทีท่าว่าจะถลำลึกมาสองสามครั้งแล้วแต่ผมหยุดเขาไว้เสียก่อน

     

    ไม่ว่าจะพยายามหาเหตุผลมาบอกกับตัวเองยังไง ผมก็รู้ดีว่านั่นเป็นแค่ข้ออ้าง มันเป็นแค่การทำให้ตัวเองรู้สึกดีขึ้น ทั้งๆที่ความจริงผมก็แค่กลัว

     

    ใช่ แค่นอน แล้วก็หลับ

     

    ชานยอลไม่ได้กวนประสาทอย่างที่ผมคิดไว้ เสียงทุ้มนุ่มกระซิบชิดใบหูพร้อมกับท่อนแขนที่เพิ่มแรงกอด ผมผ่อนคลายมากขึ้นเมื่อชานยอลทำเพียงแค่ลูบเอวผมคล้ายเป็นการกล่อมให้หลับ ทว่าเมื่อผมหลับตาลงชานยอลกลับเป็นผู้เปิดบทสนทนาขึ้นมาใหม่

     

    แบคฮยอน...

     

    เสียงเรียกชัดเจนยิ่งนักในความเงียบ ผมลืมตาขึ้นมาเพื่อสบตากับชานยอล แสงจันทร์ที่ส่องเข้ามากระทบกับสร้อยที่เขาใส่ กระนั้นผมก็ไม่ได้สนใจอีกต่อไปแล้วว่าเขาใส่สร้อยอะไรเอาไว้

     

    มันก็แค่สร้อยธรรมดาๆที่คงไม่ได้สำคัญอะไร...ผมบอกกับตัวเองแบบนั้น

     

    หือ?”

     

    ผมจ้องตากับเขาที่นอนตะแคงหันหน้ามาหา มือใหญ่นั่นยังคงลูบเอวผมอยู่เหมือนเดิม คล้ายว่าความอุ่นร้อนจะถูกส่งผ่านเนื้อผ้าเข้ามาที่ผิวกาย ผมจึงได้รู้สึกอบอุ่นขึ้นอย่างน่าประหลาด

     

    อีกห้าวันชานยอลพูดเพียงเท่านี้แต่ผมเข้าใจในทันที

     

    อีกเพียงแค่ห้าวัน...ผลเลือดก็จะปรากฏออกมาแล้วว่าใครคือผู้อยู่เบื้องหลังไนท์แมร์ มันเป็นหลักฐานชิ้นสำคัญที่จะทำให้มัดตัวคนร้ายกาจอย่างเอส และแน่นอนว่าเมื่อถึงเวลานั้นพวกเราจะจับกุมตัวคนชั่วช้านั่นมาลงโทษอย่างสาสม

     

    ผมแทบรอให้ถึงวันนั้นไม่ไหว แม้ว่าจะเป็นเวลาเพียงแค่ไม่กี่วันแต่กลับรู้สึกว่ามันยาวนานเหลือเกิน

     

    ถ้าถึงวันนั้น...ภารกิจของเราก็คงจะเสร็จสิ้นซะที

     

    ยังหรอก”  คำพูดของชานยอลทำให้ผมใจกระตุกไม่แพ้แสงแปลบปลาบที่ฉายวาบอยู่นอกหน้าต่าง ฟ้าเริ่มปล่อยเม็ดฝนลงมาเป็นสาย มันรุนแรงกว่าเมื่อไม่กี่นาทีก่อนหน้านี้และดูท่าว่าคงจะตกหนักไปทั้งคืน

     

    หมายความว่ายังไง?”

     

    นายก็รู้ว่าเอสเจ้าเล่ห์แค่ไหน ถึงจะมีผลเลือดแต่ก็ใช่ว่าเราจะชนะแล้วหรอกนะ บางทีหมอนั่นอาจจะมีแผนที่คาดไม่ถึงรอต้อนรับเราอยู่

     

    เป็นอีกครั้งที่ผมขมวดคิ้วมุ่นเรียกรอยยิ้มที่ทำให้เกิดรอยบุ๋มตรงแก้มซ้ายของคนข้างกาย ไม่รู้ว่ามือใหญ่นั้นเลื่อนออกจากเอวตั้งแต่เมื่อไหร่ กว่าจะรู้สึกตัว สัมผัสอุ่นก็ประทับลงมาที่สะโพกของผมเสียแล้ว ชานยอลกระตุกยิ้มเพียงแค่ครู่เดียว แต่นานพอที่ผมจะสังเกตเห็น เขายิ้มราวกับว่ารู้อะไรบางอย่างและแน่นอนว่าผมจะไม่ถาม ผมเรียนรู้เกี่ยวกับตัวเขามามากพอแล้วว่าบางเรื่องนั้นผมก็ไม่จำเป็นต้องรู้

     

    ฉันมีแค่เรื่องเดียวที่อยากจะขอนาย

     

    ดวงตาของชานยอลสะท้อนภาพของผม แม้ว่าแสงในห้องจะมีเพียงน้อยนิดอีกทั้งเสียงสายฝนที่กระหน่ำลงมาจะกลบเสียงรอบข้างให้หายไป กระนั้นชานยอลก็ยังคงเป็นสิ่งที่ชัดเจนที่สุดในเวลานี้ ทั้งเสียงทุ้มที่กระทบเข้าสู่โสตประสาทและใบหน้าคมที่อยู่ห่างจากผมไม่ถึงหนึ่งช่วงลมหายใจ

     

    อย่าออกไปกับใครโดยที่ไม่มีฉันไปด้วย...จนกว่าจะจับเอสได้

     

    ทำไม...?” ผมรู้ว่าสิ่งที่เขากำลังขอเป็นสิ่งที่ดีสำหรับตัวผม แต่ความสงสัยนั้นกลับถูกแสดงออกเร็วเกินไป

     

    ฟังนะแบคฮยอนชานยอลลูบหัวผมเบาๆ เมื่อเห็นว่าผมเผลอสะดุ้งในยามที่ฟ้าเริ่มส่งเสียงฮึมฮัมเหมือนสัตว์ร้าย บางที...เอสอาจจะเป็นคนใกล้ตัวของนายเอง

     

    “…”

     

    องค์ประกอบหลายอย่างมันเอื้อให้ข้อสันนิษฐานของฉันมีความเป็นไปได้ ไม่มีทางที่เอสจะไม่ฆ่านาย นอกซะจากว่านายจะเป็นคนสำคัญหรือมีประโยชน์สำหรับเขา

     

    แต่ว่า...คำพูดของผมหายไปเมื่อชานยอลกระชับอ้อมกอด กลิ่นกายของเขายังคงทำให้ผมสงบ เขาจับให้ผมซบลงไปบนหน้าอกแกร่งก่อนที่แขนทั้งสองข้างจะโอบกอดตัวผมไว้

     

    ขอร้องล่ะ อย่าไปไหนกับใครโดยที่ไม่มีฉัน

     

    “...”

     

    ไม่ว่าจะกับคนในทีมของนาย เพื่อน คนรู้จัก หรือแม้กระทั่ง... เขาเงียบไปคล้ายว่ากำลังนึกถึงประโยคที่ต้องการจะพูด และเพียงแค่กะพริบตาชื่อของบุคคลที่ชานยอลเอ่ยออกมาก็ทำให้ผมต้องเงยหน้าเพื่อสบตากับเขา หวงจื่อเทา

     

    แต่...เทาเป็นน้องฉันนะ นายสงสัยในตัวเขาด้วยเหรอ?”

     

    รับปากกับฉันว่าตั้งแต่วันนี้ไป นายจะไม่ไปไหนมาไหนคนเดียวชานยอลไม่ฟังคำถามแต่กลับสั่งให้ผมรับฟังในสิ่งที่เขาพูด มือของชานยอลลูบเบาๆที่สะโพกก่อนจะลามมาถึงแผ่นหลัง เสียงฟ้าร้องลั่นจากนอกหน้าต่างทำให้ผมเผลอหลับตาปี๋ ใจของผมสั่นน้อยๆด้วยความกลัว แต่ไออุ่นจากชานยอลกลับแผ่ซึมเข้ามาในร่างกายของผม มันทำให้ผมยังมีสติและไม่ถูกฝันร้ายจากพ่อและแม่เข้าครอบงำ

     

    อะ...อือ

     

    ผมตอบเสียงแผ่วเรียกรอยยิ้มอย่างพึงพอใจจากคนตัวสูง เขาจุมพิตลงมาบนหน้าผากของผมก่อนจะค้างนิ่งไว้แบบนั้น ตอนนั้นเองที่ผมเพิ่งรู้ ว่าอ้อมกอดของใครบางคนนั้นอุ่นยิ่งกว่าผ้าห่มผืนใดๆเสียอีก

     

    การเกิดแผ่นดินใหม่นั้นกินเวลานาน มันอาจจะเป็นร้อยปีหรือล้านปี แต่การเกิดความรู้สึกดีๆต่อใครสักคนกลับกินเวลาเพียงแค่หนึ่งในช่วงชีวิตของเราเท่านั้น

     

    ชานยอลเป็นแค่ผู้ชายธรรมดาๆที่พิเศษสำหรับผม เขาไม่ได้เก่งกาจในทุกๆเรื่อง ไม่ได้มีรอยสักตามแบบฉบับแบดบอยตัวร้ายหรือมีอารมณ์ขันตลอดเวลา ถึงอย่างนั้นเขาก็ยังเป็นผู้ชายที่ดีที่สุดสำหรับผม เขาสังเกต เขาเอาใจใส่และเขารู้ว่าผมไม่ชอบกลิ่นของบุหรี่ ด้วยเหตุนี้ ชานยอลจึงไม่ค่อยสูบบุหรี่เมื่ออยู่กับผม มันอาจจะเป็นเพียงแค่การแสดงออกเล็กๆน้อยๆแต่ผมคิดว่ามันก็น่ารักดี

     

    ไม่มีอะไรอยู่ค้ำฟ้าหรอกแบคฮยอน แม้กระทั่งฝนก็ยังร่วงลงมาที่พื้น เอสก็เป็นแบบนั้นล่ะ ยังไงซะเรื่องนี้มันก็ต้องจบ

     

    ชานยอลพูดทิ้งท้ายเพียงเท่านี้ก่อนที่ความง่วงจะดึงผมเข้าสู่นิทรา ผมรู้ว่าที่ชานยอลพูดไม่ได้หมายความเพียงแค่เรื่องการจับกุมเอส แต่เขาพยายามพูดเพื่อให้ผมสบายใจ ผมรู้ว่าเขาเป็นห่วง แต่สิ่งที่ผมไม่เคยบอกเขาเลยคือผมนั้นก็เป็นห่วงเขาเช่นกัน

