ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    [exo] See through B's trick (chanbaek)

    ลำดับตอนที่ #5 : - CH 4 : find -

    • เนื้อหาตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 3.66K
      46
      13 เม.ย. 59



    chapter 04



      ชื่อองค์กร : NIGHTMARE

    จำนวนสมาชิก : 7 คน (ยังไม่ทราบข้อมูล)

    ทราบตัวตนแล้ว : ปาร์ค ชานยอล (ข้อมูลยังเป็นความลับ)

    หัวหน้าองค์กร : เอส (ยังไม่ทราบข้อมูล)

    ประวัติอาชญากรรม : ปล้นธนาคาร COT BANK, ขโมยข้อมูลรัฐบาลวางเพลิงสถานีตำรวจสน.โนวอนลอบทำร้ายเจ้าหน้าที่หน่วยงานรัฐ

    สัญลักษณ์องค์กร : หน้ากากสีขาว

    สถานะ : ยังไม่สามารถจับกุมได้

    .....

     

    ผมไม่เคยมั่นใจเท่าวันนี้มาก่อนว่าผมเกลียดพวกไนท์แมร์นอกเหนือจากหน้าที่ 

     

    ดังนั้นพวกเราจึงมอบร่างของเธอสู่พื้นดิน,จากดินสู่ดินจากเถ้าสู่เถ้าจากธุลีสู่ธุลีในความแน่แท้และความหวังอันไว้วางใจได้ของการคืนชีพสู่ชีวิตอันชั่วนิรันดร์

     

    เสียงของบาทหลวงกังวานในโสตประสาท รอบกายมีแต่ผู้คนใส่ชุดดำเพื่อเป็นการไว้อาลัยให้แก่คนที่รัก โลงไม้ที่อยู่ในหลุมนั้นบรรจุร่างหญิงสาวที่ผมเชื่อว่าเธอยังคงงดงามแม้จะไร้ลมหายใจแล้วก็ตาม

     

    คิม ฮโยยอน เธอจะประทับอยู่ในก้นบึ้งหัวใจของผมตลอดไป

     

    ดอกไม้แต่ละดอกถูกวางลงไปในหลุมเหมือนเป็นการอำลาครั้งสุดท้าย ท้องฟ้ากลายเป็นสีมืดครึ้มราวต้องการแสดงความไว้อาลัยร่วมกับพวกเรา ไม่นานสายฝนก็หล่นลงมาเป็นสายแข่งกับหยาดน้ำตาของหญิงชรา แม่ของฮโยยอนร้องไห้เหมือนจะขาดใจจนจงแดต้องเข้าไปช่วยประคอง มันเป็นภาพที่น่าหดหู่เหลือเกินสำหรับผม

     

    หน่วยสตาสต่างมาร่วมงานศพของฮโยยอน แม้กระทั่งโอเซฮุนที่เป็นตัวป่วนประสาท แต่ครอบครัวของฮโยยอนคิดว่าเราเป็นแค่เพื่อนร่วมงานจากบริษัทเท่านั้น

     

    ร่มสีดำถูกกางขึ้นเหนือหัว ผมหันไปสบตากับผู้ที่กางร่มให้ จงอินบีบไหล่ผมเบาๆเหมือนเป็นการปลอบทั้งๆที่เขาเองก็มีดวงตาแดงก่ำเหมือนคนกลั้นน้ำตาไว้

     

    มึงโอเคนะ?” จงอินถามผมด้วยเสียงที่ฟังดูก็รู้ว่าพยายามบังคับไม่ให้สั่นเครือ

     

    กูโอเค แล้วมึงล่ะ

     

    กูโอเค” จงอินละสายตาจากผมก่อนจะมองไปยังแผ่นฟ้าที่ปล่อยหยาดฝนลงมาไม่ขาดสาย “อย่างน้อย กูก็ได้รู้ว่าความตายมันไม่ได้พรากคนที่กูรักไปไหน มันแค่ย้ายเขาจากพื้นที่ข้างๆตัวให้เข้ามาอยู่ในนี้แทน” จงอินกุมไปที่หน้าอกข้างซ้ายของเขา เพียงเท่านี้ผมก็เข้าใจความหมายที่เขาต้องการจะสื่อ

     

    อย่างที่จงอินว่า ความตายมันไม่ได้พรากให้ใครหายไป แต่มันเป็นแค่กลไกอย่างหนึ่งที่จะตรึงคนที่เรารักให้ประทับแน่นลงไปในทุกห้องของหัวใจ ซึมลงไปในกล่องความทรงจำและความเจ็บปวดในวันนี้ก็จะถูกชะล้างโดยความเข้มแข็งที่จะเข้ามาแทนที่

     

    คนดีๆแบบฮโยยอนไม่น่าต้องมาตายแบบนี้ ถ้าไม่ใช่เพราะเราทำงานพลาด

     

    เสียงที่ดังขึ้นจากด้านหลังเรียกให้ผมและจงอินหันไปมอง เป็นจงแดที่กลับมาจากส่งแม่ของฮโยยอนไปนั่งพักเรียบร้อยแล้ว เสียงของเขาฟังดูแสนประชดประชัน ผมรู้ว่าเขายังคงขุ่นเคืองตั้งแต่วันที่ผมบุกไปจับชานยอลด้วยตัวเอง ผมรู้ว่าจงแดไม่ชอบความอวดเก่งของผม เขาเป็นคนฉลาด เป็นมันสมองของทีม ดังนั้นเขาจึงใจเย็นและทำทุกอย่างตามขั้นตอนอย่างละเอียด ซึ่งนั่นต่างจากผมโดยสิ้นเชิง

     

