ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    My wife ขอโทษที คนนี้เมียกู [END]

    ลำดับตอนที่ #33 : .....My wife.....{33}

    • เนื้อหาตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 4.93K
      6
      18 พ.ค. 57

    .....My wife..... {33}

    [Victor]

              เรียนเสร็จก็กลับบ้านซะ ผมกดลบข้อความของไอ้วินเนอร์ที่ส่งมาให้ผมเมื่อกี้ก่อนเลิกเรียนทิ้งอย่างไม่สนใจ หึ คิดจะกันไม่ให้ไปเจอไอ้พาสต้าอ่ะดิ ไม่มีทางเสียหรอก ในเมื่อผมตั้งใจไว้แล้วว่ามันก่อกวนมัน เรื่องอะไรผมจะมายอมแพ้ล่ะ สงสารมันหรือไง ไม่มีทางเสียหรอก

    “มึงมีเรื่องสำคัญอะไรนักหนาถึงต้องปิดบังแม้กระทั่งกูวะ” ผมหันขวับทันทีที่ได้ยินเสียง ไอ้เซนท์นั่นเอง นี่มันเดินตามผมมาหรอเนี่ย ก็นึกว่ายังอยู่กับไอ้พวกนั้นบนห้องเสียอีก

    “ก็ไม่ได้อยากปิดมึงหรอก สักวันมึงก็จะรู้เอง แต่ไม่ใช่ตอนนี้ได้ป่ะ” ผมตอบกลับมัน

    “ทำไมวะ ขนาดกูยังไม่เคยมีความลับกับมึงเลยนะเว้ย” ไอ้เซนท์บ่นครับ ไอ้นี่ จะอยากรู้อะไรขนาดนั้นเนี่ย ถึงกับเอาเรื่องนี้มาตัดพ้อผมแบบนี้น่ะ

    “ไม่มี แต่ก็ไม่ได้บอกทันทีป่ะ ก็เหมือนกัน มึงได้รู้แน่ แต่ไม่ใช่ตอนนี้ ” ไม่อยากต่อความกับไอ้นี่อ่ะ คือผมก็สนิทกับมันมากไง ก็แอบรู้สึกผิดนะ แต่ก็แบบ ขอเรื่องนี้สักเรื่องเถอะ

    “แล้วมึงคิดจะบอกกูเมื่อไรล่ะ เรื่องคราวก่อนมึงก็เงียบเลยนะเว้ย อย่าคิดว่ากูจำไม่ได้นะ ไม่ถาม ไม่ได้แปลว่ากูลืมนะ” ทำไมมันต้องจำด้วยเนี่ย ผมก็รู้นะ ว่ามันก็ห่วงผมที่ผมแปลกๆไป  แต่เรื่องนี้คือไม่ได้จริงๆไง ผมว่าไอ้เซนท์เข้ามาเอี่ยวด้วยแน่ถ้ามันรู้เรื่องอ่ะ

    “ก็มันคือเรื่องเดียวกันไง กูเลยยังบอกไม่ได้ รอมันจบก่อนดีกว่าเถอะ กูรู้ว่ามึงคิดยังไง แต่กูไม่ได้มีปัญหาอะไร ไม่ได้ทุกข์ใจอะไรด้วย กูโอเคอยู่” ผมพูดตอบมันไปตามตรง

    “ถ้าเป็นแบบนั้นก็ดีไป แต่หน้าตามึงไม่ได้โอเคอย่างที่พูดเลยนะ”

    “ก็มันมีเรื่องให้คิดเยอะหน่อย กูไม่เป็นไรหรอกน่า ผมยิ้มให้มันพลางตบไหล่เบาๆก่อนจะเดินไปหารถบริการ ผมบอกพวกเพื่อนแล้วล่ะว่าไอ้วินเนอร์มันเอารถไปใช้ ไม่แปลกหรอกที่ผ้องมาขึ้นรถบริการเองแบบนี้ แต่ถ้าถามว่าทำไมผมไม่ให้ไอ้วินเนอร์มารับ หึหึ ก็ผมไม่ได้จะกลับบ้านน่ะสิ เรื่องอะไรต้องให้มันมารับล่ะ ไม่งั้นก็ไม่มีเรื่องสนุกๆให้ทำน่ะสิ

