NC

คำเตือนเนื้อหา

เรื่องนี้อาจมีเนื้อหาหรือการใช้ภาษา
ที่ไม่เหมาะสม เยาวชนที่มีอายุต่ำกว่า 18 ปี
ควรใช้วิจารณญานในการอ่าน
กดยอมรับเพื่อเข้าสู่เนื้อหา

อ่านเงื่อนไขเพิ่มเติม
ปิด
ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    || MurderArtist || PsychoDetective ||

    ลำดับตอนที่ #5 : ตอนที่4 : ฆาตกร (ฉบับรีไรท์)

    • เนื้อหาตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 436
      2
      1 พ.ค. 50



    ตอนที่
    4

    ฆาตกร

                    สามวันก่อน มีข่าวจากญี่ปุ่นแจ้งมาว่าจะส่งนักสืบมาช่วย ห้องเก็บของห้องหนึ่งของสถานีจึงถูกปรับเปลี่ยนและทำความสะอาดจนดูเรียบร้อยพร้อมนำโต๊ะตู้เก้าอี้ เครื่องใช้สำนักงานต่าง ๆ มาไว้ใช้ในห้อง เพื่อเตรียมไว้ให้นักสืบคนดังกล่าวใช้เป็นห้องทำงาน


                   
    ยามเช้าของวันนี้ประตูห้องทำงานพิเศษถูกเปิดออกอีกครั้ง พร้อมกับร่างของชายสองคนที่เดินเข้ามาด้วยกัน โอนิมงเดินมานั่งที่หน้าโต๊ะทำงานของตัวเองแทนที่จะเข้าไปนั่งด้านในโต๊ะอย่างเคย นักรบไม่ได้คิดอะไรจึงเดินเข้าไปนั่งด้านในโต๊ะราวกับเป็นเจ้าของโต๊ะเสียเอง โอนิมงจึงถือโอกาสชงกาแฟให้กับนักรบเสียเลย


                   
    ขมเป็นบ้า... นักรบคิดพร้อมทำหน้าเจื่อน ๆ หลังได้ลิ้มรสชาติกาแฟที่เพื่อนร่วมงานหน้าใหม่ชงให้ แถมยังเป็นกาแฟร้อนที่เขาเกลียดเหลือเกินเสียด้วยแต่เขาก็ทนดื่มเข้าไปโดยไม่ได้บ่นว่าอะไร โอนิมงยกกาแฟขึ้นดื่มสองสามอึกระหว่างที่ยืนค้นหาแฟ้มในตู้เก็บเอกสารที่ข้างโต๊ะทำงานไปด้วย เขาเลือกจากในนั้นออกมาสองแฟ้มวางลงบนโต๊ะไม้อย่างสุภาพ


                   
    "นั่นน่ะครับ แฟ้มแดงของญี่ปุ่น ส่วนแฟ้มเขียวของจีน" โอนิมงเปรยแล้วหยิบบุหรี่ของตัวเองที่อยู่บนโต๊ะมาสูบ ในขณะที่นักรบก็เริ่มเปิดดูภายในแฟ้มสีแดง ก็พบรูปถ่ายศพในคดีศิลปฆาตกรรมมากมายน่าจะถึงร้อยรูปต่อแฟ้มเลยทีเดียว


                   
    "...ผมไม่ได้อยากดูของพวกนี้" นักรบคัดค้านแล้วปิดแฟ้มลงทั้งที่เพิ่งเปิดไปได้เพียงสองหน้า "ผมพูดตรง ๆ นะ ผมไม่เข้าใจพวกมันจริง ๆ นี่มันการกระทำของพวกวิปริตชัด ๆ เป้าหมายของพวกมันคืออะไรกันแน่"


                   
    "ผมเรียกมันว่าศิลปะ" โอนิมงเอ่ยขัด แล้วคาบบุหรี่ไว้ในปาก ก่อนจะเหลือบตาขึ้นมามองคู่สนทนา พลางเชิดหน้าเผยยิ้มราวกับกำลังดูถูกอีกฝ่าย


                   
    "คุณไม่คิดหรือว่ามันสวยงาม"


                   
    "คนเป็นตำรวจไม่ควรจะพูดแบบนั้นนะครับ" นักรบพูดแล้วลุกขึ้นยืนทันที โดยมือทั้งสองวางทาบไว้บนโต๊ะ โอนิมงจึงเอื้อมมือไปกดไหล่ของอีกฝ่ายเอาไว้เพื่อดึงให้นั่งลง


                   
    "ใจเย็น ๆ ครับ ก็ไหนคุณบอกว่าไม่เข้าใจความคิดของพวกนักศิลปฆาตกรรม ผมก็จะทำให้เข้าใจอยู่นี่ไง" โอนิมงปลอบอาการร้อนรนของเพื่อนร่วมงาน ทำให้นักรบถอดใจแล้วนั่งลงบนเก้าอี้อีกครั้ง สายตาเขาจ้องโอนิมงไม่วางตา บางทีเขาก็รู้สึกเหมือนตัวเองกำลังถูกแกล้งอยู่ยังไงยังงั้น ทำให้เขารู้สึกอึดอัดกับท่าทีของอีกฝ่ายเหลือเกิน


