ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    My wife ขอโทษที คนนี้เมียกู [END]

    ลำดับตอนที่ #17 : .....My wife.....{17}

    • เนื้อหานิยายตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 10.6K
      18
      20 พ.ค. 55

    .....My wife..... {17}

     

    [Victor]

                แสงสว่างจากภายนอกที่จ้าเข้ามาถึงภายในห้อง ทำเอาผมที่กำลังลืมตาต้องรีบหลับตาลงอีกครั้งทันทีและหันหน้าหนี มันก็ทำให้ผมรู้ได้ว่าตอนนี้เป็นเวลาสายแล้ว ไม่งั้นมันคงไม่จ้าขนาดนี้หรอก วันนี้ผมตื่นสายกว่าปกติอีกแฮะ ไม่แปลกหรอก คนไม่สบายนี่นา

    “อือ ....” ผมลุกขึ้นช้าๆพร้อมกับบิดขี้เกียจ รู้สึกสบายตัวจัง ได้นอนหลับสบายทั้งที แต่ก็ต้องชะงักในทันทีเมื่อคิดได้ว่า เมื่อคืนผ้าม่านด้านที่แสงตอนเช้าจะเข้ามาตรงๆถูกดึงปิดแล้ว เพราะผมอยากตื่นสายสักหน่อยเลยไม่อยากให้แสงมารบกวน อต่ทำมันมันถึงเปิดได้ล่ะ ทั้งๆที่ห้องนี้ในตอนเช้า จะเป็นที่รู้กันว่า จนกว่าผมจะตื่นแล้วเดินออกห้องมาเอง ใครก็เข้าไปไม่ได้

    “แปลกๆว่ะ” แต่ไม่ทันที่ผมจะได้ทำอะไรต่อ ก็มีเสียงๆหนึ่งแทรกขึ้นมาก่อน

    “ตื่นมาแม่งก็เสียงดังเลยนะมึงอ่ะ” ผมหันขวับทันทีไปยังต้นเสียง

    “ไอ้เชี่ยพาส!!” ผมเรียกชื่อมันเสียงดังอย่างตกใจ เมื่อผมเจอกับไอ้คนที่ผมไม่อยากเจอหน้ามากที่สุด กำลังนั่งเปิดดูอัลบั้มรูปของผม แล้วนั่งยิ้มไปด้วย

    “เรียกทำไมเสียงดังวะ อยู่กันแค่นี้เอง” มันปิดอัลบั้มรูปลงแล้ววางลงบนโต๊ะคอมของผม พร้อมกับลุกเดินมานั่งลงบนเตียงที่มีผมกำลังนั่งมองตามมันอย่างระแวง พอมันนั่งลงปุ๊ปผมรีบขยับตัวหนีให้ห่างจากมันในทันทีเลย  ทำเอาคนที่พึ่งมานั่งต้องแอบหัวเราะออกมาเบาๆ

    “หัวเราะเชี่ยไรมึง มีอะไรน่าตลกนักหรือไง” ผมมองค้อนไปที่มันในทันที

    “ก็ตลกเด็กขี้ระแวงอย่างมึงเนี่ยแหละ” สายตาของมันมองมาที่ผมอย่างขบขัน ผมเกลียดสายตาแบบนี้จริงๆเลย ให้ตายสิ มันทำให้ผมรู้สึกเหมือนตัวเองเป็นด็กตัวเล็กๆในสายตาผู้ใหญ่เลย เหมือนกับว่าผมทำอะไรๆมันก็ดูน่าเอ็นดูไปหมดอย่างนั้นแหละ  ไม่ชอบเลยจริงๆ

    “เงียบไปเลยมึงอ่ะ แล้วเข้ามาห้องนี้ได้ไง ในเมื่อ...” ไม่ทันพูดจบมันก็แทรกมาก่อน

    “ในเมื่อมึงห้ามทุกคนในบ้านเข้าห้องมาจนกว่ามึงจะตื่นว่างั้น เหอะ ป้าแม่บ้านที่อยู่ข้างล่างพูดกรอกหูกูมาแล้วน่า ไม่ต้องมาย้ำกูหรอก”  มันพูดแบบไม่รู้สึกสะทกสะท้านอะไรเลย

    “ก็ในเมื่อรู้แล้วมึงจะเช้ามาทำเชี่ยไรล่ะ” ผมถามมันออกไป แม้จะรู้คำตอบก็เถอะ

    “แล้วกูใช่คนในบ้านมึงไหม อย่ามาถามอะไรโง่ๆหน่อยเลย” นั่นไง โดนตอกกลับมาจนได้ สายตาของไอ้พาสต้า มองไล่ตามตัวผมอย่างพิจารณา ทั้งๆที่มันมีผ้าห่มคลุมไว้จนมิด

    “มองเชี่ยไรมึง” ผมถามออกไปอย่างระแวง ก็สายตามันไม่น่าไว้ใจนี่

    “เปล่า  แค่คิดอยู่ว่าผ้าห่มแค่นั้นมันจะช่วยอะไรมึงได้แค่นั้นเอง”

    “เงียบไปเลยมึงอ่ะ มันก็ดีกว่าอยู่กับมึงตัวเปล่าล่ะว่ะ” ใครมันจะโง่ถึงขนาดไม่ป้องกันตัวเองเลยล่ะ คิดอะไรตื้นๆจริง ไอ้พาสต้านี่  อย่างน้อยมันก็กันสายตาแทะโลมได้ละกัน