    ผมหันกลับไปมองเผื่อไอ้เซนท์จะตามมา แต่ไม่แฮะ เข้าใจที่พูดดีนี่ ผมว่ามันก็อยากไปส่งผมอยู่หรอกสะดวกกว่าเยอะ แต่ในเมื่อผมพูดไปขนาดนั้น แถมไม่ออกปากเองด้วย มันก็คงไม่ทำหรอก คบกันมาตั้งนาน เรื่องแค่นี้ไม่ต้องพูดก็รู้กันอยู่แหละ

    ผมลงจากรถแล้วเดิมต่อมานิดหน่อย ก็เจอกับคาเฟ่เล็กๆ ไม่ได้หรูหราอะไรมากมาย แต่ผมชอบนะ มันเป็นสถานที่ลับส่วนตัวของผมเลยล่ะ มาที่นี่ไม่ต้องห่วงว่าใครจะรู้จักผมหรอก เพราะมันไม่มีใครคิดแน่นอนว่าผมเองก็มีมุมส่วนตัวเล็กๆเหมือนกัน มีแค่ไอ้วินเนอร์มั้งที่รู้ เพราะผมก็เคยพามันมาช่วงที่มันรู้สึกแย่ มันก็ติดใจเหมือนกันนะ แต่ก็ไม่ค่อยได้มาหรอก เพราะมันไม่ค่อยชอบที่เงียบๆเท่าไร เป็นพวกพลังงานเหลือเฟือน่ะมัน

    “อ่าวน้อง หายไปนานเหมือนกันนะเนี่ย ธารบ่นคิดถึงใหญ่เลย” พี่เจ้าของร้านเอ่ยทักผม

    “หวัดดีครับ ก็ยุ่งๆน่ะพี่ แล้วนี่พี่ธาร ไม่อยู่หรอครับ” ผมถามหาพี่อีกคน ที่จะเรียกว่าไงดีล่ะ  ไม่ใช่ทั้งญาติเจ้าของร้าน ไม่ใช่ทั้งพนักงาน ไม่ใช่ทั้งผู้ช่วยหรือหุ้นส่วน แต่ถ้าให้ถูกที่สุดคือเป็นหุ้นส่วนหัวใจเจ้าของร้านเขานั่นแหละ ผมมาที่ร้านนี้ตอนที่สองคนนี้เขาพึ่งเจอกันใหม่ๆเลยก็ว่าได้ล่ะ เป็นคู่ที่ทำให้ผมรู้สึกไม่หนักใจนะถ้าจะมีแฟนเป็นผู้ชายบ้าง แต่มันจะมีจริงๆหรอคนที่จะดูแลผมดีเท่าพี่เจ้าของร้านเขาเนี่ย  แต่ผมว่านะ ไม่มีแฟนเป็นตัวเป็นตนน่ะ สนุกกว่าเยอะ

    “ยังเลย สงสัยงานเยอะมั้ง” พี่เจ้าของร้านตอบเหมือนไม่ค่อยใส่ใจเท่าไร

    “ดูเหมือนพี่ดินไม่ค่อยสนใจเลยนะครับ” ผมลองถามกลับ พี่เจ้าของร้านยิ้มให้แล้วพูด

    “เรียกว่าเข้าใจกันมากกว่า  ธารก็มีภาระหน้าที่ของตัวเอง พี่ก็มีหน้าที่ของพี่ ถ้าเข้าใจเรื่องนี้ได้ ก็ไม่เห็นต้องคิดอะไรให้มากเลย มัวแต่ระแวงกันมันไม่สนุกหรอกนะ” โอ้โห เจอคำตอบแบบนี้เข้าถึงกับไปไม่ถูกเลยแฮะ จะบอกว่าเชื่อใจกันมากพอว่างั้นเถอะ

    “โอย ขอยอมเลยจริงๆ พวกพี่เนี่ย” ผมพูดอย่างยอมแพ้ พี่ดินก็เล่นย้มอย่างเดียวเลย

    “แล้ววันนี้เอาอะไรล่ะ” พี่ดินถามผมครับ ไม่แปลกหรอก เพราะผมมาที่นี่ทีไรก็สั่งตลอดแหละ ไม่มีการมานั่งเฉยๆ ทำไงได้ล่ะครับ ก็ของที่นี่เขาอร่อยจริงๆouj

    “เหมือนเดิมแหละพี่” พี่ดินพยักหน้ารับทราบ ผมบอกแค่นั้นแล้วเดินไปหาที่นั่ง เหมือนเดิมของผมก็ไม่ใช่อะไรที่มากมายหรอกครับ ก็แค่โกโก้ร้อนกับเค้กช็อคโกแลต แค่นั้นแหละเหมือนเดิมของผม ยกเว้นบางวันก็อาจจะอยากทานอย่างอื่นบ้าง ค่อยสั่ง

