คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #5 : - CH 4 : find -
chapter 04
ชื่อองค์กร : NIGHTMARE
จำนวนสมาชิก : 7 คน (ยังไม่ทราบข้อมูล)
ทราบตัวตนแล้ว : ปาร์ค
ชานยอล (ข้อมูลยังเป็นความลับ)
หัวหน้าองค์กร : เอส (ยังไม่ทราบข้อมูล)
ประวัติอาชญากรรม : ปล้นธนาคาร COT
BANK, ขโมยข้อมูลรัฐบาล, วางเพลิงสถานีตำรวจสน.โนวอน, ลอบทำร้ายเจ้าหน้าที่หน่วยงานรัฐ
สัญลักษณ์องค์กร : หน้ากากสีขาว
สถานะ : ยังไม่สามารถจับกุมได้
.....
ผมไม่เคยมั่นใจเท่าวันนี้มาก่อนว่าผมเกลียดพวกไนท์แมร์นอกเหนือจากหน้าที่
“ดังนั้นพวกเราจึงมอบร่างของเธอสู่พื้นดิน,จากดินสู่ดิน, จากเถ้าสู่เถ้า, จากธุลีสู่ธุลี, ในความแน่แท้และความหวังอันไว้วางใจได้ของการคืนชีพสู่ชีวิตอันชั่วนิรันดร์”
เสียงของบาทหลวงกังวานในโสตประสาท
รอบกายมีแต่ผู้คนใส่ชุดดำเพื่อเป็นการไว้อาลัยให้แก่คนที่รัก
โลงไม้ที่อยู่ในหลุมนั้นบรรจุร่างหญิงสาวที่ผมเชื่อว่าเธอยังคงงดงามแม้จะไร้ลมหายใจแล้วก็ตาม
คิม ฮโยยอน
เธอจะประทับอยู่ในก้นบึ้งหัวใจของผมตลอดไป
ดอกไม้แต่ละดอกถูกวางลงไปในหลุมเหมือนเป็นการอำลาครั้งสุดท้าย
ท้องฟ้ากลายเป็นสีมืดครึ้มราวต้องการแสดงความไว้อาลัยร่วมกับพวกเรา
ไม่นานสายฝนก็หล่นลงมาเป็นสายแข่งกับหยาดน้ำตาของหญิงชรา แม่ของฮโยยอนร้องไห้เหมือนจะขาดใจจนจงแดต้องเข้าไปช่วยประคอง
มันเป็นภาพที่น่าหดหู่เหลือเกินสำหรับผม
หน่วยสตาสต่างมาร่วมงานศพของฮโยยอน
แม้กระทั่งโอเซฮุนที่เป็นตัวป่วนประสาท
แต่ครอบครัวของฮโยยอนคิดว่าเราเป็นแค่เพื่อนร่วมงานจากบริษัทเท่านั้น
ร่มสีดำถูกกางขึ้นเหนือหัว
ผมหันไปสบตากับผู้ที่กางร่มให้
จงอินบีบไหล่ผมเบาๆเหมือนเป็นการปลอบทั้งๆที่เขาเองก็มีดวงตาแดงก่ำเหมือนคนกลั้นน้ำตาไว้
“มึงโอเคนะ?” จงอินถามผมด้วยเสียงที่ฟังดูก็รู้ว่าพยายามบังคับไม่ให้สั่นเครือ
“กูโอเค แล้วมึงล่ะ”
“กูโอเค” จงอินละสายตาจากผมก่อนจะมองไปยังแผ่นฟ้าที่ปล่อยหยาดฝนลงมาไม่ขาดสาย “อย่างน้อย กูก็ได้รู้ว่าความตายมันไม่ได้พรากคนที่กูรักไปไหน
มันแค่ย้ายเขาจากพื้นที่ข้างๆตัวให้เข้ามาอยู่ในนี้แทน” จงอินกุมไปที่หน้าอกข้างซ้ายของเขา
เพียงเท่านี้ผมก็เข้าใจความหมายที่เขาต้องการจะสื่อ
อย่างที่จงอินว่า
ความตายมันไม่ได้พรากให้ใครหายไป
แต่มันเป็นแค่กลไกอย่างหนึ่งที่จะตรึงคนที่เรารักให้ประทับแน่นลงไปในทุกห้องของหัวใจ
ซึมลงไปในกล่องความทรงจำและความเจ็บปวดในวันนี้ก็จะถูกชะล้างโดยความเข้มแข็งที่จะเข้ามาแทนที่
“คนดีๆแบบฮโยยอนไม่น่าต้องมาตายแบบนี้
ถ้าไม่ใช่เพราะเราทำงานพลาด”
เสียงที่ดังขึ้นจากด้านหลังเรียกให้ผมและจงอินหันไปมอง
เป็นจงแดที่กลับมาจากส่งแม่ของฮโยยอนไปนั่งพักเรียบร้อยแล้ว
เสียงของเขาฟังดูแสนประชดประชัน
ผมรู้ว่าเขายังคงขุ่นเคืองตั้งแต่วันที่ผมบุกไปจับชานยอลด้วยตัวเอง
ผมรู้ว่าจงแดไม่ชอบความอวดเก่งของผม เขาเป็นคนฉลาด เป็นมันสมองของทีม
ดังนั้นเขาจึงใจเย็นและทำทุกอย่างตามขั้นตอนอย่างละเอียด
ซึ่งนั่นต่างจากผมโดยสิ้นเชิง
“แล้วนายจะเอายังไงล่ะจงแด
ให้แบคฮยอนตายแทนฮโยยอนหรือไงนายถึงจะพอใจ?” จงอินถามด้วยท่าทีไม่ชอบใจนัก
ผมจับแขนเขาเป็นการเตือนสติแต่ก็ไม่ช่วยให้จงอินใจเย็นลงสักเท่าไหร่