    “จะกลัวอะไรนักหนา ทั้งๆที่นอนด้วยกันมาแล้วแท้ๆ”

    “ไอ้สัส คิดว่ากูอยากนอนกับมึงนักหรือไง คนเลวๆอย่างมึงน่ะ” แทนที่มันจะโกรธเพราะคำพูดผม แต่มันกลับมองมาที่ผมอย่างระอา พร้อมกับคำพูดแดกดัน

    “พูดเหมือนคนอย่างมึงดีนักอ่ะ สันดานอย่างมึงมันก็ไม่ต่างอะไรจากกูนักหรอก”

    “อย่างน้อยคนอย่างกูก็ไม่เคยขืนใจใครว่ะ” ผมเถียงมันกลับไปอย่างมั่นใจ

    “แต่กูก็ไม่เคยหลอกฟันใครแล้วทิ้ง แถมไม่พอยังแบล็คเมล์ด้วยแบบมึงว่ะ” ฮึก! ไอ้พาสต้าพูดเล่นเอาผมจุกเลยอ่ะ  แม้มันจะจริงอยู่ แต่มึงไม่ต้องมาพูดตอกย้ำขนาดนั้นก็ได้

    “เดี๋ยวนะ แล้วที่มึงทำกับกูนั่นล่ะ เรียกว่าอะไร” พอทันคิดได้ผมก็ย้อนถามกลับมันไป

    “โอ๊ะ สำหรับเรื่องของมึงนั่นเป็นข้อยกเว้นว่ะ กูทำให้เป็นกรณีพิเศษ หึหึ”

    “ไอ้สารเลวเอ้ย! วันนี้มึงมาทำไม บอกมาตรงๆดีกว่า เห็นหน้ามึงแล้วรำคาญลูกตา”

    “ทำเป็นพูดดี ยังไงมึงก็หนีกูไม่พ้นหรอก วันนี้แค่เอาของมาคืน” ผมมองมันอย่างสงสัย

    “ของอะไร” ผมจำได้ว่าไม่เคยให้อะไรมันไป และไม่เคยลืมของไว้ให้มันต้องเอามาคืนด้วย และเหมือนไอ้พาสต้าจะดูสีหน้าผมออก มันหยิบบางอย่างออกมาจากกระเป๋ากางเกง

    “เฮ้ย!! มึงเอาไปได้ยังไง” พอเห็นของสิ่งนั้นผมก็รีบดึงผ้าห่มออกจากตัวแล้วหันรื้อข้าวของที่โต๊ะเล็กข้างเตียงทันที กระเป๋าเงินอยู่ โทรศัพท์อยู่ นาฬิกาอยู่ แต่มีของบางอย่างที่หายไป คือ... กุญแจรถ  เมื่อหาไม่เจอ ผมก็หันกลับไปมองของที่อยู่ในมือของอีกคนอย่างโกรธ

    “มึงเอาไปตั้งแต่เมื่อไร” กุญแจรถสุดรักของผมที่ตอนนี้ไปอยู่ในมือไอ้พาสต้า แทนที่จะวางบนโต๊ะเล็กข้างเตียงของผมนี้ แต่ก่อนที่ผมจะได้ระเบิดใส่มัน ไอ้พาสต้าก็พูดออกมาก่อน

    “เอ้าๆ ไม่ต้องมามองกูตาเขียวแบบนั้นเลยนะ กูหยิบไปตั้งแต่เมื่อวานแล้ว มึงไม่รู้ตัวเองต่างหาก ไหนว่ารักนักรักหนาไง” มันพูดพร้อมกับมองมาที่ผมอย่างล้อเลียน

    “ไอ้สัส ก็คนป่วยที่ไหนมันจะไปทันคิดล่ะวะ” ผมพูดด้วยเสียงที่เบาลง  เมื่อนึกถึงเรื่องเมื่อวาน มันน่านึกถึงซะที่ไหนล่ะ ก็ไอ้บ้าพาสต้านี่เล่นอุ้มผมลงจากรถแล้วพามาถึงห้องเลยเนี่ย เล่นเอาคนทั้งบ้านแตกตื่นไปหมด แถมอยู่ดูแลจนผมหลับนั่นแหละ มันถึงกลับไป อยู่ซะจนดึกเลย  ใครจะไปคิดล่ะ ว่าไอ้คนที่โหดร้ายกับผมตั้งแต่แรกแบบนั้นมันจะมีมุมที่ดีๆกับเขาบ้างน่ะ

    “หึ ทำไม เจอกูโหมดใจดีเข้าไปถึงกับไม่ทันระวังตัวเลยหรือไงมึงน่ะ”

    “ใช่ที่ไหนล่ะ อย่ามาพูดพล่อยๆนะมึง” ผมเถียงมันกลับอย่างอ้อมแอ้ม และดูเหมือนไอ้พาสต้าจะจับได้ เพราะมันยิ่งยิ้มหนักไปกว่าเดิมอีก นี่มันคิดอะไรของมันอยู่เนี่ย

    “จะโกหกก็ให้มันเนียนๆหน่อยสิวะ เล่นหลบตาตั้งขนาดนั้นใครจะไปเชื่อ”

    “ไอ้เชี่ยนี่ กูบอกไม่ใช่ก็ใช่สิวะ อย่ามากวนนะเว้ย” ผมขึ้นเสียงกลับไอ้พาสต้า แต่กลับไม่มีทีท่าว่ามันจะไม่พอใจอะไรเลยเสียอย่างนั้น นี่มันชอบใจนักหรอที่มีคนตะโกนใส่มันเนี่ย