    พอนั่งที่สักพักพอให้หายเหนื่อย ผมก็หยิบโทรศัพท์ต่อสายหาคนที่ผมต้องการเจอที่สุด

    “รับสายเดี๋ยวนี้นะ อย่าคิดหนีเด็ดขาดเลย” ผมบ่นออกมาเบาเมื่อไม่มีใครรับสักที

    วิคเตอร์รับแล้ว แต่ทำไมเสียงพูดมันถึงดูเหนื่อยๆแบบนั้นเสียล่ะ ไม่ชอบเลย

    ทำเสียงแบบนั้นทำไมวะ  ไม่พอใจที่กูโทรมามากหรือไงผมถาม แม้จะรู้คำตอบก็เถอะ

    ก็ไม่ถึงขนาดนั้น  แล้วโทรมามีอะไรหรือเปล่าไม่ยอมพูดตรงๆสินะ กลัวผมไม่พอใจหรือไง แค่เสียงก็บอกความรู้สึกได้แล้วแบบนี้ ตอบมาตรงๆเลยก็ได้นะ

    อยากเจอ มาหาหน่อยได้ป่ะถามมาก็ตอบตรงๆเนี่ยแหละ อะไรที่มันไม่สบายใจ นั่นแหละที่ผมจะทำ อะไรที่มันไม่ต้องการเจอ ผมก็จะให้เจอ  ยิ่งมันพยายามจะหนีผมมากเท่าไร ผมก็จะยิ่งตามรังควานมันมากเท่านั้นแหละ  ผมไม่ยอมให้มันหายจากผมไปสบายๆง่ายๆหรอก

    แล้วถ้าพี่บอกว่าไม่อยากเจอเราล่ะหืม เหนือความคาดหมายแฮะ คำตอบนี้

    ทำไม ไม่ว่าง? มีธุระ? หรืออะไร ทำไมแค่นี้ถึงมาไม่ได้ข้ออ้างงั้นหรอ ไม่รอดหรอก

    แล้วเราล่ะ ทำไมต้องอยากเจอพี่ด้วย ไม่ชอบหน้าพี่ไม่ใช่หรือไง เกลียดพี่ไม่ใช่หรอ น้ำเสียงทำนองตัดพ้อประชดประชันของมันนี่คืออะไรกัน  จะบอกอะไรผมกันแน่

    ก็แค่อยากเจอ ไม่มีเหตุผลใช่ แค่อยากเจอ แค่อยากเห็นที่ไม่มีความสุขของมึงไงล่ะ

    งั้นพี่ก็บอกได้ว่า เพราะพี่ไม่อยากเจอเรา ตกลงไหมนี่เล่นย้อนคำตอบผมเลยงั้นหรอ

    แล้วถ้ากูบอกว่าไม่สนล่ะ ยังไงมึงก็ต้องมา ผมพูดอย่างบังคับ มันจะเล่นตัวอะไรของมันนักหนาวะ แค่ออกมาเจอกันแค่นี้เนี่ย เรื่องมากจริงๆ

    วิคเตอร์ อย่ากวนพี่ได้ไหม ไอ้พาสต้าพูดด้วยน้ำเสียงไม่พอใจ

    ไม่รู้ล่ะ กูรออยู่คาเฟ่ร้านประจำ กูว่าอย่างมึงก็คงรู้ว่าที่ไหน แค่นี้นะ พูดจบผมก็วางสายเลย แบบไม่ให้มันได้เถียงอะไรกลับเลยล่ะ ผมจะคอยดูว่ามันจะมาไหม ผมรอจนร้านปิดเลยก็ได้นะ ร้านนี้ไม่ได้เปิดดึกอยู่แล้ว ช่วงค่ำนิดๆก็ปิดละ ถ้าคิดว่าจะเจอผมมันก็ต้องรีบมา

    “นัดกับใครหรือไงเรา” พี่ดินเอาของที่สั่งไว้มาเสิร์ฟแล้วถามขึ้น 

    “นิดหน่อยน่ะพี่ มีเรื่องให้เคลียร์นิดหน่อย ไม่มอะไรมากหรอก” ผมตอบย่างเลี่ยงๆ

    “แต่เท่าที่ได้ยินพี่ว่าเหมือนเราไปบังคับเขามากกว่าไม่ใช่หรอ” น่ะ ดันได้ยินอีกนะ

    “ก็มันเล่นตัวนี่พี่ แต่ไม่ต้องห่วงหรอกน่า ผมไม่ทะเลาะกันในร้านพี่หรอก” ผมยิ้มกลับ ให้พี่ดินสบายใจ ก็แน่ละ ปกติพวกผมก็ไม่เคยทะเลาะกันขนาดลงไม้ลงมือกันรุนแรงจริงๆนี่