    แล้วนายจะเอายังไงล่ะจงแด ให้แบคฮยอนตายแทนฮโยยอนหรือไงนายถึงจะพอใจ?” จงอินถามด้วยท่าทีไม่ชอบใจนัก ผมจับแขนเขาเป็นการเตือนสติแต่ก็ไม่ช่วยให้จงอินใจเย็นลงสักเท่าไหร่

     

    มันจะไม่มีใครตายถ้าเราทำตามแผน ไม่ปล่อยให้เป้าหมายวกกลับมาเล่นงานได้แบบนี้” จงแดกระชับร่มในมือ เขาล้วงกระเป๋ากางเกงมองพวกผมด้วยสายตาดูแคลน  “ชีวิตของพวกเราต่างเสี่ยงเท่าๆกัน นายลองนึกดูสิแบคฮยอน ว่าความอวดเก่งของนายทำให้พวกเราเกือบตายมากี่ครั้งแล้ว

     

    จงแดพูดเพียงเท่านี้ก่อนจะเดินจากไป ทิ้งไว้เพียงแค่คำพูดที่เป็นดังเข็มเล่มเล็กแต่แทงทะลุเข้าไปถึงก้านสมอง เขาพูดถูกทุกอย่าง นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่ความอวดดีของผมทำให้คนอื่นต้องเดือดร้อน แต่ผมพยายามแล้วที่จะช่วยทีม ผมแค่คิดว่าวิธีของผมมันจะช่วยทีมได้

     

    อย่าคิดมากนะมึง ไอ้แว่นนั่นแม่งก็ชอบพูดจาหมาๆแบบนี้” จงอินบอกผม ผมรู้ว่าเขาไม่อยากให้ผมเครียด “มันไม่ใช่ความผิดมึง  แต่เป็นเพราะไอ้พวกไนท์แมร์นั่น… กูสาบานว่าสักวันจะเอาคืนพวกมันให้ได้

     

    กูก็เหมือนกัน

     

    “…”

     

    ต้องเอาคืนให้สาสมกับที่มันทำกับฮโยยอน

     

    ผมบอกจงอิน ความเกลียดที่มีต่อไนท์แมร์ของผมและจงอินมันนอกเหนือจากหน้าที่ไปเสียแล้ว เรารู้แค่ว่าพวกมันฆ่าคนที่เรารัก พวกมันขโมยชีวิตของฮโยยอนไป

     

    และผมขอสัญญา

     

    ว่าจะต้องกำจัดพวกมันให้ราบคาบ

     

    แม้กระทั่งคนที่ร้ายกาจที่สุด … อย่างปาร์ค ชานยอลก็ตาม 

     

     

    สายฝนซาลงเหลือเพียงแค่หยดน้ำเม็ดเล็กๆและทิ้งไว้เพียงแค่ไอเย็น จงอินอาสาไปส่งผมที่บ้านแต่ผมปฏิเสธด้วยคิดว่าการนั่งรถเมล์แล้วมองนอกหน้าต่างไปเรื่อยๆนั้นดูจะเป็นการผ่อนคลายเสียมากกว่า การเจอผู้คนตามท้องถนนเหมือนกับช่วยปัดเป่าความทุกข์ไปได้ชั่วระยะเวลาหนึ่ง

     

    ผมเดินออกมาจากโบสถ์ มีร่มสีดำสนิทที่จงอินให้มากางอยู่ในมือ ไม่นานผมก็มาเดินอยู่บนทางเท้า ในตอนนั้นเองที่เสียงเรียกจากใครบางคนทำให้ผมหันหลังไปมอง

     

    แบคฮยอน!”

     

    ผมหันหน้าหนี พยายามไม่สนใจคนที่เปิดกระจกรถออกมาตะโกนเรียก ผมได้ยินเสียงปิดประตูรถดังปัง เป็นสัญญาณว่าเขาคงลงจากรถแล้วเดินตามผมแน่ สองขาก้าวไวขึ้นแต่ก็ไม่อาจหนีไปได้เมื่อข้อมือของผมถูกรั้งไว้ด้วยฝ่ามือใหญ่ของอีกฝ่าย

     

    เดินหนีพี่ทำไมครับ?”

     

    เขาถามผม น้ำเสียงของเขาเล่นเอาผมอยากพ่นลมหายใจแรงๆใส่หน้าคมนั่น ผมกลอกตาเบื่อหน่ายและพยายามสะบัดข้อมือให้หลุดจากมือแกร่ง ผมคงจะไม่แสดงท่าทีแบบนี้แน่หากคนตรงหน้าในตอนนี้ไม่ใช่หัวหน้าอี้ฝาน

     

    ปล่อยผม แล้วก็เลิกใช้สรรพนามแบบนั้นเสียที

     

    อย่าทำแบบนี้เลยแบคฮยอน พี่ก็แค่อยากคุยด้วย

     

    เราไม่มีอะไรต้องคุยกันแล้วครับหัวหน้า ผมขอตัว

     

    ผมสะบัดข้อมืออีกครั้ง แต่มือของหัวหน้าอี้ฝานเหมือนกับดักนายพรานที่ไม่ปล่อยให้เหยื่อหลุดออกไปได้ ผมมองตาเขาอย่างไม่สบอารมณ์ ใจจริงอยากจะต่อยหน้าเขาสักทีสองที มีคนมองเราสองคนบ้างแต่ไม่มากนักเพราะฝนที่เพิ่งตกหนักไปเมื่อครู่ทำให้ผู้คนยังไม่ออกจากบ้านเท่าที่ควร

     

    ปล่อย ผมจะกลับบ้าน

     

    ให้พี่ไปส่งนะ

     

    ผมกลับเองได้ อย่ามายุ่งกับผม

     