“มันจะไม่มีใครตายถ้าเราทำตามแผน
ไม่ปล่อยให้เป้าหมายวกกลับมาเล่นงานได้แบบนี้” จงแดกระชับร่มในมือ
เขาล้วงกระเป๋ากางเกงมองพวกผมด้วยสายตาดูแคลน “ชีวิตของพวกเราต่างเสี่ยงเท่าๆกัน
นายลองนึกดูสิแบคฮยอน ว่าความอวดเก่งของนายทำให้พวกเราเกือบตายมากี่ครั้งแล้ว”
จงแดพูดเพียงเท่านี้ก่อนจะเดินจากไป
ทิ้งไว้เพียงแค่คำพูดที่เป็นดังเข็มเล่มเล็กแต่แทงทะลุเข้าไปถึงก้านสมอง
เขาพูดถูกทุกอย่าง นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่ความอวดดีของผมทำให้คนอื่นต้องเดือดร้อน
แต่ผมพยายามแล้วที่จะช่วยทีม ผมแค่คิดว่าวิธีของผมมันจะช่วยทีมได้
“อย่าคิดมากนะมึง
ไอ้แว่นนั่นแม่งก็ชอบพูดจาหมาๆแบบนี้” จงอินบอกผม
ผมรู้ว่าเขาไม่อยากให้ผมเครียด “มันไม่ใช่ความผิดมึง
แต่เป็นเพราะไอ้พวกไนท์แมร์นั่น… กูสาบานว่าสักวันจะเอาคืนพวกมันให้ได้”
“กูก็เหมือนกัน”
“…”
“ต้องเอาคืนให้สาสม…กับที่มันทำกับฮโยยอน”
ผมบอกจงอิน ความเกลียดที่มีต่อไนท์แมร์ของผมและจงอินมันนอกเหนือจากหน้าที่ไปเสียแล้ว
เรารู้แค่ว่าพวกมันฆ่าคนที่เรารัก พวกมันขโมยชีวิตของฮโยยอนไป
และผมขอสัญญา
ว่าจะต้องกำจัดพวกมันให้ราบคาบ
แม้กระทั่งคนที่ร้ายกาจที่สุด … อย่างปาร์ค ชานยอลก็ตาม
สายฝนซาลงเหลือเพียงแค่หยดน้ำเม็ดเล็กๆและทิ้งไว้เพียงแค่ไอเย็น
จงอินอาสาไปส่งผมที่บ้านแต่ผมปฏิเสธด้วยคิดว่าการนั่งรถเมล์แล้วมองนอกหน้าต่างไปเรื่อยๆนั้นดูจะเป็นการผ่อนคลายเสียมากกว่า
การเจอผู้คนตามท้องถนนเหมือนกับช่วยปัดเป่าความทุกข์ไปได้ชั่วระยะเวลาหนึ่ง
ผมเดินออกมาจากโบสถ์
มีร่มสีดำสนิทที่จงอินให้มากางอยู่ในมือ ไม่นานผมก็มาเดินอยู่บนทางเท้า
ในตอนนั้นเองที่เสียงเรียกจากใครบางคนทำให้ผมหันหลังไปมอง
“แบคฮยอน!”
ผมหันหน้าหนี
พยายามไม่สนใจคนที่เปิดกระจกรถออกมาตะโกนเรียก ผมได้ยินเสียงปิดประตูรถดังปัง
เป็นสัญญาณว่าเขาคงลงจากรถแล้วเดินตามผมแน่
สองขาก้าวไวขึ้นแต่ก็ไม่อาจหนีไปได้เมื่อข้อมือของผมถูกรั้งไว้ด้วยฝ่ามือใหญ่ของอีกฝ่าย
“เดินหนีพี่ทำไมครับ?”
เขาถามผม
น้ำเสียงของเขาเล่นเอาผมอยากพ่นลมหายใจแรงๆใส่หน้าคมนั่น
ผมกลอกตาเบื่อหน่ายและพยายามสะบัดข้อมือให้หลุดจากมือแกร่ง ผมคงจะไม่แสดงท่าทีแบบนี้แน่หากคนตรงหน้าในตอนนี้ไม่ใช่หัวหน้าอี้ฝาน
“ปล่อยผม
แล้วก็เลิกใช้สรรพนามแบบนั้นเสียที”
“อย่าทำแบบนี้เลยแบคฮยอน
พี่ก็แค่อยากคุยด้วย”
“เราไม่มีอะไรต้องคุยกันแล้วครับหัวหน้า
ผมขอตัว”
ผมสะบัดข้อมืออีกครั้ง
แต่มือของหัวหน้าอี้ฝานเหมือนกับดักนายพรานที่ไม่ปล่อยให้เหยื่อหลุดออกไปได้
ผมมองตาเขาอย่างไม่สบอารมณ์ ใจจริงอยากจะต่อยหน้าเขาสักทีสองที
มีคนมองเราสองคนบ้างแต่ไม่มากนักเพราะฝนที่เพิ่งตกหนักไปเมื่อครู่ทำให้ผู้คนยังไม่ออกจากบ้านเท่าที่ควร
“ปล่อย ผมจะกลับบ้าน”
“ให้พี่ไปส่งนะ”
“ผมกลับเองได้ อย่ามายุ่งกับผม”
“แบคฮยอน…” น้ำเสียงและสายตาของหัวหน้าอี้ฝานช่างดูตัดพ้อและเหนื่อยล้าจนอดคิดไม่ได้ว่าหากเป็นเมื่อก่อนผมคงใจอ่อนอย่างง่ายดาย “ทำไมเราถึงใจร้ายกับพี่ได้ขนาดนี้ ทั้งๆที่เราก็รู้ว่าพี่เป็นห่วงแค่ไหน”
ผมแค่นหัวเราะก่อนจะเสมองไปทางอื่น
เขาบอกว่าผมใจร้ายอย่างนั้นเหรอ? แล้วสิ่งที่เขาเคยทำไว้กับผมล่ะ
มันควรเรียกว่าอะไร?