    “อืม ก็แล้วไป คุยกันดีๆล่ะ”

    “ครับ” พี่ดินมองแบบไม่ค่อยไว้ใจแต่ก็ยอมเดินกลับไปโดยดีแล้วไม่ถามอะไรต่อ

               

                นั่งรอไปสักพัก สายตามองไปทางนั้นทีทางนี้ทีอย่างกระวนกระวาย คิดในใจว่าถ้าเกิดมันไม่มาล่ะ ผมจะทำไงดี มีทางไหนอีกที่ผมจะได้เจอมัน  ก็แค่อยากเจออ่ะ ก็แค่นั้นไม่มีอะไรมากกว่านั้นหรอก แต่ทว่าความคิดผมก็ต้องหยุดลงไปในทันที เมื่อเห็นรถที่คุ้นตาขับเข้ามาในบริเวณที่จอดรถของร้าน ร่างสูงของคนที่ผมรอคอย ลงจากรถมาอย่างไม่ค่อยพอใจเท่าไรนัก

    “ยินดีต้อนรับครับ” เสียงพนักงานพูดทักขึ้นทันทีที่คนๆนั้นเดินเข้ามาในร้าน ไอ้พาสต้ายิ้มตอบกลับไปเล็กน้อยก่อนจะกวาดสายตามองไปทั่วร้าน แล้วก็หยุดลงตรงที่ผมนั่งอยู่ ร่างสูงเดินเดินมาหาแล้วหยุดที่โต๊ะผม ก่อนจะถอนหายใจอย่างเหนื่อยๆแล้วนั่งลงฝั่งตรงกันข้าม

    “หึหึ นึกว่าจะไม่มาแล้วซะอีก” ผมยิ้มให้มันอย่างสะใจเล็กๆ กับชัยชนะของผมรอบนี้

    “ก็แค่อยากจะทำให้มันจบๆไปก็แค่นั้น” คนตรงหน้ากำลังพูดกับผมอยู่นะ แต่ทำไมสายตาของมันกลับมองออกไปข้างนอกแบบนั้นล่ะ มันมีอะรที่น่าสนใจนักหรือไงกัน

    “มึงคุยอยู่กับใคร คนข้างนอกนั่นรอ” ไอ้พาสต้าหันกลับมา แต่ไม่ใช่เพราะผมหรอกน่ะ เพราะพนักงานเรียกรับเมนูต่างหาก ไอ่พาสต้าสั่งชาเย็น แค่นั้นแล้วถึงหันกลับมามองที่ผม

    “มีอะไรก็พูดมา มีธุระอะไรกับพี่หรือไง” หน้าตาเคร่งเครียดแบบนั้นไม่สบอารมณ์เลย

    “ทำไม ออกมาแค่นี้ต้องมีธุระด้วยหรือไง ก็แค่นัดเจอกันตามประสาคนรู้จัก เบื่อๆว่างๆ ไม่มีอะไรทำ ก็แค่นั้น” อย่าคิดมาถามผมเลยว่านัดมันมาทำไม ผมไม่มีคำตอบให้มันหรอก เพราะขนาดตัวผมเองยังตอบตัวเองไม่ได้เลยว่า ทำไมต้องอยากเจอมันด้วย

    “หึ คนรู้จัก ทั้งๆที่เราพึ่งจะไล่พี่ไปเนี่ยนะ ทำอะไรให้มันชัดเจนหน่อยสิวิคเตอร์ ไหนว่าเกลียดพี่นักหนาไง แล้วทำแบบนี้ไปเพื่ออะไร จะเอาคืนพี่หรือไง มีประโยชน์อะไรกัน นัดเจอพี่แบบนี้หพี่มาทรมานเล่นแค่นั้นหรือไง” ไอ้พาสต้าร่ายยาวออกมา แต่ก็ทำเอาผมพูดไม่ออกเลยเหมือนกัน เพราะที่มันพูดมานั่นก็ถูก ถูกจนผมแย้งอะไรคืนไม่ได้ด้วยซ้ำ