    แบคฮยอน…” น้ำเสียงและสายตาของหัวหน้าอี้ฝานช่างดูตัดพ้อและเหนื่อยล้าจนอดคิดไม่ได้ว่าหากเป็นเมื่อก่อนผมคงใจอ่อนอย่างง่ายดาย “ทำไมเราถึงใจร้ายกับพี่ได้ขนาดนี้ ทั้งๆที่เราก็รู้ว่าพี่เป็นห่วงแค่ไหน” 

     

    ผมแค่นหัวเราะก่อนจะเสมองไปทางอื่น เขาบอกว่าผมใจร้ายอย่างนั้นเหรอ? แล้วสิ่งที่เขาเคยทำไว้กับผมล่ะ มันควรเรียกว่าอะไร

     

    แบคฮยอนพี่ขอโทษ

     

    ‘…’

     

    แต่พี่คิดว่า พี่รักอี้ชิง

     

    เสียงของเขาในวันนั้นผมยังคงจำได้ดี ครั้งหนึ่งมันเคยเป็นประโยคที่กรีดหัวใจของผมให้เจ็บซ้ำแล้วซ้ำเล่า แต่ในเมื่อวันที่ผมเข้มแข็งขึ้น หัวหน้าอี้ฝานกลับเดินเข้ามาขอโอกาสเริ่มต้นใหม่ เขาบอกผมว่าเขารู้หัวใจตัวเองแล้วว่ารักผมมากแค่ไหน

     

    มันเหมือนกับการที่เขาเอามีดมาปักลงกลางใจผม แล้ววันหนึ่งเขาก็เพิ่งนึกขึ้นได้จึงกลับมาถามผมว่าเจ็บมากไหม

     

    คำตอบคือมันเจ็บมากและความเจ็บนั้นได้กลายเป็นแผลเป็นที่คอยย้ำเตือนให้ผมไม่มีวันกลับไปทำให้ตัวเองเกิดรอยแผลซ้ำสอง 

     

    ถ้าหัวหน้ามีธุระสำคัญเกี่ยวกับงานก็รีบๆพูดมา แต่ถ้าหากเป็นเรื่องไร้สาระ ก็เชิญกลับไปซะ

     

    เราจะไม่ให้โอกาสพี่อีกสักครั้งเลยเหรอ

     

    ผมจะให้โอกาสสำหรับคนที่เห็นคุณค่าของมัน แต่สำหรับหัวหน้า มันไม่ใช่

     

    เขาปล่อยข้อมือของผมออกช้าๆแล้วพยักหน้าน้อยๆเหมือนจะเข้าใจ แต่ผมเชื่อว่าเขาไม่เข้าใจผมเลยสักนิด แววตาของเขามันฟ้องทุกอย่างว่าเขาจะยังคงตามผมและไม่ยอมแพ้จนกว่าจะได้ในสิ่งที่ต้องการ

     

    อย่างน้อยวันนี้ให้พี่ไปส่งก็ยังดี พี่ไม่เห็นรถเรามาหลายวันแล้วนะ เอาไปแต่งเหรอ?”

     

    หัวหน้าอี้ฝานถามผมด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน ถูกอย่างที่เขาคิด CBR ของผมถูกส่งไปต่อเติมเครื่องยนต์ทำให้ผมต้องพึ่งรถเมล์มาหลายวันแล้ว เขารู้ดีว่าผมเป็นคนรักรถมากแค่ไหนและเขายังรู้ว่าผมเป็นคนป่วยง่าย นั่นเป็นเหตุผลที่เขาพยายามแย่งร่มในมือผมไปถือเสียเองเพื่อไม่ให้ผมโดนละอองฝนไปมากกว่านี้

     

    ผมบอกหัวหน้าแล้วไงครับว่าผมกลับเองได้” ผมยังคงเสียงแข็งแต่หัวหน้าอี้ฝานกลับยิ้มละมุนมาให้พร้อมกับแย่งร่มไปถือไว้ได้สำเร็จ

     

    พี่ขอร้องแค่ครั้งนี้ครั้งเดียว พี่ไม่อยากให้เราเดินฝ่าละอองฝนกลับไป

     

    ผมบอกว่าไม่---

     

    นะครับ พี่ขอร้อง…”

     

     

    ผมไม่ได้ใจอ่อนที่มานั่งอยู่ในรถของหัวหน้าอี้ฝานแบบนี้ แต่เป็นเพราะผมรำคาญ เราสองคนเหมือนเป็นเพียงขวดแก้วใสที่อีกฝ่ายสามารถมองเห็นข้างในได้จนทะลุปรุโปร่ง เขารู้นิสัยของผมเหมือนอย่างที่ผมรู้นิสัยของเขาว่าจะพยายามทำทุกอย่างเพื่อให้ได้สิ่งที่ต้องการไม่ว่าจะด้วยวิธีใดก็ตาม 

     

    ผมยอมทำตามอย่างที่เขาขอก็เพื่อตัดความรำคาญเพียงเท่านั้น

     

    หนาวไหม? เอาเสื้อพี่ไปคลุ---

     

    อย่ายุ่งกับผม

     

    ผมบอกปัดความหวังดีของหัวหน้าอี้ฝาน เขาถอนหายใจอย่างเหนื่อยอ่อนและมองผมด้วยสายตาผิดหวัง เขาคงจะดูน่าสงสารมากๆในสายตาของคนอื่น แต่พวกคุณจงอย่าลืมเหมือนอย่างที่ผมจำฝังใจ ว่าครั้งหนึ่งเขาเคยทำให้ผมเจ็บช้ำมากแค่ไหน

     

     

    ขอบคุณที่มาส่ง

     