‘แบคฮยอน…พี่ขอโทษ’
‘…’
‘แต่พี่คิดว่า พี่รักอี้ชิง’
เสียงของเขาในวันนั้นผมยังคงจำได้ดี
ครั้งหนึ่งมันเคยเป็นประโยคที่กรีดหัวใจของผมให้เจ็บซ้ำแล้วซ้ำเล่า
แต่ในเมื่อวันที่ผมเข้มแข็งขึ้น หัวหน้าอี้ฝานกลับเดินเข้ามาขอโอกาสเริ่มต้นใหม่
เขาบอกผมว่าเขารู้หัวใจตัวเองแล้วว่ารักผมมากแค่ไหน
มันเหมือนกับการที่เขาเอามีดมาปักลงกลางใจผม
แล้ววันหนึ่งเขาก็เพิ่งนึกขึ้นได้จึงกลับมาถามผมว่าเจ็บมากไหม
คำตอบคือมันเจ็บมากและความเจ็บนั้นได้กลายเป็นแผลเป็นที่คอยย้ำเตือนให้ผมไม่มีวันกลับไปทำให้ตัวเองเกิดรอยแผลซ้ำสอง
“ถ้าหัวหน้ามีธุระสำคัญเกี่ยวกับงานก็รีบๆพูดมา
แต่ถ้าหากเป็นเรื่องไร้สาระ ก็เชิญกลับไปซะ”
“เราจะไม่ให้โอกาสพี่อีกสักครั้งเลยเหรอ”
“ผมจะให้โอกาสสำหรับคนที่เห็นคุณค่าของมัน
แต่สำหรับหัวหน้า มันไม่ใช่”
เขาปล่อยข้อมือของผมออกช้าๆแล้วพยักหน้าน้อยๆเหมือนจะเข้าใจ
แต่ผมเชื่อว่าเขาไม่เข้าใจผมเลยสักนิด
แววตาของเขามันฟ้องทุกอย่างว่าเขาจะยังคงตามผมและไม่ยอมแพ้จนกว่าจะได้ในสิ่งที่ต้องการ
“อย่างน้อย…วันนี้ให้พี่ไปส่งก็ยังดี
พี่ไม่เห็นรถเรามาหลายวันแล้วนะ เอาไปแต่งเหรอ?”
หัวหน้าอี้ฝานถามผมด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน
ถูกอย่างที่เขาคิด CBR ของผมถูกส่งไปต่อเติมเครื่องยนต์ทำให้ผมต้องพึ่งรถเมล์มาหลายวันแล้ว
เขารู้ดีว่าผมเป็นคนรักรถมากแค่ไหนและเขายังรู้ว่าผมเป็นคนป่วยง่าย
นั่นเป็นเหตุผลที่เขาพยายามแย่งร่มในมือผมไปถือเสียเองเพื่อไม่ให้ผมโดนละอองฝนไปมากกว่านี้
“ผมบอกหัวหน้าแล้วไงครับว่าผมกลับเองได้” ผมยังคงเสียงแข็งแต่หัวหน้าอี้ฝานกลับยิ้มละมุนมาให้พร้อมกับแย่งร่มไปถือไว้ได้สำเร็จ
“พี่ขอร้องแค่ครั้งนี้ครั้งเดียว
พี่ไม่อยากให้เราเดินฝ่าละอองฝนกลับไป”
“ผมบอกว่าไม่---”
“นะครับ พี่ขอร้อง…”
ผมไม่ได้ใจอ่อนที่มานั่งอยู่ในรถของหัวหน้าอี้ฝานแบบนี้
แต่เป็นเพราะผมรำคาญ
เราสองคนเหมือนเป็นเพียงขวดแก้วใสที่อีกฝ่ายสามารถมองเห็นข้างในได้จนทะลุปรุโปร่ง
เขารู้นิสัยของผมเหมือนอย่างที่ผมรู้นิสัยของเขาว่าจะพยายามทำทุกอย่างเพื่อให้ได้สิ่งที่ต้องการไม่ว่าจะด้วยวิธีใดก็ตาม
ผมยอมทำตามอย่างที่เขาขอก็เพื่อตัดความรำคาญเพียงเท่านั้น
“หนาวไหม? เอาเสื้อพี่ไปคลุ---”
“อย่ายุ่งกับผม”
ผมบอกปัดความหวังดีของหัวหน้าอี้ฝาน
เขาถอนหายใจอย่างเหนื่อยอ่อนและมองผมด้วยสายตาผิดหวัง
เขาคงจะดูน่าสงสารมากๆในสายตาของคนอื่น แต่พวกคุณจงอย่าลืมเหมือนอย่างที่ผมจำฝังใจ
ว่าครั้งหนึ่งเขาเคยทำให้ผมเจ็บช้ำมากแค่ไหน
“ขอบคุณที่มาส่ง”
ผมบอกเขาทันทีที่รถจอดเทียบรั้วหน้าบ้าน
ผมไม่แม้แต่จะมองหน้าเขา รู้แค่ว่าอยากหนีออกจากความอึดอัดนี้เสียที
จังหวะที่ผมกำลังจะเปิดประตูรถ หัวหน้าอี้ฝานกลับพุ่งเข้ากอดผมจากด้านหลัง
สองแขนรวบตัวผมไว้แน่นแล้วเอาคางเกยไว้ที่ไหล่
ผมพยายามดิ้นหนีแต่เขากลับหยุดการเคลื่อนไหวของผมด้วยการใช้ปลายจมูกสัมผัสลงมาที่แก้ม
“พี่ขอโทษแบคฮยอน ขอโทษกับทุกเรื่องที่ผ่านมา”
“…”
“ให้โอกาสพี่อีกสักครั้งเถอะ”
น้ำเสียงของหัวหน้าอี้ฝานฟังดูอ้อนวอน
ขอร้องและน่าเห็นใจไปในคราวเดียวกัน แต่บยอน
แบคฮยอนในอดีตได้ถูกเขาทำลายไปจนหมดสิ้นแล้ว
“เราเพิ่งกลับมาจากงานศพของฮโยยอน
พี่น้องของพวกเราหัวหน้าก็รู้ใช่ไหมครับ?”
