ปราชญ์หญิงพลิกแผ่นดิน
-
นิยาย-เรื่องยาว :
ฟรีสไตล์/ อดีต ปัจจุบัน อนาคต ผู้แต่ง : violavela
My.iD :
https://my.dek-d.com/violavela/writer/
ตอนที่ 20 : ใครหว่า.......
ใครหว่า.......
หลังจากต้าเว่ยถูกรุกหนัก จากซ่งหนูและมองโกล นอกจากเมืองซีจ้างที่เป็นหน้าด่าน แล้วก็เปลี่ยนไปโจมตีหมู่บ้านและทำลายเรือกสวนไร่นาแทน พอส่งกองทัพออกไปปราบที่หนึ่งก็ไปโผล่โจมตีอีกที่หนึ่ง ทำให้ชาวบ้านรอบนอกกำแพงเมืองต่างหวาดกลัวอพยพเข้ามาอยู่แต่ภายในกำแพงเมือง พอส่งเสบียงบำรุงจากราชสำนักให้แก่ผู้อพยพที่ไม่สามารถออกไปเก็บเกี่ยวได้ก็ไม่พอ บ้างก็ถูกซุ่มโจมตีกลางทางแย่งชิงทำลายเสบียงที่ส่งไปให้ตามหัวเมือง ด้วยซ่งหนูรบกับต้าเว่ยมานานทำให้รู้ภูมิประเทศและเส้นทางในต้าเว่ยชั้นนอก(แคว้นเว่ยเดิม)เป็นอย่างดี ส่งทหารจำนวนมากออกไปก็ไม่เจอ ส่งทหารเป็นกลุ่มเล็กก็ถูกจู่โจมจนไม่ได้กลับมา สุดท้ายต้องปล่อยทิ้งเมืองชั้นนอกให้ร้างอพยพผู้คนเข้ามาเมืองชั้นในที่ห่างจากฝูหลิงเมืองหลวงเดิมของเว่ย ร้อยลี้ถึงได้รอดพ้น เพราะซ่งหนูไม่ชำนาญในพื้นที่ส่วนนี้ แต่ก็ถูกลอบมาก่อกวนอยู่ไม่ขาด
ส่วนทางเหนือที่ทู่เจียรุกมา ถึงจะยันอยู่แต่ก็ตึงมือยิ่งนัก ทหารเว่ยที่เก่งกาจในจงหยวน ถูกทหารราบของกลุ่มที่ต่อต้านต้าเว่ยบุกเพื่อพัวพัน แล้วให้ทัพม้าทู่เจียเข้ามาโจมตีแตกพ่ายไม่เป็นท่า จนต้องเข้าไปป้องกันในเมือง ส่วนกองกำลังต่อต้านก็มีกำลังไม่พอจะตีเมือง ต่างฝ่ายต่างคุมเชิง ทางทู่เจียอยากจะทำเหมือนซ่งหนูคือก่อกวนรอบนอกกำแพงเมือง แต่ก็ถูกคัดค้านเพราะชาวบ้านมีแต่คนแคว้นฉู่ ฮั่น ฝ่ายต่อต้านส่วนมากก็คนแคว้นฉู่ ฮั่น ทู่เจียถึงไม่พอใจก็ได้แต่เก็บไว้เพราะไม่ชำนาญพื้นที่
"ทหารต้าเว่ยเรามีตั้งสี่สิบหมื่นหายไปไหนกันหมด แค่เพียงพวกเผ่าเร่ร่อนก็ปล่อยให้มันยึดดินแดนด้านตะวันตกไปเกือบครึ่ง ข้าจะมีพวกเจ้าไว้ทำไมกัน"พระสุรเสียงที่ตวาดดังลั่นท้องพระโรงของชายผู้ครอบครองดินแดนมากที่สุดในหัวเชี่ย เว่ยไท่หวงตี้
"ฝ่าบาทโปรดทรงถนอมพระวรกายด้วยพะยะค่ะ อย่าได้ทรงกริ้ว"เสียงของหมอหลวงร้องกระตุ้นเตือน
เหล่าขุนนางตอนนี้ต่างก็คุกเข่าหน้าแนบพื้นกันหมด บางคนถึงกับตัวสั่นงันงกด้วยความกลัวที่มีต่อบุคคลที่นั่งเด่นอยู่บนแท่นบัลลังก์มังกร รูปร่างสูงใหญ่ดั่งเช่นชาวเว่ยทั่วไปทั้งยังมีกลิ่นอายที่จะสะกดข่มผู้คนทั่วทั้งใต้หล้า
"ฝ่าบาทโปรดฟังข้าน้อยก่อน"เกาเว่ยมหาเสนาบดีฝ่ายขวาผู้ซึ่งดูแลด้านการทหารเงยหน้าขึ้นกล่าวคำ
"มีอะไรก็ว่ามา"เว่ยไท่หวงตี้ซึ่งบัดนี้ถ้าไม่บอกว่าอายุเพียงสี่สิบแต่เส้นผมกลับมีสีขาวแซมทั้งใบหน้าซูบซีดและมีริ้วรอยเพราะเจอกับการเคี่ยวกรำจากปัญหาต่างๆที่มารุมเร้า
"จริงอยู่ที่ทหารต้าเว่ยมีถึงสี่สิบหมื่น แต่ทหารจากเว่ยกลับมีเพียงสิบสองหมื่น นอกจากส่งไปประจำการตามเมืองสำคัญ และแนวชายแดนฉินหยวน ยังส่งไปช่วยรบกับทู่เจีย สุดท้ายทหารที่ประจำการที่ชายแดนทิศตะวันตกมีเพียงสี่หมื่นรวมกับทหารที่เกณฑ์มาจากชาวบ้านอีกห้าหมื่นรวมแล้วก็เก้าหมื่นเท่านั้นเอง ด้วยเหตุนี้พอรบกับซ่งหนูและมองโกลที่มีทหารจริงถึงเจ็ดหมื่นจึงพ่ายแพ้พะยะค่ะ"เกาเว่ยกล่าวกับเว่ยไท่หวงตี้ผู้ซึ่งโตมาด้วยกันตั้งแต่เล็กและรู้ใจกันเป็นอย่างดี แต่บัดนี้กลับไม่อาจเข้าใจได้เลย จากเป็นคนทำทุกอย่างด้วยความรอบคอบและอดทน ยอมรับฟังทุกความเห็น แต่ทว่าสิ่งเหล่านี้ได้กลายเป็นอดีตไปแล้ว