     

     

     

    เช้านี้อากาศเปียกชื้นอันเป็นผลพวงของฝนที่ตกกระหน่ำเมื่อคืนนี้

     

    ชานยอลกำลังยืนจัดทรงผมยู่ที่หน้ากระจก เป็นอีกวันที่เขาต้องเข้าหน่วย ผมเดาว่าชานยอลอาจต้องหารือกับหัวหน้าอี้ฝานถึงเรื่องไฟล์ที่แทมินได้บอกไว้ ผมที่ติดนิสัยการตื่นเช้าจึงตื่นมาทำโจ๊กไว้ให้เขา และให้ตายเถอะ นี่คงเป็นอาหารชนิดเดียวที่ผมจะทำได้ ผมลุ้นแทบตายตอนที่ชานยอลกินมันเข้าไปแล้วไม่พ่นออกมา

     

    อยากได้อะไรก็โทรหาฉันนะชานยอลบอกตอนที่เขากำลังใส่รองเท้า แจ็คเกตหนังและกางเกงยีนส์สีดำคงเป็นสไตล์การแต่งตัวของเขาอย่างแท้จริง อย่าออกไปไหนคนเดียวล่ะ

     

    รู้แล้วน่า ย้ำจังเลยผมพูดพร้อมยิ้มขำในความเจ้ากี้เจ้าการของเขา แต่ก็ต้องปิดเปลือกตาลงยามเมื่อชานยอลจูบผมเบาๆก่อนจะผละริมฝีปากออกไป

     

    จะรีบกลับมานะ

     

    อื้อ

     

    ผมยิ้มตามหลังดูคาติสีดำที่ทะยานออกไป ชานยอลทำตัวเหมือนจะไปออกรบ ผมรู้ว่าเขาเป็นห่วงแต่ก็ไม่เห็นจะต้องจูบร่ำลากันเลยนี่

     

    ผมยืนนิ่งอยู่หน้ารั้วกว่าสามนาทีจนกระทั่งแน่ใจว่าชานยอลไปไกลแล้วจึงเดินกลับเข้ามาภายในบ้าน

     

    โทรศัพท์ที่วางอยู่บนโต๊ะกินข้าวถูกหยิบขึ้นมา ผมถอนหายใจออกมาช้าๆทำการตัดสินใจเพียงแค่เสี้ยววิก่อนที่จะกดโทรหาเบอร์ที่ผมแสนคุ้นเคย

     

    ผมยังจำคำขอของชานยอลได้เป็นอย่างดี แต่เป็นเพราะผมตั้งใจจะทำสิ่งนี้ไว้แล้ว ผมไม่ได้อยากแสดงความอวดดีหรือดื้อรั้น แต่ในครั้งนี้ความจำเป็นกลับอยู่เหนือสิ่งอื่นใด

     

    รอเพียงไม่นานน้ำเสียงจากปลายสายก็ทำให้ผมนั้นยิ้มกว้าง เขายังคงตอบรับผมอย่างสดใสเสมอมันเป็นน้ำเสียงที่แสดงออกว่าเขาดีใจแค่ไหนที่ผมติดต่อไป

     

    ผมได้แต่ภาวนาขอให้ชานยอลนั้นจะไม่รับรู้ในสิ่งที่ผมกำลังทำอยู่ เพราะการกระทำของผม มันคล้ายกับการทำลายความเป็นห่วงของเขาจนไม่เหลือชิ้นดี

     

    ออกมาเจอกับพี่หน่อยสิ

     

     

     […]

     

     

    จื่อเทา

     

     

    30%

               

     

                อี้ฝานเคยเห็นท่วงท่าในการกำราบเหยื่อของเสือมามากพอที่จะรู้ถึงความร้ายกาจของมัน เขารู้ว่ามันจะซ่อนตัวอย่างเงียบเชียบเพื่อรอจังหวะ และเมื่อถึงเวลา เสือร้ายก็จะทำการกระโจนเข้าตะครุบเหยื่อ ทั้งรวดเร็ว เฉียบขาดและไร้ความปราณี

     

                เมื่อหัวหน้าชาวจีนก้าวเข้ามาในห้องประชุม ตอนนั้นเองที่ลางสังหรณ์บอกกับอี้ฝานว่าเขาจะได้เห็นความร้ายกาจของเสืออีกครั้งภายในวันนี้ และวินาทีที่ปาร์คชานยอลกระตุกยิ้มก็เป็นดังสัญญาณให้เขาได้รู้ว่าเสือกำลังจะออกล่า...

     

                มีอะไรน่าตื่นเต้นอย่างนั้นรึไง?

     

    หัวหน้าของทีมเอถามก่อนจะนั่งลงตรงข้ามเพื่อนรัก เช้านี้เขากับชานยอลมีประชุมเหมือนดังเคย เป็นการประชุมที่มีเจ้าหน้าที่น้อยที่สุดเพราะมีเพียงแค่อี้ฝานกับชานยอลผู้ที่ทำหน้าที่รับผิดชอบคดีของไนท์แมร์เท่านั้น

     

    อะไรทำให้มึงคิดว่ามีเรื่องน่าตื่นเต้นล่ะ? คล้ายว่าการตอบคำถามด้วยคำถามจะเป็นสิ่งที่ชานยอลถนัด อี้ฝานสาบานได้ว่าเขาเห็นประกายความสนุกฉายออกมาจากดวงตาของชานยอลอย่างชัดเจน

     

    ก็หน้ามึงบอกกับกูแบบนั้น

     

    โว้ นี่มึงอ่านสีหน้ากูได้ด้วย?เสียงทุ้มเอ่ยอย่างหยอกล้อก่อนจะเปิดโปรเจคเตอร์ อย่างที่มึงคิดนั่นแหละ เรื่องที่กูจะบอกมันน่าตื่นเต้นสำหรับกูกับมึง แต่อาจจะเป็นเรื่องเศร้าสำหรับใครบางคน

     

    เศร้า? มึงหมายความว่าไงวะ?

     

    มีความคืบหน้าเกี่ยวกับการหาไอ้ไนท์แมร์ในหน่วยของเรารึยัง?

     

    ไม่มีเลยสักครั้งที่ชานยอลจะตอบคำถามให้กระจ่าง ร่างสูงยังคงความเป็นตัวของตัวเองอยู่เสมอ เขาไม่เคยเฉลยข้อสงสัยให้ใครได้รู้จนกว่าจะถึงเวลาที่เหมาะสม ซึ่งนั่นทำให้อี้ฝานทำได้เพียงแค่ถอนหายใจก่อนจะเอ่ยตอบอย่างช้าๆ

     

    จงแดบอกว่าเขาพบบางอย่างที่น่าสงสัย กูยังไม่รู้รายละเอียดเพราะเขาอยากคุยเป็นการส่วนตัว ทั้งๆที่จงแดก็มีแนวโน้มว่าจะเป็นไนท์แมร์แต่กูก็ยังอยากรู้ว่าเขาได้ข้อมูลอะไรมา กูก็เลยนัดให้มาคุยคืนนี้ อี้ฝานถกแขนเสื้อเชิ้ตขึ้นเล็กน้อยเพื่อเป็นการผ่อนความอึดอัด ตอนนี้ทุกคนในหน่วยคงไม่สนิทใจกันเหมือนเมื่อก่อนโดยเฉพาะลูกทีมของกู มึงแน่ใจใช่ไหมชานยอล ว่าสิ่งที่มึงให้กูทำน่ะเป็นทางเลือกที่ดีที่สุดแล้ว?

     

    ชานยอลไม่ตอบสนองต่อน้ำเสียงคลางแคลงใจของอี้ฝาน เขาทำเพียงแค่นิ่งและรับฟัง ในขณะที่อี้ฝานยังคงอยากได้คำตอบในสิ่งที่เพื่อนรักให้เขาทำ เขายังจำสีหน้าของคนในทีมเอได้ว่าตกใจแค่ไหนที่รู้ว่ามีหนอนบ่อนไส้อยู่ในหน่วย และแน่นอนว่าเขาคงเป็นหัวหน้าที่แปลกพิลึกเพราะได้ป่าวประกาศให้คนในทีมไม่ไว้ใจกัน

     

    กูจะบอกอะไรมึงให้นะอี้ฝานชานยอลชำเลืองมองโปรเจคเตอร์ที่กำลังประมวลผลก่อนจะหันมาสบตากับเพื่อนสนิท การที่ทุกคนสงสัยกัน จะเป็นสิ่งที่บีบให้ไอ้หนอนบ่อนไส้นั่นเปิดเผยตัวออกมาเอง

     

    คิ้วเข้มขมวดเข้าหากันจนเกิดเป็นรอยย่น มันก้ำกึ่งอยู่ระหว่างคำว่าเข้าใจและไม่เข้าใจ อี้ฝานไม่รู้ว่าเขาควรถามหรือแสดงความคิดเห็นอย่างไรหลังจากที่ได้ยินประโยคจากเพื่อนรัก ตอนนั้นเองที่โปรเจคเตอร์เริ่มทำงาน ชานยอลใช้นิ้วโป้งตวัดไปทางจอภาพ แม้ว่าอี้ฝานจะยังคงสงสัยแต่สิ่งที่ฉายอยู่ตรงหน้านั้นน่าสนใจยิ่งกว่า เมื่อดวงตาคู่คมได้เห็นภาพอย่างชัดเจน ความสงสัยของเขาก็ยิ่งทะยานขึ้นสูง และในวินาทีนั้นเองที่อี้ฝานได้รู้ว่าเรื่องตื่นเต้นของชานยอลได้เริ่มต้นขึ้นแล้ว

     

                นี่เป็นวิดีโอและภาพจากกล้องวงจรปิดของถนนคาพยองโด ซึ่งถนนสายนี้เป็นเส้นทางที่จะพาไปยังสถานที่เกิดเหตุ

     

                อี้ฝานรู้ดีว่าสถานที่เกิดเหตุที่ชานยอลว่านั้นหมายถึงโกดังร้างที่เขาเคยบุกจับกุมการซื้อขายยาเสพติด แต่สิ่งที่สำคัญกว่าคือมันเป็นสถานที่ที่แบคฮยอนถูกทำร้ายและเป็นที่ที่เอสปรากฎตัว

