ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    My wife ขอโทษที คนนี้เมียกู [END]

    ลำดับตอนที่ #30 : .....My wife.....{30}

    • เนื้อหาตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 6.7K
      12
      28 ก.พ. 57

    .....My wife..... {30}

    [Victor]

                ผมที่เดินออกมาได้โดยไม่รอไอ้พี่บ้า ตอนนี้เลยได้แต่มานั่งรอใกล้กับที่จอดรถ กูญแจมีที่มันล่ะ แม้ว่าผมจะขับมาก็เถอะ เมื่อนั่งอยู่คนเดียวแบบนี้ ก็ได้มีเวลาคิดทบทวนความรู้สึกของตัวเองอยู่ ผมไม่รู้เหมือนกันว่าอะไรเป็นเหตผลที่ทำให้ผมชกหน้าไอ้พาสต้าแล้วเดินหนีออกมาแบบนี้ แต่ที่แน่ๆตอนนี้คือผมอารมณ์ไม่ดีสุดๆเลยล่ะ ไม่พอใจงั้นหรือ หรือว่าโกรธ แล้วทำไมผมต้องโกรธล่ะ ผมควรจะดีใจไม่ใช่หรือไง ที่คนอย่างไอ้พาสต้าจะได้หายไปจากชีวิตผมสักที ผมที่ควรจะตกใจมากกว่ากับสิ่งที่มันสารภาพออกมา แต่ก็ไม่รู้ทำไม ผมกลับรู้สึกเหมือนไม่อยากจะจำเรื่องที่มันพูดออกมาเลยสักนิด

                “มานั่งหงอยอะไรตรงนี้ล่ะวะ” เสียงไอ้วินเนอร์ เอ่ยทักผมขึ้นครับ ผมไม่รู้ว่ามันพูดอะไรต่อกับไอ้พาสต้านะ แต่ผมเองก็ไม่อยากรู้เรื่องหรอก ช่างมันเถอะ

    “มึงรู้เรื่องนี้มานานแล้วใช่ไหม” ผมถามมันครับ

    “ก็พอสมควร ทำไม มึงจะโทษกูหรือไง” ไอ้วินเนอร์ตอบกลับมาพลางยักไหล่

    “ก็เปล่า แต่แปลกใจที่มึงรู้เห็นเป็นใจกับมัน” ผมพูดอย่างลอยๆ ผมเองก็กำลังสับสน

    “เกือบ 3 ปีที่มันรอมึงมา มันยังรอได้ แล้วทำไมกูต้องไปขัดขวางมันด้วย” ไอ้วินเนอร์พูดเหมือนไม่ค่อยจะสะทกสะท้านอะไรกับเรื่องนี้ ผมหันไปมองมันอย่างไม่เข้าใจ

    “ถ้าสักวันหนึ่งมึงมีใครสักคนแล้วมึงจะรู้เอง ว่าการรอใครสักคนมันทรมานแค่ไหน”

    “แล้วมึงแน่ใจได้ยังไงว่าเพื่อนมึงรอกูจริง” ผมถามมันออกไป ด้วยความรู้สึกที่หลากหลาย ทำไมผมถามไปทันทีแบบนั้นล่ะ ทำไมผมต้องรู้สึกไม่อยากฟังคำตอบด้วยล่ะ

    “ก็เพราะตั้งแต่ตอนนั้นมามันก็ไม่คบใครเลยไงล่ะ แถมยังมาบ่นเรื่องมึงให้กูฟังตลอดเลยด้วย ไม่รู้เหมือนกันว่ามันไปเห็นมึงตอนไหนมา แล้วแบบนี้จะให้กูตัดโอกาสมันเลยหรอ”

    “เรื่องแบบนี้คิดว่ากูจะเชื่อหรือไง” มันค่อนข้างจะเป็นอะไรที่บ้าไปหน่อยมั้ง

    “ไอ้พาสมันอยู่ข้างมึงตลอดแหละแค่มึงไม่รู้ตัวแค่นั้นเอง กูรู้น่าว่าเพื่อนกูมันรู้สึกยังไง” ผมมองหน้าไอ้วินเนอร์อย่างไม่เข้าใจ สายตาของมันทำไมดูเศร้าได้ขนาดนั้นล่ะ

    “มึงพูดอย่างกับว่ามึงก็กำลังรอใครสักคนงั้นน่ะ” ผมแกล้งพูดหยอกมัน แต่ก็กลับเป็นคนที่ต้องอึ้ง เพราะมันไมว่าอะไรผมกลับมา ได้แต่ยิ้มอย่างเศร้าๆเป็นคำตอบ

    “อย่าบอกนะว่ามึงมีจริงๆน่ะ” ผมถามมันอย่างตกใจ ห๊ะ! อย่างไอ้วินเนอร์เนี่ยนะ มีคนที่อยู่ในใจมันด้วยหรือไง เป็นใครกันทำไมผมไม่รู้ละ แล้วมันไปมีตอนไหนเนี่ย

    “ไม่ต้องยุ่งเรื่องกูหรอกน่า เอาเรื่องของมึงเองให้รอดก่อนเถอะ” มันเปลี่ยนสีหน้าแล้วกลับมาพูดกับผมพร้อมกับผลักหัวผมเบาๆ    เป็นครั้งแรกเลยนะที่ผมเห็นมันเศร้าขนาดนี้น่ะ

    “เรื่องอะไรของกู มึงก็เห็นนี่ มันจบไปแล้ว เพื่อนมึงจะไม่มายุ่งกับกูแล้วนี่ แบบนี้ก็ดีแล้ว ...ใช่...แบบนี้ก็ดีแล้ว” ประโยคสุดท้ายของผมทำไมมันถึงเสียงแผ่วเบาแบบนั้นล่ะ ทำไมกัน