                   
    โอนิมงหยิบแฟ้มสีแดงมาดูอย่างใจเย็น แล้วเปิดหน้าหนึ่งให้นักรบดู เป็นรูปผู้หญิงวัยสาวนอนเสียชีวิตอยู่บนเตียงนอนชุ่มเลือด เธอถูกเชือกขึงพืดไว้กับเตียงในสภาพเปลือย ตามเนื้อตัวมีแต่ร่องรอยถูกมีดคมกริบกรีดเป็นรูปกากบาทเต็มไปหมด ดวงตาของเธอยังเบิกโพลงทำให้มองเห็นดวงตาสีน้ำตาลอ่อนนั้นได้อย่างเด่นชัด


                   
    "เธอเป็นผู้หญิงอายุประมาณสามสิบปี ญาติก็มีเพียงน้องชายคนเดียวซึ่งเธอเป็นคนเลี้ยงดูแทนพ่อแม่ที่เสียไปนานแล้ว เธอถูกนักศิลปฆาตกรรมมือใหม่ฆ่าและข่มขืนศพ" โอนิมงชี้นิ้วค้างไว้ที่รูปแล้วเล่าเรื่องราวจากรูปไปเรื่อย ๆ "เมื่อฆาตกรฆ่าเธอแล้วก็หลบหนีไปให้เพื่อนช่วย แต่เพื่อนไม่ยอมช่วยจึงฆ่าเพื่อนจนถึงแก่ความตายไปอีกคนหนึ่ง"


                   
    นักรบรู้สึกสลดใจกับเรื่องราวที่ได้รับฟัง ยิ่งคิดว่ารูปภาพเป็นร้อย ๆ ในแฟ้มนี้อาจจะมีเรื่องราวอันน่าเศร้าสลดแบบนี้ซ่อนอยู่ก็ยิ่งรู้สึกเศร้าใจ


                   
    "เขาอายุน้อยกว่าเธอเพียงสามปี...เพราะรู้จักกันมานานจึงหลงรัก เมื่อมีคนชักจูงเขาไปในทางนั้น เขาก็ฆาตกรรมเธอด้วยความใคร่" โอนิมงอธิบายต่อ นักรบที่ก้มหน้าก้มตาอยู่จึงเริ่มเงยหน้าขึ้นมาฟัง


                   
    วันนั้นเขาได้ยินเสียงกระซิบของ
    'พระเจ้า' ในวันนั้นจริยธรรมทั้งมวลของเขาถูกดึงเข้าสู่ความมืด เมื่อเขาเห็นหน้าเธอ...แรงกดดันจากการได้ล่วงรู้เว่าเธอมีชายคนรักอยู่แล้วมันกระหน่ำเข้าใส่ทำให้สติของเขาหลุดลอย เขาฆ่าคนรักของเธอด้วยปืนลูกซอง ใช้มีดปาดคอเธอแล้วข่มขืนร่างของเธอทั้งที่เลือดสีแดงสดยังพุ่งออกมาจากลำคอเพรียวบางของหญิงสาวไม่ยอมหยุด


                   
    "เขาฆ่าเธอ" โอนิมงสรุปเหตุการณ์อย่างเรียบง่ายแต่ทำให้นักรบต้องนั่งเกร็งไปทั้งตัว ก็การพูดบรรยายของโอนิมงนั้นสมจริงสมจังอย่างกับไปฟังจากปากของฆาตกรมากับหูก็ไม่ปาน


                   
    "...น่าสงสารจริง...แบบนี้คนที่เป็นน้องชายก็เหลือตัวคนเดียวน่ะสิ น้องชายของเธอยังเด็กอยู่หรือเปล่าครับ แล้วเป็นยังไงต่อ จับตัวฆาตกรได้หรือเปล่า" นักรบสอบถามด้วยความสนอกสนใจ ในตอนนั้นเองที่โอนิมงยิ้มให้เขาอย่างเย้ยหยัน


                   
    "น้องชายของเธอเป็นคนฆ่าเธอเอง"


                   
    ชายหน้าเข้มเบิกตาโพลงด้วยความตกใจ ไม่สิ...ความรู้สึกของเขาในขณะนี้ช่างยากจะบรรยาย นักรบถึงกับเผลอกลั้นหายใจไปชั่วขณะหนึ่ง เขาคิดว่าโอนิมงจะยิ้มเยาะเขาเหมือนทุกครั้ง ทว่าสีหน้าของชายผู้มีใบหน้าคมได้รูปนั้นกับนิ่งเฉยราวกับปล่อยวางปฏิกิริยาของอีกฝ่าย


                   
    "อ...อะไรนะครับ" นักรบค่อย ๆ ทวนคำอย่างไม่อยากจะเชื่อหู


                   
    "น้องชายที่เธอเป็นคนเลี้ยงมากับมือ...เป็นคนฆ่าเธอครับ" โอนิมงย้ำอีกครั้งด้วยสีหน้านิ่งเฉยเหมือนกับว่ามันไม่ใช่เรื่องประหลาดอะไร ยิ่งทำให้นักรบตกตะลึงจนตัวแข็งเป็นหิน ในความรู้สึกของเขา นี่มันไม่ใช่เรื่องที่จะพูดออกมาได้อย่างหน้าตาเฉยแบบนี้สักหน่อย แต่ในวินาทีที่เขากำลังตื่นตระหนกนั้นเอง ชายตรงหน้าเขาก็เผยยิ้มอีกครั้ง...