“…”
“แล้วคุณยังมีหน้ามาพูดเรื่องไร้สาระแบบนี้ได้อีกเหรอ?”
“แบคฮยอน…”
“ผมไม่มีอารมณ์จะพูดเรื่องนี้ในตอนนี้หรอกครับ
ผมขอตัว”
ผมพูดก่อนจะผละออกจากอ้อมกอดของหัวหน้าอี้ฝาน
เขาปล่อยให้ผมเป็นอิสระอย่างง่ายดาย ถ้าให้เดา
สีหน้าของเขาคงไม่ดีนักหลังจากฟังคำพูดร้ายกาจจากผมไป
แต่สิ่งที่เขาพูดในประโยคถัดมาก็ทำเอาผมถึงกับอยากจะหันกลับไปตั๊นหน้าแรงๆให้สมกับความดื้อด้านของเขา
“เราคงรู้ใช่ไหมแบคฮยอน”
“…”
“ว่าพี่…จะไม่หยุดอยู่แค่นี้”
ผมกลับเข้าบ้านด้วยความเหนื่อยอ่อน
คำพูดของหัวหน้าอี้ฝานเล่นเอาผมหงุดหงิดจนอยากจะต่อยผนังระบายอารมณ์
แต่สายฝนที่โหมกระหน่ำลงมาอีกครั้งกับแสงแปลบปลาบจากท้องฟ้าทำให้ผมเริ่มใจไม่ดี
เทากลับไปแล้ว ทิ้งไว้เพียงโน้ตที่อยู่บนโต๊ะกินข้าวเท่านั้น
‘ผมกลับละนะ
จริงๆก็อยากอยู่ต่อแต่พ่อส่งคนมารับยันหน้าบ้านเลยㅠ
อย่าโหมทำงานนะพี่
พักผ่อนเยอะๆ
ผมเป็นห่วงนะ
รู้เปล่า?
เทา สุดหล่อ J ’
ผมอมยิ้มกับข้อความในกระดาษ
เทาเป็นน้องชายที่น่ารักของผมเสมอ เขาใส่ใจผมในทุกเรื่อง
แม้กระทั่งสีโพสอิทที่เขาใช้ เทาก็ยังเลือกสีฟ้าที่ผมชอบ
แม้ภาพลักษณ์ของเขาจะดูเป็นผู้ชายแข็งกร้าวไปหน่อย ทั้งเจาะหูหลายรู
สวมแหวนเงินหลายนิ้วและชอบโวยวายเสียงดัง แต่จริงๆแล้วเทามีความเป็นเด็กในตัวสูง
เขาน่ารักและมักทำให้ผมยิ้มเสมอ นี่เป็นเหตุผลหนึ่งล่ะที่ทำให้ผมรักเขา
ครืนนนนน
ฟ้าส่งเสียงฮึมเหมือนสัตว์ร้ายขู่ในลำคอเล่นเอาผมตัวแข็งไปชั่วครู่
ภาวนาขออย่าให้มันส่งเสียงคำรามไปมากกว่านี้ ผมวางแผนว่าควรจะรีบอาบน้ำแล้วเข้านอน
ใส่หูฟังแล้วเปิดเพลงดังๆใส่หูเพื่อกลบเสียงที่แสนน่ากลัวนั่นซะ
ผมออกมาจากห้องน้ำหลังจากอาบน้ำเสร็จพร้อมนุ่งผ้าเช็ดตัวผืนเดียวเพราะผมชอบแต่งตัวในห้องนอนมากกว่าที่จะเอาเสื้อผ้าไปใส่ในห้องน้ำ แต่ระหว่างที่ผมกำลังเดินอยู่กลางบ้าน
ในตอนนั้นเองที่เงาตรงโซฟาทำให้ผมถึงกับก้าวขาไม่ออก
เขาใส่แมสก์สีดำปกปิดใบหน้าส่วนล่างเอาไว้
แต่ถึงกระนั้นผมก็ยังจำดวงตาสีน้ำตาลของเขาได้เป็นอย่างดี
นิ้วยาวค่อยๆเกี่ยวเอาแมสก์นั้นออกและใบหน้าของเขาก็เผยให้ผมเห็นได้อย่างชัดเจน
“ช...ชานยอล?!”
