ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    [exo] See through B's trick (chanbaek)

    ลำดับตอนที่ #9 : - CH 7.1 : kid -

    • เนื้อหาตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 3.47K
      41
      16 พ.ย. 64

    chapter 07




     

     

    กฎของการเป็นผู้คุมเกม คือห้ามรู้สึกมากกว่า

    …..

     

    ชานยอลไม่ได้ติดต่อมาอย่างที่เขาเคยบอก ทุกครั้งที่โทรศัพท์ดังผมหวังว่าจะเป็นเขา แต่ก็ไม่ ไร้การติดต่อ ไร้การปรากฏตัว ชานยอลหายไปจนผมคิดว่าเขาอาจจะเลิกยุ่งกับผมแล้วก็ได้ แต่เปอร์เซ็นต์ความเป็นไปได้ในข้อสันนิษฐานนี้แทบเป็นศูนย์ คนเจ้าเล่ห์แบบนั้นคงไม่มีทางเลิกยุ่งกับผมโดยง่ายหากยังไม่ได้สิ่งที่ปรารถนา แต่ไม่ว่าอย่างไรก็ตาม สิ่งที่ผมควรใส่ใจนอกเหนือจากชานยอลนั่นก็คือภารกิจที่ผมจะต้องทำในวันนี้

     

    ผมมองตัวเองในกระจก มีรอยคล้ำใต้ดวงตาตี่ๆของผมนิดหน่อย แจ็คเกตสีดำที่สวมใส่ทำให้อุ่นขึ้นบ้างในอากาศหนาวเย็นยามเช้าตรู่แบบนี้

     

    นาฬิกาที่ผนังบอกว่าเป็นเวลาตีสี่สามสิบห้านาที เวลาที่ทุกคนคงจะนอนหลับอยู่บนเตียงหรือไม่ก็นอนกอดหมอนข้างอย่างสบายใจ แต่สำหรับผมมันคือเวลาที่ต้องเตรียมพร้อมสำหรับภารกิจ ชีวิตของประชาชนนั้นแสนสำคัญ การเป็นเจ้าหน้าที่หน่วยสตาสต้องสละสิ่งจำเป็นหลายอย่าง ทั้งเวลาส่วนตัว เวลาพักผ่อนหรือแม้กระทั่งชีวิต

     

    นอกเหนือจากประชาชนยังมีอีกหนึ่งสิ่งที่สำคัญสำหรับผมจนเกินกว่าจะประเมินค่าได้ สิ่งๆนั้นคือ ครอบครัว

     

    ครอบครัวเปรียบเสมือนบ้าน บ้านที่ไม่ได้ประกอบขึ้นเพียงแค่โครงเหล็ก หลังคา เสาหลักหรือบานประตูใดๆ แต่เป็นบ้านที่ถูกตอกเสาเข็ม ถูกก่อให้เกิดเป็นรูปเป็นร่างขึ้นด้วยความรัก และเป็นเพราะบ้านของผมถูกเผาไปกว่าครึ่งหลังด้วยฝีมือของพ่อ ผมจึงขาดบ้านที่อบอุ่นไป กระนั้นผมก็ยังมีป้าที่เลี้ยงดูและมอบความอบอุ่นจนบ้านกลับมาสมบูรณ์อีกครั้ง จวบจนเมื่อเทาได้ก้าวเข้ามา ผมจึงรู้ว่าบ้านหลังนี้มันยังพร้อมที่จะเปิดรับสมาชิกใหม่ เขาช่วยซ่อมแซมและต่อเติมให้บ้านของผมสมบูรณ์มากกว่าที่คิดไว้ เขาจึงเป็นคนสำคัญสำหรับผม เทาไม่ได้เพียงแค่ก้าวเข้ามาเป็นสมาชิกในบ้านแต่เขาก้าวเข้ามาเป็นส่วนหนึ่งในชีวิตของผมด้วย

     

    ไม่ว่ายังไงก็ตาม ผมต้องทำภารกิจนี้ให้สำเร็จ ผมต้องเอาชนะเอสให้ได้ เพราะผมไม่อาจสูญเสียบ้านไปได้อีกแล้ว

     

    ผมส่องกระจกเป็นครั้งสุดท้าย หลับตาลงเพื่อเรียกความมั่นใจแต่ความรู้สึกวูบไหวทำให้ผมลืมตาก่อนจะมองไปที่ลำคอที่เคยมีสร้อยรูปแม่กุญแจประดับอยู่ หลังจากที่มันหายไปในวันนั้น ผมค้นหาทั่วทุกที่เท่าที่ผมจะนึกออกแต่ก็ไม่พบ ผมเองก็ไม่เข้าใจว่าเพราะเหตุใดสร้อยเส้นนั้นถึงได้ติดตัวตลอดเวลา เท่าที่จำความได้ผมก็มีมันอยู่บนคอเสียแล้ว ผมคิดว่าอาจจะเป็นพ่อหรือแม่ที่ให้กับผมไว้เพราะตอนที่ได้รับมันมานั้นผมยังเด็กเกินกว่าที่จะจำได้และป้าเองก็ไม่เคยพูดเกี่ยวกับสร้อยของผมเลย นั่นจึงเป็นเหตุให้ผมได้ข้อสรุปว่าผมคงได้สร้อยเส้นนี้จากหนี่งในครอบครัว

     

    ผมเป่าปากเรียกความมั่นใจอีกครั้ง แม้ครั้งนี้จะไม่มีสร้อยที่ผมเคยกุมเพื่อเรียกกำลังใจเช่นเดิมแต่ผมก็ต้องฝ่าฟันภารกิจไปให้ได้

     

     

    “เราจะแบ่งกันเป็นกลุ่ม กระจายไปตามโซนต่างๆเพื่อสอดส่องจับพิรุธ เฝ้าดูสถานการณ์และไขปริศนาที่คนร้ายส่งมาเพื่อทำลายระเบิดก่อนที่มันจะทำงาน ภารกิจนี้เป็นการฝึกให้พวกคุณได้เข้าใจและเชื่อใจกันมากขึ้น โดยมีชีวิตของประชาชนเหยียบหมื่นเป็นเดิมพัน ผมจึงหวังว่าพวกคุณคงจะใช้ความเชื่อใจที่ได้รับนี้…มาทำภารกิจให้สำเร็จ”

     

                เสียงของคุณคิมกังวานในโสตประสาทของพวกเราเหมือนทุกครั้งที่มีภารกิจ หัวหน้าอี้ฝานและพวกเราทีมเอ รวมถึงจางอี้ชิงหัวหน้าของทีมบีและทีมของเขาต่างนั่งฟังคุณคิมอย่างตั้งใจ ครั้งนี้เราใช้ห้องประชุมรวมเป็นสถานที่วางแผนซึ่งน้อยครั้งนักที่จะเปิดใช้มันและนี่เป็นภารกิจครั้งที่สองเท่านั้นที่เราจะได้ทำร่วมกับทีมบี

     

                “แต่ผมคิดว่าเราน่าจะให้ทางตำรวจได้จับกลุ่มร่วมกับหน่วยสตาสด้วยนะครับ การประสานงานจะได้เป็นไปอย่างทั่วถึง อีกอย่าง เราควรให้เจ้าหน้าที่ที่มีความสุขุมอยู่ร่วมกับเจ้าหน้าที่เลือดร้อนด้วยเพื่อป้องกันการผลีผลามจนเสียแผน”