                   
    "และผมก็คือน้องชายของผู้หญิงในรูปครับ" โอนิมงพูดด้วยสีหน้ายิ้มแย้ม วินาทีนั้นเองที่นักรบเพิ่งจะสังเกตเห็น ดวงตาสีน้ำตาลอ่อนของเพื่อนร่วมงานคนใหม่ของเขาเหมือนหญิงสาวผู้เป็นเหยื่อผู้เคราะห์ร้ายในรูปไม่มีผิดเพี้ยน


                   
    ..........

                    ภายในตึกนิติเวชขนาดสามชั้นซึ่งก่อสร้างขึ้นใหม่ที่ด้านหลังสถานีจักรวรรดิเริ่มต้นยามเช้าด้วยความสงบเงียบอย่างทุกวัน ภายในห้องชันสูตรก็มีคนอยู่เพียงไม่กี่คน ทั้งที่เพิ่งมีศพใหม่เข้ามาแท้ๆ


                    แพทย์ชันสูตรหญิงสองคนนั่งคุยกันอยู่บนเตียงเข็นที่ไม่มีศพ ดูเหมือนจะคุยเรื่องที่นัดจะไปชอปปิ้งด้วยกันในบ่ายวันนี้ตามประสาสาว ๆ สารวัตรสมพงษ์ที่นั่งอยู่โต๊ะข้าง ๆ เสยผมอย่างหงุดหงิด ก่อนจะลดมือลงมากอดอกอีกครั้ง แล้วเหลือบมองนาฬิกาที่ข้างฝา


                   
    "ทำไมมันไม่มาสักทีวะ" สารวัตรบ่นพร้อมเกาหัวแกรก ๆ ชลูดที่ยืนทำหน้าง่วงนอนอยู่ข้าง ๆ ได้ที จึงรีบสวนกลับไป


                   
    "สั่งอะไรมากินเหรอพี่ ผมกินด้วยนะ แบบว่าปลายเดือนแล้วไม่มีเงินใช้เลยเนี่ย" ชายหนุ่มร่างสูงพูดงึมงำน้ำเสียงกวนต่อมโมโหของสารวัตรเป็นยิ่งนักจนสารวัตรอดรนทนไม่ได้ต้องตบกบาลจ่าตัวสูงข้าง ๆ ตัวไปหนึ่งที


                   
    "ไม่ต้องมากวนตีนกูเลยไอ้ชลูด ไปตามไอ้นักรบมาสิ อยู่ที่สถานีล่ะมั้ง" ชายวัยกลางคนสั่งด้วยอารมณ์หงุดหงิด ตอนแรกเขาเห็นนักรบซ้อนท้ายมอเตอร์ไซด์นักสืบชาวญี่ปุ่นคนนั้นมาก็นึกว่าจะเข้ามาที่ตึกนิติเวชนี้ ที่ไหนได้กลับหายหัวไปทั้งคู่ แม้ท่าทีของสารวัตรจะแสดงอารมณ์ไม่น่าพิสมัย ทว่าชลูดก็ยังคงอิดออด บิดตัวหมุนไปมาคล้ายบิดขี้เกียจยามเช้า


                   
    "โหพี่...ขี้เกียจไปว่ะ จะทุบก็ทุบเลยเหอะแล้วค่อยถ่ายรูปไว้ให้เฮียเขาดูก็ได้" ชลูดบอกปัด สารวัตรหันไปทำท่าจะด่า


                   
    "เออ ๆ ไอ้ขี้เกียจ ระวังเถอะ จะได้เป็นจ่าไปจนแก่" สารวัตรกึ่งเตือนกึ่งแช่งด้วยความไม่พอใจ "เอ้า! รีบจัดการเถอะ จะได้เก็บๆศพไปซะที"


                   
    สิ้นคำสั่ง เหล่าเจ้าหน้าที่ผู้เป็นลูกน้องสามสี่คนก็ต้องมาช่วยกันใช้สิ่วกับค้อนกระเทาะปูนออกจากศพ โดยต้องระวังให้ศพเกิดความเสียหายน้อยที่สุด ชลูดที่ยืนดูอยู่ก็จดบันทึกการตรวจสอบศพไปเรื่อย ๆ ไม่นานนักศพสาวน้อยที่ถูกซ่อนอยู่ในปูนปั้นก็ปรากฎให้ทุกคนได้เห็น สารวัตรเริ่มเอะใจจึงเดินเข้ามาใกล้ศพมากขึ้น