    ผมบอกเขาทันทีที่รถจอดเทียบรั้วหน้าบ้าน ผมไม่แม้แต่จะมองหน้าเขา รู้แค่ว่าอยากหนีออกจากความอึดอัดนี้เสียที จังหวะที่ผมกำลังจะเปิดประตูรถ หัวหน้าอี้ฝานกลับพุ่งเข้ากอดผมจากด้านหลัง สองแขนรวบตัวผมไว้แน่นแล้วเอาคางเกยไว้ที่ไหล่ ผมพยายามดิ้นหนีแต่เขากลับหยุดการเคลื่อนไหวของผมด้วยการใช้ปลายจมูกสัมผัสลงมาที่แก้ม

     

     “พี่ขอโทษแบคฮยอน ขอโทษกับทุกเรื่องที่ผ่านมา

     

    “…”

     

    ให้โอกาสพี่อีกสักครั้งเถอะ

     

    น้ำเสียงของหัวหน้าอี้ฝานฟังดูอ้อนวอน ขอร้องและน่าเห็นใจไปในคราวเดียวกัน แต่บยอน แบคฮยอนในอดีตได้ถูกเขาทำลายไปจนหมดสิ้นแล้ว

     

    เราเพิ่งกลับมาจากงานศพของฮโยยอน พี่น้องของพวกเราหัวหน้าก็รู้ใช่ไหมครับ?”

     

    “…”

     

    แล้วคุณยังมีหน้ามาพูดเรื่องไร้สาระแบบนี้ได้อีกเหรอ?”

     

    แบคฮยอน…”

     

    ผมไม่มีอารมณ์จะพูดเรื่องนี้ในตอนนี้หรอกครับ ผมขอตัว

     

    ผมพูดก่อนจะผละออกจากอ้อมกอดของหัวหน้าอี้ฝาน เขาปล่อยให้ผมเป็นอิสระอย่างง่ายดาย ถ้าให้เดา สีหน้าของเขาคงไม่ดีนักหลังจากฟังคำพูดร้ายกาจจากผมไป แต่สิ่งที่เขาพูดในประโยคถัดมาก็ทำเอาผมถึงกับอยากจะหันกลับไปตั๊นหน้าแรงๆให้สมกับความดื้อด้านของเขา

     

    เราคงรู้ใช่ไหมแบคฮยอน

     

    “…”

     

    ว่าพี่จะไม่หยุดอยู่แค่นี้

     

      

    ผมกลับเข้าบ้านด้วยความเหนื่อยอ่อน คำพูดของหัวหน้าอี้ฝานเล่นเอาผมหงุดหงิดจนอยากจะต่อยผนังระบายอารมณ์ แต่สายฝนที่โหมกระหน่ำลงมาอีกครั้งกับแสงแปลบปลาบจากท้องฟ้าทำให้ผมเริ่มใจไม่ดี เทากลับไปแล้ว ทิ้งไว้เพียงโน้ตที่อยู่บนโต๊ะกินข้าวเท่านั้น 

     

    ผมกลับละนะ

     

    จริงๆก็อยากอยู่ต่อแต่พ่อส่งคนมารับยันหน้าบ้านเลย

     

    อย่าโหมทำงานนะพี่ พักผ่อนเยอะๆ

     

    ผมเป็นห่วงนะ รู้เปล่า?

     

                                        เทา  สุดหล่อ J ’

     

     

    ผมอมยิ้มกับข้อความในกระดาษ เทาเป็นน้องชายที่น่ารักของผมเสมอ เขาใส่ใจผมในทุกเรื่อง แม้กระทั่งสีโพสอิทที่เขาใช้ เทาก็ยังเลือกสีฟ้าที่ผมชอบ แม้ภาพลักษณ์ของเขาจะดูเป็นผู้ชายแข็งกร้าวไปหน่อย ทั้งเจาะหูหลายรู สวมแหวนเงินหลายนิ้วและชอบโวยวายเสียงดัง แต่จริงๆแล้วเทามีความเป็นเด็กในตัวสูง เขาน่ารักและมักทำให้ผมยิ้มเสมอ นี่เป็นเหตุผลหนึ่งล่ะที่ทำให้ผมรักเขา 

     

    ครืนนนนน

     

    ฟ้าส่งเสียงฮึมเหมือนสัตว์ร้ายขู่ในลำคอเล่นเอาผมตัวแข็งไปชั่วครู่ ภาวนาขออย่าให้มันส่งเสียงคำรามไปมากกว่านี้ ผมวางแผนว่าควรจะรีบอาบน้ำแล้วเข้านอน ใส่หูฟังแล้วเปิดเพลงดังๆใส่หูเพื่อกลบเสียงที่แสนน่ากลัวนั่นซะ

     

    ผมออกมาจากห้องน้ำหลังจากอาบน้ำเสร็จพร้อมนุ่งผ้าเช็ดตัวผืนเดียวเพราะผมชอบแต่งตัวในห้องนอนมากกว่าที่จะเอาเสื้อผ้าไปใส่ในห้องน้ำ แต่ระหว่างที่ผมกำลังเดินอยู่กลางบ้าน ในตอนนั้นเองที่เงาตรงโซฟาทำให้ผมถึงกับก้าวขาไม่ออก 

     

    เขาใส่แมสก์สีดำปกปิดใบหน้าส่วนล่างเอาไว้ แต่ถึงกระนั้นผมก็ยังจำดวงตาสีน้ำตาลของเขาได้เป็นอย่างดี นิ้วยาวค่อยๆเกี่ยวเอาแมสก์นั้นออกและใบหน้าของเขาก็เผยให้ผมเห็นได้อย่างชัดเจน

     

    ช...ชานยอล?!”