    “ถ้าใช่แล้วจะทำไมล่ะ” ผมตอบกลับไปอย่างไม่ยอมแพ้

    “หึ ถ้าใช่พี่ก็แค่จะบอกว่าเราทำได้ สำร็จแล้วด้วย พี่มาเจอเราแบบนี้ก็เหมือนคนโง่ที่ทำร้ายตัวเอง แต่เพราะเป็นเราไงวิคเตอร์พี่ถึงมา พอใจหรือยังล่ะ ถ้าอยากให้พี่เลิกยุ่งกับเรา เราก็อย่าทำแบบนี้สิ ในเมื่อพี่พยายามถอยแล้ว เรากลับจะเข้าหาพี่เรื่อยๆแบบนี้ เมื่อไรเรื่องมันจะจบล่ะ” สายตาขอร้องที่แฝงไว้ด้วยความเจ็บปวดที่มองมา ทำเอาผมไม่กล้าสบตาเลยจริงๆ

    “....” ผมได้แต่เงียบ ทำท่าทางเหมือนไม่รับรู้ในสิ่งที่มันกำลังพูดออกมา ก็ยอมรับว่าสิ่งที่มันพูดก็ถูก แต่ในเมื่อผมไม่อยากตามที่มันพูดเสียอย่าง ทำไมผมต้องไปสนใจด้วยล่ะ

    “วิคเตอร์ ที่พี่พูดเนี่ย เข้าใจบ้างไหม ท่าทางไม่สนใจแบบนั้นคืออะไร” เหมือนกลายเป็นผู้ใหญ่กำลังดุเด็กอะไรแบบนั้นเลย ผมไม่กล้าสบตามันตรงๆในเวลานี้เลยจริงๆนะ

    “ก็.... เข้าใจ แต่กูไม่อยากทำตามอ่ะ กูพอใจที่จะทำแบบนี้” ไอ้พาสต้าส่ายหน้าอย่างเอือมระอา มองมาที่ผมด้วยสีหน้าเหนื่อยใจ หมดคำพูดที่จะพูดกับผมจริงๆเลยล่ะมั้ง

    “ทำไมถึงได้ดื้อแบบนี้กันนะ” เสียงบ่นเบาๆของมัน แต่ก็คือตั้งใจให้ผมได้ยินดังออกมา

    “รู้ก็อย่าขัดดิ” ผมตอบมันกลับแบบไม่สนใจคำพูดมันเท่าไร เล่นเอาไอ้พาสต้าอึ้งไปเลย

    “วันนี้ว่างใช่ป่ะ” ไม่รู้สิ ผมแค่อยากอยู่แบบนี้ให้นานกว่านี้อ่ะ ทำไมผมรู้สึกกลัวอย่างไรก็ไม่รู้ กลัวว่ามันจะหายไปจากผมจริงๆอย่างนั้นแหละ รู้สึกไม่ดีเลย เหมือนกับว่าพรุ่งนี้ผมจะไม่ได้เจอมันอีก ไม่เอาสิ นี่ในหัวผมกำลังคิดเรื่องงี่เง่าอะไรอยู่เนี่ย มันหายไปก็ดีแล้วไม่ใช่หรือไง

    “ก็ว่างอยู่ มีอะไรหรือไง” ไอ้พาสต้าตอบคำถามผมนะ แต่สายตามันมองออกไปข้างนอกอีกแล้ว นี่ผมชักจะฉุนแล้วนะ ข้างนอกมันมีอะไรน่าสนใจนักหนาเนี่ย ดูอยู่ได้ น่าเบื่อจริงๆเลย

    “ไปกินข้าวเป็นเพื่อนหน่อย” ประโยคสั้นๆที่พูดด้วยน้ำเสียงปกติทั่วไป แต่ดูเหมือนจะมีพลังมหาศาลสำหรับใครอีกคน ไอ้พาสต้าหันขวับกลับมาทำหน้าเหนื่อยใจทันที่ผมพูดจบ

    “วิคเตอร์คือ....”  คนตรงหน้าผมถอนหายใจก่อนที่จะพยายามพูดอะไรบางอย่างออกมา

    “กูไม่มีรถ กูหิว กูไม่มีแรง กูไม่อยากกินคนเดียว กูเบื่อไอ้วินเนอร์ พอป่ะ เหตุผล??” ไม่รอให้มันพูดอะไรทั้งนั้น ผมก็ร่ายยาวถึงเหตุผลของตัวเองในทันที ไอ้พาสต้าทำหน้าเหวอไปเลย