                   
    "นี่มัน...ฆ่าหั่นศพนี่คะ" แพทย์ชันสูตรเอ่ยทักเป็นคนแรก สารวัตรเพ่งพินิจสภาพศพ ดูเหมือนฆาตกรจะหั่นศพเธอเป็นท่อน ๆ แล้วจึงนำมาหล่อปูนเป็นส่วนๆ เมื่อจะจัดตั้งศพจึงจะนำมาประกอบกัน คงทำไปเพื่อความสะดวกในการขนย้ายศพไปยังย่านที่คนพลุกพล่านอย่างเยาวราชนั่นเอง หลักฐานก็คือ ในรอยต่อระหว่างคอกับตัวหรือว่าขาท่อนบนกับล่างนั้นมีร่องรอยการใช้ปูนในการปะติดอยู่อย่างเห็นได้ชัดและยังมีเหล็กที่ยื่นออกมาเพื่อใช้เวลาเชื่อมต่ออีกด้วย


                   
    รวมถึงเยาวราชมีตรอกซอกซอยมาก คำสั่งให้งดออกจากบ้านหลังตีสองก็ดูเหมือนคนจะให้ความร่วมมือกันเป็นอย่างดี ร้านแผงลอยที่เยาวราชจะเก็บของตั้งแต่ตีสอง กว่าจะเสร็จเรียบร้อยจริง ๆ ก็ปาเข้าไปตีสองครึ่ง และต่อจากนั้นนายแสกจึงมาพบกศพเป็นคนแรกในเวลาตีสามแปลว่าการจัดตั้งศพ จะต้องกระทำในช่วงเวลาช่องว่างระหว่างตีสองครึ่งถึงตีสามนั่นเอง...


                   
    "ถ่ายรูปศพข้างในเอาไว้ แล้วเก็บตัวอย่างปูนกับเนื้อเยื่อศพเอาไว้ด้วยเผื่อมีประโยชน์ ที่เหลือจัดการไปตามสมควร" สารวัตรสั่งการ คราวนี้ฝ่ายเก็บหลักฐานก็เริ่มเข้ามาทำหน้าที่อีกครั้ง ชายหนุ่มสวมแว่นตาเริ่มจัดการถ่ายรูปเก็บหลักฐานตามที่ถนัดทว่าสายตาก็เหลือบไปเห็นรอยสลักบนปูนที่ข้างน่องของศพเข้า จึงสะกิดสารวัตรให้มาดูแล้วจึงถ่ายรูปเก็บเอาไว้


                   
    "ใต้หน้ากากสาวงาม..." สารวัตรสมพงษ์อ่านภาษาไทยที่ขาของศพพลางขมวดคิ้ว งานศิลปฆาตกรรม...หรือว่านี่จะเป็นชื่อของผลงานชิ้นนี้ของพวกมัน ชายวัยกลางคนเริ่มกวาดสายตามองร่างของสาวน้อยที่ถูกเผยออกจากปูนปลาสเตอร์ ดวงตาของเธอถูกควักออกไปเหลือเพียงโพลงเบ้าตาเปล่า ๆ ดวงตาของเธอจะมีโอกาสได้เห็นฆาตกรที่ช่วงชิงชีวิตของเธอไปหรือเปล่านะ สารวัตรคิดแล้วตั้งใจมั่นเหมือนการสืบคดีทุก ๆ ครั้ง ครั้งนี้มีร่องรอยมากมายให้สืบหา ช่วงเวลาก็แคบมาก ผู้ต้องสงสัยคงมีไม่มากนัก เขาจะไม่ปล่อยให้เธอตายเปล่าอย่างแน่นอน...

                    ..........

                    "ผมคือน้องชายของเธอครับ" โอนิมงย้ำอย่างเป็นจริงเป็นจัง สถานการณ์ในห้องทำงานนี้ถึงกับเงียบกริบจนได้ยินเสียงรถเข็นขายของนอกตัวตึกดังแว่วพร้อมกับแรงลมร้อนยามเช้าที่พัดผ่านเข้ามา นักรบลุกพรวดขึ้นจากเก้าอี้แล้วก้าวเท้าอ้อมโต๊ะหวังจะลุกหนี ทว่าโอนิมงตรงเข้ามาจับตัวไว้แล้วผลักเขาไปจนติดกำแพงหลังโต๊ะ ชั่ววินาทีนั้นนักรบถึงกับชะงักเพราะตอนแรกสุดที่เขามาในห้อง โอนิมงลงมานั่งที่หน้าโต๊ะก่อนนั่นทำให้เขาจำต้องเดินเข้ามานั่งข้างในที่หาทางหนีทีไล่ได้ยากกว่า


                   
    "น...นี่คุณคิดเอาไว้แล้วสินะ" นักรบพึมพำอย่างไม่อยากจะเชื่อ ในขณะที่โอนิมงก็ยิ้มรับโดยดี


                   
    "ผมยังเล่าไม่จบเลย...ก็ไหนคุณบอกว่าอยากเข้าใจจิตใจของนักศิลปฆาตกรรม ก็นี่ไงครับ...ผมก็อยู่ตรงหน้าคุณแล้ว ยังจะหนีไปไหนอีก" ชายหนุ่มผมทองที่เปิดเผยความลับของตนเองออกมากล่าวด้วยน้ำเสียงตื่นเต้นยินดีต่างจากนักรบที่กำลังหวาดกลัวโดยสิ้นเชิง เขาไม่แน่ใจด้วยซ้ำว่าโอนิมงพูดเรื่องจริงหรือเปล่า