    “อย่าพูดว่ามันดีแล้วทั้งๆที่มึงทำหน้าเหมือนจะตายแบบนั้นสิวะ”

    “เปล่าสักหน่อย กูแค่เหนื่อยๆ ไม่เกี่ยวกับเรื่องเพื่อนมึงหรอกน่า” ใช่ ไม่เกี่ยวกับไอ้พาสต้าสักหน่อย ทำไมคนอย่างผมต้องไปคิดถึงเรื่องของมันด้วยล่ะ มันเป็นคนนิสัยไมดีนะ

    “ให้มันจริงเถอะว่ะ แล้วนี่เรื่องแฟนมึงอ่ะ จะเอายังไง” อยู่ได้วินเนอร์ก็เปลี่ยนเรื่องครับ

    “หมายความว่าไง แฟร์เกี่ยวอะไรด้วย” เท่านั้นแหละ ไอ้วินเนอร์ก็ทำท่าตกใจในทันที

    “นี่มึงยังไม่รู้หรอว่า แฟร์กับไอ้ต้าเป็นญาติกันน่ะ”

    “รู้ดิ แล้วไงล่ะ ไม่เห็นเกี่ยวกันสักหน่อย” เรื่องของไอ้พาสต้าก็เรื่องของไอ้พาสต้าสิ ทำไมแฟร์ของผมต้องไปเกี่ยวด้วย ก็แค่ญาติกันเฉยๆ

    “มึงรักแฟร์ไหม” คำถามที่อยู่ๆก็ถูกถามขึ้น ทำเอาผมตามไม่ทันอารมณ์ของไอ้พี่บ้าเลย

    “รักดิวะ แฟนกูทั้งคน...”

    “ห้ามตอบส่งๆ ทบทวนตัวมึงดีๆแล้วค่อยตอบกู” ผมชะงักค้างในทันที่เจอกับคำถาม

    “ระ..ระ...กูไม่รู้” ผมพูดแล้วหันหน้าหนี ทำไมกัน เพราะอะไรผมถึงสับสนได้ขนาดนี้ล่ะ ทั้งๆที่เมื่อก่อนผมคงจะพูดได้เต็มปากว่าผมรักแฟร์จริง แล้วทำไมผมถึงมาไม่มั่นใจเอาตอนนี้ล่ะ

    “กูรู้น่าว่าความรู้สึกมึงไม่เหมือนเดิมแล้ว เพราะใครอีกคนที่เข้ามาใหม่ใช่ไหมล่ะ”

    “อย่ามาพูดอะไรงี่เง่านะเว้ย จะอวยเพื่อนมึงหรือไง” ผมหันเอ็ดใส่ไอ้พี่บ้าทันที

    “งี่เง่าหรือเรื่องจริงมึงรู้ตัวเองดี กูแค่อยากบอกว่า เรื่องมึงกับแฟร์มันเป็นไปไม่ได้หรอก”

    “มึงหมายความว่ายังไง” ไอ้วินเนอร์มองมาที่ผมอย่างเหนื่อยใจ

    “กูว่ามาถึงเวลานี้มึงน่าจะรู้ใจตัวเองได้แล้วนะ เรื่องแค่นี้มึงก็น่าจะคิดออกโดยไม่ต้องให้กูบอกหรอก” มันต้องการพูดอะไรกัน แฟร์มาเกี่ยวอะไรด้วย ก็แค่เป็นญาติไอ้พาส !! เดี๋ยวนะ !!!

    “มึงอย่าบอกนะว่า เรื่องแฟร์ก็ฝีมือเพื่อนมึงน่ะ” ไอ้วินเนอร์ไม่ตอบ

    “หาคำตอบเอาเองเถอะ แล้วมึงจะรู้เองว่าเพื่อนกู มันรักมึงจริงไหม ถ้ามันไม่ทำให้กูเห็นได้ขนาดนี้ กูไม่ยอมปล่อยให้มาเจอมึงได้ง่ายๆหรอก”

    “เชียร์มันจังเลยน่ะ ที่กูเป็นน้องมึงนะเว้ย มันทำร้ายกูมาขนาดนั้นยังปกป้องมันอีกหรอ” ปกติมันปกป้องผมมากกว่านี้นี่ แต่ทำไมกับเพื่อนคนนี้มันกลับไม่ช่วยเสียอย่างนั้นล่ะ

    “ก็มันไม่ใช่หน้าที่กูที่ต้องไปยุ่งเกี่ยวกับชีวิตใครนี่ ในเมื่อมึงไม่ร้องขอกู กูก็ไม่เห็นความจำเป็นอะไรที่ต้องมาช่วยมึงในเรื่องนี้เลยนี่ ขัดขวางความรักคนอื่นมันไม่ดีนะเฮ้ย”

    “แต่กูไม่ได้รักมันนี่ กูไม่ได้ชอบมัน แค่นี้มึงดูไม่ออกเลยหรือไงวะ”

    “งั้นมึงพูดมาเลยว่าเกลียดมัน ไม่อยากเจอมันแล้ว แล้วกูจะไม่ให้มันมาเจอมึงอีกเลย” ใบหน้าไอ้วินเนอร์ตอนนี้ เรียกได้ว่ามันท้าทายผมอย่างเห็นได้ชัดเลย คิดว่าผมจะกลัวหรือไง

    “เออ!! กูเกลียดมัน กูไม่อยากเจอมันอีก โอเคไหม แล้วก็ไม่ต้องพูดถึงเพื่อนมึงให้กูฟังด้วย!!” ผมลุกขึ้นตอบไอ้วินเนอร์ไปอย่างมั่นใจ แต่ไอ้วินเนอร์กลับยิ้มออกมาเสียอย่างนั้น