     

    สารวัตรคิมมินซอก ผู้ที่เป็นตัวแทนจากฝ่ายตำรวจเอ่ยเสนอความคิดเห็น ผมค่อนข้างเห็นด้วยกับเขา เพราะผมเองก็เป็นหนึ่งในเจ้าหน้าที่เลือดร้อนอย่างที่เขาว่า มันคงจะดีไม่น้อยหากได้ทำงานร่วมกับคนสุขุมอย่างเช่นคิมจงแดเป็นต้น

     

    แต่ผมก็ไม่รับประกันนักหรอกว่าความผลีผลามและอวดดีในตัวผมจะถูกระงับได้เพียงเพราะความใจเย็นของคนอื่น

     

                “ผมคิดว่าแบบนั้นคงไม่เป็นการดีหรอกครับสารวัตร หากให้รวมกลุ่มกันเอง การประสานงานก็จะเป็นไปอย่างรวดเร็วเพราะต่างรู้ใจกันอยู่แล้ว แต่หากให้รวมกับทีมตำรวจของคุณเนี่ยมันก็จะยิ่งล่าช้า คุณเข้าใจใช่ไหม? ส่วนเรื่องการประสานงานให้ทั่วถึงนั้นคุณอย่าได้ห่วงไปเลยเพราะคนจากหน่วยของเราจะเป็นผู้ควบคุมสัญญาณอยู่ที่นี่เอง รับรองว่าการสื่อสารกันจะเป็นไปอย่างครอบคลุมแน่นอน” คุณคิมกวาดสายตามองมายังพวกเราก่อนที่จะพูดต่อ “ส่วนเรื่องการนำคนใจร้อนและสุขุมไว้ด้วยกันนั้นผมเห็นด้วย เราจะทำตามข้อเสนอนี้”

     

                น้ำเสียงใจเย็นของคุณคิมทำให้สารวัตรมินซอกนึกตามก่อนที่จะพยักหน้าอย่างเข้าใจ

     

                “ถ้าอย่างนั้น ก็เป็นอย่างที่คุณว่าล่ะครับคุณจุนมยอน

     

                ชื่อจริงของคุณคิมที่พวกเราไม่เรียกกันบ่อยนักถูกเปล่งออกมาจากริมฝีปากได้รูปของคุณสารวัตรคนเก่ง เขาเป็นตำรวจที่เคยประสานงานกับพวกเรามาหลายครั้ง ดังนั้นมันก็ไม่ใช่เรื่องยากนักที่พวกเขาทั้งสองอาจจะสนิทกันในระดับหนึ่ง

     

                อย่างที่คุณคงรู้ว่าสนามเบสบอลนั้นกว้างใหญ่เพียงใด เราจึงจำเป็นต้องรวมทีมเอและทีมบีเข้าด้วยกัน อีกทั้งฝ่ายตำรวจที่เคยทำงานร่วมกันมาแล้วเพื่อให้การทำงานเป็นไปอย่างรวดเร็วและปลอดภัยต่อประชาชนมากยิ่งขึ้น

     

                เราใช้เวลาประชุมและวางแผนราวๆสองชั่วโมง ตอนนี้เป็นเวลาแปดโมงกว่าแต่เครื่องปรับอากาศภายในห้องประชุมกลับทำให้หนาวสวนทางกับแสงแดดอ่อนๆข้างนอกนั่น การแข่งขันจะเริ่มต้นขึ้นภายในเวลาบ่ายสามซึ่งเรายังเหลือเวลาอีกมากทีเดียว

     

    ผมอยากจะบอกคุณว่าเรื่องน่ายินดีที่สุดในรอบสัปดาห์นี้คือผมได้รับ CBR คู่ใจคืนจากศูนย์แล้ว นั่นหมายความว่าผมจะได้ซิ่งอีกครั้งหนึ่งแล้วจีซัส!

     

                คุณคิมสั่งให้เราพักผ่อนเอาแรงหนึ่งชั่วโมงก่อนที่จะตื่นขึ้นมาเพื่อทำความเข้าใจกับแผนผังและโซนต่างๆของสนามเบสบอลอีกครั้ง พวกเราล้มตัวลงนอนที่พื้นของห้องประชุมอย่างเหนื่อยล้า ผมเห็นว่าคยองซูไม่ได้หลับเหมือนคนอื่นๆแต่กลับเดินออกไปจากห้อง ผมยักไหล่อย่างไม่สนใจก่อนจะหามุมสงบเพื่อพักผ่อนบ้าง

     

    ผมเตะขาจงอินที่นอนเกะกะให้พ้นทาง ตัวก็ยาวดันมานอนขวางทางอีกไอ้ดำเอ๊ย! ด้วยความหมั่นไส้ผมก็เลยใช้เท้าดันมันจนไปชนกับเซฮุนที่นอนอยู่ไม่ไกล หลังจากนั้นพวกเขาก็ทะเลาะกันอย่างกับตาแก่แย่งขวดเหล้าจนโดนจางอี้ชิงสั่งให้หุบปากนั่นแหละถึงแยกจากกันได้

     

    หัวหน้าอี้ฝานฟุบหน้าอยู่บนโต๊ะ เดาว่าเขาคงหลับไปแล้ว ผมหันไปเห็นจินกิที่ยังง่วนอยู่หน้าจอคอมพิวเตอร์ เขาเป็นคนที่ได้รับมอบหมายให้อยู่ที่หน่วยเพื่อควบคุมสัญญาณที่เอสจะติดต่อมาไปให้พวกเรา ดูจากท่าทางแล้วเขาคงจะตื่นเต้นน่าดู

     

                “ไม่ไปพักก่อนล่ะจินกิ?”

     

                “ไม่ล่ะ ฉันไม่ต้องออกไปใช้แรงแบบพวกนายซะหน่อย นายนั่นแหละแบคฮยอนที่ควรจะไปพัก” เขาพูดพร้อมยิ้มไปด้วย รอยยิ้มของเขาสดใสเสมอ แม้จินกิจะเป็นคนช่างตื่นตูมแต่ว่าเขาก็เป็นคนร่าเริงคนหนึ่ง

     

                ผมคิดไปถึงฮโยยอน หากเธอยังอยู่ เธอก็คงได้ร่วมภารกิจกับเราเป็นแน่ อีกทั้งลู่หานที่ยังพักรักษาตัวอยู่ที่โรงพยาบาล หากมีเวลาว่างผมคงไม่พลาดที่จะไปเยี่ยมเขา

     

     

                “โอเค งั้นฉันไปนอนก่อนแล้วกัน อย่าหักโหมล่ะ”

     

                ผมว่าก่อนจะเดินไปหามุมเพื่องีบเอาแรง ผมหลับตาลงยังไม่ทันถึงสิบวินาทีด้วยซ้ำโทรศัพท์ที่สั่นครืดอยู่ในกระเป๋ากางเกงก็ทำให้ต้องลืมตาขึ้น เป็นน้องชายตัวแสบของผมนั่นเองที่ส่งข้อความมาหา

     

     

    08:14 ตื่นยังครับ??