                   
    "ผมฆ่าพี่สาวตัวเอง แล้วก็ฆ่าเพื่อนสนิทมากคนหนึ่งด้วย..." โอนิมงพูดต่อโดยที่มือทั้งสองยังดันไหล่ของอีกฝ่ายให้ติดกับกำแพง "แล้วผมก็เป็นคนสืบคดีนี้เอง หลักฐานที่จะสาวมาถึงตัวผมได้ ผมก็ทำลายทิ้งไปหมดแล้วตั้งแต่ตอนที่รับคดีมาทำ หึ...ถ้าคุณคิดจะจับผมคงต้องลำบากหน่อย เพราะผ่านมาเกือบสองปีแล้วยังไม่มีใครเอะใจด้วยซ้ำ แม้จะปิดคดีไม่ลงแต่ก็ไม่มีใครสงสัยผม นี่ไงล่ะ..."


                   
    นักรบจ้องมองการกระทำของอีกฝ่ายอย่างไม่เข้าใจ ท่าทางเหมือนจะเยาะเย้ยเขาที่โอนิมงกำลังทำนั้นมันยิ่งทำให้เขางุนงงผู้ร้ายที่ไหนจะออกมาบอกตำรวจเสียเองว่าตนเป็นคนร้าย ถึงเขาจะไม่ได้เป็นตำรวจแล้วก็เถอะ หากที่โอนิมงพูดมาทั้งหมดเป็นเรื่องจริง นี่มันหมายความว่าอะไร ไม่มีเหตุผลอะไรเลยสักนิด...นี่เป็นการกระทำที่บ้าบอสิ้นดี!


                   
    "แล้วคุณมาบอกผมทำไม" นักรบกัดฟันพูด "บ้าไปแล้วรึไง ทำแบบนี้เพื่ออะไรกันแน่!"


                   
    "ผมแค่ต้องการจะบอกกับคุณว่าหลังจากนี้จงอย่าไว้ใจใครทั้งนั้น ไม่ว่าใครก็อาจกลายเป็นนักศิลปฆาตกรรมได้...หมอ พยาบาล ครู ตำรวจ นักสืบ คนกวาดถนน นักเรียนประถม หรือแม้แต่พ่อแม่ของผู้ตาย" โอนิมงยังอธิบายต่อ ทั้งที่สีหน้าของคนที่รับฟังกลับดูท่าทางไม่ค่อยดีนัก


                   
    "เพราะมนุษย์ทุกคนล้วนแล้วแต่หลงใหลศิลปะ และมนุษย์ทุกคนล้วนแต่มีความดิบเถื่อนอยู่ในตัว...มนุษย์นั้นฆ่าสิ่งมีชีวิตเป็นก่อนที่จะทำอาหารเป็นเสียอีก การนำทั้งสองสิ่งนั้นมารวมกันจึงเหมือนการปลุกสัญชาตญาณความโหดร้ายของมนุษย์ขึ้นมา!!"


                   
    นักรบผลักโอนิมงเต็มแรงจนชายร่างสูงโปร่งนั้นกระเด็นไปชนโต๊ะ เขารีบวิ่งหนีอ้อมโต๊ะมาที่ประตูด้วยท่าทีตื่นตระหนก นักรบคว้าลูกบิดได้ก็รีบเปิดประตูออก ภายนอกห้องไม่มีใครอยู่เลยจนเสียงของหัวใจที่กำลังสั่นระรัวของเขาดังกว่าครั้งไหน ๆ ชายหน้าคมเข้มกัดฟันแล้วจ้องมองไปยังโอนิมงที่กำลังพิงโต๊ะอยู่ในท่าเดิม โอนิมงฆ่าพี่สาวของตัวเอง จนถึงบัดนี้ก็ใช้อำนาจที่เป็นหัวหน้าตำรวจทำให้ตัวเองพ้นผิดมาตลอด...นักรบทั้งสับสน ทั้งรู้สึกว้าวุ่น ในขณะที่โอนิมงนั้นเพียงเหลือบตามามองคู่กรณีอย่างไม่ยี่หระเท่าใดนัก


                   
    "ฆาตกร..." นักรบคำรามแผ่วเบา สายตาอันดุดันของเขาจ้องตรงไปที่อีกฝ่ายเพียงชั่วครู่ แต่กลับเป็นชั่วครู่ที่ชัดเจนยิ่งนัก เขาเดินหนีออกไปนอกห้องด้วยท่าทีรีบร้อน ทิ้งคำพูดสุดท้ายไว้ในห้องทำงานกับชายชาวญี่ปุ่นเพียงเท่านั้น