ทหารที่ว่านี้มีสองประเภทคือทหารจริงๆที่ผ่านการฝึกกับทหารที่นำชาวบ้านธรรมดามาเป็น ซึ่งทหารกลุ่มนี้มักเรียกว่าทหารเลว โดนเรียกมาแบบกะทันหันการฝึกจึงแทบจะไม่มี พอถึงตอนรบก็มักส่งไปเป็นทัพหน้า ส่วนมากก็จะกลายเป็นเป้านิ่งเมื่อปะทะกับทหารจริงๆของฝ่ายตรงข้าม
"แล้วทำไมทหารทางใต้ถึงไม่ยอมส่งไป หรือพวกเจ้าจะรอจนมันบุกมาถึงที่นี้ค่อยคิดจะส่งไป"เว่ยไท่หวงตี้ยังกล่าวด้วยน้ำเสียงแข็งกร้าว
"ทุลฝ่าบาท ทหารทางใต้ไม่อาจทนสภาพอากาศอันทารุณโหดร้ายได้ ส่งไปก็เท่ากับส่งพวกเขาไปตาย"หัวเฟิงเสนาบดีฝ่ายซ้ายด้านการพลเรือนช่วยกล่าวแทนเกาเว่ย
สภาพอากาศอันแปรปรวนของทางด้านตะวันตกนั้นนอกจากหนาวเหน็บเหมือนทางเหนือของฉู่เดิม แต่กลับแห้งแล้งกว่าและยิ่งใกล้ชายแดนก็มีอากาศร้อนที่พัดพามาจากทะเลทราย ดังนั้นจึงมีทั้งหนาวร้อนสลับกัน การที่จะส่งทหารทางใต้ที่ไม่ชินกับสภาพอากาศอันแปรปรวนแบบนั้น ส่วนมากยังไม่ทันสู้รบก็เจ็บป่วยกันแล้ว เพราะเป็นแบบนี้ทำให้เว่ยจึงไม่เคยถูกโจมตีถึงเมืองหลวง การรบแพ้สมัยก่อนส่วนมากก็แค่หัวเมืองชั้นนอกทางทิศใต้ แล้วโดนปิดเส้นทาง เว่ยซึ่งผลิตอาหารเลี้ยงดูคนในแคว้นไม่พอๆโดนปิดเส้นทางที่ขนส่งเสบียงจากแคว้นอื่นก็เลยต้องยอมแพ้
"แล้วถ้าเกิดทางหยวนมีกำลังทหารพร้อมยกทัพมา ข้ามิต้องยอมอ่อนน้อมต่อพวกมันรึ"เว่ยไท่หวงตี้
"เรื่องนี้ข้าน้อยได้คิดไว้แล้ว เพียงแค่ต้าเว่ยเรายอมแสดงไมตรีก่อน โดยการไม่ปิดกั้นชายแดนยอมให้มีการซื้อขายสินค้า แต่จะห้ามให้มีการซื้อขายโลหะและอาวุท ส่วนสินค้าอื่นก็ขายได้ปกติหยวนคงจะยอมรับไมตรีจากทางต้าเว่ยเรา เพราะพวกสมุนไพรเป็นสิ่งที่ทางหยวนขาดแคลน ย่อมต้องมองถึงจุดนี้ แล้วทหารหยวนก็เก่งรับไม่เก่งรุก ไหนจะด้วยนิสัยของชาวหยวนที่ไม่ชอบการสงคราม เหตุผลเหล่านี้ก็เพียงพอที่หยวนจะไม่โจมตีเราพะยะค่ะ"เกาเว่ย
"อย่างนั้นก็ดำเนินการตามที่เจ้าพูดมา วันนี้ข้าเหนื่อยแล้ว เลิกประชุม"เว่ยไท่หวงตี้กล่าวด้วยน้ำเสียงเนือย ๆแววตาและสีหน้าแสดงความอ่อนล้าอย่างชัดแจ้ง หมอหลวงต้องรีบลุกขึ้นมา ประคองพาเดินจากไป ถึงกระนั้นเหล่าขุนนางที่จ้องมองก็ยังคงเห็นแผ่นหลังที่ตั้งตรงและองอาจลับเลือนไปหลังฉากกั้น
ในท้องพระโรงหลังจากที่รับสั่งเลิกประชุม เหล่าขุนนางก็ยังไม่จากไปต่างก็จับกลุ่มกันพูดคุย
"ท่านเกาเว่ย พวกเราจะทำเช่นไรกันดี"เจ้ากรมคลังจี้ ที่เป็นชายแก่ร่างท้วมเกือบหกสิบ แต่ยังดูกระฉับกระเฉงเอ่ยถามขึ้นมา ทำให้หลายคนหันมามองให้ความสนใจ
"จะให้ทำเช่นไรได้นอกจากซ่งหนู ตอนนี้ทางมองโกลก็ยิ่งมายิ่งมากขึ้น พอรู้ว่าจงหยวนมีเงินทองและเสบียงให้ปล้นชิง ก็ดึงดูดทุกเผ่าในมองโกลยกกำลังเข้ามา แผนที่จะมอบทรัพย์สินเพื่อให้กลับขึ้นเหนือคงทำมิได้แล้ว เพราะถ้าทำแบบนั้นยกให้จนหมดท้องพระคลังก็ไม่พอ"เกาเว่ยกล่าวออกมาอย่างอับจนหนทาง ร่างกายสูงโปร่งที่ดูภูมิฐานแบบบัณฑิต ตอนนี้กลับกลายเป็นดั่งต้นอ้อที่พร้อมจะถูกลมพัดให้ล้มลงได้ทุกเมื่อ
"แล้วจะปล่อยให้พวกมันมาปล้นชิงและทำลาย ต่อไปเช่นนี้โดยไม่ยอมทำอะไรเลยหรืออย่างไรขอรับท่านเกาเว่ย"เสียงหนึ่งในกลุ่มดังขึ้นมา
เสนาฯขวาเกาเว่ยไม่ตอบคำได้แต่เดินลากฝีเท้าอันหนักอึ้งออกจากท้องพระโรงไป
เมืองชิงไห่การดำเนินชีวิตประจำวันของชาวเมืองก็สงบเรียบร้อยเป็นปกติเหมือนทุกวันเพราะแทบไม่ได้รับผลกระทบจากสงครามเหมือนๆเมืองชายแดนอื่นๆด้านตะวันออกของหยวน ตอนนี้กิจการของตระกูลหลี่แห่งชิงไห่นับวันมีแต่เฟื่องฟู กองคุ้มกันที่จัดตั้งขึ้นแค่จัดคนคุ้มกันสินค้าของกิจการตระกูลหลี่เพียงอย่างเดียวคนก็ไม่พอแล้ว จนต้องรับคนมาฝึกเพิ่มจากมีเพียงยี่สิบคนก็กลายเป็นหกสิบคน