     

                อย่างที่รู้ว่าเอสลงมือในช่วงปลอดคนเพื่อลดความเสี่ยงที่จะถูกพบเห็น เท่าที่กูเคยคลุกคลีอยู่กับไนท์แมร์ทำให้กูรู้ว่าเอสเป็นคนรอบคอบ มันไม่เคยทิ้งรอยไว้ให้ใครตามดมกลิ่น นั่นจึงเป็นเหตุผลว่าทำไมเราถึงไม่พบหลักฐานสักอย่างในที่เกิดเหตุ

     

                การเงียบและตั้งใจฟังคือสิ่งที่อี้ฝานแสดงออก เขามองวิดีโอที่ดำเนินไปเรื่อยๆอย่างใช้ความคิด มันไม่มีอะไรเลยนอกจากทางเท้า ป้ายรถเมล์และกลุ่มคนอันน้อยนิดเหมือนถนนทั่วไป หัวหน้าของทีมเอเกือบจะถามแล้วว่าสิ่งที่ชานยอลตั้งใจให้เขาดูคืออะไรกันแน่ แต่ภาพของผู้ชายคนหนึ่งในจอภาพเป็นสาเหตุให้เขากลืนคำถามลงคอพร้อมๆกับที่ชานยอลเอ่ยปากพอดี

     

                “แจบอมโผล่เข้ามาในกล้องตอนเก้าโมง กูเช็คภาพไปเรื่อยๆจนหมอนี่หายเข้าไปในตรอกซึ่งไม่มีกล้องวงจรปิด ถึงภาพจะถูกตัดขาดไปแต่เราก็รู้ว่ามันเป็นตรอกที่พาไปยังโกดังร้าง

     

                วิดีโอเปลี่ยนไปอีกครั้ง มันกลายเป็นภาพของชายร่างสูงโปร่งผู้เป็นนักข่าวช่องกีฬา เขาจอดรถไว้ที่จุดพักรถก่อนจะเดินไปตามเส้นทางที่หลีกเลี่ยงกับการพบผู้คน อี้ฝานมองอูบินซึ่งเดินควงกุญแจรถอย่างไร้พิรุธ หากเขาไม่รู้จากชานยอลว่าคิมอูบินคือไนท์แมร์ มันก็คงเป็นเรื่องยากที่จะรู้ถึงตัวตนที่แท้จริงของอาชญากรที่ทำเรื่องเลวๆได้แนบเนียนถึงเพียงนี้

     

    หลังจากที่คิมอูบินหายเข้าไปในตรอกเพียงไม่นาน ภาพของคิมจงอินที่ลงจากแท็กซี่ด้วยความรีบร้อนก็ปรากฏขึ้น เขาเดินวนอยู่ที่ป้ายรถเมล์ราวกับรออะไรบางอย่าง อี้ฝานเห็นว่าจงอินหยิบโทรศัพท์ของตัวเองขึ้นมาดูก่อนที่จะวิ่งไปตามทางจนกระทั่งหายเข้าไปในตรอกเช่นเดียวกับไนท์แมร์ เขาพอปะติดปะต่อเรื่องราวได้ว่าลูกทีมของเขาคงได้รับข้อความที่บอกถึงสถานที่ในการนัดพบ

     

    เจ้าหน้าที่ฝีมือดีทั้งสองสนทนากันด้วยความเงียบและเสียงลมหายใจ จนกระทั่งวินาทีที่แบคฮยอนปรากฏเข้ามาในกล้อง คนตัวเล็กจอมอวดดีนั้นมาพร้อม CBR คันคุ้นตาก่อนจะขี่หายเข้าไปในตรอก อี้ฝานนึกตำหนิแบคฮยอนอยู่ในใจว่าทำไมถึงได้ขี่รถเร็วนัก แต่เพียงแค่เผลอหันไปสบเข้ากับดวงตาสีน้ำตาลที่มองอยู่ก่อนแล้ว นั่นเองที่ทำให้อี้ฝานต้องตัดเรื่องของแบคฮยอนออกไปจากความคิด

     

    เขาไม่มีสิทธิ์เป็นห่วงแบคฮยอนอีกต่อไปแล้ว เพราะคนที่ได้สิทธิ์นั้นไปอยู่ตรงหน้าเขาแค่นี้เอง...

     

      ชานยอลมองเพื่อนรักที่หลบสายตาหันกลับไปยังโปรเจคเตอร์ ร่างสูงไม่ได้คิดถึงเรื่องอื่นนอกจากรอให้อี้ฝานสังเกตเห็นความผิดปกติบางอย่าง ภาพในวิดีโอถูกตัดมายังอิมแจบอมและคิมอูบินที่เดินออกมาจากตรอกราวกับว่าไม่มีอะไรเกิดขึ้น พวกเขาแยกย้ายกันโดยไม่ร่ำลา หลังจากนั้นไม่นานรถของตำรวจก็มาถึงที่เกิดเหตุ ทุกอย่างดูคล้ายว่าจะปกติแต่อี้ฝานรู้ดีว่ามันไม่ใช่

     

    เอส...เป็นคำๆเดียวที่กระเด้งกระดอนอยู่ในหัวของอู๋อี้ฝาน

     

                กล้องวงจรปิดทั้งตรงถนนและตรงหน้าตรอกจับภาพทุกคนที่เข้าไปในโกดังร้างไว้ได้ อี้ฝานกำลังคิดว่ามันต้องเป็นเรื่องบ้าไปแล้วแน่ๆที่เขาได้เห็นภาพของทุกๆคน ยกเว้นผู้ชายคนนั้น...เอส

     

                ทำไม...ถึงไม่มีภาพของเอส?  ชานยอลกดหยุดวิดีโอก่อนจะแสดงสีหน้าพึงพอใจที่อี้ฝานสังเกตถึงความผิดปกตินี้ได้

     

                “นั่นเป็นคำถามเดียวกับที่กูเคยสงสัย ทางเข้าโกดังร้างมีแค่ตรอกนี้ตรอกเดียว ไม่ว่ายังไงเอสก็ต้องใช้เส้นทางนี้และต้องถูกกล้องบันทึกภาพเอาไว้ แต่การที่ไม่มีรูปของมันเลย แสดงว่าเอสฉลาดพอที่จะศึกษาทิศทางของกล้อง เอสรู้ว่ามุมไหนที่กล้องจะบันทึกภาพตัวเองเอาไว้ไม่ได้และนั่นก็คงทำให้เราดูโง่มากขึ้นไปอีกที่คงจะไม่ได้เบาะแสอะไรเลยจากกล้องวงจรปิดที่ติดไว้ทั่วถนน

     

                อี้ฝานถอนหายใจอย่างหัวเสียเพราะดูคล้ายว่าพวกเขาจะไม่สามารถตามรอยของผู้ชายร้ายกาจอย่างเอสได้เลย แต่คำว่า มีเรื่องน่าตื่นเต้นของชานยอลที่เอ่ยไว้ตั้งแต่ต้นทำให้อี้ฝานสงบลง เขาเชื่อว่าเพื่อนรักพบบางอย่างที่สำคัญมากกว่าวิดีโอที่ไร้ประโยชน์และนั่นเองที่ทำให้เขาเอ่ยถามออกไป

     

    เรื่องน่าตื่นเต้นที่มึงว่า คือสิ่งที่มึงกำลังจะบอกกูใช่ไหม?

     

                หัวหน้าชาวจีนไม่รู้เลยว่าเพื่อนสนิทกำลังคิดหรือมีแผนอะไรอยู่เพราะมีเพียงแค่เสียงของเครื่องปรับอากาศเท่านั้นที่ดังแทนคำตอบ ชานยอลส่งสายตาเป็นการบอกให้อี้ฝานหันกลับไปสนใจโปรเจคเตอร์ ความเงียบดำเนินไปได้เพียงอึดใจเดียวเท่านั้นเมื่อเสียงทุ้มต่ำของชานยอลทำลายมันลง

     

                กูอยากให้มึงสังเกตตรงนี้อี้ฝานดวงตาคู่คมมองไปยังตำแหน่งที่ชานยอลชี้ให้ดู มันยังคงเป็นภาพนิ่งของหน้าตรอกจากกล้องวงจรปิด สิ่งที่อี้ฝานเห็นคือทางเข้าตรอก กำแพง และถังขยะหนึ่งใบ กระทั่งวินาทีที่ชานยอลเลื่อนภาพถัดไปให้ปรากฏ ตอนนั้นเองที่หัวใจของอี้ฝานเต้นเร็วขึ้นหนึ่งจังหวะพร้อมๆกับดวงตาที่เบิกขึ้นเล็กน้อย

     

                อี้ฝานได้ตระหนักถึงเรื่องตื่นเต้นที่ชานยอลเตรียมมาเมื่อสิ่งที่ฉายชัดตรงหน้าคือภาพด้านหลังของผู้ชายตัวสูงคนหนึ่งซึ่งสวมหมวกสีดำ ใส่เสื้อสีขาวและสะพายกระเป๋าเป้ เพราะไม่เห็นใบหน้า อี้ฝานจึงรู้เพียงแค่ว่าชายคนนี้สูงมากกว่าหนึ่งร้อยแปดสิบและรูปร่างสมส่วน

     

                แต่ข้อมูลเพียงเท่านี้ก็มากพอแล้วที่จะทำให้อี้ฝานเดาได้ว่าผู้ชายคนนั้นเป็นใคร

     

                นั่นมัน...เอสหรือ?”        

     

                ความสงสัยและความตื่นเต้นกระจายไปทั่วทั้งร่างของหัวหน้าทีมเอ เพียงไม่กี่วินาทีเท่านั้นที่ชานยอลกระตุกยิ้ม แต่มันกลับเป็นวินาทีที่ทำให้อี้ฝานรู้สึกเหมือนได้ค้นพบชิ้นส่วนสำคัญที่จะเฉลยปริศนาให้กระจ่าง

     

                กูยังไม่ได้คิดว่าผู้ชายคนนี้เป็นเอสร้อยเปอร์เซ็นต์ แต่ตอนนี้เขาคือผู้ต้องสงสัย

     

    ชานยอลเอ่ยอย่างเรียบนิ่ง เป็นความเรียบนิ่งที่เต็มเปี่ยมไปด้วยมั่นใจและน่าเกรงขาม

     

    กูอยากให้มึงดูที่กระเป๋าเป้ของผู้ชายคนนี้ ก้านนิ้วยาวซูมภาพของชายผู้ต้องสงสัยให้ชัดขึ้น จนกระทั่งสามารถเห็นองค์ประกอบอื่นๆได้อย่างชัดเจน มึงเห็นใช่ไหมว่าเป็นแบรนด์ supreme?”