                   
    เสียงหัวเราะของชายหนุ่มดังขึ้นเบา ๆ โอนิมงหยิบถ้วยกาแฟของตัวเองขึ้นดื่มจนเกลี้ยงแก้ว ในขณะที่ตัวเขาเองก็ยังสับสนในสิ่งที่ทำลงไป เขาไม่แน่ใจด้วยซ้ำว่าเล่าเรื่องราวแบบนั้นให้นักสืบต่างชาติที่เพิ่งรู้จักกันได้แค่วันเดียวฟังได้ยังไง ชายหนุ่มลงนั่งที่เก้าอี้ตัวเดียวกับที่นักรบนั่งเมื่อครู่พลางเงยหน้ามองพัดลมเพดานที่หมุนเอื่อย ๆ ไอ้พัดลมโบราณพรรค์นี้เขาไม่ค่อยได้เห็นบ่อยนัก แต่ที่ไทยนี่ดูเหมือนจะใช้เยอะกว่าเครื่องปรับอากาศเสียอีก


                   
    "...อย่าปล่อยให้ผมคลาดสายตานะครับ คุณนักรบ" เขาเริ่มพึมพำกับคนที่ไม่ได้อยู่ในห้อง โอนิมงหลับตาลง ในขณะที่เสียงพัดลมเพดานยังดังรบกวนโสตประสาทเป็นระยะ เขานึกจินตนาการไปถึงการที่นักศิลปฆาตกรรมกำลังรุกรานประเทศนี้อย่างเงียบ ๆ


                   
    'พระเจ้า' ก็คงมาที่นี่ด้วย...


                   
    บางทีเขาคงกลัวว่าพระเจ้าจะดึงเขากลับสู่ความมืดอีกครั้งก็เป็นได้จึงต้องยืมมือของนักรบมาช่วย เป็นเพียงความคาดหวังอันน้อยนิดของเขาที่เชื่อว่าความมุ่งมั่นของนักรบจะช่วยเขาได้หรือเขาอาจจะแค่สับสน โอนิมงคิดไม่ตกกับการกระทำของตัวเองด้วยซ้ำ เพียงแค่คิดว่าอาจจะต้องเผชิญหน้ากับพระเจ้าอีกครั้งความรู้สึกของเขาก็เริ่มสับสน ทั้งกลัวและมุ่งมั่นในเวลาเดียวกัน


                   
    สองปีที่แล้วเขาทำพลาด...สองปีที่แล้วพี่สาวของเขาตายด้วยน้ำมือเขาเอง สองปีที่แล้วเขาฆ่าเพื่อนของตัวเองอย่างเลือดเย็น...ชายหนุ่มลืมตาอีกครั้งกลับมาเผชิญกับความเป็นจริงในปัจจุบัน


                   
    คราวนี้ล่ะเขาจะต้องจับตัวพระเจ้าให้ได้


                   
    ชายหนุ่มลุกขึ้นจากเก้าอี้ เขาเอื้อมไปหยิบเสื้อสูทสีขาวมาใส่คลุม โอนิมงก้าวเท้าไปที่ประตูเพื่อจะเดินออกไปจากห้อง เมื่อเสียงประตูปิดลง ในห้องทำงานก็เหลือเพียงกลิ่นกาแฟลอยจาง ๆ กับแสงอาทิตย์ยามเช้าที่กำลังสาดส่องเข้ามาในห้องเท่านั้น


                   
    ทางด้านนักรบ เขามุ่งหน้าไปที่ตึกนิติเวชด้านหลังตึกของสถานีจักรวรรดิด้วยอารมณ์สับสนในใจ ระหว่างเดินผ่านสนามบอลที่เงียบสงัดเพราะช่วงเช้านี้ยังไม่มีใครมาใช้บริการสนามเลยนั่นเอง แม้จะไม่ปักใจเชื่อเรื่องที่โอนิมงเล่ามาทั้งหมด แต่อะไรบางอย่างผลักดันให้เขารีบผลุนผลันออกมาจากสถานการณ์ตรงนั้น นักรบคิดได้เท่านี้ก็หยุดยืนนิ่งแล้วเงยหน้าขึ้นกอบโกยอากาศเข้าปอดให้เต็มที่


                   
    เขากลัว...ใช่ อย่างแรกคือเขาไม่คุ้นกับคนต่างชาติ กับคนเอเชียยังไม่เท่าไรแต่โอนิมงดันย้อมผมทองด้วยทำให้เขายิ่งรู้สึกประหม่า อย่างที่สองคือท่าทีของโอนิมงดูจริงจังเหลือเกินเวลาเล่าเรื่องนั้นจนเขาแยกไม่ออกว่าเรื่องจริงหรือเล่น เรื่องสุดท้าย...เขาตกใจที่ได้ยินว่าโอนิมงฆ่าเพื่อนของตัวเองด้วย...