ด้วยชื่อเสียงของกองคุ้มกันตระกูลหลี่ที่ใครมาพบเห็นต่างก็ชื่นชม ถึงระเบียบวินัยที่คนคุ้มกันรับจ้างทั่วไปไม่มี ตระกูลอื่นที่อยากสร้างความสัมพันธ์ด้วย แต่ไม่ได้ประกอบกิจการหรือมีกิจการที่ไม่เกี่ยวข้องกับกิจการตระกูลหลี่จึงสบช่องทางในการเข้าหา ก็มาเอ่ยปากขอร้องว่าจ้างคนคุ้มกัน ทำให้คนอื่นๆต่างทำตาม ไม่เพียงแค่เมืองข้างเคียงขนาดตระกูลมีชื่อในเมืองหลวงยังดั้นด้นมาว่าจ้าง จากช่วงแรกที่แทบจะเป็นภาระ ตอนนี้สามารถดำเนินกิจการคุ้มกันภัยจนกลายเป็นกิจการที่ทำกำไรได้พอๆกับโรงทอ เพราะความมีระเบียบวินัยและขยันขันแข็ง ทำให้คนที่เคยใช้ข้ออ้างมาว่าจ้างเพื่อเข้าหาชื่นชอบจนมาว่าจ้างประจำ
เพราะเหมยฮวา เอาระบบการทำธุรกิจในภพก่อนมาใช้ดำเนินกิจการ คนคุ้มกันนอกเหนือจากค่าจ้างปกติยังมีเบี้ยเลี้ยงให้ ไหนจะจัดให้มีสวัสดิการเมื่อเจ็บป่วยก็รักษาโดยไม่ต้องจ่ายเงินทั้งครอบครัวจากโรงหมอที่ร่วมลงทุนกับท่านหมอเจิง ในส่วนนี้ก็นำไปใช้กับกิจการอื่นๆของตระกูลหลี่แม้แต่คนรับใช้ก็มีเงินเดือนให้ เมื่อเป็นเช่นนี้ทำให้ทุกคนต่างก็ทำงานกันอย่างขยันขันแข็ง เพราะสิ่งเหล่านี้ที่ตระกูลจัดเตรียมไว้ให้ช่วยสร้างความมั่นคงแก่ชีวิตของพวกเขานั่นเอง แค่เพียงการรักษาเมื่อเจ็บปวดโดยไม่เสียค่าใช้จ่ายก็นับว่าคุ้มค่าแล้วที่มาทำงานกับตระกูลหลี่ ซึ่งค่ารักษาในยุคนี้นั้นสูงมากสำหรับชาวบ้านธรรมดาแทบไม่มีปัญญาจ่าย
นอกจากนี้เหมยฮวายังร้องขอให้เจ้าเมืองเติ้ง จัดสร้างโรงเรือนง่ายๆเพื่อใช้ในการสอนหนังสือแก่ผู้ที่อยากเรียน คนสอนก็มาจากตระกูลหลี่ผลัดเปลี่ยนกันไปสอน เพราะคงไม่มีบัณฑิตคนอื่นยอมลดตัวลงมาสอนโดยไม่ได้ค่าจ้าง แล้วเหมยฮวายังเว้นงานบางอย่างที่ง่ายๆไว้สำหรับเด็กทำ ชาวบ้านธรรมดาในเมืองชิงไห่มีถึงหนึ่งในสามที่ทำงานกับตระกูลหลี่ จนเป็นตระกูลที่กำหนดความรุ่งเรืองของเมืองชิงไห่เลยทีเดียว สำหรับตระกูลหลี่ชาวเมืองชิงไห่ต่างก็เคารพและเทิดทูน โดยเฉพาะหลี่เหมยฮวา แต่น้อยคนที่เคยเห็นหน้าค่าตาได้ยินแต่ชื่อ เพราะเหมยฮวาไม่อยู่ที่จวน ก็ไปโรงเหล็กคอกปศุสัตว์ บ้างก็โรงฝึก งานที่ต้องพบปะพูดคุยจะเป็นคนอื่นรับไปมากกว่า แต่วันนี้ต่างกว่าทุกวันเพราะทุกคนของตระกูลหลี่และหยางต่างมารวมกันที่ห้องหนังสือเพื่อประชุม
"มีจดหมายจากท่านอาหลินซือเจ้า ส่งมาหาข้าพอจับใจความได้ว่าต้องการเชิญเจ้าไปที่เมืองหลวง"ไป่หลงในวัยสี่สิบสี่ ซึ่งตอนนี้ออกท้วมๆตามแบบอย่างค่านิยมอันควรจะเป็นของคหบดี ใบหน้าอวบอูมไว้หนวดเครายาว ที่เหมยฮวาเห็นทีไรอยากเข้าไปโกนทิ้งและจับไปลดน้ำหนักซะให้เข็ด
"ท่านอาหลินซือได้บอกรายละเอียดหรือเปล่าคะ ท่านพ่อ"เหมยฮวา
"เห็นว่ามีเรื่องที่สำคัญจะปรึกษากับเจ้า แต่ไม่อาจปลีกเวลามาได้ จึงเขียนมาขอร้องข้าให้เจ้าเดินทางไปเมืองหลวง"ไป่หลง
"เจ้าค่ะ แล้วพวกท่านคิดว่าข้าต้องไปหรือเปล่า"เหมยฮวาก้มหน้าครุ่นคิดก่อนที่จะเงยหน้าขึ้นมาถาม
"ท่านอาซือเจ้าถ้าไม่มีเรื่องด่วนและสำคัญมากคงไม่ให้ม้าเร็วมาส่งจดหมายหรอก ข้าคิดว่าเจ้าสมควรจะต้องเดินทางไปซักครั้ง"ชิงเหลยกล่าวขึ้นมาเนิบๆ
"ตกลงค่ะ ข้าจะไป ถือว่าตอบแทนที่ส่งสมุนไพรมาให้ตั้งสองเกวียน ฮิๆ"เหมยฮวา
"ฮวาเอ่อร์เจ้านี้ อย่าทำเป็นพูดเล่นสิ"เฟยเอี้ยนทำเสียงดุ ถึงตอนนี้จะมีริ้วรอยตามอายุที่เลยวัยสามสิบมาแล้วแต่ทรวดทรงยังได้รับการดูแลเป็นอย่างดีใบหน้าก็อิ่มเอิบ
"อย่างนั้นข้าจะได้บอกคนเตรียมรถม้าไว้ให้ แต่อีกสองวันค่อยเดินทางรอหย่งเป่ากลับมาจากคุ้มกันก่อน"ไป่หลง