    “เออๆ แล้วแต่มึงเถอะ กูขี้เกียจเถียงด้วยละ พวกคนปากแข็งเนี่ย” นั่น เหน็บแถมจนได้

    “ไอ้... ชิ! เออ กูไม่เถียงแล้ว มึงพูดมาเลยดีกว่าวันนี้มึงมาทำไม” ความกลัวของผมมีน้อยลงหลังจากที่รู้ว่ามันขโมยกุญแจรถผมไปนั่นแหละ ยังไงผมก็ต้องเอาคืนให้ได้

    “เปล่า ก็แค่พรุ่งนี้กูคงมารับมึงตามที่บอกไม่ได้ เลยเอารถมาส่งคืนมึงก็แค่นั้น”

    “เฮ้ๆ มึงจะมาไม้ไหนอีกเนี่ย จะมาหลอกอะไรกูล่ะ” ผมมองมันอย่างระแวง คำพูดของมันกำลังทำผมสับสน น้ำเสียงของมันฟังดูเหมือนจะเสียดายมากกว่าแค่บอกเล่านะ

    “อยากเชื่อแบบไหนก็ตามใจมึง วันนี้กูไม่ได้ว่างมาอยู่กับมึงทั้งวันหรอกนะ กูไปละ” มันพูดแล้วทำท่าลุกขึ้นจากเตียงผม เล่นเอาผมมองตามมันอย่างงงๆ เฮ้ย อะไรของมันวะเนี่ย

    “อ่าวเฮ้ย! เดี๋ยว กูญแจรถกูล่ะ” ผมรีบท้วงก่อนที่มันจะเดินออกจากห้องผมไป

    “หึ ก็นึกกว่าจะลืมเป็นรอบที่สองแล้วไงล่ะ” ไอ้พาสต้าเปลี่ยนจากออกจากห้งอเป็นเดินเข้ามาใกล้ผมเรื่อยๆ พร้อมกับกุญแจรถในมือ มันหยุกอยู่ตรงหน้าผมแล้วยื่นกุญแจให้

    “อ่ะ เอาไปดิ” ผมเอื้อมมือไปหยิบ และในทันทีนั้น ไอ้พาสต้ามันกลับจับข้อมือผมแล้วดึงเข้าหาตัวเอง วงแขนแกร่งของมันโอบกอดรอบตัวผมอย่างแน่นหนา

    “เฮ้ย! จะทำเชี่ยอะไรของมึงอีกเนี่ย” ผมร้องอย่างตกใจพร้อมกับดิ้นไปมา

    “ดูแล้วอาทิตย์นี้คงแทบไม่ได้เจอกันเลย กูว่าจูบมึงก่อนไปสักทีน่าจะดีกว่าว่ะ เดี๋ยวใครบางคนแถวนี้จะคิดถึงกูเก้อ” ผมถลึงตาใส่ไอ้คนพูดมากทันที กล้าพูดนะมึง

    “เรื่องสิ ไม่เจอตลอดกาลเลยยิ่งดี แล้วไม่ต้องมาลาอะไรกูด้วย ปล่อยเลยนะ ไม่งั้น...”

    “ทำไม ไม่งั้นจะทำไม มึงจะตะโกนให้คนช่วยหรือไง เอาสิ อยากให้คนในบ้านมึงเข้ามาเจอฉากสวีทแบบนี้ก็ตามใจมึงสิ” ไอ้พาสต้าท้าผม แต่กลายเป็นผมเองที่ต้องเงียบไปแทน

    “นั่นไง ไม่แน่แจริงสิมึง ไม่เก่งจริงอย่ามาทำเป็นอวดหน่อยเลย”

    “ไมใช่เรื่องของมึงไอ้สัส ปล่อยกูเดี๋ยวนี้นะ” ผมพยายามทั้งทุบ ทั้งหยิก ดิ้นสุดแรงก็แล้ว แต่ทำไมไอ้คนตัวโตกว่านี่ไม่เห็นมันจะรู้สึกรู้สาอะไรเลย มึงตายด้านหรอวะ

    “พยายามไปก็เท่านั้นแหละ ขอจูบแค่นี้แม่งทำโวยวาย กูไม่กดมึงก็ดีแค่ไหนแล้ว”

    “ไอ้สารเลว นี่มันในบ้านกูนะ มึงกล้าทำหรือไง”

    “ยื่งกว่ากล้าอีก ลากมึงไปจูบข้างล่างกูก็ทำได้ หยุดดิ้นได้แล้ว ไอ้เด็กแสบ” พูดจบ ไอ้พาสต้าก็จับให้หน้าผมด้วยมือข้างเดียว ให้หันไปรับจูบของมัน ความรู้สึกโหยหาที่ส่งผ่านมานี่มันอะไรกัน จูบที่อ่อนโยนมากกว่าครั้งก่อนๆ เล่นทำเอาผมถึงกับนิ่งไปทันที ผมสัมผัสได้ถึงความอบอุ่นจากอ้อมกอดของคนตัวสูง อะไรกันเนี่ยกับจูบที่เนิ่นนานนี้ พาสต้าถอนริมฝีปากออกไปอย่างช้าๆ ในขณะที่ผมหันหน้าหนีมันทันที แต่มันก็ยังก้มลงหอมแก้มผมไปฟอดใหญ่