     

    ผมว่าพี่ยังไม่ตื่นแน่ๆ

     

    แต่บ่ายสองพี่ต้องมาได้แล้วนะ

     

    มาก่อนเวลาได้เปรียบนะรู้เปล่า

     

    ไม่เอาอ่ะ เดี๋ยวผมไปรับที่บ้านดีกว่า

     

    08:14 ไม่ต้องๆ เดี๋ยวพี่ไปเอง

     

    08:15 เห้ยทำไมตื่นไวอ่ะ!!

     

    ผมบอกแล้วใช่ไหมว่าให้พักผ่อนเยอะๆอ่ะ

     

    พี่ต้องพักผ่อนเยอะๆดิ

     

    ทำไมชอบดื้อก็ไม่รู้

     

    ถ้าผมแก่กว่าจะจับตีตูดให้เข็ดเลย

     

    08:15 ทำไมขี้บ่นจังห้ะ เป็นน้องหรือพ่อเนี่ย

     

    08:15 ก็ผมเป็นห่วง

     

    วันที่เจอพี่ หน้าพี่ดูเหนื่อยมากเลยนะ

     

    พี่ดูแลตัวเองบ้างดิ

     

    หรือจะให้ผมไปดูแล?

     

    08:15 ดูแลตัวเองให้รอดก่อนเถอะไอ้น้อง

     

    ผมยิ้มให้กับข้อความที่เทาส่งมา เขาอาจจะดูเป็นเด็กวัยรุ่นที่ออกจะกวนประสาทและยากเกินกว่าจะเข้าใจในบางครั้ง แต่สำหรับผมเขาคือครอบครัว คือบ้าน คือความห่วงใย ครอบครัวก็คือบ้านที่เราจากออกไปแต่จะต้องกลับมา ผมกับเทาก็มีความสัมพันธ์เป็นแบบนั้น แม้เราจะไม่เจอหน้ากันทุกวันแต่เราก็ยังผูกพันเช่นเดิม

     

    วินาทีนั้นเองที่มีข้อความใหม่แทรกเข้ามา มันไม่ใช่ข้อความทางโปรแกรมแชทแต่เป็นข้อความธรรมดาๆที่ส่งเข้าเครื่องผม มันไม่ปรากฏเบอร์ของผู้ส่ง ผมขมวดคิ้วฉงนแต่เพียงวินาทีต่อมาผมก็เข้าใจได้ว่ามันถูกส่งมาจากซิมการ์ดที่ตั้งค่าความปลอดภัยเป็นอย่างดี

     

     ดูคล้ายว่าอากาศจะทวีความเย็นยะเยือกเพียงแค่ผมได้อ่านข้อความที่ปรากฏแก่สายตา

     

    [นี่คือปริศนาจากเอสที่ฉันได้มา หวังว่านายคงจะไขได้ก่อนที่ระเบิดจะทำงานก็แล้วกัน]

     

    จากรูปประโยคทำให้ผมรู้ว่าเป็นชานยอล เขาติดต่อมาอย่างที่เคยบอกไว้  แต่ความสงสัยต่อข้อความถัดไปนั้นได้กัดกินความรู้สึกของผมจนคิ้วขมวดมุ่นพร้อมกับหัวใจที่เต้นจนถี่รัว

     

    [ปริศนาคือ…]

     

    รวมทั้งความระแวงที่กลัวว่าใครจะมาพบว่าผมนั้นได้รับข้อความจากวายร้ายที่ชื่อว่าปาร์คชานยอล

     

    [1 0 7 3 [4] 0 1 (1) 0]

     

     

    นี่มัน...

     

    อะไรวะเนี่ยยยยยยย!!!

     

    ผมมองข้อความ ในหัวไร้ซึ่งความคิดใดๆ ตัวเลขพวกนี้มันกว้างเกินไป มันไม่เจาะจงถึงสิ่งใดอย่างแน่ชัด มันกว้างซะจนผมคิดว่าเอสอาจจะเป็นเจ้าแห่งอัจฉริยะที่คิดรหัสลับได้อย่างดาวินชีหรือไม่เขาก็เป็นแค่คนบ้าที่คิดปริศนาที่ไม่มีคำตอบ

     

    ผมพยายามทำสีหน้าให้เรียบนิ่งเพื่อไม่ให้คนอื่นจับสังเกตได้แม้ว่าในใจจะร้อนรนแค่ไหนก็ตาม บางทีผมน่าจะใช้เวลาในการพักนี้ไปหาชานยอล ผมไม่รู้ว่าทำไมต้องไปพบเขา แต่สัญชาตญาณบอกผมแบบนั้นและมันก็คงจะดีกว่าการที่อยู่เฉยๆโดยที่ไม่รู้อะไรเลยแบบนี้ แต่ปัญหาอยู่ที่ผมไม่สามารถติดต่อเขาได้ ไม่รู้ว่าเขาพักอยู่ที่ไหน ไม่รู้แม้กระทั่งเบอร์โทรศัพท์ สิ่งที่ผมรู้เกี่ยวกับชานยอลนั้นมีแค่ชื่อและความร้ายกาจของเขาเพียงเท่านั้น 

     

    วินาทีนั้นเองที่ผมเพิ่งตระหนักได้ว่าผมไม่รู้อะไรเกี่ยวกับชานยอลเลย ในขณะที่เขารู้แทบทุกความเคลื่อนไหวของผม เหมือนเขาก้าวเข้ามาโดยเตรียมข้อมูลเป็นอย่างดี เปรียบดังราชสีห์ที่รู้ชั้นเชิงในการเข้าหาเหยื่อ หลอกล่อและจู่โจมอย่างรวดเร็ว ชานยอลรู้ว่าจะต้องทำยังไงผมถึงจะคล้อยตามเกม เขารู้ว่าจะต้องทำยังไงถึงจะได้สิ่งที่ต้องการ ส่วนตัวผมเองกลับเป็นแค่เหยื่อที่ตกอยู่ภายใต้กรงเล็บทั้งๆที่ยังมีสติครบถ้วนแต่กลับเอาตัวรอดไม่ได้ 

     

    แต่อย่างที่คุณก็รู้....ว่าเหยื่ออย่างผมนั้นรอวันตลบหลังราชสีห์อยู่ทุกช่วงขณะ 

     

    “แบคฮยอน”

     

    ผมสะดุ้งออกจากภวังค์เมื่อจงอินที่ไม่รู้ว่าเข้ามาใกล้ตั้งแต่เมื่อไหร่เรียกชื่อผม นี่มันซ่อนตัวมาในความมืดหรือไง ทำไมผมไม่รู้ตัว!

     

    ผมเก็บโทรศัพท์ใส่กระเป๋ากางเกงอย่างปกติ จงอินไม่ใช่คนสอดรู้แต่ผมก็ไม่แน่ใจว่าถ้าหากเขาเห็นตัวเลขประหลาดๆเหล่านั้นแล้วจะไม่เกิดความสงสัย เขาเขยิบเข้ามาใกล้ผมมากขึ้นจนหัวไหล่เราแทบจะชนกัน ผมแนบแผ่นหลังไปกับผนังพร้อมสบตากับจงอินรอฟังเรื่องที่เขาอยากจะพูด

     

    “กูคิดว่ามันมีอะไรแปลกๆว่ะ” จงอินพูดด้วยเสียงแผ่วเบาแต่ดังพอที่ผมจะได้ยินชัดเจน

     

    “อะไรแปลก?”