"เจ้าค่ะ แต่ว่าข้าขี่ม้าไปดีกว่า นั่งรถม้าแล้วมันอุดอู้ ถือว่าเป็นการเที่ยวชมฤดูใบไม้ผลิไปในตัวด้วยเลย"เหมยฮวา
"ได้อย่างไร ฮวาเอ่อร์ เจ้าเป็นสตรีจะให้ขี่ม้าเดินทางเองมันดูไม่ควรยิ่งนัก"เฟยเอี้ยน
"ท่านแม่เจ้าค่ะ ถ้าใช้รถม้ากว่าจะถึงก็เดือนกว่า จากที่ท่านตาบอกก็น่าจะเป็นเรื่องด่วน ดังนั้นขี่ม้าไปย่อมถูกแล้ว คงใช้เวลาราวยี่สิบวันก็น่าจะถึง"เหมยฮวาหาเหตุผลมายกเพราะถึงจะไม่ค่อยอยากไปเท่าไหร่แต่ในเมื่อต้องไปแล้วก็ขอให้ได้ชื่นชมธรรมชาติให้เต็มที่
"เห้อ สมัยก่อนข้าไม่น่าให้เจ้าหัดขี่ม้าเลย"เฟยเอี้ยนพูดปลงๆ
"ฮิๆท่านแม่ไม่ต้องห่วงข้าหรอกเจ้าค่ะ ข้าดูแลตัวเองได้ แต่ว่าเมื่อเช้าเหมือนข้าจะเห็นลูกรักของท่านแม่และท่านอาไช่หลิง ป้วนเปี้ยนแถวคอกม้านะเจ้าคะ"เหมยฮวา
ที่นางเอ่ยถึงก็คือเพ่ยอินที่ตอนนี้เจ็ดขวบแล้ว ฉลาดเป็นกรดและเจ้าล่ห์สงสัยติดเชื้อจากนางไป แต่ความเจ้าเล่ห์นี้ไม่รู้ไปเอามาจากใครนึกไม่ออกจริงๆ ที่ว่าลูกรักก็เพราะเพ่ยอินนั้นมีพรสวรรค์ในเรื่องเย็บปักถักร้อยสอนแปปเดียวเพ่ยอินก็ทำได้แล้วซึ่งต่างจากนางยิ่งนัก ท่านแม่นางและท่านอาไช่หลิงที่ชอบงานด้านนี้ถึงกับทั้งรักทั้งหลงกันเลยทีเดียวเพราะได้ดั่งใจพวกนางทุกอย่าง จนท่านอาไช่หลิงรับเพ่ยอินเป็นลูกบุญธรรม
"ตายจริง อินเอ่อร์ไปทำอะไรถึงคอกม้า"เฟยเอี้ยนยกมือทาบอก
"คงตามเฟิ่งซีกับเซียนสือไปฝึกต่อสู้กับขี่ม้ามั้งเจ้าค่ะ"เหมยฮวาพูดไปกลั้นยิ้มไป
"สองคนนั้นก็ไม่รู้อะไรเลยพาน้องไปซุกซน คอยดูกลับมาคงต้องลงโทษกันบ้างแล้ว ข้าขอตัวก่อนเจ้าค่ะ ท่านพี่ ท่านพ่อ"เฟยเอี้ยนพูดเสร็จก็รีบลุกไปเรียกคนไปตามเพ่ยอินกลับ
"เจ้านี่ โตจนป่านนี้ยังชอบแกล้งใครไปทั่ว"ไป่หลง
"ฮิๆถ้าให้ท่านแม่อยู่ด้วย ข้าก็คงถูกบ่นเรื่องขี่ม้าไม่จบซิเจ้าคะท่านพ่อ"เหมยฮวา
"คงไม่มีอะไรแล้ว อย่างนั้นก็เอาตามที่เจ้ากล่าวมา ฮวาเอ่อร์"ชิงเหลย
"ส่วนคนติดตามข้าจะให้ จายาตู อาเช่อปา หย่งเป่า แล้วก็คนอื่นๆอีกสิบกว่าคน ส่วนคนรับใช้จะให้ติดตามไปกี่คนก็แล้วแต่เจ้า"ไป่หลง
"คนรับใช้คงไม่จำเป็นค่ะท่านพ่อ ข้าดูแลตัวเองได้ ส่วนเรื่องอื่นๆก็แล้วแต่ท่านพ่อ คงหมดเรื่องแล้ว ข้าคงต้องขอตัวไปสั่งคนเตรียมเสบียงไว้ให้เพียงพอก่อน ลาเจ้าค่ะท่านตา ท่านพ่อ"เหมยฮวา
สุดท้ายท่านพ่อก็คัดคนที่จะคุ้มครองถึงสิบห้าคน ใจจริงท่านพ่อถึงขั้นจะเรียกตัวอีกสามคนที่ฝีมือเด่นที่สุดในรุ่นแรกนอกเหนือจากหย่งเป่า อาเช่อปา กลับมาจากงานคุ้มกันด่วนก็คือ เข่อเจียงตู้ลาคานและหลงอิน แต่ถูกคัดค้านเพราะนอกจากจะเสียงานแล้วยังใช้เวลาเป็นสิบวัน กว่าจะมากันครบ
ไม่น่าเชื่อเพียงสองสามปีหลายๆคนจะเปลี่ยนไปมากมายขนาดนี้ได้ หย่งเป่าที่มาแรกๆผอมกะหร่อง ตอนนี้ ในวัยสิบเก้าปีกลับมีรูปร่างสูงโปร่งสมส่วน ใบหน้านั้นยิ่งคมคายยิ่งนัก ถ้าแต่งตัวแบบพวกบัณฑิตก็คงนึกว่าคุณชายที่ไหน แต่ชุดที่ข้าออกแบบให้สาวๆพอเห็นต่างก็ชมว่า นักรบสวรรค์คงหน้าตาแบบหย่งเป่า แต่คงไม่มีนักรบสวรรค์ที่ไหนผิวคล้ำแบบนี้แน่เนื่องจากกรำแดด บ่อย เคยได้ยินว่าคุณหนูบางคนถึงกลับลงทุนมาว่าจ้างเพื่อให้ไปคุ้มกันเพื่อจะได้ยลหน้าตากันเลยทีเดียว ส่วนฝีมือนั้นนับว่ามีความรวดเร็วพอๆกับหลงอิน แต่เยือกเย็นกว่ามาก ชอบทำตัวเป็นบ่าวตลอดเวลาเจอข้าทั้งที่ข้าพูดให้ทำตัวแบบเพื่อน ก็ยังทำเหมือนเดิมจนหลังๆขี้เกียจจะบ่น
ส่วนอาเช่อปาทั้งที่เพิ่งยี่สิบสองนั้นสูงใหญ่เกือบเก้าเชี๊ยะ(180ซม.)ได้ เห็นข้างหลังตอนกลางคืนนึกว่าหมีหลุดออกมาทุกที หน้าตาก็ดุดัน จนเพ่ยอินที่เห็นครั้งแรกถึงกับร้องไห้จ้า ทั้งที่จริงรักเด็กมาก เคยลงทุนมาให้ข้าสอนทำของเล่นให้เพื่อไปผูกมิตรกับเด็กๆ หลังๆเวลาเด็กๆเจอพากันเดินตามกันเป็นพรวนเพื่อให้ทำของเล่นให้