     

     

    แบคฮยอนเอ่ยเรียกคนบนโซฟาอย่างไม่เชื่อสายตาตัวเอง คนตัวสูงใช้สายตาเรียบเฉยมองมาเหมือนอย่างทุกครั้งก่อนจะลุกขึ้นแล้วก้าวเข้ามาหาแบคฮยอนอย่างช้าๆ แต่ละก้าวช่างเหมือนกับตัวกระตุ้นให้ความสงสัยของร่างเล็กนั่นเพิ่มพูนขึ้น 

     

    นายเข้ามาได้ยังไง?”

     

    ชานยอลไม่ตอบแต่กลับสะบัดหน้าไปทางประตูบ้านเหมือนเป็นคำตอบกรายๆว่าเข้ามาจากทางนั้น ซึ่งมันไม่ตรงกับคำถามของแบคฮยอนเอาเสียเลย

     

    ชานยอลไม่รู้ว่าคนตัวเล็กรู้ตัวหรือไม่ ว่าตัวเองเป็นคนที่แสดงสีหน้าได้ชัดเจนมากแค่ไหน เช่นตอนนี้ที่ทั้งตกใจและสงสัย คิ้วเรียวจะขมวดเข้าหากันจนแทบเป็นปม ไหนจะการเบิกตาเล็กๆนั่นให้กว้างขึ้นอีก  มันทั้งดูน่าขันและน่าเอ็นดูไปในคราวเดียวกัน

     

    คนตัวสูงหยุดอยู่ตรงหน้าแบคฮยอน เขาใช้ดวงตาสีน้ำตาลสำรวจร่างเล็กตั้งแต่หัวจรดเท้าจนใบหูขาวของแบคฮยอนกลายเป็นสีแดงจัด ยิ่งแบคฮยอนอยู่ในชุดผ้าเช็ดตัวผืนเดียวแบบนี้ชานยอลก็ยิ่งเห็นทุกส่วนได้อย่างถนัดตา

     

    มีใครเคยบอกแบคฮยอนไหมว่าร่างกายของเขานั้นมันไม่เหมือนผู้ชายเอาเสียเลย ทั้งสะโพกผาย ลำคอระหงไร้ลูกกระเดือกอย่างที่ผู้ชายควรจะมี เอวคอดสวยแม้จะมีชั้นไขมันเล็กน้อยแต่ก็คงจะนุ่มนิ่มน่าดู ไหนจะผิวขาวผ่องที่มีหยดน้ำเกาะพราว ทั้งๆที่ฝนตกและอากาศเย็นแต่คนตัวเล็กกลับใส่แค่ผ้าเช็ดตัวผืนเดียวเดินไปเดินมาแบบนี้น่ะหรือ?

     

    นายมาที่นี่ทำไม?”

     

    คำถามจากแบคฮยอนพุ่งเข้าใส่ชานยอลอีกครั้ง เขาเดินเข้าไปจับไหล่เล็กทั้งสองข้างพร้อมกับหมุนตัวให้หันหลังก่อนจะดันร่างเล็กไปหยุดที่หน้าห้องนอน

     

    ไปใส่เสื้อผ้าก่อน

     

    ไม่นายมีอะไรก็รีบๆพูดมาสิ!”

     

    ชานยอลพยายามแล้วที่จะให้คนตัวเล็กไปใส่เสื้อผ้าแต่แบคฮยอนกลับดื้อเสียยิ่งกว่าที่คิดไว้ ดวงตาเรียวเล็กนั่นมองเขาเหมือนขู่ฟ่อ หากชานยอลต้องการบังคับแบคฮยอนจริงๆ แน่นอนว่าเขาสามารถทำได้ แต่มันคงจะเสียเวลาไม่น้อยกับการบังคับคนดื้อคนนี้ ดังนั้นเขาจึงเลือกที่จะพูดสิ่งที่ต้องการให้เร็วที่สุด

     

    เอสกำลังหาทางจับตัวนาย

     

    ร่างสูงเอ่ยเสียงเรียบ เขาคิดว่าแบคฮยอนจะต้องทำตาขวางแล้วก็ประชดเขาสักหนึ่งประโยค แล้วก็เป็นไปตามคาดเมื่อแบคฮยอนพ่นลมหายใจแรงๆก่อนจะถามเขาเสียงขุ่น

     

    แล้วนายมาบอกฉันทำไม? จะให้ฉันรู้ตัวก่อนงั้นเหรอ? ทำแบบนี้มันเหมือนว่านายกำลังช่วยฝ่ายตรงข้ามอยู่นะรู้ตัวหรือเปล่า?”

     

    ฉันรู้ แต่มันคือข้อแลกเปลี่ยนระหว่างเราสองคน” ชานยอลจ้องลึกเข้าไปในดวงตาของแบคฮยอน มันสะท้อนเป็นใบหน้าหล่อเหลาของเขาในดวงตาคู่สวยนั่น “ถ้าเกิดนายถูกฆ่าไปเสียก่อน แล้วใครจะเป็นคนบอกข้อมูลของสตาสให้กับฉันล่ะ หืม?”

     

    เหอะ ที่แท้จุดประสงค์ของนายก็อยู่ตรงนี้

     

    แบคฮยอนแค่นหัวเราะก่อนจะเงียบและพยายามคิดหาทางออกจากสถานการณ์นี้ เขาไม่รู้ว่าชานยอลคิดอะไรกันแน่ถึงได้มาบอกว่า เอส หัวหน้าของพวกไนท์แมร์นั้นกำลังคิดที่จะจับตัวเขา ถึงแม้ว่าร่างสูงจะยกเรื่องผลประโยชน์มาอ้างแต่มันก็ดูเกินไปหน่อยที่ถึงขั้นบุกเข้ามาในบ้านของเขาแบบนี้ 

     

    ฉันรู้ว่าวันนี้นายไปงานศพของฮโยยอน” คนตัวเล็กเงยหน้าขึ้นสบเข้ากับดวงตาสีน้ำตาลพราวเสน่ห์ของชานยอล “ฉันสะกดรอยตามนายตั้งแต่นายออกจากบ้าน กลับออกมาจากโบสถ์หรือแม้แต่ตอนที่นายกอดกับผู้ชายในรถนั่นฉันก็เห็น

     

    นั่นมัน...”