     

    ผมเลิกคิ้วถาม จงอินทำสีหน้าครุ่นคิดคล้ายกับมีเรื่องที่ติดค้างอยู่ในใจ ผิวสีแทนของเขาเรียกได้ว่าเป็นเสน่ห์เฉพาะตัว เขาดูดี มีรูปร่างสมส่วนจนนายแบบบางคนยังเทียบไม่ติด แต่มีข้อเสียคือใจร้อน พูดก่อนคิดและชอบกวนประสาท แต่เอาเข้าจริงๆแล้วผมคิดว่าทั้งหมดที่จงอินเป็นนั่นแหละคือเสน่ห์ของเขา

     

    “เรื่องชานยอล” ผมชะงักไปเพียงเสี้ยววิก่อนจะขมวดคิ้วแทนการเอ่ยปากถาม “มึงลองคิดดูนะแบคฮยอน ปกติถ้าเราจับเป้าหมายไม่สำเร็จคุณคิมกับหัวหน้าอี้ฝานจะไม่มีทางปล่อยให้ภารกิจนั้นมันจบลงง่ายๆ พวกเขาจะต้องให้เราลุยงานต่อถึงแม้มันจะมืดแปดด้านแต่ก็ยังไม่เลิกพยายาม”

     

    ผมเงียบ พยายามคิดตามจงอิน เขาลดเสียงลงก่อนจะเขยิบเข้ามาใกล้อีกครั้ง คราวนี้หัวของเราแทบจะชนกันอยู่แล้ว นี่มันจะรวมร่างกับผมใช่ไหมเนี่ย

     

    “แต่นี่อะไรวะ พอเราจับชานยอลพลาดก็ให้พวกเราเลิกสนใจ ความจริงถ้าออกตามสืบหาชานยอลล่ะก็ กูคิดว่าเราต้องจับหมอนั่นได้แน่ แต่พวกเขากลับปล่อยผ่านทำเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น ไม่แม้แต่จะพูดถึง กูคิดว่ายังไงมันก็แปลก”

     

    ผมสบตากับจงอินพลางคิดตาม ใช่ มันเป็นอย่างที่เขาว่า คุณคิมกับหัวหน้าอี้ฝานปล่อยผ่านเรื่องของชานยอลไปง่ายดายเหมือนกับว่าไม่เคยเกิดขึ้น เหมือนจงใจจะให้พวกเราลืมภารกิจที่เกี่ยวกับชานยอล แต่ผมกลับคิดว่าบางทีพวกเขาอาจจะมีแผนบางอย่างก็เป็นได้ “มึงคิดว่ามันแปลกเหมือนกูใช่ไหม?”

     

    “ใช่” ยังไม่ทันที่ผมจะอ้าปากตอบกลับมีอีกเสียงหนึ่งแทรกเข้ามาซะก่อน ผมและจงอินหันไปตามเสียงนั้นก่อนจะพบว่าเป็นจงแดที่กำลังเคลื่อนตัวเข้ามาใกล้ ผมไม่รู้ว่าเขาแอบฟังมานานแค่ไหนแต่ถ้าให้ผมเดาคงจะเป็นตั้งแต่ประโยคแรก

     

    “นี่นายแอบฟังคนอื่นคุยกันเรอะเนี่ย?” จงอินถามด้วยน้ำเสียงกวนประสาทตามฉบับของเขา จงแดเพียงแค่ปรายตามองก่อนที่พวกผมจะเขยิบที่ให้เขาได้เข้ามาร่วมวงสนทนา กลายเป็นว่าตอนนี้เหมือนพวกผมกำลังจับกลุ่มคุยยังไงยังงั้น

     

    “ฉันคิดตั้งแต่วันแรกแล้วว่าทำไมเราถึงไม่ถูกสั่งให้จับชานยอลต่อไป ทั้งๆที่เป้าหมายร้ายกาจขนาดนั้นแต่คุณคิมกลับนิ่งเฉย พวกนายจำที่เอสพูดเกี่ยวกับหนอนบ่อนไส้ได้ไหม?”

     

    จงแดทั้งสานต่อประเด็นเดิมและเริ่มประเด็นใหม่ ผมกับจงอินพยักหน้าเป็นคำตอบ

     

    “ฉันคิดว่าเรื่องที่เอสพูดกับเรื่องที่ชานยอลถูกปล่อยผ่านอาจจะเกี่ยวข้องกัน”

     

    “นี่นายกำลังจะบอกว่าคุณคิมกับหัวหน้าอี้ฝานเป็นพวกเดียวกับไนท์แมร์เหรอวะ?” จงอินถามด้วยน้ำเสียงตกใจแต่ก็ถูกจงอินใช้สายตาตำหนิให้เบาเสียงลงก่อนที่เขาจะส่ายหน้าช้าๆ

     

    “ไม่ใช่ ฉันแค่คิดว่าบางทีอาจจะมีไนท์แมร์อยู่ในกลุ่มของพวกเรา ซึ่งมีความเป็นไปได้ว่าคุณคิมและหัวหน้าอี้ฝานอาจจะรู้ข้อมูลบางอย่างและกำลังวางแผนกันอย่างเงียบๆ” จงแดหันมามองผม ดวงตาหลังเลนส์แว่นดูจริงจังเพิ่มขึ้นเมื่อเขาพูดประโยคถัดมา “และบางทีอาจจะมีหนึ่งในพวกเราที่กำลังโดนไนท์แมร์หลอกใช้อยู่”

     

    ผมสบตากับจงแด พยายามอย่างหนักที่จะไม่หลบสายตาหรือแสดงพิรุธ เขาเป็นคนฉลาดและไหวพริบดีจนได้รับฉายาว่าเป็นมันสมองของทีม สิ่งที่เขาพูดไม่ได้เจาะจงว่าหมายถึงผม แต่ผมคิดว่าจงแดกำลังพยายามเชื่อมโยงเรื่องราวทั้งหมดด้วยตัวเอง ผมไม่อยากคิดภาพเลยว่าถ้าหากเขารู้ว่าคนที่เขาเอ่ยว่าถูกไนท์แมร์หลอกใช้อยู่นั้นคือผมเองเขาจะตกใจมากแค่ไหน

     

    “นายต้องระวังตัวให้มากนะแบคฮยอน” จงแดเพิ่มความจริงจังลงในน้ำเสียงอีกครั้งพร้อมกับเอื้อมมือมาบีบที่ไหล่ผมเบาๆ “นายใจร้อน วู่วาม ทำอะไรไม่คิดหน้าคิดหลัง หากไนท์แมร์จะหาคนที่หลอกใช้จริงๆ ฉันคิดว่านายคือเหยื่อชั้นดี เพราะฉะนั้นถ้ามีอะไรไม่ชอบมาพากลนายต้องบอกกับพวกเรา เข้าใจใช่ไหม?”