แล้วก็จายาตู อายุก็พอๆกับอาเช่อปา ทุกคนต่างก็เคารพในฐานะอาจารย์และเป็นหัวหน้าเหมือนท่านอาไจ่เต๋อ เตี้ยกว่าอาเช่อปานิดเดียว ตัวไม่หนาแต่บึกบึนพอดู ทู่เจียก็แขกขาวดีๆนี้เอง ดังนั้นใบหน้าจึงคม จมูกโด่งเป็นสัน ส่วนข้าก็เคารพจายาตูเหมือนพี่ชายคนหนึ่งเลยก็ว่าได้ เพราะนิสัยที่เปิดกว้างของเผ่าเร่ร่อน จึงไม่มีกรอบว่าสตรีควรทำหรือพูดอย่างไรข้าจึงสนิทใจมากกว่าเวลาพูดกับจายาตู
"ท่านพ่อ ท่านพี่ไป่หลงให้ม้าเร็วส่งจดหมายมาแล้วว่า นางตกลงที่จะมาเมืองหลวง"หลินซือบอกกล่าวกับหลินเซี่ยงด้วยท่าทางสบายๆตามแบบฉบับของตัวเอง
"อย่างนั้นก็ดียิ่ง หวังว่านางคงจะยอมช่วยเหลือแคว้นหยวนเรา"หลินเซี่ยงแววตาเปล่งประกายด้วยความหวัง
"ดูท่านพ่ออายุก็จะเจ็ดสิบอยู่แล้ว ทำเป็นตื่นเต้นยังกับหนุ่มๆไปได้"หลินซือยกยิ้ม
"เหอะ มีใครบ้างจะไม่ดีใจ ถ้าได้คนมีสติปัญญาขนาดนั้นมาช่วยงาน"หลินเซี่ยงแกล้งยกมือลูบเคราที่ยาวกลบเกลื่อน
"ถึงอย่างไรก็ต้องเผื่อใจไว้บ้าง ข้าอยู่กับนางตั้งแต่เด็กย่อมรู้นิสัยนางดี ว่าเป็นคนที่ไม่ชอบความวุ่นวาย ในราชสำนักนับว่าเป็นที่ๆวุ่นวายที่สุด นางคงไม่รับปากง่ายๆ"หลินซือเอ่ยปากเตือนบิดาตน
"อย่างน้อยก็ได้ลองดู"หลินเซี่ยง กล่าวด้วยความมุ่งมั่น
การจะเดินทางจากชิงไห่มาต้าตูต้องผ่านเมืองสี่เมืองค่อยถึง หลังออกเดินทางพร้อมคณะผู้ติดตามอีกสิบห้ามาได้สิบสองวันอีกสองลี้ก็ถึงเมืองจินโจว สามเมืองแรกนั้นไม่ได้แวะเข้าเพราะมีเส้นทางลัดไปได้และเหมยฮวาทำเต๊นท์แบบง่ายๆที่ใช้ผ้ามาเคลือบด้วยขี้ผึ้งเพื่อกันน้ำไว้จะได้ สะดวกเวลาพักกลางป่า ยกเว้นจินโจวที่ต้องผ่านให้ด่านที่เมืองนี้ตรวจสอบเพื่อกลั่นกรองผู้คนในระดับหนึ่ง ก่อนจะได้รับใบอณุญาตเพื่อไปตรวจสอบประวัติที่ด่านเข้าเมืองต้าตูอีกรอบ
"ชูธงสำนักคุ้มภัยตระกูลหลี่"จายาตูสั่งการให้คนในคณะแสดงธงเพื่อให้สะดวกเมื่อต้องผ่านด่านตรวจหน้าประตูเมือง เพราะชื่อของสำนักคุ้มภัยตระกูลหลี่เป็นที่รู้จักอย่างกว้างขวาง
"คุณหนูคืนนี้เราต้องค้างแรมที่เมืองจินโจวนี้ก่อน เพราะจากจินโจวไปต้าตูขี่ม้าประมาณครึ่งวันก็ถึงขอรับ"หย่งเป่าที่สวมชุดสีดำทับด้วยชุดเกราะซึ่งเป็นเครื่องแบบของสำนักคุ้มภัยตระกูลหลี่ เกราะนั้นถึงแม้จะเป็นหวายแต่ก็คลุมด้วยหนังสัตว์ทำให้ดูผ่านๆก็เหมือนเกราะเบาทั่วไป ทั้งมีการวาดลวดลายบนเกราะยิ่งทำให้ดูน่าเกรงขามยิ่ง และสวมหมวกปีกกว้าง
"ดีเหมือนกัน ข้าจะได้อาบน้ำแบบสบายๆซักที"เหมยฮวาก็สวมชุดเหมือนทุกคนยกเว้นเสื้อผ้าที่สวมใส่เป็นสีขาว และหมวกปีกกว้างมีผ้าแพรสีดำใช้ปกปิดใบหน้า
พอถึงด่านตรวจทหารที่ตรวจสอบก็จำได้ทันทีทำให้ขั้นตอนถูกย่นลงให้เร็วขึ้น ขณะที่เดินทางถนนในเมือง ผู้คนตามรายทางที่รู้จักกับสำนักคุ้มภัยตระกูลหลี่ ต่างก็สงสัยว่าคราวนี้คุ้มภัยสินค้าอะไรกัน ปกติยากมากที่จะเห็นสินค้าที่ต้องใช้คนคุ้มภัยตระกลูหลี่ล้วนมากถึงสิบคนขึ้นไปนอกจากสินค้านั้นจะมีค่ามากมายยิ่งนัก พอไม่เห็นสินค้าก็คงต้องเป็นคน แต่เป็นผู้ใดกันถึงได้มีความสำคัญมากขนาดนี้ พอคิดเสร็จต่างก็ซุบซิบถามกันมากจน เหมยฮวาสงสัย
"พี่อาเช่อปา พวกเขาคุยอะไรกัน หรือว่าพวกเรามีอะไรผิดปกติ"เหมยฮวากระซิบถามอาเช่อปาที่อยู่ใกล้สุด
"คงสงสัยว่าพวกเราคุมกันสินค้าอะไรมาขอรับคุณหนู เพราะน้อยครั้งที่เราจะมากันเยอะขนาดนี้"อาเช่อปากระซิบตอบ