    “ว่าไง อย่าเงียบดิ” ผมจ้องหน้าเร่งรัดเอาคำตอบจากไอ้พาสต้าครับ

    “ก็ได้ๆ” เป้าหมายตอบผมกลับมา แต่ดูท่าทางมันฝืนๆนะ แต่ก็นะ ผมสนใจที่ไหนล่ะ

    “ส่งถึงบ้านด้วย โอเคนะ” ผมต่อรองเพิ่มขึ้นไปอีก เอาน่า แค่ส่งบ้านเอง

    “อืม” คำตอบของไอ้พาสต้าทำให้ผมยิ้มออกมา เดี๋ยวสิ แล้วทำไมผมต้องยิ้มด้วยเนี่ย

    หลังจบบทสนทนาผมสองคนนั่งเงียบๆกันต่อไปอีกสักพัก บรรยากาศไม่ดีเลย ให้ตายเถอะ ผมเองก็ไม่รู้จะคุยอะไรกับมันอีก ไอ้พาสต้าก็เล่นเงียบอย่างเดียวเลย นี่มันไม่ปกติแล้ว ทำไมล่ะ ผมทำอะไรผิดไปหรือไงกัน ก็ดูสิ่งที่มันทำกับผมก่อนสิ การที่ผมจะบอกว่าผมเกลียดมันก็ไม่แปลก แล้วทำไมต้องเป็นผมที่รู้สึกผิดด้วยล่ะ คนที่ผิดคือมันไม่ใช่หรอ นี่มันบ้าอะไรกัน

    “ไปได้แล้ว” ผมพูดออกมาในที่สุด ให้ตายเถอะ ให้ผมนั่งเงียบๆแบบนี้ไม่ชอบเลย มันเหมือนกับว่าผมมาคนเดียวงั้นแหละ ก็อีกคนเล่นทำเหมือนผมไม่มีตัวตนเลยอ่ะ ผมที่กำลังจะจ่ายเงินที่เคาน์เตอร์ก็ต้องหยุดชะงักเพราะอีกคนเร็วกว่า ควักเงินวางแล้วเรียบร้อย โอ้ย อึดอัดโว้ย พูดกับผมหน่อยก็ได้ นี่ไอ้พาสต้าคนเก่ามันตายไปแล้วหรือไงกัน

    “พูดกับกูหน่อยก็ได้มั้ง” ผมที่เดิมตามมันออกจากร้านจนเข้าไปนั่งในรถเรียบร้อยแล้ว พูดขึ้นมา ฟ้ากำลังมืด เวลาช่วงหัวค่ำแบบนี้ผมต้องมาอยู่กับคนใบ้งั้นหรอ

    “จะไปกินที่ไหน” ผมหันขวับไปมองไอ้เจ้าของเสียงทันที สายตาไอ้พาสต้ามองตรงไปข้างหน้าแบบไม่สนใจผมเลย คำพูดของมันนี่คือมันประชดผมหรือเมินคำถามผมกันแน่

    “แถวบ้าน” ผมหันหน้ากลับมามองตรงแล้วตอบถามไอ้พาสต้า ชิ เบื่อโว้ย เจอคนแบบนี้เนี่ย ไม่มีอารมณ์แล้ว กินอาหารตามสั่งแถวบ้านก็ได้ รีบๆกินแล้วรีบๆจากกันเลย อึดอัดจริง ตลอดทางที่มาต่างคนต่างเงียบอีกแล้ว โอ้ย นี่ผมสงสัยจริงๆนะ ถ้าเกิดเวลานี้ผมเกิดสติแตกเปิดประตูรถแล้วกระโดดอกไปได้พาสต้ามันจะสนใจผมหรือเปล่า อะไรของมันอ่ะ ไหนบอกว่ารักผมนักหนาไง แล้วทำไมมันถึงเมินผมแบบนี้ล่ะ คนเรามันก็ได้แค่พูดหรอ

    พอถึงร้านแล้วก็เป็นไปตามคาดครับ ต่างคนต่างสั่งอาหารแล้วก็นั่งทานอย่างเงียบๆ ไม่แม้แต่จะมองหน้ากันด้วยซ้ำ พอเห็นว่าผมทานหมดแล้ว ไอ้พาสต้าก็แค่จ่ายเงินแล้วปล่อยให้ผมเดิมตามมันอย่างเดียว จะเอาแบบนี้ใช่ไหม ก็ได้ ไม่อยากพูดก็ไม่ต้องพูดกันเลย หึ่ย!!