     

    เมื่ออี้ฝานพยักหน้า เสียงทุ้มจึงเอ่ยต่อ กูคิดว่าข้างในกระเป๋าคงจะใส่เสื้อผ้าเอาไว้เพื่อที่เอสจะได้เปลี่ยนก่อนจะออกมาจากโกดัง เอสคงต้องการหลอกเราเพราะแบคฮยอนให้การว่าวันนั้นเอสสวมชุดดำทั้งชุด มันคงอยากให้เราตามหาผู้ชายที่ใส่ชุดดำจากกล้องวงจรปิดแล้วก็รอสะใจอย่างเงียบๆที่พวกเราจับมันไม่ได้ เอสยังคงฉลาดและมีเล่ห์เหลี่ยมที่น่าหมั่นไส้เหมือนเดิมเลยนะ มึงว่าไหม?

     

    ชานยอลแค่นหัวเราะให้กับการประชดประชันของตัวเอง กระนั้นอี้ฝานก็ยังคงทำเพียงแค่เงียบและจับจ้องไปยังหน้าจอเช่นเดิม เขาเห็นด้วยกับสิ่งที่ชานยอลพูด เพราะทั้งสตาสและตำรวจได้พยายามหาชายใส่ชุดดำอย่างที่ชานยอลได้เอ่ยออกมาแล้ว

     

    เอสฉลาดที่เลือกลงมือในช่วงที่คนยังไม่พลุกพล่านเพื่อที่จะได้ไม่เป็นที่สังเกต แต่ก็เป็นเพราะความไม่พลุกพล่านนั่นแหละที่ทำให้กูทำงานง่ายขึ้น ชานยอลยังคงรักษาท่าทีเรียบเฉยไว้ได้อย่างดีเยี่ยม อี้ฝานก็เช่นกัน ราวกับว่าโป๊กเกอร์เฟซของทั้งสองจะทำงานได้ดีอย่างที่ไม่มีใครยอมใคร ถ้ามึงอยากรู้มุมกล้องวงจรปิดบนถนน มึงต้องทำยังไงวะอี้ฝาน?

     

                คำถามจากชานยอลทำให้อี้ฝานขมวดคิ้ว ก่อนที่ประสบการณ์จากการทำงานจะทำให้เขาตอบ

    ออกไป

     

    กูคงต้องมีคนรู้จักเป็นตำรวจทางหลวง หรือไม่ก็คง...มาดูมันด้วยตัวเองคำตอบนี้เองที่ทำให้อี้ฝานเลิกคิ้วใส่เพื่อนรัก ความคิดบางอย่างแล่นเข้ามาในหัวของเขาคล้ายกับการเคลื่อนที่ของอะไรสักอย่างที่ทั้งรวดเร็วและพุ่งชนเขาเข้าอย่างจัง มันร้องเตือนให้อี้ฝานคิดออกว่ามีเพียงทางเดียวเท่านั้นที่เอสจะรู้มุมกล้องได้ นั่นก็คือการที่เอสจะต้องมาสังเกตทิศทางของกล้องด้วยตัวเองก่อนจะลงมือ...

     

                นี่คือภาพหลังเวลาเกิดเหตุสิบนาที กูพบใครคนหนึ่งโผล่เข้ามาในกล้องตรงป้ายรอรถเมล์พร้อมสะพายกระเป๋าเป้เอาไว้ มันเป็นแบรนด์เดียวและสีเดียวกับของผู้ต้องสงสัย มันอาจจะไม่แปลกอะไรเลยถ้ากูไม่ย้อนไปดูวิดีโอของวันอื่นๆที่ทำให้เห็นว่าผู้ชายคนนี้ไม่เคยมาแถวนี้นอกจากก่อนวันเกิดเหตุและหลังเวลาเกิดเหตุ ซึ่งนี่แหละที่กูคิดว่ามันน่าสงสัย

     

    เกิดคำถามขึ้นภายในใจของอี้ฝาน เขากำลังคิดว่าชานยอลได้นอนพักบ้างหรือไม่ เพราะการค้นหาเบาะแสจากกล้องวงจรปิดนั้นไม่ใช่เรื่องง่ายเลย การละสายตาเพียงแค่วินาทีเดียวจากจอภาพก็อาจทำให้ฉากสำคัญหลุดลอยไป หากชานยอลรู้ถึงข้อสงสัยของเพื่อนรัก เขาก็คงจะไม่บอกอี้ฝานหรอกว่าสามสี่วันที่ผ่านมา ไม่มีคืนไหนที่เขาได้นอนมากกว่าสามชั่วโมง หลังจากส่งแบคฮยอนเข้านอนทั้งที่โรงพยาบาลหรือที่บ้าน เทปจากกล้องวงจรปิดจำนวนไม่น้อยถูกชานยอลเปิดซ้ำไปซ้ำมาและรีบเก็บมันทั้งหมดก่อนที่แบคฮยอนจะตื่น ความเหนื่อยล้ารุมเร้าร่างสูงทั้งร่างกายและจิตใจ แต่การกระทำของเขาเป็นเพียงความหวังเดียวที่จะได้เบาะแสของเอส ผู้ชายคนนั้นยังคงร้ายกาจไม่เปลี่ยนแปลง หากชานยอลไม่ค้นหาหรือทำอะไรสักอย่างด้วยความจริงจัง มีหรือที่จะจับตัวคนเลวร้ายแบบนั้นได้

     

    สิ่งที่พอจะบรรเทาความเหนื่อยล้าของชานยอล มีเพียงแค่ใบหน้าจิ้มลิ้มยามหลับที่ดูไม่ดื้อรั้นและน่าเอ็นดูจนเขาอดไม่ไหวที่จะหอมแก้มนิ่มในทุกๆคืน แบคฮยอนไม่รู้ตัวหรอกว่าตัวเองเป็นพลังใจของชานยอลมากแค่ไหน ต่างจากชานยอลที่รู้ดีว่าคนตัวเล็กที่แสนพยศคนนี้สำคัญกับเขามากเหลือเกิน

     

    จากการคาดเดาของกู กูคิดว่าเอสคงหลบมุมกล้องแค่ก่อนเข้าโกดังชานยอลกล่าวต่อ เรียกความสนใจจากอี้ฝานให้กลับมาจดจ่ออยู่กับเรื่องสำคัญตรงหน้า เอสคงเปลี่ยนชุดหลังจากที่ลงมือฆ่าจงอินและทำร้ายแบคฮยอนแล้ว พอออกมาจากโกดังก็คงไม่พะวงเรื่องชุดอีกต่อไป อย่างที่กูบอก เอสคงสบายใจไปแล้วว่าเราจะสืบหาแค่คนใส่ชุดดำเท่านั้น กูอยากให้มึงดูรูปของผู้ชายคนนี้ แล้วพูดสิ่งที่มึงคิดออกมา

     

    ภาพที่อี้ฝานเห็น คือภาพของผู้ชายคนหนึ่งในชุดไปรเวทอย่างวัยรุ่นทั่วไป วันที่และเวลาตรงมุมขวาของจอภาพทำให้อี้ฝานรู้ว่าเป็นเวลาหลังเกิดเหตุเพียงสิบนาที

     

    เป็นอีกครั้งที่ดวงตาคู่คมของหัวหน้าชาวจีนเบิกกว้างเมื่อได้เห็นคนในภาพอย่างชัดเจน ไม่มีคำใดที่อธิบายถึงความรู้สึกของเขาไปได้มากกว่าการตกใจอีกแล้ว ไม่ว่าจะเป็นรูปร่างหรือกระเป๋าที่เหมือนเอสก็ไม่ใช่สิ่งที่ทำให้อี้ฝานเผลอลืมหายใจได้เท่ากับใบหน้าอันแสนคุ้นเคย ชื่อของใครบางคนแทรกเข้ามาในความคิดของอี้ฝานอย่างเฉียบพลัน และวินาทีที่เขาสบตากับชานยอล ก็คือวินาทีที่อี้ฝานเอ่ยสิ่งที่คิดเอาไว้ให้เพื่อนรักได้ฟัง

     

    กูรู้จักคนในรูป เขาชื่อ...

     

    “…”

     

    หวงจื่อเทา

     

    คำถามมากมายพุ่งเข้าใส่อี้ฝานอย่างยากที่จะหลบเลี่ยง เหตุใดเด็กหนุ่มชาวจีนที่เขารู้จักถึงได้ปรากฏอยู่ในจอภาพ? ทำไมเทาถึงอยู่ไม่ไกลจากที่เกิดเหตุในวันนั้น? แบคฮยอนรู้หรือเปล่าว่าเทาไปทำอะไรที่นั่น?  หลากหลายคำถามผุดขึ้นราวกับต้นไม้ที่งอกเงยจากผืนดิน ทว่าคำถามของอี้ฝานไม่ได้สร้างความสมบูรณ์เหมือนต้นไม้เหล่านั้น กลับกัน มันรังแต่จะทำให้หัวใจของเขาหนักอึ้งคล้ายมีหินมาถ่วงเอาไว้

     

    แม้จะพยายามหาเหตุผลมาบอกกับตัวเองว่าข้อสันนิษฐานของชานยอลอาจจะผิดพลาด แต่อี้ฝานไม่อาจหนีความจริงได้ เขารู้ดีว่าความร้ายกาจและความฉลาดของชานยอลไม่เคยทำให้ใครผิดหวัง เขาสนิทกันมานานจนมากพอที่จะรู้ในความเก่งกาจและชั้นเชิงของกันและกัน อี้ฝานเปรียบเทียบเพื่อนรักเป็นดังเสือเพราะการทำงานที่รอบคอบ การสังเกตและการรู้เท่าทันเหยื่อ สุดท้าย เมื่อเสืออย่างชานยอลมั่นใจก็จะทำการขย้ำเหยื่ออย่างไร้ความปราณี แต่อี้ฝานไม่คิดว่าการออกล่าในครั้งนี้ เหยื่อจะเป็นคนที่เขาคาดไม่ถึง

     

    และการล่าของชานยอลนั้นไม่เคยมีเหยื่อรายไหนที่รอดไปได้

     