     

    นายไม่รู้ด้วยซ้ำว่ามีใครแอบตามนายอยู่ แล้วแบบนี้นายคิดว่านายจะรอดรึไงแบคฮยอน?”

     

    คนตัวเล็กเงียบไปหลังจากได้ยินสิ่งที่ชานยอลพูด เขาไม่รู้ตัวเลยด้วยซ้ำว่าถูกชานยอลสะกดรอยตามทั้งวัน แต่ทำไมต้องมาเห็นฉากที่เขาถูกอี้ฝานกอดด้วยวะ น่าขายหน้าชะมัด!

     

    ฉันไม่ได้ช่วยเพราะกลัวว่านายจะตาย แต่ฉันแค่กลัวว่าจะไม่ได้สิ่งที่ฉันต้องการ

     

    “…”

     

    เอสร้ายกาจมากแค่ไหนนายก็น่าจะรู้ดี หน่วยของนายไม่รู้จักตัวตนที่แท้จริงของเอสด้วยซ้ำ แม้กระทั่งพวกฉัน...ที่ก็ไม่รู้เหมือนกัน

     

    แบคฮยอนขมวดคิ้วมุ่นกับคำพูดของชานยอล ทั้งๆที่เอสเป็นหัวหน้าของร่างสูงแท้ๆแล้วเขาจะไม่รู้จักได้ยังไง มันแทบไม่มีความเป็นไปได้เลยที่ลูกน้องจะไม่รู้จักหัวหน้าของตัวเอง

     

    นี่เป็นเหตุผลหลักที่ฉันใช้นายเพราะฉันก็อยากรู้ตัวตนของเอสเช่นกัน ฉันอยากจะรู้ว่าคนที่สั่งให้ฉันทำงานพวกนี้มันเป็นใครกันแน่

     

    แบคฮยอนเข้าใจเหตุผลทั้งหมดของชานยอลในวินาทีนั้น คนตัวเล็กรู้แล้วว่าเขาไม่ได้มีค่ามากไปกว่าเครื่องมือในเกมของชานยอล หากหมดประโยชน์เขาก็คงถูกฆ่าในไม่ช้า ไม่ทันที่จะได้เอ่ยคำใด เสียงฟ้าที่เคยร้องเพียงเบาๆกลับคำรามลั่นจนมันดังก้องไปทั่วแผ่นฟ้า

     

       เปรี้ยง!!

     

    แบคฮยอนหลับตาปี๋พร้อมยกมือปิดที่ใบหู ชานยอลเห็นคนตรงหน้าตัวสั่นจนไม่อาจแยกออกได้ว่าเป็นเพราะความหนาวหรือความกลัว เขาขยับไปใกล้ร่างเล็กซึ่งเป็นจังหวะเดียวกับที่ฟ้าส่งเสียงร้องลั่นอีกครั้ง

     

    เปรี้ยง!!

     

    หมับ!

     

    แบคฮยอนโผกอดร่างสูงเต็มแรงจนชานยอลเซถอยหลัง ผิวเนื้อเนียนนุ่มนั่นแนบไปกับตัวของเขา กลิ่นหอมของครีมอาบน้ำลอยกระทบกับจมูก มันหอมจนเกือบจะทำให้สติพร่าเบลอ ท่อนแขนของคนตัวเล็กรัดเขาไว้แน่น แถมยังสั่นจนเหมือนกับลูกหมากลัวน้ำอีกต่างหาก ชานยอลเดาว่าแบคฮยอนคงไม่มีสติเหลืออยู่กับตัวในตอนนี้

     

                 “แบคฮยอน...” 

     

    ชานยอลเอ่ยเรียกเบาๆแต่ไร้ซึ่งการตอบรับ แบคฮยอนตัวสั่นและหอบหายใจถี่เหมือนคนที่กลัวจนหมดหนทาง ใบหน้าเล็กนั้นซุกลงมาบนแผ่นอกกว้างของเขา ชานยอลก้มมองกลุ่มผมนิ่มของคนในอ้อมอก สมองสั่งให้เขาผลักแบคฮยอนออกแล้วพูดเรื่องที่เขาต้องการให้จบๆไปซะ แต่ร่างกายกลับค่อยๆส่งท่อนแขนแข็งแกร่งไปกอดตอบคนตัวเล็กนั่นไว้

     

    ที่เขากอดตอบ มันเป็นแค่กลไกขจัดความรำคาญจากแบคฮยอนก็เท่านั้น ชานยอลบอกตัวเองแบบนี้

     

    แฮ่ก….แฮ่ก…”

     

    เสียงหอบของแบคฮยอนดังเหลือเกินในความรู้สึกของชานยอล ร่างกายที่แนบกันนั้นทำให้รู้ว่าหัวใจของแบคฮยอนสั่นรัวด้วยความกลัวมากแค่ไหน เสียงฟ้ายังคงร้องลั่นเป็นจังหวะ สายฝนโหมกระหน่ำแรงมากขึ้นและไม่มีทีท่าว่าจะสงบลง แสงแปลบปลาบน่ากลัวนั่นยิ่งทำให้แบคฮยอนหลับตาปี๋มากกว่าเดิม

     