    จนแม้กระทั่งรถมาจอดถึงหน้าบ้านผม ไอ้พาสต้าก็ยังไม่ปริปากพูดอะไรสักคำ ผมกำหมัดแน่นส่วนอีกมือประคองไว้ตลอดทาง ก็แค่อยากระบายความอึดอัดที่เกิดขึ้นนี้

    “ทำอะไรอ่ะ” ผมพูดท้วง เพราะไอ้พาสต้าที่ไม่ยอมมองหน้าผม แต่หันไปอีกทางมองออกไปนอกรถแทน เลื่อนมือมาดึงมือผมไปจับไปอย่างเงียบๆ คววามอบอุ่นถูกส่งผ่านทางสองมือที่จับกันอยู่  ทำเอาความรู้สึกๆไม่พอใจของผมทั้งหมดสลายหายไปในพริบตา

    “อยู่เฉยๆนะ พี่ขอ” ไอ้พาสต้าพูดแค่นั้นแล้วความเงียบก็เกิดขึ้นอีกครั้ง แต่ไม่ใช่ในบรรยากาศอึดอัดที่น่าเบื่อเหมือนตลอดทางที่ผ่านมา แต่กลับกลายเป็นความรู้สึกที่ต่างคนต่างไม่กล้าพูดมากกว่า  ไม่รู้ว่าเพราะอะไรเหมือนกัน แต่ผมอยากอยู่แบบนี้ไปนานๆจัง

    “เอ่อคือ...” ไอ้พาสต้าทำท่าทางเหมือนอยากพูดอะไรสักอย่าง แต่มันก็เงียบไปพร้อมกับหลับตาลง ราวกับกำลังพยายามรวบรวมพลังเพื่อให้กล้าพูดประโยคที่มันอยากพูดออกมา

    “มีอะไร” ผมลองถามดู ไอ้พาสต้าจับมือผมแน่นขึ้นจนน่าสงสัย

     “วิคเตอร์ พี่ว่าเราอย่าเจอกันเลยเถอะ” อยู่ๆไอ้พาสต้าก็หันกลับมาหาผมแล้วพูดขึ้นมา น้ำเสียงพูดเหมือนคุยกันธรรมดาทั่วไป แต่ทำไมทำให้ผมรู้สึกจุกได้ขนาดนี้ล่ะ ความมรู้สึกชาวาบแล่นไปทั่วร่างกาย ผมพยายามดึงมือตัวเองอออกจากมือไอ้พาสต้าแต่มันก็รั้งไว้เสียแน่น

    “ทำไม” ผมมองที่มือตัวเองที่ถูกจับอยู่แล้วเปลี่ยนขึ้นไปมองหน้ามันอย่างไม่เข้าใจ คำพูดกับการกระทำมันสวนทางกันแปลกๆนะ มันต้องการจะสื่ออะไรกับผมกันแน่

    “พี่ต้องถามเรามากกว่า ทำแบบนี้ทำไมวิคเตอร์” ไอ้พาสต้าถามกลับด้วยสีหน้าจริงจัง

    “หมายความว่าไง กูทำอะไร” แม้ว่าจะพอรู้ตัวเองว่าทำอะไรลงไป แต่ผมก็ไม่อยากยอมรับหรอกนะ ก็ทำไมล่ะ ผมเองก็ตอบตัวเองไม่ได้ หาเหตุผลให้ตัวเองไม่ได้เหมือนกัน

    “วิคเตอร์ พี่รู้ว่าเรารู้ว่าพี่พูดถึงอะไร” สายตาแบบนี้อีกแล้ว ผมไม่กล้ามองเลยจริงๆ มันไม่ใช่สายตาดุแบบที่เคยเจอ แต่เป็นสายตาขอร้อง สายตาที่ทำให้ผมรู้สึกผิด

    “ไม่รู้ กูจะไปเดาใจมึงออกได้ไง” ผมพูดบ่ายเบี่ยงะร้อมหลบสายตาไอ้พาสต้า

    “วิคเตอร์ เลิกเล่นสักทีเถอะ เราบอกว่าเราเกลียดพี่ ไม่อยากเจอพี่ แต่นี่เรากำลังทำอะไรกันแน่ ไปหาพี่ถึงมอ วันนี้ก็เรียกพี่ออกมาหาอีก มันคืออะไรวิคเตอร์” ไอ้พาสต้าพล่ามยาวออกมา  เหมือนตอนอยู่ในร้านเลย แต่เหมือนคราวนี้มันจะจริงจังกว่ามาก ยิ่งกว่านั้นมีเราแค่สองคนด้วยตอนนี้ แบบนี้คือไม่มีทางที่ผมจะหลบพ้นเลยจริงๆล่ะ  