พอจะเอ่ยปากถามต่อก็ได้ยินเสียงหย่งเป่าบอกว่ามาถึงโรงเตี้ยมแล้ว ทุกคนก็เลยลงจากม้าแล้วส่งต่อให้พนักงานมารับม้าจูงไปที่คอก แล้วค่อยเดินเข้าไปในโรงเตี้ยม
"เชิญขอรับ นายท่านไม่ทราบว่าต้องการที่พักหรือทานอาหารของทางโรงเตี้ยมเราขอรับ"เสี่ยวเอ้อเดินมารับหน้าพร้อมสอบถาม
"มีห้องใหญ่ว่างซักสี่ห้องไหม"หย่งเปา
"มีขอรับนายท่าน เชิญนั่งรอซักครู่จะไปสั่งให้คนเตรียมห้องให้ขอรับ"เสี่ยวเอ้อ
"อย่างนั้นหาโต๊ะว่างที่ชั้นสองสำหรับสิบหกคนให้ด้วย แล้วนำอาหารมาซักสี่อย่างอะไรก็ได้ ส่วนเหล้าไม่ต้องแค่น้ำชาก็พอ"อาเช่อปาสั่งเป็นชุดเพราะรู้ว่าเหมยฮวาไม่จู้จี้เรื่องการกินจึงได้สั่งไปอย่างนั้น
"ได้ๆขอรับนายท่าน เชิญตามข้าน้อยมาทางนี้เลยขอรับ"เสี่ยวเอ้อรีบนำทางขึ้นบนชั้นสอง
หลังจากที่ได้ที่นั่งกันหมด ก็ต้องใช้โต๊ะถึงสี่ตัว เพราะมีโต๊ะหนึ่งที่นั่งกันแค่สี่คนคือเหมยฮวา จายาตู หย่งเป่า อาเช่อปา
"วันนี้ก็เชิญพวกท่านปล่อยตัวตามสบายเถอะ ไม่ต้องเคร่งครัดหรอก ข้าอนุญาต"เหมยฮวาหลังจากนั่งเสร็จก็เอ่ยปากมา เพราะระหว่างปฏิบัติงานจะห้ามดื่มสุราจนมึนเมา ใจจริงอยากห้ามไม่ให้ดื่มมากกว่าแต่ด้วยเข้าใจว่าคนที่นี่ดื่มเหล้ากันเป็นน้ำแทบทุกคน และอากาศหนาวด้วยเลยอนุญาติให้ดื่มเพียงเล็กน้อยเพื่อคลายหนาวขณะทำหน้าที่คุ้มกัน
"ฮ่าๆขอบคุณคุณหนูขอรับ ข้าจะดื่มให้จุใจไปเลย"อาเช่อปาพอได้ยินก็ยิ้มร่า ดึงน้ำเต้าออกมาจากข้างเอวยกขึ้นจ่อปากทันที เหล้านี้ก็คือเหล้าเมามายพันวันที่เตรียมมานั่นเอง
" มีจอกก็รินใส่ดีๆสิ ดื่มแบบนั้นจะรู้รสชาติได้อย่างไร"จายาตูที่เงียบมาตลอดเอยออกมายิ้มๆ
"มันไม่ทันใจข้านี้ อ่า ดื่มเหล้าที่ไหนก็ดีไม่เท่าเหล้าของคุณหนู ฮ่าๆ ช่างร้อนแรงถึงใจข้ายิ่งนัก"อาเช่อปา
"ฮิๆ อาเช่อปา กินแบบนั้นเดี๋ยวก็หมดเร็วหรอก"เหมยฮวา
"หมดข้าก็เอาจากหย่งเปามาแทนได้ขอรับคุณหนู จริงไหมคุณชายหย่งเป่า"อาเช่อปา
เพราะรู้ว่าหย่งเปาไม่ค่อยดื่มเหล้าเพียงแค่จิบให้คลายหนาวเท่านั้น
"คุณหนูไม่รู้อะไร ตอนแรกข้ามาเพราะจายาตูมาชวนข้า ตอนนั้นข้าตกลงรับปากเพราะกำลังเบื่อๆ แต่พอมาได้ดื่มเหล้านี้แล้ว ต่อให้ไล่ข้าๆก็ไม่ยอมไปหรอก ให้ทำงานแลกกับเหล้าเมามายพันวันข้าก็ยอมขอรับคุณหนู ฮ่าๆ"อาเช่อปาเริ่มมึนเพราะกินทีเดียวเกือบครึ่งน้ำเต้า
"เหอะ..ก็คงมีแต่เจ้าคนเดียวในโลกนี้ล่ะ ที่ยอมทำได้ทุกอย่างเพื่อเหล้า"หย่งเปาพูดกลั้วหัวเราะ
"ฮิๆ เอาล่ะอาหารมาแล้วกินก่อนเถอะ ดื่มตอนท้องว่างมากไปมันจะไม่ดี"เหมยฮวาบอกกับทุกคนหลังจากเสี่ยวเอ้อนำอาหารมาวางบนโต๊ะ
"เสียดายเนื้ออบแห้งยิ่งนัก ข้าไม่น่ากินจนหมดเลย ถ้าได้กินพร้อมกับเหล้าคงสุขใจยิ่งนัก"อาเช่อปาเริ่มพล่ามพร้อมกับเหล่ตามาทางเหมยฮวาทำสายตาอ้อนวอน
"คิก.. เหอะ ข้ารู้ว่าเจ้าคิดอะไร พี่อาเช่อปา เอานี้"เหมยฮวาถึงกับหลุดหัวเราะออกมาแล้วพูดด้วยน้ำเสียงกลั้วหัวเราะ ก่อนจะหยิบห่อเนื้ออบแห้งส่วนของนางให้เพราะแทบไม่ค่อยแตะ
"แหะๆ คุณหนูช่างรู้ใจข้ายิ่งนัก ขอบคุณขอรับคุณหนู"อาเช่อปาปากพูดแต่มือรีบคว้าห่อเนื้ออบแห้งแกะเข้าปากเคี้ยวทันที
เหมยฮวาได้ทำเตาอบสำหรับอบอาหารต่างๆไว้ เพราะการเดินทางคุ้มกันภัยนั้นต้องมีค้างแรมในป่า ถ้าจะตากแห้งก็ทำได้แค่ตอนหน้าร้อน เลยคิดวิธีการนี้ขึ้นมาทุกคนจะได้มีเสบียงที่กินง่ายไว้ใช้ในตอนเดินทางและยามฉุกเฉิน
ส่วนหย่งเป่าเห็นแบบนั้นก็ชักสีหน้ากับความไร้มารยาทของอาเช่อปาและไม่พอใจคุณหนูยิ่งนักที่ตามใจทุกคนซะทุกอย่าง จนเหมยฮวาสังเกตุเห็น