                   
    ชายหน้าเข้มยืนอยู่ข้างสนามบาสอย่างนิ่งงันพร้อมทอดสายตามองไกลไปบนท้องฟ้าสีฟ้ายามเช้า และยืนนิ่งเช่นนั้นอยู่เนิ่นนาน...จนกระทั่งเหลือบไปเห็นร่างของคนที่คุ้นตากำลังเดินจากตึกนิติเวชเข้ามาใกล้ตัวเขามากขึ้นเรื่อยๆ


                   
    "หายหัวไปไหนมาวะ เอ้านี่! รายงาน" สารวัตรสมพงษ์ดุเสียหนึ่งที ก่อนจะโยนเอกสารการชันสูตรเบื้องต้นและรูปถ่ายให้ นักรบรับมันไปด้วยท่าทีเหรอหรา ก่อนจะเปิดดูส่วนของการสรุปทันที


                   
    "ฆ่าหั่นศพ" เขาทวนคำคำแรกที่เห็นจากในรายงาน แล้วมองหารายละเอียด ดูเหมือนจะเป็นการหั่นศพเป็นท่อนๆ แล้วหล่อปูนคลุมทีละส่วนแล้วสุดท้ายจึงนำมาประกอบกันโดยใช้โครงเหล็กที่ทำไว้กับปูนปลาสเตอร์กลบเกลื่อนรอยต่อ สมพงษ์เอาบุหรี่ออกมาสูบระหว่างรอนักรบบรรจุข้อมูลทั้งหมดเข้าสมอง ตอนอยู่ในตึกนิติเวชนั้นห้ามสูบบุหรี่ทำให้เขาไม่สบอารมณ์เท่าไรนัก เมื่อนักรบอ่านเสร็จก็ยื่นคืนให้รุ่นพี่ตามเดิม


                   
    "...อ่านอีกรอบไหม" สารวัตรเอ่ยถามลอย ๆ ทั้งที่รู้คำตอบอยู่แล้ว และชายตรงหน้าเขาก็ส่ายหน้าปฏิเสธเหมือนทุกครั้ง ทว่ายังคงขมวดคิ้วเข้มของตัวเองด้วยความข้องใจ สารวัตรจึงใช้แขนหนีบเอกสารไว้แล้วชายตาไปทางอื่นท่าทางสบาย ๆ ของสารวัตรช่างขัดกับอารมณ์ของนักรบอย่างประหลาด เขาเองรู้สึกอึดอัดในใจ...ทั้งที่มีคดีอยู่แท้ ๆ ทว่าในหัวของเขายังคงคิดวนเวียนอยู่กับเรื่องที่โอนิมงเล่าให้ฟัง


                   
    "อ...เอ่อ..." ชายหน้าเข้มเอ่ยปากเรียกร้องความสนใจอีกครั้ง "แล้วทราบหรือยังครับว่าผู้ตายเป็นใคร"


                   
    "เช็กดูแล้ว เมื่อวานเรารับแจ้งเรื่องเด็กผู้หญิงอายุสิบห้าหายตัวไปอยู่คนนึง บ้านอยู่แถว ๆ นี้แหละ ไม่รู้ว่าใช่คนเดียวกันหรือเปล่าก็เลยโทรเรียกคนที่แจ้งมาดูแล้ว อีกไม่นานคงมาถึง" สารวัตรตอบ ก่อนจะมองหน้าคู่สนทนาด้วยความสงสัย ทั้งที่คุยเรื่องคดีอยู่ แต่นักรบกลับดูลุกลี้ลุกลนสีหน้าอึดอัดแปลก ๆ


                   
    "...มีเรื่องอะไรหรือเปล่า" เขาเอ่ยถามด้วยความสงสัย ทำให้นักรบยิ่งลังเลว่าควรจะเล่าเรื่องของโอนิมงให้สารวัตรฟังดีหรือไม่ ไม่สิ...หากโอนิมงเป็นนักศิลปฆาตกรรมจริง ๆ การปล่อยให้มาอยู่ในทีมสืบสวนครั้งนี้ไม่เท่ากับเป็นไส้ศึกหรอกหรือ เมื่อคิดได้ดังนั้นนักรบจึงตัดสินใจที่จะเล่า...


                   
    "พี่พงษ์ ผมมีเรื่องจะปรึกษา..." เขาเริ่มพูดด้วยเสียงค่อนข้างเบา ทว่าก่อนที่จะได้พูดต่อใครบางคนก็เข้ามากอดคอเขาราวกับเพื่อนสนิท เมื่อหันไปมองก็ต้องตกใจ...เป็นโอนิมงนั่นเอง


                   
    "ผมช่วยให้คำปรึกษาไหมครับ คุณนักรบ" ชายผมสีทองพูดกวน ๆ แล้วเหลือบตามองคนที่เขาเกาะไหล่อยู่ราวกับจะสะกดนักรบให้นิ่งเงียบได้ในฉับพลัน ทว่าสายตาของนักรบที่จ้องกลับมาก็ดุดันไม่แพ้กัน


                   
    "มีเรื่องอะไรกันน่ะพวกนาย" สารวัตรถามด้วยความสงสัยเพราะดูโอนิมงจะตีซี้รุ่นน้องของเขาเหลือเกิน ในขณะที่นักรบก็มีท่าทีแปลก ๆ ทั้งที่เมื่อวานยังพูดชื่นชมนักสืบชาวญี่ปุ่นคนนี้อยู่แท้ ๆ วันนี้กลับทำท่าเหมือนพยายามหลบเลี่ยงอย่างไรไม่ทราบ