แบคฮยอนเอ่ยเรียกคนบนโซฟาอย่างไม่เชื่อสายตาตัวเอง
คนตัวสูงใช้สายตาเรียบเฉยมองมาเหมือนอย่างทุกครั้งก่อนจะลุกขึ้นแล้วก้าวเข้ามาหาแบคฮยอนอย่างช้าๆ
แต่ละก้าวช่างเหมือนกับตัวกระตุ้นให้ความสงสัยของร่างเล็กนั่นเพิ่มพูนขึ้น
“นายเข้ามาได้ยังไง?”
ชานยอลไม่ตอบแต่กลับสะบัดหน้าไปทางประตูบ้านเหมือนเป็นคำตอบกรายๆว่าเข้ามาจากทางนั้น
ซึ่งมันไม่ตรงกับคำถามของแบคฮยอนเอาเสียเลย
ชานยอลไม่รู้ว่าคนตัวเล็กรู้ตัวหรือไม่
ว่าตัวเองเป็นคนที่แสดงสีหน้าได้ชัดเจนมากแค่ไหน เช่นตอนนี้ที่ทั้งตกใจและสงสัย คิ้วเรียวจะขมวดเข้าหากันจนแทบเป็นปม
ไหนจะการเบิกตาเล็กๆนั่นให้กว้างขึ้นอีก มันทั้งดูน่าขันและน่าเอ็นดูไปในคราวเดียวกัน
คนตัวสูงหยุดอยู่ตรงหน้าแบคฮยอน
เขาใช้ดวงตาสีน้ำตาลสำรวจร่างเล็กตั้งแต่หัวจรดเท้าจนใบหูขาวของแบคฮยอนกลายเป็นสีแดงจัด
ยิ่งแบคฮยอนอยู่ในชุดผ้าเช็ดตัวผืนเดียวแบบนี้ชานยอลก็ยิ่งเห็นทุกส่วนได้อย่างถนัดตา
มีใครเคยบอกแบคฮยอนไหมว่าร่างกายของเขานั้นมันไม่เหมือนผู้ชายเอาเสียเลย
ทั้งสะโพกผาย ลำคอระหงไร้ลูกกระเดือกอย่างที่ผู้ชายควรจะมี เอวคอดสวยแม้จะมีชั้นไขมันเล็กน้อยแต่ก็คงจะนุ่มนิ่มน่าดู ไหนจะผิวขาวผ่องที่มีหยดน้ำเกาะพราว
ทั้งๆที่ฝนตกและอากาศเย็นแต่คนตัวเล็กกลับใส่แค่ผ้าเช็ดตัวผืนเดียวเดินไปเดินมาแบบนี้น่ะหรือ?
“นายมาที่นี่ทำไม?”
คำถามจากแบคฮยอนพุ่งเข้าใส่ชานยอลอีกครั้ง
เขาเดินเข้าไปจับไหล่เล็กทั้งสองข้างพร้อมกับหมุนตัวให้หันหลังก่อนจะดันร่างเล็กไปหยุดที่หน้าห้องนอน
“ไปใส่เสื้อผ้าก่อน”
“ไม่! นายมีอะไรก็รีบๆพูดมาสิ!”
ชานยอลพยายามแล้วที่จะให้คนตัวเล็กไปใส่เสื้อผ้าแต่แบคฮยอนกลับดื้อเสียยิ่งกว่าที่คิดไว้
ดวงตาเรียวเล็กนั่นมองเขาเหมือนขู่ฟ่อ หากชานยอลต้องการบังคับแบคฮยอนจริงๆ
แน่นอนว่าเขาสามารถทำได้ แต่มันคงจะเสียเวลาไม่น้อยกับการบังคับคนดื้อคนนี้
ดังนั้นเขาจึงเลือกที่จะพูดสิ่งที่ต้องการให้เร็วที่สุด
“เอสกำลังหาทางจับตัวนาย”
ร่างสูงเอ่ยเสียงเรียบ
เขาคิดว่าแบคฮยอนจะต้องทำตาขวางแล้วก็ประชดเขาสักหนึ่งประโยค
แล้วก็เป็นไปตามคาดเมื่อแบคฮยอนพ่นลมหายใจแรงๆก่อนจะถามเขาเสียงขุ่น
“แล้วนายมาบอกฉันทำไม? จะให้ฉันรู้ตัวก่อนงั้นเหรอ? ทำแบบนี้มันเหมือนว่านายกำลังช่วยฝ่ายตรงข้ามอยู่นะรู้ตัวหรือเปล่า?”
“ฉันรู้
แต่มันคือข้อแลกเปลี่ยนระหว่างเราสองคน” ชานยอลจ้องลึกเข้าไปในดวงตาของแบคฮยอน
มันสะท้อนเป็นใบหน้าหล่อเหลาของเขาในดวงตาคู่สวยนั่น “ถ้าเกิดนายถูกฆ่าไปเสียก่อน
แล้วใครจะเป็นคนบอกข้อมูลของสตาสให้กับฉันล่ะ หืม?”
“เหอะ
ที่แท้จุดประสงค์ของนายก็อยู่ตรงนี้”
แบคฮยอนแค่นหัวเราะก่อนจะเงียบและพยายามคิดหาทางออกจากสถานการณ์นี้
เขาไม่รู้ว่าชานยอลคิดอะไรกันแน่ถึงได้มาบอกว่า เอส หัวหน้าของพวกไนท์แมร์นั้นกำลังคิดที่จะจับตัวเขา
ถึงแม้ว่าร่างสูงจะยกเรื่องผลประโยชน์มาอ้างแต่มันก็ดูเกินไปหน่อยที่ถึงขั้นบุกเข้ามาในบ้านของเขาแบบนี้
“ฉันรู้ว่าวันนี้นายไปงานศพของฮโยยอน” คนตัวเล็กเงยหน้าขึ้นสบเข้ากับดวงตาสีน้ำตาลพราวเสน่ห์ของชานยอล “ฉันสะกดรอยตามนายตั้งแต่นายออกจากบ้าน
กลับออกมาจากโบสถ์หรือแม้แต่ตอนที่นายกอดกับผู้ชายในรถนั่นฉันก็เห็น”
“นั่นมัน...”