"พี่หย่งเป่า ก็อย่าเคร่งครัดอะไรมากได้หรือไม่ ให้ทุกคนได้ผ่อนคลายเถอะ เรื่องแค่นี้เองข้าไม่ถือหรอก เพื่อนกันทั้งนั้น ท่านก็ยิ้มซะบ้างจะได้ไม่เครียด แบบนี้"เหมยฮวายื่นแขนไปจับที่แก้มของหย่งเป่าแล้วดึงให้ฉีกยิ้ม
หย่งเป่าพอรู้ว่าเป็นอะไรก็ถึงกับสะดุ้งจนตกเก้าอี้เรียกเสียงหัวเราะให้กับทุกคนในกลุ่มทันที ก่อนที่จะลุกขึ้นมาทำหน้าเหรอหราทำตัวแทบไม่ถูก
ตั้งแต่คณะเดินทางทั้งหมดของเหมยฮวาขึ้นมาบนชั้นสอง ก็ถูกจับตาดูจากคนที่มาก่อนหน้าแล้ว
"พวกเจ้ารู้จักคนกลุ่มนั้นหรือไม่"
เสียงเอ่ยถามขึ้นมาจากชายหนุ่มที่แต่งตัวด้วยชุดสีฟ้าอ่อนที่ตัดจากผ้าไหมเนื้อดีบ่งบอกถึงฐานะของผู้สวมใส่ได้ว่าสูงส่งแค่ไหน ใบหน้าเรียวยาว องคาพยพบนใบหน้าช่างเหมาะเจาะกันยิ่งนักนับได้ว่าเป็นผู้ที่มีหน้าตาดีผู้หนึ่ง ผิวก็ขาวเนียนละเอียดดั่งผู้มีอันจะกินที่ไม่ต้องทำงานหนัก
"เรียนนายท่าน นั้นคือคนของสำนักคุ้มภัยตระกูลหลี่แห่งชิงไห่ ขอรับ"ผู้ที่ตอบก็คือหนึ่งในสี่ที่ยืนสำรวมด้านหลังชายหนุ่ม ซึ่งคนเหล่านี้คงเป็นองครักษ์ส่วนตัว ที่ครอบครัวร่ำรวยมักจ้างมาคอยคุ้มครอง
นิ้วมือเรียวยาวที่โผล่พ้นแขนเสื้อออกมาเพื่อจับจอกเหล้า ยกขึ้นมาจิบ
"สำนักคุ้มภัยตระกูลหลี่แห่งชิงไห่ที่โด่งดังมาปีสองปีนี้รึ"ชายหนุ่มชุดฟ้าอ่อนเอ่ยปากต่อ
"ขอรับ จากที่ข้าน้อยสังเกตุ ดูเหมือนทุกคนจะให้ความเคารพผู้ที่สวมหมวกปีกกว้างปิดหน้ายิ่งนัก ซึ่งน่าจะเป็นสตรีด้วยขอรับ"องครักษ์
"หืม...ข้าเคยได้ยินมาว่าผู้คุ้มกันตระกูลหลี่นั้นฝีมือเก่งกาจทุกคน นอกจากนั้นยังมีระเบียบวินัยยิ่งนัก แต่จากที่ดูทำไมทุกคนที่นี่ถึงได้ปล่อยเนื้อปล่อยตัว ไม่เห็นเหมือนข่าวลือที่ว่ามาเลย"ชายหนุ่มชุดฟ้าอ่อน
"ข้าน้อยก็ไม่เข้าใจเหมือนกันขอรับ"องครักษ์
"เอ๊ะ...สตรีที่ท่านว่าทำไมถึงได้ไปจับเนื้อจับตัวบุรุษในที่คนพลุกพล่านแบบนี้ เหอะ...ช่างเป็นสตรีที่ไม่รักนวลสงวนตัวซะบ้างเลย"ชายหนุ่มชุดฟ้าอ่อนเอ่ยออกมา แต่ประโยคหลังเหมือนจงใจให้คนอื่นนอกจากกลุ่มตนเองได้ยิน
กลุ่มของเหมยฮวาทั้งหมดสิบหกคนก็หันขวับมาจ้องมองทันที ถึงจะอยู่คนล่ะมุมแต่เสียงก็ดังพอที่จะได้ยินอย่างชัดเจน แล้วบนนี้ก็ไม่มีสตรีคนอื่นนอกเหนือจากเหมยฮวา คำพูดว่าสตรีมีเพียงความหมายเดียวก็คือเหมยฮวา
'ปัง'
"พวกเจ้าพูดแบบนี้ คิดจะหาเรื่องกับพวกข้าหรืออย่างไร"อาเช่อปาทุบโต๊ะเต็มแรงก่อนที่จะกล่าวด้วยความโมโห
"บังอาจ พวกเจ้ารู้รึไม่ว่ากำลังพูดอยู่กับใคร"องครักษ์ที่น่าจะเป็นหัวหน้า อายุราวๆสามสิบก็โต้ตอบออกมาด้วยใบหน้าถมึงถึง ยังผลให้หน้าที่ดุดันอยู่แล้วยิ่งบิดเบี้ยวดูไปน่ากลัวยิ่งนัก
"เหอะ...ข้าไม่สน ไม่ว่าหน้าไหนกล้ามาว่าคุณหนูของข้า ข้าไม่มีทางปล่อยมันไว้แน่"หย่งเป่าลุกขึ้นมายืนบังเหมยฮวา ส่วนคนอื่นก็ลุกขึ้นกันหมด
"เจ้ากล้า!"องครักษ์ทั้งสี่ของชายหนุ่มชุดฟ้าอ่อนต่างก็มายืนบังด้านหน้าและคุมกันด้านข้าง มือแตะที่ด้ามดาบพร้อมชักทุกเมื่อ
"พี่หย่งเปา พี่อาเช่อปา พี่จายาตูนั่งลงเถอะ ทุกคนด้วย ไม่ต้องสนใจกับเรื่องพวกนี้หรอก"เหมยฮวา
ถึงจะไม่อยากแต่ทุกคนก็เชื่อฟังคำสั่งของเหมยฮวาจึงได้นั่งลง ชายหนุ่มชุดฟ้าอ่อนถึงกับเลิกหน้าขึ้นเพราะน้ำเสียงนุ่มนวลนั่นช่างน่าฟังยิ่งนัก ขณะที่พูดก็ดูสงบนิ่งไม่มีวี่แววของการตื่นตระหนกและหวาดหวั่นเจือปนอยู่ในน้ำเสียงเลยแต่กระนั้นก็แฝงด้วยอำนาจที่จะสะกดทุกคนที่ได้ยิน
"พวกเจ้า...."ขณะกำลังจะพูดต่อแต่เหลือบไปเห็นชายหนุ่มชุดฟ้าอ่อนยกมือห้าม ก่อนประสานมือน้อมตัว
"ข้าต้องขออภัยแม่นางแล้ว"
"นะ..นายท่าน..."องครักษ์
"ไม่เป็นไรหรอก ปึงอิง"ชายชุดฟ้าอ่อนเอ่ยห้าม ชายที่น่าจะเป็นหัวหน้ากลุ่มองครักษ์ที่ชื่อปึงอิง