    ชานยอลตัดสินใจยกคนตัวเล็กให้ขึ้นมาอยู่บนหลังเท้าของเขาเพื่อเป็นการควบคุมจังหวะการเดินเสียเอง โอบกอดคนในอ้อมแขนให้แน่นขึ้นก่อนจะพาเดินเข้าไปยังห้องที่คิดว่าเป็นห้องนอนของแบคฮยอนแล้วค่อยๆวางร่างเล็กลงบนเตียง ในวินาทีที่แผ่นหลังกระทบกับผืนเตียง แบคฮยอนรีบเอื้อมมือไปกุมไว้ที่บริเวณหน้าอก ลักษณะเหมือนกุมอะไรบางอย่าง เพียงไม่นานชานยอลก็เข้าใจได้ว่าแบคฮยอนคงจะทำท่ากุมสร้อยที่หายไปนั่นเอง

     

    ไอความเย็นกระจายไปทั่วห้องและคงจะไม่ดีต่อแบคฮยอนที่ยังคงอยู่ในชุดผ้าเช็ดตัวผืนเดียวเป็นแน่ ชานยอลจึงค่อยๆห่มผ้าห่มผืนหนาลงไปบนร่างเล็ก แบคฮยอนตัวสั่นอย่างน่าสงสาร ชานยอลดูออกว่ามันเป็นความกลัวเสียงฟ้าที่มากกว่าคนปกติ บางทีแบคฮยอนอาจจะมีเรื่องราวฝังใจที่เขาคงไม่อาจทราบได้

     

    แบคฮยอนที่ชานยอลเคยสัมผัสคือผู้ชายตัวเล็กๆคนหนึ่งที่มีท่าทางอวดดีและปากเก่งอยู่ตลอดเวลา แต่ในเวลานี้คนตัวเล็กกลับดูเปราะบางและอ่อนแอจนน่ากลัวว่าจะสลายไปในอากาศหรือไม่ก็คงถูกสายฝนขโมยความอวดดีให้หายไปเสียแล้ว

     

    ร่างสูงคิดไตร่ตรองที่จะหาโอกาสมาคุยใหม่ในภายหลัง ยังไงซะ เครื่องมือของเขาชิ้นนี้ก็หนีไปไหนไม่รอด 

     

    เปรี้ยง!!

     

    เสียงฟ้าทำให้ชานยอลหันไปมองคนบนเตียงอีกครั้ง แบคฮยอนถูกภาพของพ่อแม่เข้าเล่นงานจนไม่อาจกลั้นน้ำตาไว้ได้ หยาดน้ำตาถูกปล่อยลงมาเป็นสายแต่ไร้เสียงสะอื้น ชานยอลขยี้หัวตัวเองอย่างหงุดหงิดก่อนจะแทรกตัวลงในผ้าห่มผืนเดียวกัน

     

    เป็นผู้ชายประสาอะไร ปวกเปียกเป็นบ้า

     

    บ่นออกมาแบบนั้นแต่กลับดึงร่างเล็กเข้ามาซุกไว้ในแผ่นอก ความอบอุ่นแผ่ซ่านไปทุกอณูหัวใจของแบคฮยอนจนคนตัวเล็กหยุดสั่นลงเรื่อยๆแต่ยังคงมีผวาบ้างจากภาพความน่ากลัวที่เข้าเล่นงาน

     

    อย่างน้อยคืนนี้ แบคฮยอนก็ไม่ฝันร้ายมากไปกว่านี้แล้วล่ะ

     

    …..

     

    ผมจำไม่ได้ว่าเมื่อคืนเกิดอะไรขึ้นบ้าง อาการกลัวฟ้าร้องฟ้าผ่าของผมเข้าขั้นร้ายแรงอย่างที่พวกคุณเห็น สติของผมจะหายไปเหมือนคนจมน้ำที่ทำอะไรไม่ถูก มันเป็นอาการที่ผมเป็นมาตั้งแต่แรกเริ่ม ผมมีนัดตรวจกับคุณหมอประจำตัวในอีกไม่กี่อาทิตย์แต่ในช่วงฤดูฝนแบบนี้ผมคงจะต้องทรมานไปอีกหลายคืน

     

    ผมไม่รู้ว่าชานยอลกลับไปเมื่อไหร่แล้วผมทำอะไรกับเขาบ้างหรือเปล่า หัวหน้าอี้ฝานเคยเล่าให้ฟังว่าเวลาที่ผมกลัวเสียงฟ้าร้อง ผมจะไขว่คว้าคนที่อยู่ใกล้ตัวที่สุดเป็นที่พึ่งพิงและบ่อยครั้งที่หัวหน้าอี้ฝานจะกอดปลอบจนกระทั่งผมหลับไป หรือบางทีหัวหน้าอี้ฝานก็จะเปิดประตูมาพบผมที่นอนสั่นอยู่บนเตียงด้วยความกลัวอย่างน่าสงสาร

     

    ผมแค่หวังว่าเมื่อคืนนี้ผมจะไม่กอดคนอย่างปาร์คชานยอลก็พอแล้ว 

     

    นี่คือผู้ต้องสงสัยที่ทางตำรวจได้ส่งเบาะแสมาให้กับเรา

     

    เสียงทุ้มของหัวหน้าอี้ฝานเอ่ยเรียกให้ผมกลับมาอยู่กับปัจจุบัน วันนี้พวกเราเข้าหน่วยตามปกติแล้วหลังจากที่คุณคิมอนุญาตให้พวกเราทำภารกิจที่เกี่ยวกับไนท์แมร์ต่อไปได้ แต่หัวหน้าอี้ฝานก็ยังคงกำชับว่าอย่ายุ่งกับภารกิจที่มีชานยอลร่วมด้วย

     