     

    ความเป็นห่วงถูกส่งผ่านมาจากแรงบีบที่หัวไหล่ ถึงแม้จงแดอาจจะไม่ชอบความผลีผลามของผม แต่เราคือทีมเดียวกัน ซึ่งความหมายที่ซ่อนอยู่ในคำว่าทีมนั้นก็คือพี่น้อง ถ้าให้เทียบตามนิสัย ดูเหมือนว่าผมจะเป็นน้องเล็กสุดสำหรับทุกคน โอเค ผมยอมรับว่าผมอวดดีและยึดความคิดตัวเองเป็นหลักในบางครั้ง แม้พวกเขาจะไม่เห็นด้วยกับนิสัยของผมในส่วนนี้ แต่ทุกคนก็ยังคงให้อภัยและสั่งสอนผมให้เรียนรู้จากความผิดพลาด จนบางครั้งผมก็อดคิดไม่ได้ว่าที่นี่ไม่ได้เป็นเพียงแค่ที่ทำงานแต่มันคือบ้านหลังที่สอง

     

    ผมพยักหน้าเป็นคำตอบให้กับจงแดก่อนที่จงอินจะหัวเราะน้อยๆพร้อมกับส่ายหน้าเป็นเชิงล้อเลียน ไอ้นี่มันชอบหาว่าผมเป็นลูกของจงแดทั้งๆที่เราสองคนอายุเท่ากัน

     

    “พ่อสอนลูกอีกแล้วสินะ เอ้าแบคฮยอน เชื่อฟังพ่อด้วยนะ อย่าดื้อล่ะ” แล้วมันก็ขำคิกคักอยู่คนเดียวจนผมโบกหัวมันด้วยความหมั่นไส้ จะมีสักครั้งไหมที่มันจะอยู่เงียบๆเหมือนอย่างคนอื่นเขา

     

     “ถ้านายว่างพอที่จะมาล้อเลียนคนอื่นก็ไปหาวิธีทำให้ตัวเองฉลาดขึ้นซะนะ”

     

    “โอ้โห เจ็บจี๊ดดด” ผมหลุดขำกับการทะเลาะกันของทั้งสองคน ผมแท็กมือกับจงแดอย่างถูกใจก่อนที่จงอินจะยกเท้ามาปัดมือพวกเราให้แยกออกจากกัน

     

    “เออ ทีเวลายังงี้ก็เข้าขากันดีนัก ถ้าทะเลาะกันอีกกูจะสมน้ำหน้าให้” จงอินว่าพลางสะบัดหน้าไปทางอื่น นี่มันคิดว่าตัวเองเป็นใครถึงได้ทำท่าหมางอนขนาดนั้น “รู้งี้ไปคุยกับจินกิยังดีกว่าอีกแม่ง ไม่ต้องมาโดนว่าแบบนี้ กูล่ะน้อยใจ”

     

     “พูดถึงจินกิ ฉันว่า...วันนี้หมอนั่นแปลกๆ” จงแดปรับสีหน้ากลับมาเป็นจริงจังอีกครั้งจนผมกับจงอินตามอารมณ์เขาแทบไม่ทัน แต่คำพูดของเขากลับทำให้พวกเราขมวดคิ้วก่อนจะส่งสายตาเป็นคำถาม “จินกิเป็นคนอาสาอยู่ที่หน่วยเพื่อส่งสัญญาณ ทั้งที่จริงๆแล้วหน้าที่นั้นควรเป็นของฉันที่เก่งเรื่องพวกนี้มากกว่า”

     

    “หมอนั่นเป็นคนเสนอตัวหรอกเหรอ ฉันนึกว่านายขี้เกียจทำซะอีก” จงอินพูดด้วยน้ำเสียงเบื่อหน่ายพลางแคะหูไปด้วย ทำท่าทางเหมือนกับไม่สนใจเรื่องที่จงแดพูดเท่าไรนัก “แต่ความจริงฉันว่ามันก็ไม่เห็นแปลก แค่ส่งสัญญาณใครๆก็ทำได้ จะจับผิดทุกเรื่องให้ปวดกะบาลไปทำไมวะ”

     

    “มึงนี่โง่แล้วโง่อีกนะจงอิน จินกิเคยพูดไว้ว่าเขาน่ะเกลียดเรื่องระบบคอมพิวเตอร์จะตายไป มึงจำได้ไหม? เขาบอกว่ามันยุ่งยากแล้วก็น่าเบื่อ นั่นจึงเป็นเหตุผลว่าทำไมมันจึงแปลกที่เขาจะอาสาเป็นคนส่งสัญญาณที่ซับซ้อนแบบนี้” จงอินทำหน้าคิดตามก่อนจะร้องอ๋อออกมาเบาๆอย่างกวนส้นตีน “เพราะมึงโง่ไงถึงได้โสดอยู่แบบนี้”

     

    “เกี่ยวไรกับที่กูโสดวะไอ้---”

     

    “แต่ตามจริงมันก็ไม่มีอะไรมากนักหรอก ฉันก็แค่สงสัย บางทีหมอนั่นอาจจะอยากทำความคุ้นชินกับคอมล่ะมั้ง”

     

    จงแดพูดตัดหน้าไอ้จงอินที่เตรียมอ้าปากด่าผม จังหวะนั้นเองเสียงที่สี่ก็ดังขึ้นพร้อมกับร่างสูงของโอเซฮุนผู้ที่ไม่มีใครเชิญแต่กลับเข้ามานั่งร่วมวงกับเราแล้วเรียบร้อย 

     

    “คุยไรกันขอฉันคุยด้วยคนดิ”

     

    พวกเราแสร้งเมินหน้าหนีไอ้ตัวป่วนประสาททันที ยกเว้นจงอินที่ปล่อยหมาในปากออกมาปะทะ

     

    “นายก็ไปอยู่กับทีมของนายสิ หรือว่าไม่มีคนคบ?”

     

    “อะไร? คยองซูมันออกไปสูบบุหรี่เว้ย ส่วนคนอื่นก็แก่ๆทั้งนั้น ก็ต้องเข้าใจนิดนึงว่าฉันมันยังวัยรุ่นอยู่” เซฮุนว่าพลางยืดตัวขึ้นเล่นเอาพวกเราเบ้ปากกันทั้งกลุ่ม “แล้ววัยรุ่นๆอย่างยัยยูมินก็ไม่เข้าหน่วยเป็นอาทิตย์แล้ว หนีงานชัดๆ ถ้ากลับมาล่ะก็โดนเล่นงานอ่วมแน่”

     

    ยูมินที่เซฮุนพูดถึงคือผู้หญิงเพียงคนเดียวในทีมบี ด้วยความที่เป็นผู้หญิงเหมือนกับฮโยยอนจึงทำให้ทั้งสองสนิทกัน จะว่าไปผมไม่เห็นเธอเป็นสัปดาห์แล้วแม้กระทั่งในงานศพของฮโยยอนก็ตาม

     

    “บางทียูมินอาจจะเบื่อขี้หน้าไอ้จอมโม้อย่างนายก็ได้ คนอะไรหลงตัวเองเป็นที่หนึ่งแถมยังขี้โม้ชิบหาย” 

     

    “จงอินนายอยากปากแตกมากใช่มะ?”

     

    “โอ๊ยยย งินกลัวจังเลยค่ะ พี่แบคช่วยงินด้วยค่ะ เค้าจะทำร้ายงินนนน ถุย!” จงอินว่าอย่างกวนส้นตีน ให้ตายเถอะ ผมไม่เคยคิดเลยว่าผมจะมีเพื่อนสนิทและเพื่อนร่วมงานที่กวนตีนจนน่าหมั่นไส้ขนาดนี้

     

    เซฮุนทำท่าจะต่อยจงอินแต่ต่อมาเขาก็เลิกสนใจก่อนจะเบนสายตามามองที่ผมและจงแดแทน “พวกนายได้ไปเยี่ยมลู่หานกันบ้างไหม?”