"ข้าเทียนหลง ต้องขออภัยแม่นางอีกครั้ง หวังว่าแม่นางคงจะให้อภัยในความไร้มารยาทของข้า และลูกน้อง"เทียนหลงกล่าวขออภัยอีกครั้งออกไป
แต่ทางฝ่ายเหมยฮวาก็ทำเป็นไม่สนใจยังคงดื่มกินปกติเหมือนเดิม ปล่อยให้เทียนหลงประสานมือเก้อ
"นี้พวกเจ้า นายท่านข้า...."ปึงอิงพูดได้แค่นี้ก็ชะงักอีกรอบเพราะเทียนหลงส่งสายตามาห้าม
"อย่างน้อยก็โปรดบอกชื่อแซ่แก่ข้าด้วยเถอะแม่นาง ข้าจะได้สบายใจว่าท่านไม่ได้โกรธเคืองข้า"เทียนหลงยังคงประสานมือไม่เอาลง เอ่ยถามมาอีก
"เห้ออ....ข้าแซ่หลี่ เท่านี้ท่านคงสบายใจได้แล้วซินะ ข้าต้องขอตัวก่อน"เหมยฮวาลุกขึ้นแล้วหันหน้ามากล่าวกับเทียนหลงโดยมีหมวกปีกกว้างที่มีผ้าแพรสีดำปกปิดอยู่
พูดเสร็จก็เดินจากไปเพื่อพักผ่อนในห้องที่ทางโรงเตี้ยมได้เตรียมไว้ คนอื่นๆก็ลุกขึ้นเดินตามไปอย่างพร้อมเพรียงดูแล้วช่างน่าเกรงขามยิ่งนัก
"นายท่านๆ"ปึงอิงกระซิบถึงสองรอบ
"อะไร"เทียนหลงที่กำลังเหม่อมองทางที่เหมยฮวาเดินจากไป
เพราะถึงจะมีแพรสีดำปกปิดไว้ แต่ถ้าสังเกตุดูก็จะเห็นว่า ใบหน้าของนางที่อยู่หลังผ้าแพรสีดำ นั้นเป็นรูปไข่ ปากนิด จมูกหน่อย ไหนจะดวงตาที่กลมโตของนางที่เขาประสานสายตาไปพร้อมๆกับเสียงพูดที่นุ่มนวล เป็นดั่งมนต์ที่พร้อมจะดึงดูดให้ชายใดที่ได้เห็นและฟังเลือนหายไปในดวงตาคู่นั้น
"นะ...นั่นคงจะเป็นคุณหนูหลี่เหมยฮวา ที่เขาพูดถึงกันเป็นแน่ขอรับ"ปึงอิงเอ่ยออกมาอย่างตื่นเต้นสุดระงับ
"หลี่เหมยฮวา ชื่อเหมยฮวาอย่างนั้นรึ ช่างเป็นชื่อที่เหมาะกับนางยิ่งนัก"เทียนหลงตกในภวังค์ครุ่นคิด
"ใช่ขอรับ คุณหนูหลี่เหมยฮวา หรือก็คือ ปราชญ์พิศดารแห่งชิงไห่ ที่ตอนนี้ในราชสำนักกล่าวขวัญถึงอย่างไรขอรับ"ปึงอิง
"เจ้ารู้ได้อย่างไร ว่านางเป็นคนเดียวกับปราชญ์พิศดารแห่งชิงไห่"เทียนหลงจ้องตามองปึงอิงเขม็งเหมือนกับกำลังสอบสวนนักโทษ
"นายท่านอย่าลืมซิขอรับ ว่าข้าน้อยเป็นใคร ข่าวต่างๆข้าน้อยย่อมต้องมีสิทธิ์ได้รับรู้ไม่มากก็น้อย"ปึงอิงถึงกับต้องลอบปาดเหงื่อหลังตอบเสร็จ
"แล้วนางมาทำอะไรที่เมืองนี้ หนทางจากชิงไห่มานี้ไม่ใช่ใกล้ๆ"เทียนหลง
"ไม่แน่ว่า ท่านปราชญ์ อ๊ะ คุณหนูหลี่คงถูกเชิญไปที่เมืองหลวง แต่ข้าน้อยก็คิดไม่ออกว่าผู้นั้นเป็นใครที่พอจะเชิญคุณหนูหลี่มาได้ เพราะจากข่าวที่ข้าน้อยได้ยินมา น้อยคนนักที่จะได้พบ ไม่ต้องเอ่ยถึงว่าจะยอมออกมาข้างนอกเพื่อมาพบใครขอรับ"ปึงอิง
"ช่างทำตัวได้ลึกลับยิ่งนัก"เทียนหลง
"ใช่ขอรับ นายท่านข้าน้อยว่า เรากลับเมืองหลวงกันก่อนเถอะขอรับ ไม่แน่อาจจะรู้ข่าวเพิ่มขึ้น เพราะว่าตอนนี้ต่อให้นายท่านขอเข้าพบคุณหนูหลี่ก็คงไม่ยอมหรอกขอรับ"ปึงอิง
"ก็ได้ พวกเรากลับเมืองหลวงกัน"เทียนหลง
"เหมยฮวา หลี่เหมยฮวา ปราชญ์พิศดารแห่งชิงไห่ หวังว่าเราคงจะพบกันที่เมืองหลวง"
เสียงพึมพำออกจากปากของเทียนหลง
ปล.พอไหวเปล่าอ่ะงับ เผลอเป็นหลุดตลอด ส่วนคนที่ถามหาพระเอกเตรียมไว้ให้ 3 คนแล้วนะครับแต่ยังไม่ได้เลือกว่าใคร บทนี้มีแล้ว 2 คน คนหนึ่งก็คืออออ........ปึงอิง ขอรับ องครักษ์หน้าโหดสูงใหญ่อายุ 30 เป็น 1ในแคนดิเดต
คนที่สองก็คือ.....อาเช่อปา ครับ หมีควายแห่งทุ่งหญ้ามองโกล ชอบใครกดโหวตเลยงับ
ล้อเล่นอ่ะ
แต่งเสร็จกอป วางเลย ผิดตรงไหนไว้พรุ่งนี้ค่อยมาแก้
จะให้นางเองคู่องครัก ม่ายน๊า ม่ายยยยยย
นิยายต้องฟินๆ จิ้นๆ นางเอกคู่องชายยยย ^^
ขอโหวตเทียนหลงได้ป่ะคะ555
เหลือบตาขึ้นไปมองตัวเลขข้างบน.....
ตอนที่ 20 ..... ผู้เข้าชิงตำแหน่งคนแรกเพิ่งออก O_O !!
รออ่านค่ะ
พระเอกเราป่าวนะ
เจอพรัะเอกแล้ว555น่ารัก