    “อ๊ะ! ...” ผมหันหน้ากลับมาจ้องตากับมัน แต่มันก็ชิงพูดขึ้นก่อน

    “ทำแบบนี้ตั้งแต่แรกก็จบ ”   อ้อมกอดถูกคลายออก พร้อมกับเจ้ของวงแขนที่กำลังจะเดินออกห้องไป แต่ก่อนที่ร่างสูงจะก้าวพ้นประตู ผมที่ยืนอยู่นิ่งก็มีคำถามขึ้นมาก่อน

    “ไอ้พาส กูขอถามมึงอย่างหนึ่งนะ” พาสต้าหยุดนิ่งแล้วหันกลับมามองที่ผม

    “อะไรล่ะ ถ้าตอบได้กูจะตอบ” ผมมองหน้ามันอย่างสงสัยก่อนจะถาม

    “มึงต้องการอะไรจากกูกันแน่ กูว่าเหตุผลแก้แค้นของมึง นานไปชักจะฟังไม่ขึ้นว่ะ”

    “หึ เรื่องนี้กูเคยบอกมึงแล้วนะ อีกอย่างนะวิคเตอร์ ที่เหตุผลมันฟังไม่ขึ้น ก็เพราะมันไม่ใช่เหตุผลของกูตั้งแต่แรกแล้วต่างหาก มึงคิดว่าที่กูทำลงไปทั้งหมดเพื่อผู้หญิงคนเดียวที่ทิ้งกูไปงั้นหรอ กูไม่บ้าขนาดนั้นหรอก” คำตอบนั่นทำให้ผมสับสนในทันที มันอยากบอกอะไรกันแน่

    “หมายความว่ายังไง”  ผมถามมันกลับอย่างจริงจัง แต่ไอ้พาสต้าไม่สนใจคำถามผม มันได้แต่พูดทิ้งท้ายก่อนที่จะเดินออกไป พร้อมกับโยนกุญแจรถมาให้ผม

    “เดี๋ยวสักวันมึงก็จะเข้าใจเอง” .......แล้วสักวันของมึงคือเมื่อไรกันล่ะ....

     

     [Nein]

    หลังจากที่เดินอยู่นาน ผมก็หมดความพยายามที่จะตามหาไอ้เซนท์แล้วล่ะ นี่มันไปอยู่ส่วนไหนของมันนะ ถึงได้หายากแบบนี้น่ะ ไอ้เวลาอยากเจอนี่ก็หาตัวยากจริงเลย ตลอดอ่ะ แต่ไอ้เวลาที่ไม่อยากเจอหน้านี่ก็โผล่มาจริงเลย คิดแล้วน่าโมโหชะมัด

    “พี่ไนน์ นี่พี่รออะไรหรือเปล่าเนี่ย” ไอ้กราฟที่เดินข้างๆผมถามขึ้น

    “อะไร หมายความว่าไง” ผมหันไปมองหน้ามันอย่างงงๆ ถามอะไรของมันวะ

    “ก็ดูพี่เหมือนมองหาอะไรอยู่อย่างนั้นแหละ เอาแต่เดินๆอยางเดียวเลยอ่ะ แถมก็มองไปไหนไม่รู้ด้วย” ไอ้กราฟพูดเสียงอ่อย พลางทำหน้าเศร้า เฮ่ย นี่มึงอ่อนไหวง่ายไปละมั้ง แต่พอผมมองหน้ามันแล้วก็รู้สึกผิดเบาๆแฮะ ทำไมมันดูเหมือนผมเป็นคนใจร้ายไปเสียอย่างนั้นเนี่ย

    “เปล่าๆ ไม่มีอะไรหรอก” ผมว่าล้มเลิกความพยายามหาไอ้เซนท์ก่อนละกัน เดี๋ยวไอ้คนข้างๆผมนี่มันจะงอนไปก่อน เห็นแบบนี้ผมก็สงสารคนเป็นนะ

    “พี่ไนน์ นี่พี่เดินมาตั้งนาน พี่ไม่หิวบ้างหรอ” ไอ้กราฟพูดขึ้น

    “ทำไม หิวหรือไงมึงอ่ะ จะไปกินก็ได้นะ” ตามใจมันบ้างก็ดี ผมยังต้องมห้งานมันอีกเยอะ หึหึ ความจริงก็ไม่อยากลากคนอื่นมาเกี่ยวข้องด้วยนะ แต่มันช่วยไม่ได้จริงๆนี่นา

    “งั้นผมเลือกร้านนะ” ไอ้กราฟทำหน้าอ้อนขอร้องผม เฮ้ย มึงไม่ใช่เด็กแล้วนะ

    “เออๆ ตามใจมึงเหอะ” ผมบอกปัดไปอย่างรำคราญ  ก่อนจะปล่อยให้ไอ้ตัวแสบๆข้างๆนี่ทำหน้าที่เลือกร้านไป ความคิดต่างๆมากมายถาโถมเข้ามาในหัวของผม ทุกครั้งเลยที่ผมรู้สึกแย่เพราะการกระทำของไอ้เซนท์ แต่ทำไมกันที่ผมต้องรู้สึกอยู่ฝ่ายเดียว ในขณะที่ตอนนี้ผมต้องการเอาคืนมันบ้าง ทำไมผมถึงไม่เจอมันล่ะ ทำไมต้องเป็นผมที่โดนทำร้ายอยู่ฝ่ายเดียวด้วย