     

    “ถามทำไม?” ผมถามเขา หมอนี่เป็นคนนิสัยยังไงผมไม่รู้นักหรอก แต่จากที่เคยทำงานร่วมกันสองสามครั้งก็พอสรุปได้ว่าเป็นคนที่อารมณ์แปรปรวนและป่วนประสาทได้น่ารำคาญที่สุด

     

    “เออ ก็ตอบๆมาเหอะน่า”

     

    “ยัง”

     

    “อะไร! อยู่ทีมเดียวกันแท้ๆไหงไม่ไปเยี่ยมเพื่อนร่วมทีมหน่อยวะ ทีมเอนี่มันแล้งน้ำใจจริงๆ” เซฮุนบ่นกระปอดกระแปดจนผมไม่เข้าใจว่าเขาจะเดือดร้อนไปทำไมในเมื่อลู่หานเป็นคนของทีมเอ อีกอย่าง ผมก็อยากจะไปเยี่ยมลู่หานพี่น้องของเราอยู่แล้ว แต่คุณก็รู้ว่าภารกิจที่กำลังจะมาถึงนั้นเสี่ยงแค่ไหน ลู่หานอยู่ในสถานที่ที่ปลอดภัยซึ่งนั่นมันก็ดีสำหรับเขาแล้ว ผมไม่อยากให้เขาต้องมารับรู้ถึงภารกิจอันหนักอึ้งนี่หรอก

     

                  “เอาเป็นว่าถ้าจะไปเยี่ยมก็บอกฉันด้วยแล้วกัน”

     

    เซฮุนพูดหน้าตายจนพวกเราเกิดความสงสัย แต่หัวหน้าอี้ฝานที่ฟุบหลับอยู่นั้นค่อยๆเงยหน้าตื่นทำให้พวกเราหยุดบทสนทนาโดยอัตโนมัติ วินาทีนั้นเองที่อี้ชิงเดินเข้าไปจับไหล่แกร่ง ก่อนจะพยักเพยิดหน้าให้หัวหน้าอี้ฝานออกไปคุยกับเขาด้านนอก ผมไม่รู้ว่าพวกเขาจะคุยเรื่องอะไรกัน แต่สายตาของอี้ชิงที่มองมาที่ผมนั้นมันช่างทำให้เกิดความรู้สึกประหลาดอย่างบอกไม่ถูก

     

    สายตาของอี้ชิงเหมือนกับคนที่แสดงท่าทีเห็นใจ ทั้งเห็นใจในตัวผมและตัวหัวหน้าอี้ฝาน สิ่งที่ทุกคนเห็นคงเป็นภาพหัวหน้าของทั้งสองทีมที่มีเรื่องเคร่งเครียดเกี่ยวกับภารกิจ แต่สำหรับผมมันคือภาพของคนสองคนที่สอนให้ผมรู้ซึ้งถึงการเจ็บปวดจากความรัก

     

    และแน่นอนว่าผมไม่มีวันลืมความเจ็บปวดนี้

     

    .....

     

    “พี่แบคฮยอนนนนนๆๆ!!”

     

    เสียงเรียกของเด็กหนุ่มทำให้ผมรีบเดินเข้าไปใกล้ก่อนจะทิ้งตัวลงนั่งข้างๆ สนามเบสบอลเวลานี้คลาคล่ำไปด้วยผู้คนทั้งๆที่ยังเหลืออีกกว่าหนึ่งชั่วโมงก่อนที่การแข่งขันจะเริ่มต้น แน่นอนว่าไม่ได้มีเพียงแค่เหล่าแฟนเบสบอลที่เฝ้ารอคอยนักกีฬาคนโปรด แต่ยังมีผม หน่วยสตาสและตำรวจที่แฝงตัวอยู่ในสนามนี้เช่นกัน

     

    “พี่แบคฮยอน หวัดดีครับ”

     

    ผมยิ้มรับคำทักทายของเควิน ชิน เพื่อนสนิทของเทา ตั้งแต่ขึ้นม.ต้นมา ผมไม่เคยเห็นเทาคบกับเพื่อนคนไหนเลยนอกจากเควิน ซึ่งผมว่ามันก็แปลกดี เทาเป็นผู้ชายที่มีความเป็นเด็กขัดกับภาพลักษณ์ แต่เควินกลับมีความเป็นผู้ใหญ่ขัดกับใบหน้าที่ดูไร้เดียงสา จะยังไงก็ช่างเถอะ ผมว่าพวกเขาก็ดูเหมาะกันดี

     

    “นี่มากันนานรึยัง” ผมเอ่ยถามพร้อมขยับหูฟังที่ใบหูให้เข้าที่ หากเอสติดต่อมาจินกิจะส่งสัญญาณมาให้ผ่านทางหูฟังนี้ ผมเลือกใส่หูฟังไว้ข้างเดียวเพื่อไม่ให้คนรอบข้างนั้นจับสังเกตได้ว่าผมไม่ได้มีจุดประสงค์เพียงแค่มาชมเบสบอล

     

    “นานแล้วล่ะพี่ ไม่รู้ว่าไอ้เทามันตื่นเต้นอะไรนักหนา ลากผมมาตั้งแต่ยังไม่บ่ายดีเลย”

     

    “นี่มึงฟ้องพี่กูเหรอวะ” เทาหันไปโบกหัวเควินทีหนึ่งก่อนจะหันมายิ้มใส่ผมอย่างน่าหมั่นไส้ “อ่ะพี่แบคฮยอน ใส่นี่ไว้”

     

    เทาหยิบหมวกเบสบอลสีดำออกมาจากกระเป๋าเป้ที่เขาพกไว้และสวมมันลงบนหัวของผมพร้อมกับจัดปีกหมวกให้เข้าที่ แถมยังใช้ผ้าเช็ดหน้าเช็ดเหงื่อที่หน้าผากให้ผมด้วย เขาทำตัวเหมือนเป็นผู้ดูแลผมทั้งๆที่ผมแก่กว่าเขาตั้งหกปี  

     

    “ไม่ต้องน่า พี่ทำเองได้” ผมปฏิเสธพร้อมกับเบนหน้าหนี ไม่วายที่เทาจะทำท่าเหมือนถูกขัดใจก่อนที่เขาจะเปิดประเด็นสนทนาใหม่

     

    แม้ผมจะยิ้มและพูดคุยกับน้องชายแต่ในหัวของผมกลับมีความคิดมากมายแล่นไปมาในสมอง ผมไม่ได้ไปพบชานยอลอย่างที่ตั้งใจ ผมไม่สามารถแก้ปริศนาได้ด้วยตัวคนเดียว เท่ากับว่าตอนนี้ผมไม่รู้อะไรเลย ผมไม่สามารถบอกใครเรื่องปริศนาได้ ซึ่งนั่นสร้างความอึดอัด กังวลใจและความสับสนให้แก่ผม

     

    ผมไม่รู้เลยว่าควรทำอย่างไรต่อไปในเวลานี้

     

    ‘1 0 7 3 [4] 0 1 (1) 0’

     

    ตัวเลขปริศนาที่ผมแก้ไม่ได้แล่นเข้ามาในห้วงความคิดอีกครั้ง จากการสันนิษฐานคร่าวๆ ผมคิดว่าเลขสี่และเลขหนึ่งนั้นจะต้องเป็นตัวเลขสำคัญเพราะเห็นได้ชัดว่ามันถูกเน้นย้ำไว้ แต่ว่ามันหมายถึงอะไรล่ะ?