    ชานยอลจับสังเกตได้ว่าเพื่อนรักกำลังสับสน ไม่ใช่เรื่องแปลกที่อี้ฝานจะรู้สึกแบบนั้นแต่ร่างสูงก็ไม่ปล่อยเวลาให้สูญเปล่า เขาดึงความสนใจจากอี้ฝานด้วยการเปลี่ยนภาพบนโปรเจคเตอร์ วันที่ตรงมุมขวาของจอภาพทำให้หัวหน้าทีมเอรู้ว่ามันคือวันก่อนหน้าที่เอสจะปรากฏตัวในโกดังร้าง

     

    ชานยอลรวบรวมภาพจากกล้องวงจรปิดของถนนหลายสายเข้าด้วยกัน นั่นทำให้เห็นว่าจื่อเทาออกมาจากสถานีรถไฟใต้ดินก่อนจะเดินไปตามทางทั้งชุดนักเรียน บนหลังของเด็กหนุ่มยังคงสะพายกระเป๋าเป้ที่เหมือนกับของผู้ต้องสงสัยอย่างไม่มีผิดเพี้ยน อี้ฝานจับตาดูว่าจื่อเทามาทำอะไรที่นี่ แต่ก็ไร้คำตอบเมื่อเด็กหนุ่มทำเพียงแค่เดินไปเรื่อยๆ อี้ฝานไม่อาจปฏิเสธได้ว่าท่าทีเหล่านั้นมันคล้ายว่าจื่อเทามาสังเกตการณ์ ขายาวๆคู่นั้นเดินผ่านกล้องวงจรปิดตัวแล้วตัวเล่าโดยเฉพาะตรงหน้าตรอกที่จะพาไปยังโกดังร้าง จื่อเทาทำแบบนี้เป็นเวลาสามวันด้วยกัน เขาทำเพียงแค่เดินไปเรื่อยๆ มีบางครั้งที่หยุดแล้วชำเลืองมองกล้องวงจรปิด แน่นอนว่าการกระทำของเด็กหนุ่มไม่ได้เป็นที่น่าสงสัยเลยหากไม่สังเกต

     

    แต่เป็นเพราะสิ่งนี้เองที่เสริมให้อี้ฝานเชื่อในข้อมูลของเพื่อนรัก มันไม่มีเหตุผลอะไรเลยที่จื่อเทาจะทำเพียงแค่มาเดินไปเดินมาร่วมสามวันบนถนนสายนี้โดยที่ไม่ได้ทำอะไรเลย

     

    กู...ไม่อยากจะเชื่ออี้ฝานเอ่ยเบาๆโดยที่ยังไม่ละสายตาจากโปรเจคเตอร์ ทุกอย่างล้วนเอื้อให้หวงจื่อเทาตกเป็นผู้ต้องสงสัย หัวหน้าชาวจีนไม่อาจหาข้อแก้ต่างให้กับน้องชายของอดีตคนรักได้เลย

     

    เอสเป็นคนฉลาด แต่ก็ใช่ว่าคนฉลาดจะไม่สะดุดล้มนี่ จริงไหม? เสียงทุ้มต่ำของชานยอลเป็นดังสิ่งที่ตอกย้ำความคิดของอี้ฝาน พวกเขาเฝ้ารอวันที่เอสจะทำพลาดในสักวันหนึ่ง แต่เมื่อวันนั้นมาถึง อี้ฝานกลับไม่รู้ว่าเขาควรจะรู้สึกอย่างไร มึงรู้อะไรไหมอี้ฝาน หลังจากที่จงอินตายและแบคฮยอนถูกทำร้าย เด็กคนนี้ไม่เคยมาที่ถนนสายนี้อีกเลย

     

    ...

     

    กูตั้งข้อสันนิษฐานว่าเอสเป็นคนใกล้ตัวของแบคฮยอนมาโดยตลอด แม้กระทั่งกับมึง ถ้าในฐานะเพื่อนกูไว้ใจมึงเสมอ แต่ถ้าในฐานะเจ้าหน้าที่ กูยอมรับว่าเคยสงสัยในตัวมึงเหมือนกัน

     

    “…”

     

    แต่ตอนนี้ หวงจื่อเทาคือผู้ต้องสงสัยอันดับหนึ่ง รอเพียงแค่ให้กูรวบรวมหลักฐานได้มากกว่านี้และเมื่อถึงวันนั้น เอสก็รอรับการโต้กลับจากกูได้เลย ชานยอลเลิกคิ้วสบตากับเพื่อนรักก่อนจะเอ่ยคำถามที่ทำให้อี้ฝานชะงักไปชั่วครู่ ทีนี้มึงรู้รึยัง ว่าเรื่องที่กูบอกไปเป็นเรื่องตื่นเต้นระหว่างกูกับมึง แต่เป็นเรื่องเศร้าสำหรับใคร?

     

    บยอน แบคฮยอน

     

    ชื่อของคนตัวเล็กที่แล่นเข้ามาในสมองของอี้ฝานพาลทำให้หัวใจของเขาเป็นกังวล หากข้อสันนิษฐานของชานยอลเป็นเรื่องจริง คนที่เจ็บปวดมากที่สุดก็คงหนีไม่พ้นคนที่แสนดื้อรั้นคนนั้น อี้ฝานรู้ดีว่าคนสำคัญในชีวิตของแบคฮยอนนั้นมีเพียงไม่กี่คน และคนสำคัญอย่างพ่อ แม่ เพื่อนสนิทหรือแม้กระทั่งตัวของอี้ฝานเองก็ได้บอกลาร่างเล็กไปแล้ว  เขาคิดว่าแบคฮยอนสูญเสียคนสำคัญไปมากพอแล้วและเขาไม่อยากคิดภาพหากแบคฮยอนจะต้องสูญเสียหวงจื่อเทาไปอีกคน

     

    ตอนนั้นเองที่อี้ฝานรู้สึกละอายใจ ในขณะที่ชานยอลลงมือหาเบาะแสของเอสอย่างจริงจัง เขากลับไม่ได้อะไรสักอย่าง ทั้งๆที่ชานยอลก็เป็นห่วงแบคฮยอนไม่ได้น้อยไปกว่าเขา แต่เพื่อนรักก็ไม่เคยทำงานพลาด มีแต่เขาเท่านั้นที่เอาแต่นึกถึงเรื่องส่วนตัว คิดเพียงแค่ว่าจะทำยังไงถึงจะไม่เสียแบคฮยอนให้แก่ชานยอล เขาคิดถึงแต่เรื่องของตัวเองโดยไม่ได้ลืมตาขึ้นมามองเลยว่าความเป็นจริงนั้นเป็นอย่างไร เขามันไม่ได้เรื่องเอาเสียเลย

     

    คำตำหนิมากมายพรั่งพรูอยู่ในใจของอี้ฝาน เขาต่อว่าตัวเองซ้ำแล้วซ้ำเล่า บยอนแบคฮยอนมีอิทธิพลจนทำให้เขาลืมตัวตนของตัวเอง อี้ฝานลืมความสุขุมและความรอบคอบที่เคยมีจนเกือบทำให้งานเสีย  ภาพที่ชานยอลและแบคฮยอนจูบกันด้วยความรักซึ่งยังฝังอยู่ในสมองเป็นดังสิ่งที่ปลุกให้อี้ฝานตื่นขึ้นมาพบกับความเป็นจริง เขาไม่เคยโกรธเพื่อนรักหรือคนตัวเล็กเลย วินาทีนี้อี้ฝานเข้าใจดีแล้วว่าใครที่เหมาะสมกับแบคฮยอนมากกว่าเขา ใครที่จะปกป้องแบคฮยอนได้ดีกว่าเขา ซึ่งคนที่คู่ควรกับแบคฮยอนนั้นก็อยู่ตรงหน้าเขาแค่นี้เอง...

     

                แล้ว...มึงมีแผนอะไรต่อจากนี้?อี้ฝานเอ่ยถามหลังจากที่จัดการกับความรู้สึกของตัวเองได้แล้ว เขายอมรับและยกย่องในฝีมือของชานยอลเสมอ ปาร์คชานยอลเก่งกาจสมกับที่ได้ไปประจำการในอเมริกา

     

                กูจะเรียกประชุมเรื่องที่จะไปค้นหาไฟล์ในวันพรุ่งนี้ ต้องการเจ้าหน้าที่แค่สี่คน ยิ่งคนน้อย การทำงานก็ยิ่งสะดวก

     

                “ไฟล์ที่แทมินบอกไว้น่ะเหรอ?ชานยอลพยักหน้าแทนการตอบคำถาม มันหมายความว่ามึงจะต้องไปบ้านแจบอมใช่ไหม? แต่ชานยอล กูคิดว่ามึงควรจะพักผ่อนบ้าง

     

                ดวงตาคู่คมของอี้ฝานสะท้อนความเป็นห่วงอย่างชัดเจน ชานยอลโหมทำงานหนักติดต่อกันมาหลายวันและนั่นไม่ใช่เรื่องที่ดีเลยหากร่างสูงทรุดไปเสียก่อน  หัวหน้าชาวจีนเข้าใจดีว่าการไล่ล่าจับไนท์แมร์นั้นไม่ใช่เรื่องที่จะมารอเวลาได้ แต่อย่างน้อย เขาก็อยากให้เพื่อนรักได้พักผ่อนเสียบ้าง แม้จะเป็นเพียงแค่วันเดียวก็ยังดี

     

                “กูไม่มีเวลาจะมาพักผ่อนหรอกว่ะ ถ้าไฟล์ที่แทมินว่ามีจริงก็จะทำให้เรารู้ตัวไอ้หนอนบ่อนไส้นั่นได้เร็วขึ้น ยิ่งรู้ตัวตนของมันก่อนวันที่ผลเลือดออกก็ยิ่งดี

     

                “มันก็อีกแค่สี่วันเองนะชานยอล

     

                “หลักฐานในการจับกุมแจบอมกับอูบินเรามีมากพอแล้วอี้ฝาน ทั้งจากตัวกูเอง ทั้งจากคำสารภาพของแทมิน ถ้าเราจับไอ้สตาสที่ทรยศนั่นได้อีกคน เอสคงรู้สึกเหมือนถูกปั่นหัวแน่

     

                อี้ฝานถอนหายใจเบาๆ  ไม่ว่าจะเอาสักกี่ร้อยเหตุผลเข้าสู้ก็ไม่อาจเอาชนะกับสิ่งที่ชานยอลวางแผนไว้แล้ว  งั้นกูต้องทำอะไรบ้าง?