“นายไม่รู้ด้วยซ้ำว่ามีใครแอบตามนายอยู่
แล้วแบบนี้นายคิดว่านายจะรอดรึไงแบคฮยอน?”
คนตัวเล็กเงียบไปหลังจากได้ยินสิ่งที่ชานยอลพูด
เขาไม่รู้ตัวเลยด้วยซ้ำว่าถูกชานยอลสะกดรอยตามทั้งวัน
แต่ทำไมต้องมาเห็นฉากที่เขาถูกอี้ฝานกอดด้วยวะ น่าขายหน้าชะมัด!
“ฉันไม่ได้ช่วยเพราะกลัวว่านายจะตาย
แต่ฉันแค่กลัวว่าจะไม่ได้สิ่งที่ฉันต้องการ”
“…”
“เอสร้ายกาจมากแค่ไหนนายก็น่าจะรู้ดี
หน่วยของนายไม่รู้จักตัวตนที่แท้จริงของเอสด้วยซ้ำ แม้กระทั่งพวกฉัน...ที่ก็ไม่รู้เหมือนกัน”
แบคฮยอนขมวดคิ้วมุ่นกับคำพูดของชานยอล
ทั้งๆที่เอสเป็นหัวหน้าของร่างสูงแท้ๆแล้วเขาจะไม่รู้จักได้ยังไง
มันแทบไม่มีความเป็นไปได้เลยที่ลูกน้องจะไม่รู้จักหัวหน้าของตัวเอง
“นี่เป็นเหตุผลหลักที่ฉันใช้นายเพราะฉันก็อยากรู้ตัวตนของเอสเช่นกัน
ฉันอยากจะรู้ว่าคนที่สั่งให้ฉันทำงานพวกนี้มันเป็นใครกันแน่”
แบคฮยอนเข้าใจเหตุผลทั้งหมดของชานยอลในวินาทีนั้น
คนตัวเล็กรู้แล้วว่าเขาไม่ได้มีค่ามากไปกว่าเครื่องมือในเกมของชานยอล
หากหมดประโยชน์เขาก็คงถูกฆ่าในไม่ช้า ไม่ทันที่จะได้เอ่ยคำใด เสียงฟ้าที่เคยร้องเพียงเบาๆกลับคำรามลั่นจนมันดังก้องไปทั่วแผ่นฟ้า
เปรี้ยง!!
แบคฮยอนหลับตาปี๋พร้อมยกมือปิดที่ใบหู
ชานยอลเห็นคนตรงหน้าตัวสั่นจนไม่อาจแยกออกได้ว่าเป็นเพราะความหนาวหรือความกลัว
เขาขยับไปใกล้ร่างเล็กซึ่งเป็นจังหวะเดียวกับที่ฟ้าส่งเสียงร้องลั่นอีกครั้ง
เปรี้ยง!!
หมับ!
แบคฮยอนโผกอดร่างสูงเต็มแรงจนชานยอลเซถอยหลัง
ผิวเนื้อเนียนนุ่มนั่นแนบไปกับตัวของเขา กลิ่นหอมของครีมอาบน้ำลอยกระทบกับจมูก
มันหอมจนเกือบจะทำให้สติพร่าเบลอ ท่อนแขนของคนตัวเล็กรัดเขาไว้แน่น
แถมยังสั่นจนเหมือนกับลูกหมากลัวน้ำอีกต่างหาก
ชานยอลเดาว่าแบคฮยอนคงไม่มีสติเหลืออยู่กับตัวในตอนนี้
“แบคฮยอน...”
ชานยอลเอ่ยเรียกเบาๆแต่ไร้ซึ่งการตอบรับ
แบคฮยอนตัวสั่นและหอบหายใจถี่เหมือนคนที่กลัวจนหมดหนทาง
ใบหน้าเล็กนั้นซุกลงมาบนแผ่นอกกว้างของเขา ชานยอลก้มมองกลุ่มผมนิ่มของคนในอ้อมอก
สมองสั่งให้เขาผลักแบคฮยอนออกแล้วพูดเรื่องที่เขาต้องการให้จบๆไปซะ
แต่ร่างกายกลับค่อยๆส่งท่อนแขนแข็งแกร่งไปกอดตอบคนตัวเล็กนั่นไว้
ที่เขากอดตอบ
มันเป็นแค่กลไกขจัดความรำคาญจากแบคฮยอนก็เท่านั้น… ชานยอลบอกตัวเองแบบนี้
“แฮ่ก….แฮ่ก…”
เสียงหอบของแบคฮยอนดังเหลือเกินในความรู้สึกของชานยอล
ร่างกายที่แนบกันนั้นทำให้รู้ว่าหัวใจของแบคฮยอนสั่นรัวด้วยความกลัวมากแค่ไหน
เสียงฟ้ายังคงร้องลั่นเป็นจังหวะ
สายฝนโหมกระหน่ำแรงมากขึ้นและไม่มีทีท่าว่าจะสงบลง
แสงแปลบปลาบน่ากลัวนั่นยิ่งทำให้แบคฮยอนหลับตาปี๋มากกว่าเดิม
ชานยอลตัดสินใจยกคนตัวเล็กให้ขึ้นมาอยู่บนหลังเท้าของเขาเพื่อเป็นการควบคุมจังหวะการเดินเสียเอง
โอบกอดคนในอ้อมแขนให้แน่นขึ้นก่อนจะพาเดินเข้าไปยังห้องที่คิดว่าเป็นห้องนอนของแบคฮยอนแล้วค่อยๆวางร่างเล็กลงบนเตียง
ในวินาทีที่แผ่นหลังกระทบกับผืนเตียง แบคฮยอนรีบเอื้อมมือไปกุมไว้ที่บริเวณหน้าอก
ลักษณะเหมือนกุมอะไรบางอย่าง
เพียงไม่นานชานยอลก็เข้าใจได้ว่าแบคฮยอนคงจะทำท่ากุมสร้อยที่หายไปนั่นเอง