     

     หมายเลขที่นั่งของเก้าอี้? รหัสลับภาษาคณิตศาสตร์? หมายเลขของนักกีฬาหรือว่านี่มันเป็นเบอร์โทรศัพท์ของใครหรือเปล่า? 

     

    มืดแปดด้านจริงๆให้ตายเถอะ

     

    “พี่แบคฮยอนๆๆๆๆๆ!!! นั่นคิมอูบินใช่ไหม?!! เควินมึงดูดิ๊ อูบินใช่เปล่า?!!!”

     

    เทาตะโกนโหวกเหวกพร้อมเขย่าแขนผมกับเควินให้หันไปดูผู้ชายตัวสูงที่ยืนอยู่ข้างสนาม คิมอูบินนักข่าวช่องกีฬายืนอยู่ตรงนั้นพร้อมกับชายอีกคนที่แบกกล้องไว้บนบ่า ดูก็รู้ว่าพวกเขากำลังอัดวิดีโอสำหรับทำข่าว มันไม่แปลกเลยที่เขาจะมาที่นี่ แต่สิ่งที่แปลกก็คือเทาเนี่ยแหละ จะตื่นเต้นอะไรนักหนาวะ!

     

    “เออว่ะ อูบินจริงๆด้วย” เควินตอบคำถามซึ่งนั่นทำให้เทาแทบกระโดด

     

    “โคตรเจ๋งงง! มึงรู้เปล่าตอนบอลโลกอูบินก็ตามไปทำข่าวยันบราซิลเลยนะเว้ย กูแม่งโคตรอิจฉาอ่ะ”

     

    ผมส่ายหน้าให้กับความบ้าบอของเทา เรานั่งคุยกันอยู่อีกพักใหญ่จนเวลาผ่านไป ผู้คนที่เดินไปมาเริ่มนั่งประจำที่ วินาทีนั้นเองที่เก้าอี้ว่างข้างๆผมถูกแทนที่ด้วยเจ้าของ เสียงเทสไมค์จากโฆษกเป็นตัวกระตุ้นความตื่นเต้นจนสนามดูคึกคักขึ้นมาภายในพริบตา

     

    “สวัสดีครับทุกท่าน ขอต้อนรับสู่การแข่งขันเบสบอลนัดกระชับมิตรที่ทุกคนตั้งตารอ และนี่คือการแข่งขันเบสบอลระหว่างทีมไจแอนท์วู้ดและทีมบิ๊กโฮป!!!!!!!”

     

    “เฮฮฮฮฮฮฮฮฮฮ!!!!!!!!!!”

     

    เสียงเฮดังลั่นไปทั้งสนาม เดาว่าเสียงหัวใจของทุกคนคงดังก้องไปด้วยความตื่นเต้น ผมเองก็เช่นกัน หัวใจของผมเต้นแรงราวกับจะกระดอนออกมาจากอก แต่ผมไม่ได้ตื่นเต้นกับการแข่งขัน ผมตื่นเต้นกับสิ่งที่รอผมอยู่ข้างหน้า ผมยังคงเฝ้ารอเวลาที่เอสจะติดต่อมา 

     

    ผมเฝ้ารอให้เอสติดต่อมา ทั้งๆที่ผมมีปริศนาอยู่ในมือ ทั้งๆที่ผมรู้มากกว่าคนอื่นแต่ผมกลับทำอะไรไม่ได้เลย...

     

    มันนอกเหนือจากคำว่าอึดอัดและสับสน ผมรู้สึกไร้ประโยชน์และอยากพบใครสักคนที่พร้อมจะช่วยผมได้ แต่อย่างที่คุณก็รู้ว่าผมบอกใครไม่ได้แม้แต่คนเดียว 

     

    “พี่เชียร์ไจแอนท์วู้ดเหมือนผมนะ ปล่อยไอ้เควินแม่งเชียร์บิ๊กโฮปทีมกากไปคนเดียวเหอะ”

     

    “อ้าวเชี่ยเทา ทีมกูไม่กาก ทีมมึงแหละกาก”

     

    ผมนั่งฟังวัยรุ่นสองคนเถียงกันอย่างขำๆจนกระทั่งสัมผัสอุ่นๆที่ฝ่ามือจะเรียกให้ผมออกจากวงสนทนา ผมมองไปที่มือของตัวเองก่อนจะผมว่ามันถูกกอบกุมไว้ด้วยฝ่ามือที่ใหญ่กว่าของคนแปลกหน้าที่นั่งข้างๆ

     

    ผมรีบเงยหน้าหวังจะถามถึงสาเหตุที่เขามาจับมือผมแบบนี้ แต่ทุกคำพูดกลับถูกกลืนลงคอไปอย่างง่ายดายเพียงแค่ผมสบตากับเขาในเสี้ยววินาที

     

    เส้นผมสีดำสนิทถูกแทนที่ด้วยสีแดงไวน์องุ่น บนศีรษะของเขามีหมวกเบสบอลเพื่ออำพรางใบหน้า แมสก์สีดำยังคงถูกใช้งานเหมือนอย่างที่ผมเห็นบ่อยๆ แม้ว่าเขาจะอำพรางตัวแค่ไหนแต่ดวงตาสีน้ำตาลคู่นั้นก็ยังคงเป็นเอกลักษณ์ของเขา เราไม่ได้สบตากันแต่ผมก็รับรู้ได้ว่าเป็นเขา

     

    เขาที่ชื่อชานยอล

     

    สันจมูกโด่งและดวงตาคู่คมคือสิ่งที่ผมเห็นชัดที่สุดในเวลานี้ เสียงเฮลั่น เสียงความวุ่นวายรอบข้างฟังดูไกลออกไปเรื่อยๆ ราวกับผมยืนอยู่ในศูนย์กลางของสุญญากาศ เหมือนทุกอย่างแล่นผ่านไปอย่างรวดเร็วแต่ผมกับชานยอลยังคงนั่งอยู่ที่เดิม

     

    ในช่วงเวลานี้ ไม่มีอะไรชัดเจนเท่ากับชานยอลอีกแล้ว ไม่มี…

     

    ชานยอลนั่งอยู่ข้างผมท่ามกลางเหล่าคนนับหมื่น เขานั่งอยู่ข้างผมท่ามกลางบุคคลที่พร้อมจะจับเขาทุกเมื่อหากได้พบเห็น สัมผัสที่ฝ่ามืออบอุ่นขึ้นอีกเป็นเท่าตัวเมื่อเขากระชับและกอบกุมเอาไว้ มือของชานยอลใหญ่กว่ามือของผมมากจนผมคิดไม่ถึงว่ามือของตัวเองจะเล็กขนาดนี้

     

    เขาเอียงศีรษะมาใกล้ใบหูของผม ถึงแม้จะมีหูฟังเป็นตัวคั่นกลางแต่ผมกลับได้ยินเสียงของเขาชัดเจน น้ำเสียงของชานยอลยังคงทุ้มต่ำและเป็นเอกลักษณ์ เขาไม่ได้ใช้เสียงโทนหยอกล้อ แต่มันเป็นเสียงที่ทำให้ใจของผมเต้นผิดไปหนึ่งจังหวะ ผมหาสาเหตุไม่ได้ว่าเพราะอะไรหัวใจผมจึงได้เต้นเร็วกว่าเดิมเพียงแค่ได้ฟังประโยคธรรมดาๆจากคนเจ้าเล่ห์อย่างเขา

     

    “ไม่เจอกันหลายวัน”

     

    “…”

     

    “นึกถึงกันบ้างไหม?” 