    บนโปรเจคเตอร์ปรากฏภาพหญิงสาววัยรุ่น หน้าตาถือได้ว่าน่ารักสดใสสมวัย เธออยู่ในชุดมัธยมปลายชื่อดังและผมรู้จักเป็นอย่างดีเพราะเป็นโรงเรียนเดียวกับเทานั่นเอง

     

    เธอชื่อจองอึนจี เป็นลูกของรัฐมนตรีจองเซโฮ จากรูปพรรณสัณฐานและองค์ประกอบอื่นมันเชื่อมโยงว่าเธออาจเป็นหนึ่งในพวกไนท์แมร์

     

    ไนท์แมร์? ลูกรัฐมนตรีน่ะเหรอครับ?” อีจินกิถามอย่างใคร่สงสัย

     

    นายคิดว่าฐานะทางสังคมมันทำให้คนไม่กลายเป็นคนชั่วได้รึไง?” เป็นจงแดที่ตอบคำถามแทนหัวหน้าอี้ฝาน ไม่วายที่เขาจะใช้สายตาดูแคลนเหลือบมาที่ผมอีกครั้ง

     

    ทางตำรวจได้ขอให้เราตามสืบผู้ต้องสงสัยซึ่งผมจะต้องส่งพวกคุณให้เข้าไปตามสืบเธอ

     

    หมายถึงได้เข้าไปตามสืบในโรงเรียนมัธยมอย่างนั้นเหรอครับ? โอ๊ย แม่งโคตรเจ๋ง!” จงอินแสดงท่าทีดี๊ด๊าเสียจนทุกคนในหน่วยต่างทำหน้าเอือมระอา

     

    ผมคิดว่าจะส่งแบคฮยอนกับจินกิไปเพราะหน้าตาของพวกคุณกลมกลืนกับเด็กม.ปลายได้มากที่สุด

     

    อ้าว หัวหน้าว่าผมหน้าแก่เหรอครับ” จงอินถามอย่างกวนส้นตีน ส่วนจงแดทำเพียงแค่ขยับแว่นบนสันจมูกให้เข้าที่

     

    จะว่างั้นก็ได้

     

    คำตอบของหัวหน้าอี้ฝานทำเอาผมแอบยิ้มขำ ผมเห็นว่าจงแดก็ดูจะเสียความมั่นใจไปเล็กน้อยเช่นกัน  ผมมั่นใจว่าถ้าหากลู่หานอยู่ด้วยเขาก็คงได้ทำภารกิจนี้แน่

     

    เอ่อ..หัวหน้าครับ คือผมเกรงว่าอาจจะทำงานนี้ไม่ได้

     

    ผมเอ่ยออกไปอย่างไม่มั่นใจนัก ไม่เคยมีเลยสักครั้งที่ผมจะปฏิเสธภารกิจที่ได้รับมอบหมายแต่ครั้งนี้มันจำเป็นเกินกว่าที่จะปล่อยไปได้ ครู่หนึ่งที่สบตากัน ผมจับได้ว่าดวงตาของหัวหน้าอี้ฝานนั้นสั่นไหว

     

     “ทำไมล่ะ?”

     

    ผมมีคนรู้จักอยู่ในโรงเรียนนั้น ผมคิดว่าจะถูกจับได้เสียก่อน

     

    งั้นผมขอกลับไปคิดดูก่อนว่าควรจะทำยังไงต่อไป แล้วพรุ่งนี้เรามาว่ากันอีกที

     

    พวกเราพยักหน้าเห็นด้วยแต่ไม่ทันที่จะได้เสนอความคิดเห็นอื่น ภาพสัญญาณบนจอโปรเจ็คเตอร์ก็เปลี่ยนไป มันกลายเป็นเส้นขาวเหมือนคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้า จงแดรีบเข้าไปดูที่คอมพิวเตอร์เครื่องหลักก่อนที่เขาจะพูด

     

    เป็นแบบนี้เหมือนกันหมดเลยครับหัวหน้า มันถูกเชื่อมไปทั้งทีมบีและกองตำรวจที่เกี่ยวข้องกับพวกเราทั้งหมด ผมเดาว่าคงจะเป็นการปล่อยคลื่นรบกวนสัญญาณแน่นอนครับ

     

    เพียงเสี้ยววินาที ภาพคลื่นแม่เหล็กก็หายไปและกลายเป็นจอสีดำสนิทแต่กลับเปล่งเสียงชวนปวดแก้วหูออกมา หลังจากนั้นมันก็กลับกลายเป็นเสียงพูดแปร่งๆที่ฟังดูก็รู้ว่าผ่านการใช้เครื่องปลอมแปลงเปลี่ยนเสียงมาแล้ว

     

    มันเป็นเสียงที่พวกเราจำได้ดีเพราะนี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่ได้ยิน

     

    [ไง ทุกคน ยังสบายดีกันอยู่สินะ?]

     

    เสียงที่เจ้าหน้าที่ทุกฝ่ายต่างจำได้อย่างแม่นยำ

     

     [ไม่ได้คุยกันนานเลยนะ]

     

    เพราะมันคือ

     

    เสียงของเอส

     

    [พร้อมจะเล่นสนุกกันรึยัง?]

     

     

     

     

    TBC

    คือถ้าเราลงทีละ50% มันจะโอเคไหมอ่ะ จะได้ไม่ต้องรอกันนานๆอ่ะเนอะ       
               จริงๆแบคฮยอนค่อนข้างเป็นคนซับซ้อนนะ บางคนอาจจะไม่เข้าใจแต่มันจะเฉลยออกมาทีละนิดๆเนอะ
               เปิดเทอมแล้ว ตั้งใจเรียนกันนะะะะ

    ขอบคุณสำหรับทุกๆกำลังใจเลยยยยยย
               up : 26/10/2014

     


          © themy butter

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×