    “พี่ไนน์ พี่ไนน์!” เสียงเรียกจากคนข้างตัว ทำเอาผมหลุดออกจากความคิดนั่น สายตาหันไปมองเจ้าของเสียงอยน่างระอา อยู่กันแค่นี้มันจะเรียกทำไมนักหนาฟะ

    “ไม่ต้องมาทำหน้าแบบนั้นเลยนะครับ พี่เหม่ออีกแล้วอ่ะ มันน่าน้อยใจนะเนี่ย” ไอ้กราฟทำท่าเหมือนเด็กๆกำลังงอน มันอาจจะน่ารักกว่านี้ถ้ามันไม่โตขนาดนี้อ่ะนะ

    “น้อยๆหน่อยเหอะ ตัวแม่งไม่ใช่เล็กๆนะ ดูทำเข้า” พอโดนว่าไปแบบนั้นมันดันยิ้มซะงั้น

    “อย่างน้อยมันก็ทำให้พี่กันมาสนใจผมได้ล่ะน่า”

    “เออๆ ช่างมึงดิ แล้วนี่เลือกได้ยัง ขี้เกียจรอแล้วนะ” ผมบ่นอุบ ความจริงไม่ใช่ขี้เกียจหรอก แต่แค่อยากเบี่ยงประเด็นแค่นั้นเอง เหมือนไอ้กราฟมันจะคอยจับผิดผมยังไงไม่รู้แฮะ

    “ได้แล้วครับ แหม แค่นี้ก็บ่นจริงๆเลย”

    “เอ๊ะ ไอ้นี่นิ กวนแล้วนะมึงอ่ะ” ผมว่ายืนต่ออีกนิดได้มีเปิดศึกกันแหงๆเลย

    “จะไปก็รีบไปเฮ้ย” ผมเร่งไอ้กราฟ ชิ อย่ามากวนอารมณ์ตอนนี้นะเฟ้ย

    “ครับผมๆ” มันเดินนำเข้าไปที่ร้านๆหนึ่งแถวๆนั้นที่ดูดีพอควร เราเดินตามพนักงานไปจนถึงที่นั่ง แต่ก่อนที่พวกเราจะได้นั่งลงนั้นก็มีเสียงๆหนึ่งทักขึ้นมาก่อน

    “อ้าว พี่ไนน์นี่นา พี่ไนน์ครับ ทางนี้ๆ” เสียงเล็กที่เรียกผมนั่นมันฟังดูคุ้นๆนะ แต่พอหันไปเจอก็ถึงกับอึ้ง อะไรมันจะบังเอิญขนาดนั้น  ร่างเล็กของไอ้โมสกำลังพยายามเรียกผม ในขณะที่อีกคนที่นั่งตรงข้ามกันทำหน้าเหมือนไม่สบอารมณ์อย่างรุนแรงอยู่ หึ เห็นแล้วสินะ

    “นายก็มาด้วยหรอเนี่ย บังเอิญจริงเลยนะ มึงด้วย” ผมทักทายไอ้โมสอย่างอารมณ์ดี ก่อนจะหันไปทักไอ้เซนท์อย่างกวนโมโห เป็นไงล่ะมึง ถึงคราวกูเอาคืนบ้างแล้วเป็นไงล่ะ

    “พี่ไนน์หาที่อยู่หรอครับ นั่งกับผมไหมอ่ะ ว่างอยู่นะ” รุ่นน้องร่างเล็กชวนผม

    “ไม่จำเป็นมั้งครับพี่โมส คนเขามาเป็นคู่ เดี๋ยวจะหาว่าเราไปรบกวนเปล่าๆ” เสียงเย็นเรียบๆพูดขัดขึ้นมา ไม่ต้องบอกก็รู้ว่ามาจากไอ้เซนท์แน่นอน

    “เซนท์ ทำไมพูดงั้นล่ะ” ไอ้โมสหันไปเอ็ดไอ้เซนท์ ก่อนจะหันมามองผมอย่างเกรงใจ

    “พี่ไนน์” ไอ้กราฟเรียกผม หลังจากที่มันออกจะงงๆอยู่กับคำพูดแต่ละคน

    “ออ เกือบลืม กราฟ นี่โมส รุ่นน้องกูเอง อยู่ปีเดียวกับมึงนั่นแหละ ส่วนไอ้คนนั่งข้างๆนั่นแฟนไอ้โมสมัน ชื่อเซนท์” ผมมองพูดชื่อไอ้ตัวดีพร้อมกับมองมันด้วยหางตา มันหันขวับทันทีเลยที่ผมแนะนำว่าเป็นแฟนไอ้โมส เหมือนมันอยากพูดอะไรสักอย่างแต่ก็เงียบไป ผิดกับอีกคน

    “พี่ไนน์ก็ ยังไม่ถึงขนาดนั้นซะหน่อย ว่าแต่พี่เหอะ นี่ใครกันน่ะ” ไอ้โมสแก้ตัวแบบอาย ๆ ทำเอาผมแทบอยากหัวเราะ ไม่ใช่เพาะไอ้โมสนะ แต่เพราะหน้าไอ้เซนท์ตอนนี้ต่างหาก