    “มึงพูดแล้วนะ ห้ามกลับคำพูดมึงล่ะ”

    “เออ คนอย่างกู เกลียดใครเกลียดจริงว่ะ” เอาสิ ท้ามาทำไมผมจะไม่กล้าล่ะ ไอ้วินเนอร์ยังคงยิ้ม ก่อนจะล้วงโทรศัพท์จากในกระเป๋ากางเองออกมาแล้วกรอกเสียงพูดลงไป

    “ได้ยินชัดละนะ จากนี้ก็ไม่ต้องมาเจอน้องกูอีกล่ะ เออ เข้าใจก็ดี กูทำได้แค่นี้แหละว่ะ โทษที” มันพูดแค่นั้นแล้ววางสายไป ผมมองตามการกระทำของไอ้คนตรงหน้าอย่างอึ้งๆ

    “มึงทำอะไรของมึง” จะบอกว่าที่ผมมายืนเถียงกับมันนี่ไอ้พาสต้ามันได้ยินหมดงั้นหรอ

    “ก็เปล่านี่ ในเมื่อมึงเกลียดมัน ไม่อยากเห็นหน้ามันแล้ว ทำไมต้องไปสนใจด้วยล่ะ ก็แค่ให้มันได้ยินจากปากมึงเองก็แค่นั้น” ไม่รู้เพราะอะไรแต่ผมกลับพูดอะไรไม่ออกเสียอย่างนั้น อะไรกัน ไอ้พาสต้าฟังอยู่ตลอดเลยงั้นหรอ แล้วมันเข้าใจอะไรของมันกัน มันเข้าใจกับสิ่งที่ผมพูดงั้นหรอ อะไรกัน ผมยืนนิ่งค้างอย่างทำอะไรไม่ถูก ไอ้วินเนอร์ส่ายหน้าเบาๆก่อนจะเดินไป

    “อ้อ กูจะบอกมึงอีกอย่างนะ สิ่งที่ทำให้กูยอมไอ้ต้าขนาดนี้ ไม่ใช่เพราะว่ามันเป็นเพื่อนกู หรือเพราะมันทุ่มเทให้มึง แต่เพราะสิ่งที่มึงแสดงออกมาที่ข้างบนเมื่อกี้ต่างหากล่ะ” ไอ้วินเนอร์ที่ยืนประจำฝั่งคนขับแล้วหันมาพูดกับผม แต่ทว่าผมก็ยังใม่เข้าใจคำพูดมันอยู่ดี

    “คิดเอาเองละกัน ว่ามึงแสดงอะไรออกมาบ้างตอนอยู่ข้างบนน่ะ แล้วทำไมมึงถึงทำแบบนั้น แล้วมึงจะรู้เอง ว่าคนอย่างกู ไม่เคยเห็นเพื่อนอย่างมันดีกว่าน้องอย่างมึงหรอก”

     

    [Nein]

              หลังจากวันนั้นที่ไอ้เซนท์มันดูงอแงไปนิดๆ ผมก็ไม่เจอมันอีกเลย ไม่รู้ว่ามันมีเรื่องอะไรของมัน แต่มันก็ไม่ใช่เรื่องอะไรที่ผมต้องไปยุ่งอ่ะนะ ถ้ามันอยากบอกอะไรผมมันก็คงมาบอกผมเองนั่นแหละ แต่ทำไมผมกลับรู้สึกว่ามันเป็นเรื่องที่ไม่ค่อยน่าไว้ใจเท่าไรเลยล่ะ

                “ไนน์ รอก่อนๆ” เสียงเรียกของเพื่อนในคณะดังขึ้นขณะที่ผมกำลังเก็บของลงกระเป๋าอยู่วันนี้ผมรู้สึกว่าตัวเองไม่ค่อยมีสมาธิเท่าไรเลย หรือผมคิดมากไปเรื่องไอ้เซนท์ ก็มันไม่ได้เป็นแบบนั้นให้เห็นบ่อยๆนี่นา ไม่แปลกล่ะที่ผมจะคิดมากบ้างน่ะ

    “ว่าไง  มีอะไรหรือเปล่า” ผมถามเพราะวิชานี้ไม่ได้เป็นวิชาคณะ เลยไม่ได้เรียนด้วยกัน

                “เมื่อกี้มีคนฝากของมาให้ที่คณะน่ะ ถามคนอื่นเขาบอกว่ามึงเรียนที่นี่ กูมีเรียนตึกนี้พอดีเลยเอามาให้ เหมือนจะเป็นของสำคัญ ไอ้คนฝากแม่งย้ำนักหนาว่าเรื่องด่วน” ผมรับซองสีน้ำตาลปริศนามาอย่างงงๆ ผมพลิกดูซองจนทั่วแต่ก็ไม่เจอชื่อใครสักคน  เรื่องด่วนอะไรกัน

    “จากใครวะ บอกชื่อไว้ไหม” ผมถามกลับ เผื่อจะมีข้อความอื่นฝากมาแทน

    “ไม่รู้ ไม่ได้บอก รู้แค่เป็นผู้ชาย เขาแค่ฝากให้มึงอ่ะ  ท่าทางดูรีบๆเลยไม่ได้ถามไว้ แต่มันบอกแค่ว่าเปิดดูข้างในมึงก็จะรู้เอง” ผมพยักหน้าเชิงรับรู้ เพื่อนผมเลยเดินจากไปทันที คงไปเรียนนั่นแหละ อะไรกันเนี่ย มันน่าสงสัยนะ ไม่มีอะไรบอกสักอย่างว่าคืออะไรมาจากไหน และใครส่งมา เกิดของข้างในเป็นของอันตรายขึ้นมาล่ะ ผมไม่ตายก่อนเลยหรอ แต่ช่างเถอะ ตอนนี้มันไม่ได้เวลาของเรื่องอื่น เอาไว้กลับบ้านไปค่อยเปิดดูออกก็ได้

    “เอาไว้ก่อนก็ได้” ผมเก็บซองน่าสงสัยลงกระเป๋า แล้วเดินออกห้องไปเรียนต่อ คาบเมื่อกี้ผมเสียสมาธิไปมากละ จะให้สติหลุดลอยไปทั้งวันมีหวังผมมีปัญหากับชีวิตแน่ๆ

     

                ตุบ!