     

                “กูอยากได้ประวัติเชิงลึกของหวงจื่อเทา ที่กูรู้ตอนนี้มีแค่ประวัติจากทะเบียนราษฎร์ กูอยากได้ละเอียดมากกว่านี้อี้ฝานพยักหน้าเป็นการเข้าใจ เรื่องการสืบค้นข้อมูลของใครสักคนนั้นไม่ใช่เรื่องยากสำหรับหัวหน้าชาวจีน

     

    เรื่องสุดท้ายที่กูจะบอกคือเรื่องของผลเลือด

     

    “…”

     

    ไม่ว่าผลจะออกมายังไงก็ตาม แต่มึงต้องจับกุมเจ้าของเลือดนั่นโดยไม่มีข้อแม้

     

                “มึงพูดแบบนี้...หมายความว่ายังไงวะ?

     

                ความสนิทไม่เคยเป็นสิ่งที่ช่วยให้อี้ฝานเดาใจของชานยอลได้เลย คำพูดของเพื่อนรักทำให้เขาขมวดคิ้วมุ่น แน่นอนว่าเขาจะต้องจับเจ้าของผลเลือดนั่นอยู่แล้ว หากผลเลือดนั้นระบุว่าเป็นเลือดของหวงจื่อเทา การจับกุมเอสก็จะเป็นไปได้โดยง่ายเพราะพวกเขามีหลักฐานที่ชี้ชัดและยากที่เอสจะปฏิเสธ แต่เหตุใดชานยอลถึงได้เอ่ยกำชับให้เขาสงสัย ชานยอลไม่ปล่อยให้อี้ฝานได้คิดมากกว่านี้ เพราะเพียงไม่กี่วินาทีต่อมาเสียงทุ้มต่ำนั้นก็เอ่ยเฉลย

     

                กูแค่สันนิษฐานว่าเลือดนั่นอาจจะไม่ใช่เลือดของเอส

     

                หากเปรียบเทียบความสงสัยของอี้ฝานเป็นเงินในบัญชีของใครสักคน เจ้าของบัญชีนั้นคงกลายเป็นมหาเศรษฐีเพราะความสงสัยของหัวหน้าทีมเอมีแต่พุ่งขึ้นสูง  ไม่รู้ว่าชานยอลยังมีเรื่องที่ทำให้เขาประหลาดใจได้มากกว่านี้อีกหรือไม่ แต่ทุกประโยคที่เพื่อนตัวสูงพูดภายในวันนี้ ล้วนแต่ทำให้อี้ฝานรู้สึกว่าชานยอลนั้นมองการณ์ไกลกว่าเขามากนัก

     

                “อย่างที่รู้ว่ากูเป็นคนแรกที่เข้าไปหาแบคฮยอนในโกดังนั่น มันทำให้กูเห็นว่าเลือดที่ติดอยู่ในซอกเล็บของแบคฮยอนมีแค่สองเล็บเท่านั้น มึงลองคิดตามกูนะอี้ฝาน ด้วยสถานการณ์ที่แบคฮยอนคงควบคุมสติไม่ได้แบบนั้น ตามธรรมชาติคนเราจะทุ่มแรงทั้งหมดที่มีอยู่ใส่ฝ่ายตรงข้าม หมายความว่ามันเป็นไปไม่ได้ที่เลือดจะติดเพียงแค่สองเล็บแบบนี้ อย่างน้อยแบคฮยอนก็ต้องใช้สามหรือสี่เล็บในการข่วน เพียงแค่สบตาชานยอลก็รู้ได้ว่าประสบการณ์จากการทำงานได้ทำให้อี้ฝานนั้นเริ่มเข้าใจในสิ่งที่เข้าพูด คำว่า จัดฉาก แล่นวนไปทั่วทั้งห้วงความคิดของสองเจ้าหน้าที่คนเก่ง มันอาจจะเป็นไปได้ที่เอสเอาเลือดของใครสักคนมาแทนที่เลือดของตัวเอง ที่แบคฮยอนมีเลือดในซอกเล็บเพียงแค่สองนิ้ว ก็เพราะว่าเอสมีเวลาไม่มากพอที่จะจัดฉากได้มากกว่านี้ เอสคงรู้ดีว่ายิ่งอยู่ในโกดังนานมากเท่าไหร่ ตำรวจก็ยิ่งเข้าใกล้มันมากเท่านั้น

     

                “แล้ว...มึงคิดว่าเอสจะเอาเลือดของใครมาเป็นแพะรับบาปล่ะ? กูว่าเลือดมันไม่ใช่ของที่หากันได้ง่ายๆหรอกนะ จริงไหม?

     

                ถ้ามึงยังจำได้ว่ากูเคยเล่าให้ฟังเรื่องที่เอสสั่งให้ไนท์แมร์ทุกคนกรีดเลือดสาบาน ตอนนั้นกูไม่รู้ว่าไอ้โรคจิตนั่นมีจุดประสงค์อะไรที่ต้องเก็บเลือดเอาไว้ มึงไม่คิดเหรอว่านี่แหละที่เป็นเวลาที่เหมาะที่สุดในการใช้เลือดพวกนั้น แต่ไม่ว่าผลเลือดจะออกมาเป็นใคร กูอยากให้มึงจับกุมตัวเขาเอาไว้ ไม่เว้นแม้กระทั่งคนๆนั้นจะเป็นกูซะเอง

     

                “มึงมีแผนอะไรอีกไหมชานยอล? มึงบอกกูมาเลย ครู่เดียวเท่านั้นที่อี้ฝานเห็นประกายของความเจ้าเล่ห์ฉายอกมาจากดวงตาของเพื่อนสนิท ถึงแม้ว่าชานยอลจะเป็นเจ้าหน้าที่ของสตาสและเอสอาจจะมั่นใจในแผนของตัวเองมากแค่ไหนก็ตาม แต่เอสอาจจะลืมอะไรไปบางอย่าง ว่าชานยอลเป็นเจ้าหน้าที่ของสตาส แต่ก็เคยเป็นไนท์แมร์ด้วยเหมือนกัน

               

                “แผนของกูคือการเดินตามแผนของเอส วิธีที่จะทำให้หมาไม่กัดก็แค่อย่าไปมองตามัน กูจะไม่เผชิญหน้ากับมันตรงๆแต่จะหลอกให้หมาบ้านั่นเข้ามาติดกับ กูใช้เหตุผลกับคนโรคจิตไม่ได้ แต่กูล่อให้มันออกมาได้ ปล่อยให้ทุกอย่างเป็นไปตามที่เอสต้องการ กูเชื่อว่าคนอย่างเอสจะต้องเหิมเกริมที่ได้ทุกอย่างแบบที่คิด แต่ก็เพราะแบบนั้นแหละที่จะทำให้เอสตกม้าตาย

     

                รอยยิ้มร้ายกาจแบบที่อี้ฝานไม่ได้เห็นมานานแล้วปรากฏขึ้นบนใบหน้าหล่อเหลาของปาร์คชานยอล อี้ฝานกำลังคิดว่าถ้าเอสตั้งใจที่จะสร้างเกมปริศนา ชานยอลจะเป็นผู้อ่านเกมนั้นออก หากเอสคิดว่าตัวเองฉลาด ก็ยังมีชานยอลที่รู้เท่าทัน และถ้าหากเอสเป็นคนเจ้าเล่ห์ แน่นอนว่าชานยอลนั้นก็ไม่ต่างกัน

     

    ถ้าปาร์คชานยอลเจ้าเล่ห์ไม่มากพอ มีหรือที่เขาจะเข้าไปปะปนกับพวกวายร้ายได้แนบเนียนถึงเพียงนั้น...

    ถ้าหวงจื่อเทาเป็นเอสจริง กูคงยอมไม่ได้ที่จะต้องมาแพ้ให้กับเด็กอายุแค่นั้น

     

                ตอนนั้นเองที่ประกายบางอย่างในดวงตาของชานยอลเข้มข้นขึ้น อี้ฝานคิดว่ามันอาจจะเป็นประกายของผู้ชนะ ความสนุก หรืออาจจะเป็นประกายของอะไรบางอย่าง...อะไรบางอย่างที่เขาไม่มีวันรู้ได้เลย

     

              เอสกับกู คงต้องมาลองสู้กันสักตั้งว่ะอี้ฝาน

     

    .....

     

    (chanyeol’s part)

     

                การประชุมวันนี้เลิกเร็วกว่าที่ผมคิดเอาไว้

     

                ผมสามารถแยกเรื่องส่วนตัวออกจากงานได้อย่างดีเยี่ยมนั่นทำให้ตลอดเวลาที่ประชุมอยู่กับอี้ฝาน ไม่มีสักวินาทีเดียวที่ผมจะนำความเป็นห่วงที่มีต่อแบคฮยอนมาทำให้การประชุมต้องชะงัก แต่ทันทีที่ออกมาจากหน่วย สิ่งที่ผมคิดถึงเป็นอันดับแรกก็คือบยอนแบคฮยอน ไม่รู้ว่าเขาได้กินมื้อเที่ยงหรือยัง เขาจะเบื่อหรือเปล่าที่ต้องอยู่คนเดียวแบบนั้นแล้วเขาจะทายาที่แผลได้หรือเปล่า

     

                เป็นเรื่องตลกร้ายที่การจราจรมักจะติดขัดในวันที่มีเรื่องรีบเร่งเสมอ ผมดูนาฬิกาที่ข้อมือ มันบอกว่าเป็นเวลาบ่ายกับอีกสิบนาที นั่นหมายความว่าวันนี้ผมกลับบ้านเร็วกว่าวันอื่นๆถึงสองชั่วโมง

     

                ทั้งๆที่หัวข้อในการประชุมควรจะทำให้เวลานั้นยืดออกไป แต่ไม่ ความสนิทที่มีมานานทำให้อี้ฝานและผมสื่อสารกันให้เข้าใจได้อย่างไม่ยาก แม้จะไม่มีอะไรมายืนยันว่าข้อสันนิษฐานและแผนที่ผมวางเอาไว้จะสำเร็จร้อยเปอร์เซ็นต์ แต่สิ่งที่ผมมั่นใจมาโดยตลอดก็คือเอสเป็นคนใกล้ตัวแบคฮยอน ผมไม่เคยเปลี่ยนความคิดนี้เพราะหลายองค์ประกอบของเอสต่างเอื้อให้ผมเชื่อ เชื่อว่ามันจะต้องหวังอะไรบางอย่างจากแบคฮยอน ซึ่งผมจะไม่ยอมให้เกิดเหตุการณ์อย่างในโกดังร้างอีก ผมไม่อยากเห็นบาดแผลและน้ำตาของเขา ผมไม่อยากเห็นว่าเขาทุกข์ใจ