    “เฮ้ๆ อย่าคิดไปเรื่อยละ พี่แค่เบื่อๆเลยเรียกไอ้กราฟออกมาเดินเล่นด้วย ไม่อยากอยู่บ้านอ่ะ อารมณ์ไม่ค่อยดี เมื่อเช้าหมาข้างบ้านก็เอาแต่เห่าด้วย น่ารำคาญสุดๆเลยล่ะ” ผมเน้นคำว่าหมาชัดๆอย่างตั้งใจ แม้อีกสองคนขะไม่รู้เรื่อง แต่ไอ้คนที่นั่งอยู่นี่รู้แน่นอนล่ะ ก็เล่นจ้องผมซะอาฆาตขนาดนั้นเลยนี่ แต่ไอ้โมสนี่ไม่รู้เรื่องอะไรก็ยังจะถามต่อ

    “อ้าว ไหงเป็นงั้นล่ะพี่ไนน์” โอ้ น้องรัก ถามอะไรไม่ดูหน้าคนที่มาด้วยเลยนะนั่น

    “นั้น พี่จะไปรู้กับมันไหม สงสัยมันคงหวงก้างมั้ง”  ไอ้โมสทำหน้างงๆกับคำตอบผม

    “ตลกไปละพี่ไนน์ หมาเนี่ยนะครับ จะหวงก้างน่ะ พูดเปรียบเป็นคนไปได้” ไอ้กราฟพูด

    ”เฮ้ย จริงสิวะ หวงแบบโคตรๆเลยล่ะ ทั้งๆที่แม่งไม่เคยจะสนใจอ่ะ แต่พอจะมีคนมาแย่งทีนี่อย่างกับหมาบ้าแน่ะ” ผมพูดออกไปราวกับเป็นประสบการรณ์น่าตื่นเต้น

    “ตกลงมันคนหรือหมาน่ะพี่ไนน์ ฟังไปฟังมาผมเริ่มงงแล้วนะ” ไอ้โมสทำหน้างง

    “บอกแล้วไง แค่หมาข้างบ้านจริงๆ คิดมากไปได้พวกนี้นี่ แต่ช่างมันเถอะ ไม่ใช่เรื่องต้องจำอะไร  มันไม่สำคัญ” และเป็นอีกครั้งที่ผมเน้นคำ เพื่อจะให้ใครบางคนได้ยินชัดๆ แต่ก่อนที่บรรยากาศมันจะมาคุไปมากกว่านี้ผมก็ชิงพูดขอตัวขึ้นก่อน ยังไม่อยากเห็นคนอาละวาด

    “ขอบใจนะที่ชวน แต่ว่าพี่คงไม่นั่งอ่ะ เดี๋ยวจะขัดคอกันเปล่าๆ พี่ไปนะ” ผมยิ้มให้ไอ้โมสก่อนจะดันหลังไอ้กราฟที่ยืนงงอยู่ให้เดินไป มึงจะสงสัยอะไรนักหนากับหมากูเนี่ย

    “อ้าว พี่ไนน์ นั่งด้วยกันก็ได้นี่ครับ อยู่กันหลายคนสนุกดีออก”

    “ไม่เป็นไรๆ ถ้าพี่อยู่ พี่ว่าเดี๋ยวคนบางคนคงจะเป็นบ้าไปก่อนน่ะ ไม่ดีกว่า” คำตอบนี่เล่นเอารุ่นน้องสองคนงงกันทั้งคู่เลย แต่ก็ไม่มีใครพูดอะไรต่อ ผมเลือกนั่งลงในที่ๆจะมองไม่เห็นสองคนนั้น  แต่ไอ้กราฟที่นั่งลงอีกฝั่งกลับจ้องผมอย่างแปลกๆจนผมต้องเอ่ยถาม

    “อะไร มองหน้าทำไมมึงเนี่ย สั่งอาหารไปดิ”

    “พี่ไนน์ ไม่ถูกกับนายเซนท์อะไรนั่นหรอครับ” คำถามของไอ้กราฟทำเอาค้างไปเลย ผมรีบคว้าเมนูมาเปิดบังหน้าก่อนจะตอบออกไปเผื่อไว้กันมีพิรุธ

    “เปล่านี่ ไม่ได้มีอะไรซักหน่อย” ไอ้กราฟยื่นมือมาจับเมนูแล้วดึงออกจากมือผม

    “ตอบใหม่ ถ้าไม่มีอะไรจริงๆทำไมต้องหลบสายตาผมด้วย”

    “เฮ้ย ก็บอกแล้วว่าไม่มีอะไรจริง ก็แค่คนรู้จักกันแค่นั้นแหละ” มันมองผมอย่างไม่เชื่อ

    ไอ้เด็กบ้านี่ จะมาอยากรู้อะไรเรื่องแบบนี้ล่ะวะ

    “อย่าคิดว่าผมไม่เห็นนะ สายตาของพี่กับนายนั่นมันแปลกๆอยู่นะ เหมือนอย่างกับไปแค้นกันมาสิบชาติอย่างนั้นแหละ ไหนจะคำพูดแปลๆนั่นอีก” อื้อหือสังเกตเยอะเกินไปละมึง

    “ไม่มีอะไรทั้งนั้นแหละ ไอ้นี่ก็ ถามมากจริงๆเลยเฮ้ย เลิกถามแล้วสั่งอาหารได้แล้ว” ผมชิงเอาเมนูคืนก่อนจะทำเป็นตั้งใจอ่านเมนูแทน ไอ้กราฟจ้องผมอยู่สักพักก่อนจะเลิกไป

    โทษทีว่ะ ที่เอามึงเข้ามายุ่งด้วย แต่มันช่วยไม่ได้จริงๆ 

    “ก็ได้ครับๆ ไม่กวนแล้วๆ” ไอ้กราฟตอบรับคำสั่งผมไปก่อนจะเริ่มสั่งอาหาร

     