                เสียงวัตถุบางอย่างร่วงหล่นลงสู่พื้นห้อง รูปภาพมากมายกระจัดกระจายอยู่เต็ม พร้อมกับร่างของผมที่ทรุดนั่งลงอย่างอ่อนแรง หลังจากกลับมาถึงห้อง ผมก็เปิดดูซองปริศนาที่ได้รับมา แล้วก็พบกับรูปถ่ายมากมายที่ทำเอาตัวผมชาวาบ พูดไม่ออก  จนเผลอปล่อยภาพทั้งหมดนั่นตกลงพื้นในทันที  โดยไม่ต้องอาศัยเครื่องหมายสัญลักษณ์หรือเขียนบอกอะไรมากมายนัก ทั้งตัวบุคคลที่ก็คุ้นหน้ากันดีอยู่และตัวสถานที่เองก็ไม่ใช่ที่แปลกตาอะไรเลยสำหรับผม แค่นั้นมันก็มากเพียงพอที่จะทำให้รับรู้ได้ในทันที  ความรู้สึก  ของความผิดหวัง

    “ฮึฮึ บ้าชะมัดเลย...ให้ตายสิ” เสียงพูดของผมเปล่งออกจากมาอย่างยากลำบาก มันหายไปไหนกันหมดนะเสียงของผม ผมกำลังหัวเราะ อย่างนั้นหรือ นั่นสินะ อาจจะใช่ ผมกำลังหัวเราะ หึ นี่สินะ เรื่องด่วนที่ผมควรจะรู้น่ะ  ผมเงยหน้ามองเพดานห้องอย่างเหม่อลอย

    “ฮึฮึ...ฮึก...” ไม่ว่าตอนนี้ผมจะกำลังหัวเราะหรือร้องไห้ก็ตาม แต่ตอนนี้ความคิดผมกำลังสับสนไปหมดแล้ว ผมควรจะทำยังไงต่อไปดี ภาพของคนสองคนวางอยู่บนพื้นห้องราวกับกำลังต้องการเยาะเย้ยผม หนึ่งในนั้นก็คือคนที่พึ่งจะบอกว่าดีใจที่ผมยอมคบด้วย กับอีกคน ที่ผมก็คุ้นหน้าดีเพราะพึ่งเห็นไม่กี่วันก่อน วันที่ผมเจอเขาอยู่ในบ้านไอ้เซนท์ คนที่บอกกับผมว่าตัวเองเป็นแค่เพื่อน ไม่ใช่ครั้งแรกที่ผมเจอเขา ผมเองเลยรู้สึกวางใจ แต่ก็...ไม่ใช่สินะ

    “กะไว้แล้วเชียว” ตอนแรกเริ่มผมก็เผื่อใจแล้วนะว่าอาจจะเจอเรื่องแบบนี้เข้าสักวัน เพราะคนอย่างไอ้เซนท์ไม่ว่าใครก็ต้องการตัวมัน ผมล่ะไม่เข้าใจจริงๆเลย  ทั้งๆที่คิดเผื่อใจไว้แล้ว แต่ทำไมพอเจอเข้าจริงๆมันกลับรู้สึกจุกแบบนี้กันนะ  ผมรักมันมากเลยงั้นหรอ

    “....” ผมควรจะทำยังไงต่อไปดี ผมไม่ควรตัดสินมันจากรูปจริงไหม แต่รูปตอนใส่เสื้อผ้าอยู่นั้น เสื้อผ้าที่ใส่มันคุ้นตามากเกินไป มากจนผมจำได้ทันทีถึงวันเวลาของเรื่องราวนี้

    ผมมองดูรูปพวกนั้นอยู่สักพักอย่างทำใจ ก่อนจะตัดสินใจเก็บรูปทั้งหมดกลับเข้าซองของมัน ไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้นผมควรให้โอกาสมันแก้ตัว ถึงแม้ว่าในตอนนี้ผมเองจะมีคำตอบในใจให้กับเรื่องนี้แล้วก็ตาม ผมชินชากันการกระทำของมันมาตลอด แต่นั่นมันก่อนหน้าที่ผมจะออกปากว่าคบกับมัน ผมคิดว่าผมจะไว้ใจมันได้นะ ผมคิดว่าเรื่องของเราจะไปได้ด้วยดี หรือผมอาจจะมองโลกในแง่ดีเกินไปก็ได้ นิสัยคนเราไม่อาจเปลี่ยนแปลงได้ในเวลาอันสั้นจริงๆสินะ