                   
    "เปล่านี่ครับ" โอนิมงตอบพร้อมทำตาโตเลิกคิ้ววแบบสบาย ๆ นักรบค่อย ๆ เอาแขนของโอนิมงออกอย่างนุ่มนวล ก่อนจะเบนสายตาไปทางอื่นเหมือนไม่อยากมองหน้า


                   
    "เอาไว้คุยกันทีหลังละกันครับ" นักรบรีบบอกปัด ทำเอาสารวัตรเป็นงง


                   
    "เออ ๆ อยากคุยเมื่อไรก็คุยละกัน" ตำรวจรุ่นพี่บอกปัดเหมือนไม่สบอารมณ์เพราะไม่เข้าใจว่าสองคนนี้มันจะอะไรกันนักหนา ชายวัยกลางคนเดินจากไปทางตึกของสถานีเพื่อเข้าไปรอข้างใน เมื่อเหลือกันอยู่เพียงสองคน โอนิมงก็ก้าวเข้ามาประชิดตัวนักรบทันทีพร้อมกับรอยยิ้มที่มุมปาก


                   
    "คิดจะเล่าให้เขาฟังหรือครับ คุณนี่เป็นพวกเก็บความลับไม่อยู่จริง ๆ" โอนิมงกระซิบเสียงค่อย


                   
    "คุณไม่ได้บอกให้ผมเก็บเป็นความลับนี่นา" นักรบรีบสวนกลับไปทันที ชายผมสีทองชะงักเล็กน้อย ก่อนจะหัวเราะในลำคอ


                   
    "หึ อะไรกัน...ทำไมมั่นใจนักว่าเรื่องที่ผมเล่าเป็นเรื่องจริง ไม่คิดหรือว่าผมอาจจะแค่แกล้งหลอกคุณเล่นก็ได้"


                   
    ทั้งคู่ยืนนิ่ง โอนิมงกลับเป็นฝ่ายชะงักบทสนทนาไปเสียเองทั้งที่จริง ๆ แล้วยังพูดไม่จบด้วยซ้ำ เพราะสายตาของคู่สนทนากลับเปลี่ยนไป...จากดุดันกลายเป็นสมเพช สงสารอยู่ในที


                   
    "ถ้าคุณคิดจะแกล้งผม ก็น่าจะปล่อยให้ผมบอกเรื่องนี้กับสารวัตรไม่ดีกว่าหรือ แล้วเข้ามาแกล้งเฉลยทีหลังว่าเป็นเรื่องหลอกกันเล่น แต่คุณกลับเข้ามาขวาง เหมือนไม่อยากให้ผมบอกใคร" นักรบอธิบาย


                   
    "ฆ่าจริง ๆ สินะครับ ทั้งพี่สาว ทั้งเพื่อนของคุณน่ะ"


                   
    จังหวะนั้นเองชายชาวญี่ปุ่นก็สืบเท้าเข้าหาเขาด้วยความรวดเร็วทว่านักรบก็มิได้ถอยหนี โอนิมงจ้องอีกฝ่ายเขม็งแต่กลับพูดอะไรไม่ออก ดวงตาสีเข้มที่จ้องมองกลับมีอาการต่อต้านและเวทนาอยู่ในที ชายร่างสูงจึงยิ้มที่มุมปากแล้วหรี่ตาลง


                   
    "งั้นก็จับผมให้ได้สิ" เขากล่าวท้าทาย "หลักฐานผมทำลายทิ้งไปหมดแล้ว แถมเรื่องก็เกิดที่ญี่ปุ่น ผ่านมาสองปีแล้ว ต่อให้คุณพูดออกไปก็ไม่มีใครเชื่อหรอก ต่อให้แจ้งจับผม...เมื่อไม่มีทั้งหลักฐานและพยาน คุณก็ทำอะไรผมไม่ได้"


                   
    "ทำได้สิ" นักรบสวนกลับไปทันควัน ก่อนจะเดินเลี่ยงไปทางตึกนิติเวช "ผมไม่ปล่อยให้คุณทำตามอำเภอใจแน่ จะจับตาดูทุกฝีก้าว...จนกว่าจะยัดคุณเข้าตะรางได้นั่นล่ะ" ชายหน้าเข้มพูดทิ้งท้าย ก่อนจะเดินเข้าไปทางตึกนิติเวช โอนิมงมองตามไปด้วยความรู้สึกแปลกประหลาดในใจ


                   
    ปากดีจริง ๆ เขาเยาะเย้ยในใจด้วยความขบขัน เขามองออกว่าจริงแล้วนักรบกลัวเขาแต่จะด้วยเหตุอะไรกันแน่นั้นยังไม่แน่ใจ


                   
    จับตามองงั้นหรือ...นั่นล่ะสิ่งที่เขาต้องการ














    ติดตาม MurderArtist PsychoDetective ศิลปฆาตกรรม ต่อได้ในแบบรูปเล่ม

    ตีพิมพ์โดยสำนักพิมพ์ฟิสิกส์เซ็นเตอร์
    http://www.pc-bookclub.com/

    ติดต่อผู้เขียน ติชม เสนอแนะได้ที่
    wadoiji_stamina@hotmail.com





    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×