     [Saint]

                 พอสองคนนั้นเดินจากไป ผมก็เอาแต่นั่งเงียบจนพี่โมสสงสัย

    “เซนท์ เป็นอะไรหรือเปล่า เงียบๆไปตั้งแต่เมื่อกี้แล้วนะ ไม่สบายหรือเปล่า” คนตรงหน้าหันมาถามผมอย่างเป็นห่วง ชิ ถ้าไอ้ไนน์  เป็นได้สักครึ่งของพี่โมสนี่คงจะดีไม่น้อย น่ารักกว่าเยอะ

    “เปล่าครับ แค่คิดอะไรเพลินน่ะ” ผมตอบไป แต่สายตายังคงไม่ละจากคนสองคนที่กำลังนั่งทานข้าวอย่างไม่สนใจคนอื่น คิดแล้วมันน่าเจ็บใจชะมัด เมื่อเช้านี่ก็น่าโมโหพอละนะ ไม่คิดเลยว่าจะออกมาเที่ยวกับไอ้กราฟนี่จริงๆน่ะ ว่าจะไม่สนใจแล้วเชียว ถ้าไม่มาเจอกันซึ่งหน้าแถมไม่พอยังจงใจแอบด่าผมอีก เอาผมไปเปรียบกับหมางั้นหรอ มันมากไปละนะ แค่เมื่อกี้ที่ไม่อาละวาดก็ดีแค่ไหนแล้ว เล่นมาหยามกันซึ่งหน้าเลยแบบนี้น่ะ ดูก็รู้ว่ามันตั้งใจให้ผมเจอ แม้มันจะเป็นเรื่องบังเอิญที่มาเจอกันในร้าน แต่เรื่องคำพูดกับการกระทำนี่ผมว่ามันคงไม่บังเอิญหรอก

                “เพลินเกินไปไหมเราน่ะ มองไปทางไหนแล้วนั่น ไม่สนใจพี่เลยนะ” พี่โมสพูดอย่างงอนๆ พลางทำแก้มป่อง เล่นเอาผมต้องละสายตาจากภาพตรงหน้าหันมามองทันที

    “อีกละ ไม่เอาน่า ไม่งอนสิครับ” พอผมพูดแบบนั้นก็ทำให้พี่โมสถึงกกับยิ้มออกมา

    “ก็มันจริงนี่นา ดูเซนท์เหม่อลอยจังเลยอ่ะ บางทำก็ทำหน้านิ่งซะจนพี่กลัวเลย”

    “พอดีช่วงนี้มีเรื่องให้คิดเยอะหน่อยน่ะครับ เลยยังมึนๆอยู่” ผมตอบพี่โมสอย่างใจเย็นทั้งๆที่ในใจผมมันไม่เป็นแบบนั้นสักนิด ไอ้ไนน์ มึงกำลังคิดจะทำอะไรของมึงกันแน่

    “จริงสิ เซนท์อยู่ข้างบ้านพี่ไนน์นี่นา มันมีหมาด้วยหรอแถวนั้นน่ะ” ผมที่กำลังยกน้ำขึ้นดื่มแทบจะสำลักน้ำทันที ที่ได้ยินคำถามนั้น พี่โมส พี่จะใสซื่อเกินไปแล้ว หมาที่ว่านั่น ผมเนี่ยแหละ

    “อ๋อๆ มันๆ ก็มีอยู่บ้างแหละครับ มันเป็นหมู่บ้านนี่นา” ผมตอบคำถามพี่โมสพลางหัวเราะแก้เก้อไป ยิ่งถามก็ยิ่งตอกย้ำจริงๆเลย เล่นอะไรของมึงวะเนี่ย ไอ้เชี่ยไนน์

    “พี่ถามเรื่องหมาข้างบ้านนี่มันตลกหรือไงเนี่ย ดูยิ้มเข้า” คนตรงหน้ามองผมอย่างจับผิด

    “เปล่านี่ครับ แฮะๆ” แม้ใบหน้าจะยิ้ม แต่ตอนนี้อารมณ์ภายในผมนี่แบบว่า พร้อมจะระเบิดออกมาได้ทุกเมื่อจริงๆ มันต้องตั้งใจไว้แน่ๆว่าพี่โมสจะถามผมต่อน่ะ ร้ายชะมัด

    “มีพิรุธนะเนี่ย เราน่ะ มีเรื่องอะไรหรือเปล่า”

    “ไม่มีอะไรจริงๆ อย่าคิดมากสิครับ เดี๋ยวปวดหัวเสียเปล่าๆ” 

    “ก็ได้ๆ ไม่มีอะไรก็ไม่มีอะไร อ๊ะ จริงสิเซนท์ รู้จักคนที่มากับพี่ไนน์บ้างไหม” พี่โมสถามผม บทจะเปลี่ยนเรื่องก็เร็วจริงนะคนนี้ แต่เหมือนว่ามันจะเป็นคำถามที่ผมเองก็ไม่รู้คำตอบเหมือนกัน

    “ก็พี่ไนน์ก็บอกว่าเป็นรุ่นน้องที่รู้จักกันเฉยๆไม่ใช่หรอครับ”