    ผมเอนหลังพิงกับขอบเตียงนอนแล้วสูดลมหายใจเข้าอย่างเต็มปอดอย่างทำใจ ในมือผมยังคงกำซองสีน้ำตาลนั่นไว้แน่นอย่างไม่กลัวว่ามันจะยับแค่ไหน  ความรู้สึกที่จุกอยู่ในอกทั้งหมดนี่ผมจะระบายมันออกมายังไงดี จะมีใครสักคนไหมที่จะเป็นที่พึ่งให้ผมได้ในเวลานี้ แต่ที่แน่นอนคืนเวลานี้ผมไม่ต้องการที่จะเจอหน้าไอ้เซนท์แน่นอน ไม่ว่าจะด้วยทางใดก็ตาม แม้แต่เสียงของมันผมก็ไม่อยากได้ยิน ผมไม่พร้อมจริงๆ  คนอย่างมันเองก็น่าจะรู้จักผมดี ขอเวลาผมก่อเถอะ สักนิดก็ยังดี เห็นผมแบบนี้ก็ไม่ใช่ว่าผมเป็นคนที่เข้มแข็งอะไรนะ ผมค่อนข้างอ่อนไหวง่ายด้วยซ้ำ โดยเฉพาะเรื่องที่มันเกินความคาดหมายแบบนี้น่ะ กับการที่ผมกลายเป็นแฟนมันได้เนี่ย เพราะฉะนั้นขอร้องเถอะ ผมต้องการเวลาจริงๆ ถ้าคิดว่าผมจะไปโวยวายเหมือนละครละก็ คิดผิดแล้วล่ะ  แล้วถ้าคิดว่าผมเว่อร์เกินไปกับเรื่องแค่นี้ ก็ลองไว้ใจใครสักคนแบบมากๆดูสิครับ หรือลองรักใครสักคนดู แล้วถ้าวันหนึ่งวันใดเจอเรื่องแบบนี้ขึ้นมาจริงๆ ก็คงไม่ต่างอะไรจากผมตอนนี้หรอก  นี่ผมทำอะไรอยู่กัน ผมกำลังหาเรื่องให้ตัวเองต้องเจ็บปวดใช่ไหม ผมควรจะทำยังไงต่อไปดี ใครก็ได้ ช่วยบอกผมหน่อยได้ไหม  แย่ชะมัด...กับเรื่องแบบนี้น่ะ

      

    [Saint]

                “โธ่เว้ย มันหายไปไหนของมันวะ” ผมบ่นอย่างหัวเสียในรถของตัวเองหลังจากที่มันจอดสนิทในโรงรถเรียบร้อยแล้ว ไอ้ฟอร์สมันแม่งหายไปจริงๆด้วยนะ คือแบบช่วง ม.6 แบบนี้ใครมันจะหายไปก็ไม่ค่อยน่าสงสัยไง เพราะต่างคนต่างไปติวกันเยอะแยะ แต่แบบ คือมันคนเดียวที่ก่อเรื่องไว้แล้วหนีหายไปน่ะ หายแบบหาตัวไม่เจอเลยจริงๆ ขนาดพวกเพื่อนสนิทมันจริงๆก็ยังไม่รู้เรื่องของมันเลย คนเดียวที่ผมพอจะหวังไว้ได้ก็มีแค่ไอ้คีย์เท่านั้นแหละ แต่มันก็ยังทำอะไรไม่ได้เหมือนกัน คิดแล้วก็แม่งบยิ่งเครียด มันทำแบบนั้นไปทำไมของมันกัน ผมไม่รู้ตัวเลยนะว่ามันเป็นคนที่จะคิดเรื่องอะไรแบบนี้ได้ เพราะก่อนหน้านั้นมันไม่มีทีท่าว่ามันจะสนใจอะไรผมเลยจริงๆ

                “เซนท์ กลับมาแล้วทำไมไม่ลงจากรถล่ะลูก มากินข้าวก่อนเร็ว” แม่ของผมที่คงจะสงสัยที่ได้ยินเสียงรถแต่ไม่เห็นตัวผมเลยมาเรียกที่รถ ผมหันไปตอบรับแม่ผมก่อนจะเก็บของแล้วลงจากรถ ตลอดทางเดินขึ้นห้องผมก็คิดแต่เรื่องของไอ้ฟอร์ส สองสามวันนับแต่เกิดเรื่อง ผมคิดมากมาตลอดเลยนะ กลัว กลัวมากที่สุด กลัวว่าคนที่จะรู้เรื่องนี้คือไอ้พี่ไนน์ ผมรู้นิสัยพี่มันดี ถ้ามันรู้เรื่องนี้แล้วมันจะเกิดอะไรขึ้นน่ะ ไม่อยากคิดถาพเลยจริงๆ

                “มีเรื่องอะไรหรือเปล่าลูก ทำท่าคิดมากมาตั้งแต่เมื่อกี้แล้ว” แม่ของผมถามขึ้นระหว่างที่ทานอาหาร นี่ผมคงจะเป็นเอามากเลยนะเนี่ย ถึงขนาดโดนจับได้แบบนี้น่ะ

    “เปล่าครับแม่”

    “อย่าไปคิดมากเลยคุณ ช่วงชีวิตวัยรุ่นมันก็ต้องเรื่องให้คิดมากเป็นธรรมดา” พ่อผมตอบขึ้นแทนครับ บ้านผมเป็นแบบนี้แหละครับ ไม่ใช่ว่าไม่สนใจนะ แต่เลี้ยงผมแบบผู้ใหญ่น่ะ ให้ผมคิดอะไร ทำอะไรเอง ไม่ค่อยมายุ่งหรอก ปัญหาของผม ผมก็ต้องเรียนรู้ที่จะแก้เอง

    “ถ้าไม่ไหวก็ปรึกษาพ่อกับแม่ได้นะเซนท์” แม่ผมพูดครับ หลายคนอาจจะคิดว่าผมมีความรู้สึกโดดเดี่ยว แต่ไม่นะ ผมชอบชีวิตแบบนี้มากกว่า ผมไม่ชอบอะไรที่ผูกมัดน่ะ