     

    และมันอาจเป็นเรื่องบ้าไปแล้วก็ได้ที่ผมอยากจะตอบเขากลับไปว่า

     

    นึกถึง...

     

    หรือบางทีคำที่เหมาะกับความรู้สึกของผมอาจจะไม่ใช่การนึกถึง

     

    แต่เป็น...คิดถึง

     

    ผมอ้าปากเตรียมจะพูดกับเขาแต่ชานยอลส่ายหน้าช้าๆเป็นเชิงห้ามก่อนที่เขาจะปล่อยมือผมให้เป็นอิสระ เขาหันไปสนใจกับสนามซึ่งผมพอจะเข้าใจจุดประสงค์ของเขาได้ดี ชานยอลแค่ต้องการให้ผมรู้ว่าเขาอยู่ตรงนี้แต่ไม่ต้องการให้แสดงออกว่าเรารู้จักกัน 

     

    “เอาล่ะครับ อีกไม่ถึงสิบนาทีเราก็จะได้ชมการแข่งขันสุดเร้าใจกันแล้ว ในระหว่างนี้เราก็มาพูดถึงนักกีฬาของแต่ละทีมกันดีกว่า แต่ละคนนั้นทั้งผลงานและฝีมือนี่ยอดเยี่ยมเลยทีเดียวครับบบบบ!!!”

     

    เสียงของโฆษกดึงความสนใจจากทุกคนไปได้อีกครั้ง จอแอลซีดีขนาดใหญ่ที่อยู่อีกฝั่งหนึ่งของสนามปรากฏรูปและรายชื่อของนักกีฬาแต่ละทีมให้ได้เห็นอย่างทั่วถึง ชานยอลและผมรวมถึงทุกคนต่างจ้องไปยังจอแอลซีดีนั้น

     

    ทีมบิ๊กโฮปคือทีมที่ได้ฉายรายชื่อเป็นทีมแรก จากนั้นจึงเป็นของทีมไจแอนท์วู้ด โดยไล่ลำดับไปเรื่อยๆ จากที่ผมเห็นมันเริ่มตั้งแต่หมายเลข10 หมายเลข7 หมายเลข3 จนกระทั่งมาถึงหมายเลข4

     

    “นั่นๆๆๆ คังมินฮยอก! ไอดอลกู ไอ้เควินมึงดู!”

     

    เทาชี้ไปที่จอแอลซีดีซึ่งปรากฏนักกีฬาที่ชื่อว่าคังมินฮยอก จากที่ผมอ่านข้อมูลบนหน้าจอจึงได้รู้ว่าเขารับตำแหน่งพิชเชอร์(ผู้ขว้างลูก) เป็นผู้เล่นหมายเลข4 และมีดีกรีเป็นถึงนักเบสบอลทีมชาติ

     

    “พี่แบคฮยอนรู้ไหม? นักเบสบอลหมายเลข4น่ะ สำคัญที่สุดในสนามเลยนะ!”

     

    เทาหันมาบอกผมด้วยท่าทีดี๊ด๊าตามแบบฉบับวัยรุ่นไฮเปอร์ ผมพยักหน้าตอบรับเขาส่งๆก่อนที่จะหันไปสนใจกับจอแอลซีดีต่อ วินาทีนั้นเองที่เหมือนความคิดบางอย่างแล่นเข้าสู่สมองภายในเสี้ยววิ 

     

    หมายเลข10 หมายเลข7 หมายเลข 3 หมายเลข4

     

    1 0 7 3 [4] 0 1 (1) 0

     

    เลขห้าหลักแรก มันตรงกับปริศนาที่เอสสร้างขึ้นมาด้วยความบังเอิญ...

     

    ในทีมเบสบอลจะประกอบด้วยผู้เล่น9คน ซึ่งนั่นตรงกับหมายเลขปริศนาที่มี9หลัก แม้อีก4หลักที่เหลือจะไม่ใช่เลขที่เอสกำหนดไว้ แต่ความเป็นไปได้ที่เลขจาก5ใน9จะมีความบังเอิญตรงกันกับปริศนานั้นมันเกิดขึ้นได้ยาก

     

    นอกเสียจากว่ามันไม่ใช่ความบังเอิญ

     

    ผู้เล่นหมายเลข4คือผู้เล่นที่สำคัญที่สุดและหมายเลข4ในปริศนาก็ถูกเน้นย้ำไว้เช่นเดียวกัน

     

    ผมรู้สึกได้ถึงเหงื่อที่ซึมออกมาจากข้างขมับ รวมทั้งฝ่ามือที่เริ่มเย็นขึ้นเรื่อยๆด้วยความตื่นเต้น ความตึงเครียดกัดกินความคิดของผมจนขมวดคิ้วมุ่น ผมไม่รู้ว่าผม บยอนแบคฮยอน คนที่ไม่ได้มีความฉลาดหลักแหลม คนที่ไม่ใช่คิมจงแดมันสมองของทีม คนที่ไม่ได้มีอะไรดีเลยนอกเสียจากความใจร้อน ผมไม่แน่ใจอะไรเลย ไม่รู้ด้วยซ้ำว่าความคิดของผมนั้นจะถูกต้องสักแค่ไหน

     

    “พี่ไปเข้าห้องน้ำก่อนนะ”

     

    ผมบอกกับเทาพร้อมส่งสายตาเป็นสัญญาณให้ชานยอลรับรู้ ผมเดาว่าเขาคงจะตามผมมาในอีกสามนาทีเพื่อไม่ให้เป็นที่น่าสงสัย แต่ละก้าวที่ผมเดินออกไปคือก้าวที่ผมกำลังเดินเข้าสู่การแก้ปริศนา ไม่ว่าผมจะเดาผิดหรือถูกก็ตาม แต่ผู้เล่นหมายเลข4 คังมินฮยอก คือสิ่งที่ผมสนใจในตอนนี้

     

     

    TBC

    ขอโทษที่ทำให้ค้างกันนานค่ะ ขอโทษจริงๆ T_T

    คนที่แก้ปริศนาได้ คือคนที่ฟัง สังเกตและคิดมากกว่าคนอื่น

    ตอนหน้าจะเป็น7.2ค่ะ ซึ่งเราจะลงทีเดียวร้อยเปอร์เลย แป๊บเดียวนะคะ

     แล้วก็อีกเรื่องหน่วยสตาส S.T.A.S เป็นหน่วยที่เราสมมติขึ้นมา ไม่ต้องไปเสิร์ชกูเกิ้ลแล้วนะคะ ไม่มีหรอก555555555555
    ขอบคุณทุกคนที่ให้กำลังใจและเข้าใจเราว่ามันแต่งยากนะคะ ขอบคุณมากๆค่ะ 

    #ficsee2b @BlackQ238

    up : 14/12/2014 (35%) 12/01/2015 (100%)

     

     

     

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×