ไอความเย็นกระจายไปทั่วห้องและคงจะไม่ดีต่อแบคฮยอนที่ยังคงอยู่ในชุดผ้าเช็ดตัวผืนเดียวเป็นแน่
ชานยอลจึงค่อยๆห่มผ้าห่มผืนหนาลงไปบนร่างเล็ก แบคฮยอนตัวสั่นอย่างน่าสงสาร
ชานยอลดูออกว่ามันเป็นความกลัวเสียงฟ้าที่มากกว่าคนปกติ
บางทีแบคฮยอนอาจจะมีเรื่องราวฝังใจที่เขาคงไม่อาจทราบได้
แบคฮยอนที่ชานยอลเคยสัมผัสคือผู้ชายตัวเล็กๆคนหนึ่งที่มีท่าทางอวดดีและปากเก่งอยู่ตลอดเวลา
แต่ในเวลานี้คนตัวเล็กกลับดูเปราะบางและอ่อนแอจนน่ากลัวว่าจะสลายไปในอากาศหรือไม่ก็คงถูกสายฝนขโมยความอวดดีให้หายไปเสียแล้ว
ร่างสูงคิดไตร่ตรองที่จะหาโอกาสมาคุยใหม่ในภายหลัง
ยังไงซะ เครื่องมือของเขาชิ้นนี้ก็หนีไปไหนไม่รอด
เปรี้ยง!!
เสียงฟ้าทำให้ชานยอลหันไปมองคนบนเตียงอีกครั้ง
แบคฮยอนถูกภาพของพ่อแม่เข้าเล่นงานจนไม่อาจกลั้นน้ำตาไว้ได้
หยาดน้ำตาถูกปล่อยลงมาเป็นสายแต่ไร้เสียงสะอื้น
ชานยอลขยี้หัวตัวเองอย่างหงุดหงิดก่อนจะแทรกตัวลงในผ้าห่มผืนเดียวกัน
“เป็นผู้ชายประสาอะไร
ปวกเปียกเป็นบ้า”
บ่นออกมาแบบนั้นแต่กลับดึงร่างเล็กเข้ามาซุกไว้ในแผ่นอก
ความอบอุ่นแผ่ซ่านไปทุกอณูหัวใจของแบคฮยอนจนคนตัวเล็กหยุดสั่นลงเรื่อยๆแต่ยังคงมีผวาบ้างจากภาพความน่ากลัวที่เข้าเล่นงาน
อย่างน้อยคืนนี้
แบคฮยอนก็ไม่ฝันร้ายมากไปกว่านี้แล้วล่ะ
…..
ผมจำไม่ได้ว่าเมื่อคืนเกิดอะไรขึ้นบ้าง
อาการกลัวฟ้าร้องฟ้าผ่าของผมเข้าขั้นร้ายแรงอย่างที่พวกคุณเห็น
สติของผมจะหายไปเหมือนคนจมน้ำที่ทำอะไรไม่ถูก
มันเป็นอาการที่ผมเป็นมาตั้งแต่แรกเริ่ม ผมมีนัดตรวจกับคุณหมอประจำตัวในอีกไม่กี่อาทิตย์แต่ในช่วงฤดูฝนแบบนี้ผมคงจะต้องทรมานไปอีกหลายคืน
ผมไม่รู้ว่าชานยอลกลับไปเมื่อไหร่แล้วผมทำอะไรกับเขาบ้างหรือเปล่า
หัวหน้าอี้ฝานเคยเล่าให้ฟังว่าเวลาที่ผมกลัวเสียงฟ้าร้อง
ผมจะไขว่คว้าคนที่อยู่ใกล้ตัวที่สุดเป็นที่พึ่งพิงและบ่อยครั้งที่หัวหน้าอี้ฝานจะกอดปลอบจนกระทั่งผมหลับไป
หรือบางทีหัวหน้าอี้ฝานก็จะเปิดประตูมาพบผมที่นอนสั่นอยู่บนเตียงด้วยความกลัวอย่างน่าสงสาร
ผมแค่หวังว่าเมื่อคืนนี้ผมจะไม่กอดคนอย่างปาร์คชานยอลก็พอแล้ว
“นี่คือผู้ต้องสงสัยที่ทางตำรวจได้ส่งเบาะแสมาให้กับเรา”
เสียงทุ้มของหัวหน้าอี้ฝานเอ่ยเรียกให้ผมกลับมาอยู่กับปัจจุบัน
วันนี้พวกเราเข้าหน่วยตามปกติแล้วหลังจากที่คุณคิมอนุญาตให้พวกเราทำภารกิจที่เกี่ยวกับไนท์แมร์ต่อไปได้
แต่หัวหน้าอี้ฝานก็ยังคงกำชับว่าอย่ายุ่งกับภารกิจที่มีชานยอลร่วมด้วย
บนโปรเจคเตอร์ปรากฏภาพหญิงสาววัยรุ่น
หน้าตาถือได้ว่าน่ารักสดใสสมวัย
เธออยู่ในชุดมัธยมปลายชื่อดังและผมรู้จักเป็นอย่างดีเพราะเป็นโรงเรียนเดียวกับเทานั่นเอง
“เธอชื่อจองอึนจี เป็นลูกของรัฐมนตรีจองเซโฮ
จากรูปพรรณสัณฐานและองค์ประกอบอื่นมันเชื่อมโยงว่าเธออาจเป็นหนึ่งในพวกไนท์แมร์”
“ไนท์แมร์? ลูกรัฐมนตรีน่ะเหรอครับ?” อีจินกิถามอย่างใคร่สงสัย
“นายคิดว่าฐานะทางสังคมมันทำให้คนไม่กลายเป็นคนชั่วได้รึไง?” เป็นจงแดที่ตอบคำถามแทนหัวหน้าอี้ฝาน ไม่วายที่เขาจะใช้สายตาดูแคลนเหลือบมาที่ผมอีกครั้ง
“ทางตำรวจได้ขอให้เราตามสืบผู้ต้องสงสัยซึ่งผมจะต้องส่งพวกคุณให้เข้าไปตามสืบเธอ”
“หมายถึงได้เข้าไปตามสืบในโรงเรียนมัธยมอย่างนั้นเหรอครับ?