    “ครับแม่” แค่นั้นแหละ บทสนทนาเรื่องของผมก็จบไป หัวข้อถูกเปลี่ยนเป็นเรื่องทั่วๆไปตามประสาครอบครัว บ้านเราไม่ค่อยได้ทานข้าวด้วยกันหรอกครับ ทำไมน่ะหรือ ก็เพราะผมกลับบ้านดึกไงล่ะ แหะๆ นานๆทีถึงจะกลับบ้านเช้าแบบนี้ทีหนึ่ง แต่เช้าของผมนี่ก็ฟ้ามืดแล้วนะ

    “จริงสิเซนท์ เมื่อกี้พี่ไนน์ฝากของไว้ให้ลูกน่ะ” แม่ผมพูดขึ้นหลังจากที่ผมเก็บจานเสร็จเรียบร้อยแล้ว กำลังจะเดินขึ้นห้องไป แต่คำพูดแค่นั้นก็เล่นเอาสองเท้าของผมหยุดเดินในทันทีพร้อมกับหัวใจที่เต้นรัว อย่างกังวล เรื่องเชี่ยไรวะ  ผมคิดเองในใจ

    “ของอะไรครับแม่” ผมหันกลับมาถาม

    “ไม่รู้เหมือนกัน เป็นซองสีน้ำตาล แม่วางไว้หน้าทีวีน่ะ” พอแม่พูดจบผมก็รีบเดินไปที่หน้าทีวีในทันที ตอนเข้าบ้านผมไม่ได้สนใจเพราะคิดว่าอาจจะเป็นเอกสารงานของพ่อกับแม่ก็ได้

    “ทำไมไม่โทรมาบอกวะ” ผมมองซองที่ยับย่นอย่างสงสัย นี่ซองบ้านี่มันไปเจออะไรมาเนี่ย ทำไมมันถึงได้ยับขนาดนี้ แล้วก็คราบเหมือนน้ำอะไรหยดใส่นี่อีก โอ้ย นี่ไอ้พี่ไนน์เป็นคนซกมกแบบนี้ไปตั้งแต่เมื่อไรเนี่ย ก็เห็นปกติเป็นคนที่เนี๊ยบตลอดเลย

    “หึ ส่งมาแกล้งหรือไงวะ” ผมยิ้มกับตัวเอง ก่อนจะถือซองนั้นเดินขึ้นห้องไป

    ผมปิดระตูห้องตัวเองแล้วพลิกดูซองสีน้ำตาลปริศนาอย่างขำๆ ไอ้พี่ไนน์มันเล่นอะไรเนี่ย ดูดิซองยับซะขนาดนี้ก็ยังจะส่งมาให้ แถมไม่โทรมาบอกก่อนอีก มันมีความลับอะไรนักหนากัน ผมเปิดซองแล้วหยิบของข้างในออกมาดู ทันทีที่ผมเห็นรูปแรกปรากฏต่อสายตาตัวเอง รอยยิ้มและความรู้สึกผมขำทั้งหมดของผมเมื่อหี้หายไปในทันที

    “โธ่เว้ย!!!” ผมสบถดังลั่นพร้อมกับขว้างรูปถ่ายทั้งหมดลงพื้นอย่างแรง  จนมันกระจัดกระจายไปทั่วห้อง ผมกำหมัดแน่นอย่างไม่กลัวเจ็บและมองไปที่รูปพวกนั้นอย่างโกรธแค้น

    “ไอ้เชี่ยฟอร์ส มึงคิดจะลองดีกับกูใช่ไหม” ผมพึมพำอย่างอาฆาตไปถึงใครอีกคน มีแค่คนเดียวแน่นอนที่ทำเรื่องแบบนี้ได้ ใช่ แค่มันคนเดียวเท่านั้น หยิบโทรศัพท์ขึ้นมาอย่างใจร้อน คนแรกที่ผมควรจะโทรหา ไอ้คีย์! ไอ้พี่ไนน์ถ้าผมไปพูดอะไรตอนนี้ก็คงไม่ฟังแน่ แต่คนที่ผมต้องเคีลยร์ด่วนคือไอ้คีย์ต่างหาก คนๆเดียวจะช่วยผมสะสางเรื่องบ้าๆของไอ้ฟอร์สนี่ได้

    ไอ้เชี่ยคีย์!!’ ผมพูดเสียงทันที่มันรับสาย อย่างไม่สนใจเรื่องมารยาทใดๆทั้งสิ้น

    โอ้ย! อะไรของมึงวะ ตะโกนทำไม’  ปลายตอบกลับมาอย่างงงๆ

    เมียมึงไงไอ้สัส  หาตัวมันเจอละยัง!’ ผมพูดด้วยน้ำเสียงเกรี้ยวกราดแบบที่ผมรู้เลยว่า ไอ้ปลายสายมันต้องรู้แน่ๆล่ะว่าอารมณ์ของผมตอนนี้เป็นแบบไหน

    ไอ้เซนท์ มึงใจเย็นก่อนดิ เออ กูยังไม่เจอมัน ทำไมไอ้คีย์พยายามใจเย็นกับผม

    เมียมึงเล่นงานกูแล้วไงสัส แม่ง มันอยากตายมากหรือไงวะ!!’