     

                นั่นคือสาเหตุที่ผมจำเป็นต้องห้ามไม่ให้แบคฮยอนออกไปไหนมาไหนเพียงคนเดียว แบคฮยอนไว้ใจคนรอบตัวไม่ได้ โดยเฉพาะน้องชายต่างสายเลือดที่ชื่อหวงจื่อเทา แต่สำหรับผม ผมขอเรียกเขาว่า ผู้ต้องสงสัยอันดับหนึ่ง ก็แล้วกัน

               

                รถเคลื่อนที่ได้เพียงทีละนิดเท่านั้น ไม่รู้ทำไมรถถึงได้แน่นขนัดขนาดนี้ ตอนนั้นเองที่เสียงโทรศัพท์ดังขึ้น ผมเสียบบลูทูธเข้าที่หูก่อนจะทำการรับสาย

     

    [ชานยอลใช่ไหมลูก?] น้ำเสียงอ่อนโยนจากปลายสายทำให้ผมเลิกคิ้วด้วยความแปลกใจ ถึงแม้ว่าป้านาบีจะมีเบอร์ของผม แต่ก็ใช่ว่าท่านจะเคยโทรมา ผมตอบรับอย่างสุภาพก่อนที่ป้านาบีจะพูดต่อ [ตอนนี้ไอ้ลูกหมาอยู่กับเราหรือเปล่า? ป้าโทรไปหาแต่แบคฮยอนไม่รับสายป้าเลย บอกน้องให้ทีว่าป้ามีเรื่องจะคุยด้วย]

     

                ผมขมวดคิ้วก่อนที่จะบิดคันเร่งให้รถเคลื่อนที่ สัญญาณไฟเขียวเป็นดังสิ่งที่ทำให้การจราจรเริ่มดีขึ้น สวนทางกับความคิดของผมที่เริ่มเป็นกังวล

     

                ผมไม่ได้อยู่กับแบคฮยอนครับป้า ตอนนี้ผมอยู่ข้างนอก แต่กำลังจะกลับแล้วครับ ยังไงเดี๋ยวผมบอกให้แบคฮยอนโทรหานะครับ บางทีเขาอาจจะนอนกลางวันอยู่

     

                ป้านาบีรับคำก่อนจะถามไถ่อีกสองสามประโยคแล้วจึงวางสายไป ผมรีบโทรหาแบคฮยอนโดยหวังให้เขารับสายแต่ก็ไม่เป็นดังที่คิด แบคฮยอนไม่ใช่คนที่ชอบนอนกลางวันอย่างที่ผมบอกกับป้านาบี ผมรู้ว่าถ้าเขานอนในตอนนี้จะทำให้เขานอนไม่หลับในตอนกลางคืน หลังจากนั้นเขาก็จะบ่นไม่หยุด ถ้าใช้ศัพท์ให้น่ารักก็คงจะเรียกว่างอแง แต่แบคฮยอนต้องไม่ชอบใจแน่ถ้าผมใช้คำว่างอแงต่อหน้าเขา

     

                ผมพยายามโทรหาเขาอีกรอบแต่ผลก็เป็นเหมือนเดิม ผมพยายามหาเหตุผลให้คนตัวเล็กว่าทำไมเขาจึงไม่รับโทรศัพท์ มันมีความเป็นไปได้เพียงแค่สามอย่างคือเขาไม่สบายจนนอนหลับไป หรืออาจจะปิดเสียงโทรศัพท์เอาไว้ และอย่างสุดท้ายคือสิ่งที่ผมไม่อยากให้เกิดขึ้นมากที่สุด...คือแบคฮยอนออกไปข้างนอกด้วยตัวคนเดียว

     

                ผมรู้ว่าแบคฮยอนเป็นคนดื้อรั้น แต่เขาคงไม่ทำลายความเป็นห่วงของผม ผมกำชับเขาไว้แล้วว่าอย่าออกไปไหนคนเดียว ผมเชื่อใจว่าเขาจะยังคงอยู่ในบ้าน

     

                แต่ทันทีที่ผมขับรถผ่านป้ายรอรถเมล์ตรงสี่แยกที่สอง ตอนนั้นเองที่ทำให้ผมได้รู้ว่าผมคิดผิด

     

                แบคฮยอนอยู่ตรงนั้น อยู่กับผู้ต้องสงสัยอันดับหนึ่ง...หวงจื่อเทา

     

     

     

    ผมจอดดูคาติตรงข้างทางซึ่งไม่ห่างจากป้ายรถเมล์นั้นนัก พนันได้เลยว่าถ้าแบคฮยอนหันมาเจอรถของผมเข้า เขาคงจำได้ทันที แต่ไม่ แบคฮยอนไม่สนใจสิ่งอื่นนอกจากเด็กผู้ชายตัวสูงที่อยู่ตรงหน้า ผมไม่เห็นว่าแบคฮยอนแสดงสีหน้าแบบไหนเพราะเขาหันหลังให้ผมอยู่ สิ่งที่ผมเห็นมีเพียงแค่แผ่นหลังเล็กๆของคนดื้อกับใบหน้าซีดเซียวคล้ายคนไม่สบายของหวงจื่อเทา

     

                การเห็นเพียงแค่ท่าทางแต่ไม่รู้ว่าเขาทั้งสองคุยอะไรกันทำให้ผมหงุดหงิดใจไม่น้อย ถ้าผมไม่รู้จักพวกเขาผมอาจจะคิดว่ากำลังมาซุ่มดูคู่รักอยู่ก็ได้ ผมตีความหมายจากสายตาที่จื่อเทาเลือกใช้มองแบคฮยอนเป็นอย่างอื่นไม่ได้เลยนอกจากเขารักแบคฮยอน

     

                รักในแบบที่ไม่ใช่แค่พี่น้อง รักเหมือนที่ผมเองก็รักแบคฮยอน

     

     มีคำถามเพียงแค่ข้อเดียวเท่านั้นที่อยู่ในใจของผม ทั้งๆที่ผมเพิ่งเคยได้เห็นหวงจื่อเทาเป็นครั้งแรก ผมยังดูออกว่าเขาตกหลุมรักแบคฮยอน แล้วคนตัวเล็กที่อยู่ร่วมกับเขามาเป็นสิบปีจะดูไม่ออกอย่างนั้นหรือ?

     

     ผมคิดไว้ว่าจะดูอย่างเงียบๆและไม่ผลีผลามที่จะปรากฏตัว แต่เพียงแค่เด็กจีนนั่นเอนหน้าผากลงมาซุกที่แผ่นอกของแบคฮยอน ตอนนั้นเองที่ผมไม่อาจนิ่งเฉยได้อีกต่อไป

     

    แบคฮยอน ใบหน้าลูกหมานั่นฉายความตกใจได้อย่างชัดเจนเพียงแค่ผมเรียกชื่อของเขาเบาๆ แบคฮยอนมองแขนของตัวเองตรงที่ถูกผมจับเอาไว้ จื่อเทาผละหน้าของตัวเองออกจากหน้าอกของแบคฮยอนเพื่อที่จะมองหน้าผม และมันเป็นวินาทีนั้นเองที่ผมได้สบตาเข้ากับเด็กคนนี้เป็นครั้งแรก

     

    แม้ใบหน้าจะซีดเซียวแต่ความผยองในดวงตาคู่เฉี่ยวนั้นกลับฉายวาบจนผมสังเกตได้ ก่อนที่ดวงตานั้นจะกลับมาดูไร้พิษภัยเหมือนกับวัยรุ่นทั่วไป จื่อเทาขมวดคิ้วมองผมอย่างสงสัยแต่ผมไม่รอให้เขาเอ่ยปากใดๆทั้งสิ้น เพราะสิ่งที่ผมสนใจคือคนตัวเล็กที่ยังกะพริบตาถี่ๆเหมือนกับไม่เชื่อสายตาตัวเองที่เห็นผมมายืนอยู่ตรงนี้

     

                ฉันบอกนายว่าอย่าไปไหนมาไหนคนเดียวไม่ใช่หรือ?”

     

                ฉัน...คือ...

     

                การที่ผมเอ่ยถามเสียงเรียบคงทำให้แบคฮยอนเป็นกังวลไม่น้อย ผมไม่ได้หึงหวงกับสิ่งจื่อเทาแสดงออกต่อแบคฮยอน ผมเชื่อใจและรู้ดีว่าแบคฮยอนไม่ได้รู้สึกกับเด็กจีนนั่นมากไปกว่าคำว่าน้องชาย แต่ผมหงุดหงิดที่แบคฮยอนไม่เคยเชื่อคำเตือนของใครเลย แม้กระทั่งคำเตือนของผมเอง ทำไมเขาถึงชอบทำอะไรเพียงลำพังทั้งๆที่ผมพร้อมจะช่วยเขาเสมอ คนที่แบคฮยอนอยู่ด้วยในตอนนี้เป็นน้องชายก็จริงแต่ก็เป็นผู้ต้องสงสัยสำหรับผมด้วย ผมแค่อยากให้เขาตระหนักถึงความเป็นห่วงจากคนอื่นๆบ้าง เขาไม่รู้หรือไงกัน ว่าความรู้สึกเป็นห่วงที่ผมมีต่อเขานั้นมันมากแค่ไหน

               

                นี่เพื่อนพี่แบคฮยอนเหรอครับ?” สำเนียงแปร่งๆและเสียงแหบๆนั่นทำให้ผมต้องเงยหน้าขึ้นมอง หวงจื่อเทาคงไม่สบายอย่างที่ผมคาดเดาไว้ ผมสบตากับเด็กตัวสูงนั่นอย่างเรียบเฉยก่อนที่จะตอบคำถามแทนคนตัวเล็กที่ยังคงปั้นหน้าไม่ถูก

     

                เปล่า ฉันไม่ได้เป็นเพื่อนของแบคฮยอน

     

     ผมสอดประสานมือของตัวเองเข้ากับมือเรียวของคนข้างกาย มือของแบคฮยอนเย็นชืด กระนั้นผมก็ยังสัมผัสได้ถึงแรงของชีพจรที่เต้นตุบๆตรงฝ่ามือขาว

     

    แต่ฉันเป็นคนรัก

     