โอ๊ย แม่งโคตรเจ๋ง!” จงอินแสดงท่าทีดี๊ด๊าเสียจนทุกคนในหน่วยต่างทำหน้าเอือมระอา
“ผมคิดว่าจะส่งแบคฮยอนกับจินกิไปเพราะหน้าตาของพวกคุณกลมกลืนกับเด็กม.ปลายได้มากที่สุด”
“อ้าว หัวหน้าว่าผมหน้าแก่เหรอครับ” จงอินถามอย่างกวนส้นตีน ส่วนจงแดทำเพียงแค่ขยับแว่นบนสันจมูกให้เข้าที่
“จะว่างั้นก็ได้”
คำตอบของหัวหน้าอี้ฝานทำเอาผมแอบยิ้มขำ
ผมเห็นว่าจงแดก็ดูจะเสียความมั่นใจไปเล็กน้อยเช่นกัน ผมมั่นใจว่าถ้าหากลู่หานอยู่ด้วยเขาก็คงได้ทำภารกิจนี้แน่
“เอ่อ..หัวหน้าครับ
คือผมเกรงว่าอาจจะทำงานนี้ไม่ได้”
ผมเอ่ยออกไปอย่างไม่มั่นใจนัก
ไม่เคยมีเลยสักครั้งที่ผมจะปฏิเสธภารกิจที่ได้รับมอบหมายแต่ครั้งนี้มันจำเป็นเกินกว่าที่จะปล่อยไปได้
ครู่หนึ่งที่สบตากัน ผมจับได้ว่าดวงตาของหัวหน้าอี้ฝานนั้นสั่นไหว
“ทำไมล่ะ?”
“ผมมีคนรู้จักอยู่ในโรงเรียนนั้น
ผมคิดว่าจะถูกจับได้เสียก่อน”
“งั้น…ผมขอกลับไปคิดดูก่อนว่าควรจะทำยังไงต่อไป
แล้วพรุ่งนี้เรามาว่ากันอีกที”
พวกเราพยักหน้าเห็นด้วยแต่ไม่ทันที่จะได้เสนอความคิดเห็นอื่น
ภาพสัญญาณบนจอโปรเจ็คเตอร์ก็เปลี่ยนไป มันกลายเป็นเส้นขาวเหมือนคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้า
จงแดรีบเข้าไปดูที่คอมพิวเตอร์เครื่องหลักก่อนที่เขาจะพูด
“เป็นแบบนี้เหมือนกันหมดเลยครับหัวหน้า
มันถูกเชื่อมไปทั้งทีมบีและกองตำรวจที่เกี่ยวข้องกับพวกเราทั้งหมด
ผมเดาว่าคงจะเป็นการปล่อยคลื่นรบกวนสัญญาณแน่นอนครับ”
เพียงเสี้ยววินาที
ภาพคลื่นแม่เหล็กก็หายไปและกลายเป็นจอสีดำสนิทแต่กลับเปล่งเสียงชวนปวดแก้วหูออกมา
หลังจากนั้นมันก็กลับกลายเป็นเสียงพูดแปร่งๆที่ฟังดูก็รู้ว่าผ่านการใช้เครื่องปลอมแปลงเปลี่ยนเสียงมาแล้ว
มันเป็นเสียงที่พวกเราจำได้ดีเพราะนี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่ได้ยิน
[ไง ทุกคน ยังสบายดีกันอยู่สินะ?]
เสียงที่เจ้าหน้าที่ทุกฝ่ายต่างจำได้อย่างแม่นยำ
[ไม่ได้คุยกันนานเลยนะ]
เพราะมันคือ…
เสียงของเอส
[พร้อมจะเล่นสนุกกันรึยัง?]
TBC
คือถ้าเราลงทีละ50% มันจะโอเคไหมอ่ะ จะได้ไม่ต้องรอกันนานๆอ่ะเนอะ
จริงๆแบคฮยอนค่อนข้างเป็นคนซับซ้อนนะ บางคนอาจจะไม่เข้าใจแต่มันจะเฉลยออกมาทีละนิดๆเนอะ
เปิดเทอมแล้ว ตั้งใจเรียนกันนะะะะ
ขอบคุณสำหรับทุกๆกำลังใจเลยยยยยย
up : 26/10/2014
ความคิดเห็น