    ไอ้เหี้ยเซนท์ มึงใส่อารมณ์แบบนี้แล้วมันจะคุยรู้เรื่องไหมวะ ทำไม ไอ้ฟอร์สมันทำอะไรดูมันดิ รู้ตัวเลยนะว่าเมียตัวเองคือใครน่ะ ทั้งๆที่มันทำเรื่องแบบนั้นน่ะนะ แม่ง ยอมมันเลยจริงๆ

    มันส่งรูปกูกับมัน  ให้ไอ้ไนน์ผมพูดไปแค่นั้นแต่ก็เล่นเอาปลายสายเงียบเลยทันที ไอ้คีย์ก็เหมือนเพื่อนผมคนอื่นๆที่รู้จักพี่ไนน์พอสมควร แต่น้อยกว่าไอ้วิคเตอร์แน่ล่ะ

    รูปอะไรมันถามกลับมาเสียงเบา  

    สัส มึงยังจะถามอีกหรอ กูไอ้รูปที่มันแอบถ่ายกูไงล่ะ เรื่องเลวที่มันทำไว้แล้วก็หายไปน่ะ

    เฮ้ย! มันถ่ายรูปเก็บไว้ด้วยหรือวะเหมือนไอ้คีย์ก็ตกใจไม่น้อย มันเองก็คงไม่คิดเหมือนกันว่าคนแบบไอ้ฟอร์สจะใช้วิธีนี้ แน่ล่ะครับ แม้แต่ผมเองยังไม่คิดเลย

    กูไม่รู้ แต่พี่แน่ๆ รูปถึงมือไอ้ไนน์แล้ว แล้วไอ้ไนน์มันก็ส่งมาให้กูเนี่ย

    โธ่เว้ย! นี่ไอ้ฟอร์สมันเอาจริงหรอวะพวกผมคิดในแง่ดีว่าที่มันหายไปอาจจะเพราะมันรู้สึกผิดก็ได้ แต่สุดท้ายมันก็ทำเรื่องที่ผมกับไอ้คีย์กลัวที่สุด เพื่ออะไรกัน

    กูจะไปรู้ด้วยไหมวะ มึงรีบตามหาตัวมันให้เจอเลยนะ เร็วที่สุดด้วยผมย้ำมัน

    เออ กูรู้ มึงคิดว่ากูนั่งอยู่เฉยๆหรือไงวะ แล้วพี่ไนน์ว่าไงมั่ง

    ไม่รู้ มันแค่เอารูปมาทิ้งไว้ให้ก็แค่นั้น ไม่พูดไม่บอกอะไรไว้เลยสักนิดนั่นแหละ เป็นสัญญาณที่ทำให้ผมรู้เลยว่า เรื่องใหญ่แน่นอน เรื่องที่ตัวผมเอง ก็ยังไม่รู้เลว่าจะผ่านมันไปได้ไหม

    ชิบหายแน่มึงดูคำพูดมันดิ แม่ง ใช่เพื่อนกูหรอวะ

    ไม่ต้องมาแช่งไอ้สัส ตามหาเมียมึงให้เจอเถอะ เรื่องนี้กูต้องชำระด้วยตัวเอง’  

    ทำไมไอ้ฟอร์สต้องไปชอบคนแบบมึงด้วยวะเนี่ย เพรามึงคนเดียวเลยอ่าว ไอ้บ้านี่

    ไอ้สัส ถ้าอยากได้มันนักทำไมไม่จับทำเมียแต่แรกเลยวะ ปล่อยมันไว้ทำไมละ แม่ง ก่อเรื่องให้กูเลยเห็นไหม มึงแหละผิดผมพูดตอบกลับไปอย่างไม่สนใจ   เรื่องอะไรมาโทษกูวะ

    ดีแต่ปากแหละมึงอ่ะ บอกให้กูทำ แล้วทีกับพี่ไนน์มึงก็ไม่ทำ ไอ้ห่า ถ้าพี่ไนน์เสร็จมึงแต่แรกไอ้ฟอร์สมันก็ไม่ต้องไปคาดหวังอะไรกับมึงหรอก ว่ากูอ่อนมึงแหละตัวดีฉึก!! เสมือนโดนมหกรรมมีดปักเขากลางอกอย่างจัง ตกลงนี่กูผิดใช่ไหม

    ไอ้เหี้ย...

    เงียบไปเลย ไม่ต้องพูด ตามไปเคลียร์กับพี่ไนน์ให้ได้ก่อนเถอะมึง เรื่องไอ้ฟอร์สเดี๋ยวกูจัดการเอง ถ้ามึงคิดจะทำอะไรมัน ข้ามศพกูไปก่อนเถอะ ไอ้สัส

    เออ ปกป้องกันดีจังนะมึง ให้ได้ตลอดละกัน ถ้ามันยังไม่หยุดกูไม่เอามันไว้แน่นี่ผมพูดจริงนะ ไม่ได้ขู่เฉยๆ ต่อให้ต้องมีไอ้คีย์เป็นศัตรูเพิ่มมาอีกคนก็เถอะ แต่ถ้าไอ้ฟอร์สมันยังไม่ยอมหยุดแค่นี้ รับรองว่าผมไม่จบเรื่องง่ายๆแน่ ในเมื่อมันเริ่มเรื่อง มันก็ต้องรับผิดชอบ

    เออ กูรู้แล้วพูดจบมันก็วางสายใส่ผมเลยในทันที หลายคนอาจจะบอกว่าผมใจร้ายก็ได้ที่ไปขอให้คนอย่างไอ้คีย์ช่วย ไม่ใช่ว่าผมๆไม่เข้าใจความรู้สึกของมันนะ ผมรู้ ผมเป็นเพื่อนมัน ผมรู้ว่ามันรู้สึกยังไง ผมรู้ว่ามันจะเจ็บปวดแค่ไหน ที่รู้เรื่องของไอ้ฟอร์สกับผม ผมไม่ได้ใจร้าย แต่มันผิดหรือ ที่คนอย่างผมจะขอเห็นแก่ตัวบ้าง ถ้าผมไม่ทำแบบนี้ ผมก็คงไม่สามารถที่จะหาไอ้ฟอร์สเจอได้ เพราะคนที่รู้จักมันที่สุดก็คงจะมีแต่ไอ้คีย์ก็เท่านั้น มันผิดไหมที่ผมจะขอทำเพื่อตัวเองบ้าง แม้จะต้องมีคนเจ็บปวดก็ตามที ผมไม่ได้รอคอยไอ้พี่ไนน์ เพื่อให้ต้องมาพังทลายลงแบบนี้นะ