                มีคำกล่าวของสตีเฟ่น คิงที่กล่าวไว้ว่า ผีมีจริง ปีศาจก็มีจริง พวกมันล้วนอยู่ในตัวของมนุษย์ และบางครั้งพวกมันก็เอาชนะเหนือเราได้

     

    คำกล่าวนั้นช่างสอดคล้องกับหวงจื่อเทาในตอนนี้เสียเหลือเกิน แม้จะเป็นเพียงเสี้ยววินาทีที่เด็กหนุ่มตรงหน้าขบกรามแน่นคล้ายกับการข่มปีศาจในจิตใจไม่ให้เผยธาตุแท้ในตอนนี้ แต่นั่นก็นานพอที่ผมจะสังเกตเห็น ผู้ต้องสงสัยอันดับหนึ่งของผมมีรูปพรรณสัณฐานที่ตรงกับเอสทุกอย่าง ต่างกันที่เด็กตรงหน้ามองดูเผินๆแล้วก็เหมือนกับเด็กหนุ่มทั่วไป แต่สัญชาตญาณของผมบอกว่าไม่ใช่ เด็กคนนี้มีอะไรมากกว่านั้น และเป็นสิ่งที่ไม่ธรรมดาเสียด้วย

     

                ถ้าไม่มีอะไรแล้ว คงต้องขอตัวก่อน

     

                ไม่รอให้ใครได้กล่าวทักท้วง  ผมพาแบคฮยอนขึ้นรถก่อนที่จะมุ่งตรงไปบ้านของเรา ตลอดทางแบคฮยอนอึกอักคล้ายจะพูดอะไรบางอย่าง แต่ด้วยท่าทีที่นิ่งสงบของผมคงทำให้เขากล้าๆกลัวๆที่จะเอ่ยปาก ผมรู้ว่าเขาลอบมองผม แต่ผมก็แสร้งทำเป็นเมินคนดื้อรั้นไปเสีย กระทั่งผมจอดรถและเข้ามาในตัวบ้านแล้วก็ตาม แต่แบคฮยอนก็ยังทำเพียงแค่มองผมและไม่ปริปากพูด ผมทำทีเป็นไม่สนใจและเฝ้ารอว่าแบคฮยอนจะมีท่าทีอย่างไรต่อไป แต่การที่เขาทำเพียงแค่มองก็ทำให้ผมรู้สึกขุ่นมัวขึ้นมาเสียอย่างนั้น วินาทีที่ผมเปิดประตูห้องนอนเป็นวินาทีเดียวกับที่แบคฮยอนเอ่ยรั้งผมไว้

     

     

                ชานยอล...

     

                ผมหันหลังไปตามเสียงหงอยๆนั่นอย่างช้าๆ สร้อยรูปแม่กุญแจที่เป็นของแบคฮยอนนอนแน่นิ่งอยู่ในกระเป๋ากางเกงของผม ทั้งๆที่วันนี้ผมจะบอกเขาว่าผมไม่ใช่แค่ปาร์คชานยอล คนที่เพิ่งมารู้จักกับเขาเพียงไม่กี่เดือน แต่ผมคือปาร์คชานยอลคนที่รู้จักกับเขามาตั้งแต่เด็ก ผมตั้งใจว่าจะคืนสร้อยให้เขา แต่ทุกอย่างก็พังไม่เป็นท่าเมื่อแบคฮยอนไม่ฟังคำขอร้องของผมเลย ความเป็นห่วงผลักดันให้เกิดตะกอนขุ่นอยู่ในหัวใจของผม ผมอยากจะถามเขาในสิ่งที่คิดไว้ดังๆ แต่เพียงแค่หันไปพบเข้ากับหางตาตกๆคู่นั้นก็ทำให้ผมต้องปรับโทนเสียงอย่างกะทันหัน ผมสูดลมหายใจเข้าลึกพยายามให้เหตุผลยู่เหนืออารมณ์ก่อนจะค่อยๆจับไหล่เล็กทั้งสองข้างของคนตรงหน้า

     

                ทำไมนายถึงออกไปข้างนอกทั้งๆที่ฉันขอร้องไว้แล้ว?แบคฮยอนหลบสายตา ท่าทีพยศอย่างที่เคยแสดงออกถูกแสงแดดขโมยไปแล้วหรือยังไงผมไม่อาจทราบได้ เพราะตอนนี้มีเพียงแค่แบคฮยอนคนที่เหมือนลูกหมาเศร้าซึมเท่านั้น ตอบฉันมาสิ แบคฮยอน

     

                ฉันฉันมีเหตุผลที่ต้องออกไป

     

                เหตุผลอะไรล่ะ บอกฉันมาสิ

     

                ฉัน...

     

                กี่ครั้งแล้วที่นายทำแบบนี้ นายไม่เคยฟังคำเตือนของใครเลยแบคฮยอน ทั้งๆที่ฉันพยายามถนอมนาย พานายมาอยู่มาอยู่ในที่ปลอดภัยแต่นายก็ยังดันทุรังออกไปข้างนอก ความหวังดีของฉันมันไม่มีค่าเลยหรือ?

     

                ไม่ใช่... คือฉัน...

     

                ยิ่งเห็นท่าทีสับสนของแบคฮยอนผมก็ยิ่งร้อนใจ ผมรู้ว่าเขามีเหตุผลและผมไม่ได้ต้องการที่จะพูดเพื่อทำให้เขารู้สึกแย่ แต่ถ้าผมปล่อยให้เขาดื้อ ปล่อยให้เขาทำอะไรตามใจตัวเองโดยที่ไม่คิดถึงใจของผมไปตลอดแบบนี้มันก็ไม่ใช่เรื่องที่ดีเหมือนกัน ผมอยากให้แบคฮยอนรู้ว่านิสัยที่ไม่ฟังใครของเขาไม่ใช่สิ่งที่ดีเลยแม้แต่น้อย แม้ว่าภายในใจของผมอยากจะดึงเขาเข้ามากอด อยากค่อยๆพูดให้เขาเล่าให้ฟังว่าเขาออกไปไหน ไปทำอะไรกับหวงจื่อเทา แต่อย่างที่ผมบอกไปแล้ว การให้บทเรียนเป็นสิ่งสำคัญที่จะทำให้แบคฮยอนได้เรียนรู้และเข้าใจว่าการดื้อรั้นจะส่งผลเสียยังไงต่อตัวของเขาเอง

     

                ฉันขอโทษนะชานยอล แต่ฉันยังบอกเหตุผลนั้นไม่ได้

     

                ผมพ่นลมหายใจอย่างแรงและนั่นทำให้แบคฮยอนห่อไหล่เข้าหากัน เขาที่ตัวเล็กอยู่แล้วยิ่งดูตัวเล็กเข้าไปอีกในตอนนี้ ถ้านายพร้อมจะบอกเมื่อไหร่ ค่อยมาพูดกับฉันก็แล้วกัน

     

                ผมปิดประตูห้องนอนโดยทิ้งแบคฮยอนไว้ข้างนอก ผมตั้งใจให้เขาทบทวนการกระทำของตัวเองสักหนึ่งคืนแล้วพรุ่งนี้ผมจะเป็นฝ่ายเข้าไปคุยอย่างที่ใจเย็นกว่านี้ แน่นอนว่าผมรักเขา แต่ผมก็อยากแก้ไขในสิ่งที่ผิดให้เป็นถูก ผมไม่อยากให้เขาต้องเจอกับเรื่องที่ร้ายแรงมากไปกว่านี้เพราะมีสาเหตุมาจากนิสัยของเขาเอง

     

                ผมได้แต่หวังว่าแบคฮยอนจะลดความดื้อรั้นลง หรือไม่ก็จะเป็นผมเองที่ต้องทำหน้าที่ปราบคนจอมพยศคนนี้ให้ได้...

     

     

    (end chanyeol’s part)

     

     

    TBC

    ยังคงคอนเซ็ปต์ฟิคชานแบคที่มีชานแบคอยู่กระจึ๋งนึงได้อย่างน่ารัก #หรา

    เดี๋ยวตอนหน้าให้แบคเล่านะว่าไปหาเทาที่ไหน ไปทำไม เราอยากให้ทุกคนเป็นเหมือนชานยอลที่ก็ไม่รู้ว่าแบคไปทำอะไรกับเทา ตอนหน้าชานแบคเยอะแน่ๆ สัญญา

    คิดถึงกันมั้ย T_T เราคิดถึงคนอ่านนะ  ไม่เคยหายไปนานขนาดนี้ เกือบสองเดือนแหน่ะ เป็นสองเดือนที่เปิดเวิร์ดทุกวัน พยายามแต่งเหมือนเดิมที่เพิ่มเติมคือไม่มี ไม่มีอะไรเพิ่มเลย หน้าเวิร์ดนี่โล่งแบบ555555

    ปวดหัวแทนคนอ่าน เครียดกับเนื้อเรื่องไม่พอต้องมาเครียดกับทอล์คผีบ้านี่อีก ไม่เคยมีสาระอะไรเลย วู้

    ขอโทษจริงๆค่ะที่อัพช้ามากๆ กว่าจะได้แชปนี้สาหัสเหลือเกิน ไม่รู้ว่ายากอะไร แต่ยาก ขอบคุณที่ช่วยกันทวงนะคะ มันเป็นการกระตุ้นเราได้ดีมาก ;_;  จะไม่สปอยอะไรทั้งนั้นเพราะอยากให้ทุกคนมาอ่านต่อ5555555 ใครที่จำเนื้อเรื่องไม่ได้ถ้าขี้เกียจไปอ่านก็มาถามเราได้นะ ตอบละเอียดเหลยย นี่จำกันได้มั้ยอ่ะว่าชานยอลจะไปหาไฟล์อะไร มันคือไฟล์ที่แทมินเคยบอกว่าเอสรวบรวมข้อมูลของไนท์แมร์ทุกคนเอาไว้ซึ่งนั่นหมายถึงข้อมูลของคนที่เป็นหนอนบ่อนไส้ด้วย ไฟล์อยู่ที่บ้านแจบอมนะ สงสัยอะไรถามนะ เราเต็มใจตอบเสมอ

    ขอบคุณคนที่อ่านมาจนถึงตอนนี้นะคะ ขอบคุณมากๆสำหรับกำลังใจ เจอกันแชปหน้า รัก (หัวใจ)

    Up : 09/10/2015 (30%)  08/12/2015 (100%)

    #ficsee2b

     

     

     

    © themy butter
    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×