    “มันก็จริง แต่มันดูน่าสงสัยนี่นา พี่ก็เป็นรุ่นน้องพี่ไนน์นะ ไม่เห็นพี่ไนน์จะเคยชวนมาเที่ยวแบบนี้บ้างเลยนี่” พี่โมสพูดอย่างไม่ค่อยพอใจ เหมือนจะงอนไอ้ไนน์นะเนี่ย ที่ไม่ยอมชวนไปเที่ยว ถ้าเป็นคนอื่น ก็อาจจะเชื่อตามนั้นว่าเป็นพรุ่นพี่รุ่นน้องกันจริงๆ ถ้าผมไม่รู้จักชื่อนี้มาก่อนน่ะนะ ไหนว่าวันนั้นเพราะไอ้กราฟยึดโทรศัพท์ไปถึงได้ตามมันไปไงล่ะ เคยบอกอยู่นี่ว่าไม่สนใจมันน่ะ แต่ทำไมวันนี้ถึงออกมากับมันได้ล่ะ แถมชื่อไอ้กราฟยังปรากฎในศึกเมื่อตอนเช้าอีกด้วย คิดแล้วมันน่าเชื่อเสียที่ไหนล่ะ ถ้าจะบอกว่าชวนออกมาเพราะเบื่อๆนะ อยากได้เพื่อนเดินเล่นน่ะ เพื่อนคนอื่นตั้งเยอะตั้งแยะไม่ชวน แต่ทำไมต้องเป็นมันด้วย หรือว่ามันไม่ใช่เรื่องบังเอิญ คงไม่มั้ง

    “พี่โมสงอนพี่ไนน์หรือครับเนี่ย”

    “ก็มันน่าไหมล่ะ พี่ออกจะสนิทกับพี่ไนน์นี่นา ไม่เห็นจะเคยชวนกันบ้างเลยอ่ะ” แม้จำขี้งอนไปบ้าง แต่ก็ต้องยอมรับว่าคนตรงหน้าผมตอนนี้เป็นคนที่น่ารักคนหนึ่ง แม้จะขี้งอน แต่ก็ไม่ถึงขึ้นงอแง ต่างกับไอ้ไนน์ลิบลับเลย ไอ้รายนั้น นี่เรียกได้ว่าเจอหน้ากันนี่ต้องได้ทะเลาะกันอ่ะ

    “ก็ถ้าวันนี้พี่ไนน์ชวนพี่โมส งั้นผมไม่ต้องเหงาแย่หรือไงครับ” คนเราจะคบใครสักคนทันต้องมีชั้นเชิง อย่างพี่โมสนี่ ต้องลูกอ้อนเท่านั้นแหละ ที่จะเอาให้อยู่น่ะ

    “เปล่านะเซนท์ พี่ไม่ได้หมายถึงให้ชวนพี่วันนี้สักหน่อย พี่พูดถึงวันทั่วๆไปน่ะ” พอเห็นผมทำท่าจะงอน พี่โมสก็รีบพูดแก้ออกมาทันทีเพราะกลัวผมจะงอนจริงๆ

    “ครับผมๆ” คำตอบรับทำให้อีกคนยิ้มออกมา คงดีใจที่ผมไม่ได้งอนจริงๆ ตอนนี้โต๊ะที่สองคนนั้นนั่ง เหมือนว่าจะมีใครสักคนกำลังจะลุกออกไป ปล่อยให้อีกคนนั่งรอ ใบหน้าที่ผมเห็น คนที่ลุกไปเป็นไอ้กราฟแน่นอน เหมือนว่าน่าจะไปเข้าห้องน้ำ งั้นที่นั่งอยู่ก็ไอ้ไนน์สินะ

    “อ๊ะ เซนท์ เซนท์ รอพี่สักแปปได้ไหม พี่ไปห้องน้ำเดี๋ยวมา” คนตรงหน้าเรียกผมแล้วพูด

    “ออ ครับๆ” พี่โมสลุกออกไปจากโต๊ะ เหลือผมนั่งเพียงคนเดียว และผมก็คิดอะไรบางอย่างขึ้นมาได้ว่าน่าจะทำอะไรสักอย่าง ให้อีกคนคิดได้หน่อยดีกว่า ผมเลยเลือกหยิบโทรศัพท์ขึ้นมา ก่อนที่จะต่อสายไปหาใครอีกคนที่อยู่ใกล้ๆ  ร่างเล็กตกใจเล็กน้อยก่อนที่จะหยิบโทรศัพท์ออกมามองหน้าจอ แล้วหันหลังมามองผมอย่างระอา รอยยิ้มที่มุมปากนั่น กระตุกขึ้นราวกับกำลังถูกใจอะไรบางอย่าง ไอ้ไนน์ กดรับโทรศักพท์ก่อนที่จะยกมันขึ้นแนบหู แล้วกรอกเสียงลงไป

    ว่าไง เซนท์ น้องรัก โทรมามีธุระอะไรหรือไงน้ำเสียงกวนโมโหที่ได้ยินนั่น ทำเอาผมเปลี่ยนไปเป็นคนละคนจากเมื่อครู่ในทันที ผมตอบมันไปเสียงแข็งพร้อมใบหน้าที่เคร่งเครียด

    ไอ้สัส เลิกเล่นได้ละมึงอ่ะ!’


    **********************************************************

    ขอบคุณทุกคนที่ติดตามนะครับผม

    ทำใจกับคำผิดหน่อยนะครับ เครื่องผมตรวจคำผิดไม่ได้อ่ะครับ แถมตอนอ่านซ้ำก็มีตาลายไปบ้าง เลยอาจจะมีตกหล่นอยู่เยอะบ้าง ขออภัยจริงๆ จะพยายามครับผม


    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×