                “เข้าใจกูด้วยเถอะนะ ไอ้คีย์” ผมพูดกับโทรศัพท์ที่มันถูกตัดสายไปแล้วเมื่อกี้  ผมมองดูรูปบนพื้นห้องอีกครั้งก่อนที่จะเดินออกไป เวลาแบบนี้การโทรหาไม่ใช่ความคิดที่ดีผมต้องไปหามันด้วยตัวเองเท่านั้น แม้จะรู้ว่าผมจะต้องไปเจอกับอะไร ผมก็จะไป

    “อ่าว เซนท์ มีอะไรหรือเปล่าลูก” แม่ไอ้พี่ไนน์เอ่ยถามผม ขณะเดินออกมานอกบ้าน  หลังจากที่ผมกดกริ่งหน้าบ้าน รถไอ้ไนน์ หายไปไหนวะ

    “พี่ไนน์อยู่หรือเปล่าครับ” ผมเอ่ยถามชื่อนี้ทันทีเพราะแน่นอนว่าผมมาเพราะคนๆนี้

    “ไนน์ ไม่อยู่หรอกลูก เห็นว่าจะไปค้างหอเพื่อนน่ะ มีงานค้างอยู่อะไรเนี่ยแหละ กลับบ้านมาเอาของแล้วก็พึ่งออกไปไม่นานนี่เอง มีอะไรหรือเปล่าจ๊ะ” นั่นไงผมว่าแล้ว เร็วชะมัด

    “ไม่มีอะไรมากหรอกครับ ถ้าพี่ไนน์ไม่อยู่ก็ไม่รบกวนแล้วครับ ขอบคุณนะครับ”

    “จ๊ะ งั้นเดี๋ยวป้าบอกไนน์ให้ละกันนะว่าเซนท์มา”

    “ครับผม” ผมไหว้แม่พี่ไนน์แล้วเดินจากมา ไม่เกินกว่าที่ผมคาดไว้ หนีไปจริงๆด้วยสินะ แล้วทีนี้ผมจะทำยังไงต่อไปล่ะ ไอ้ไนน์ไม่ใช่คนที่ตามหาตัวเจอได้ง่ายๆ เรื่องหนีหน้าอย่าให้พูด เก่งมาก เก่งจนไม่น่าให้อภัย และในเมื่อไม่มีทางเลือกผมเลยกดโทรออกตลอดทางจากบ้านไอ้ไนน์ จนกระทั่งถึงห้อง ไม่รู้ว่ากี่สายที่พยายามโทรไป แต่ที่รู้แน่นอนคือทุกสายถูกตัดทิ้ง  ไม่ได้ปิดเครื่อง ไม่ใช่ไม่รับ แต่กดรับแล้วเลือกที่จะตัดสายทิ้งในทันที เหมือนอยากจะบอกว่าไม่ต้องการคุยกับผมในเวลานี้  จนผมถึงกับต้องยอมแพ้ สองมือผมกุมศีรษะอย่างหมดหนทาง

    “นี่มันเรื่องบ้าอะไรวะเนี่ย” ทำไมเรื่องมันเป็แนบบนี้ได้ล่ะ มีความสุขได้ไม่กี่วัน ผมก็ต้องมาเจอเรื่องทุกข์ใจแล้วซะงั้นหรอ ไม่นะ มันต้องไม่เป็นแบบนี้สิ แล้วเวลาที่ผ่านมาล่ะ สิ่งที่ผมเฝ้ารอมาตลอดล่ะ มันจะมาพังทลายเอาง่ายๆเลยเพราะคนๆเดียวงั้นหรือ นี่มันโหดร้ายเกินไปแล้วนะ ผมจะต้องผ่านมันไปให้ได้ใช่ไหม แต่ไอ้ไนน์ล่ะ ผมรู้ว่าคนอย่างมันไมได้เข้มแข็งอะไรเลย ผมกลัว กลัวที่สุด กลัวว่ามันจะปล่อยมือของผมไป มือของคนที่ผมต้องทำให้เขาเจ็บปวดมาแล้วไม่รู้กี่ครั้ง แต่เมื่อในวันที่เขามายืนอยู่ข้างๆผมแล้ว ผมก็อยากจะรักษาคนๆนั้นให้ดีที่สุด นานที่สุด เท่าที่คนธรรมดาแบบผมจะทำได้ และเท่าที่ไอ้ไนน์เองก็พร้อมที่จะเดินข้างผม

    **********************************************************

     
    ขอบคุณทุกคนที่ติดตามนะครับผม


    หลายคนแอบงงกับตอนนี้ 555 อย่างงครับ คนอย่างพี่พาสต้า มีเหตุผลแน่นอนครับผม ส่วนพี่วินเนอร์ตัวร้าย เก็บไว้ก่อน 555 ลุ้นกันต่อไปว่าจะมีมาให้จิ๊จ๊ะหรือเปล่า อิอิ


    พิเศษ!!  ใครอยากพูดคุยกันก็ไปเจอได้ในเพจนะครับ ลิ้งอยู่หน้าแรก หาให้เจอนะครับ ถ้าคนเยอะแล้วจะเริ่มคุยจริงจังละ มีคนไปตามหาเพจผมเจอด้วยล่ะ 5555 เก่งเวอร์  ผมแปะเฟสไว้หน้านิยายแบบชาวบ้านเขาไม่ได้อ่ะ ผมเป็น ver.1 อยู่ ไปคุยกันได้นะครับ ^ ^ 

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×