    “มึงก็รู้อยู่แล้วไม่ใช่หรือไง” ผมแกล้งพูดออกไปอย่างนั้น ก็เมื่อเช้าตอนอยู่ในร้านมันก็ถามทีหนึ่งแล้วนี่ มันมาถามอะไรผมอีกล่ะ คำตอบที่ผมมีให้มันก็เหมือนเดิมนั้นแหละ

    “ไม่ใช่อ่ะวิคเตอร์ สิ่งที่เราทำมันไม่ได้เรียกว่าแก้แค้นอะไรเลย โอเคพี่เจ็บ ใช่ แต่มันไม่เหมือนกันเลยวิคเตอร์ พี่ไม่ได้เจ็บเพราะเจอเรา แต่ที่พี่เจ็บคือความไม่ชัดเจนของเรา วิคเตอร์”

    “อะไรคือกูไม่ชัดเจน” ผมมองหน้ามันแล้วถามกลับอย่างงงๆ

    “ถามตัวเองดีกว่าวิคเตอร์ ตกลงว่าเราจะเกลียดขี้หน้าพี่ หรือจะอะไรกันแน่ พี่พยายามหยุดทุกอย่างแล้วนะวิคเตอร์ แต่สิ่งที่เราทำตอนนี้มันไม่ต่างจากการให้ความหวังพี่เลยสักนิด” ผมเงียบไปเลยทันที หันหน้าออกไปมองข้างนอกหน้าต่างแทน วางข้อศอกกับกระจกแล้วปิดปากตัวเองอย่างครุ่นคิด ทว่ามืออีกข้างยังถูกใครอีกคนกุมไว้เสียแน่นไม่ยอมปล่อยเลย

    “วิคเตอร์” ไอ้พาสต้าพูดด้วยน้ำเสียงเว้าวอนอย่างต้องการคำตอบ แล้วคำตอบอะไรล่ะที่ผมควรจะตอบมัน ผมเองก็ไม่ใช่ว่าจะรู้ใจตัวเองสักหน่อยว่าตอนนี้ต้องการอะไรน่ะ

    “กู...ไม่รู้” แค่นั้นเองที่ผมพอจะพูดได้ในเวลานี้ เหมือนว่าอีกคนจะไม่ค่อยพอใจเท่าไร ไอ้พาสต้าถอนหายใจออกมา ก่อนจะใช้มืออีกข้างประคองใบหน้าผมให้หันกลับมามองที่มัน

    “ไม่เอาคำตอบนี้วิคเตอร์ พี่ไม่อยากให้มันยืดเยื้อต่อไปอีก พี่เหนื่อยมาพอแล้ว พี่ไม่ใช่คนโง่ที่จะทนทำร้ายตัวเองไปได้ตลอดหรอกนะ คิดใหม่แล้วตอบพี่มาตรงๆ” ไอ้พาสต้าคาดคั้นอย่างเอาจริงเอาจัง แล้วจะให้ผมพูดว่าอะไรออกไปล่ะ สิ่งที่ผมรู้ในเวลานี้คือผมดีใจที่มันไม่ร้ายกับผมแล้ว ผมว่าอยู่แบบนี้มันก็ดีแล้ว แต่พอมาคิดว่าจะไม่ได้เจอมันอีก ผมไม่เอาด้วยจริงๆนะ

    “ทำไมวะ ทำไมมึงต้องคิดกับกูแบบนั้นตลอดเวลาด้วย มึงกลับมาเป็นเพื่อนไอ้วินเนอร์เหมือนเดิมไม่ได้หรือไงวะ” ผมพูดออกไปแต่กลับทำให้ไอ้พาสต้าเงียบ ใบหน้าหล่อก้มลงมองดูมือของตัวเองที่กุมมือผมอยู่ ก่อนจะใช้นิ้วโป้งเขี่ยเล่นบริเวณหลังมือผมเบาๆอย่างใช้ความคิด

    “เพื่อนไอ้วินเนอร์ คนที่ความจริงเราก็จำพี่ไมได้อ่ะนะ”  มันถามผมทั้งที่ยังมองมืออยู่

    “จำได้ดิ...” ผมพยายามเถียงกลับ แต่ก็โดนไอ้พาสต้าสวนกลับทันที

    “ได้แค่ว่าพี่ชื่อ ไอ้ต้า เพื่อนไอ้วินเนอร์ แค่นั้น มันมีความหมายอะไรกันวิคเตอร์”

    “พี่ถือว่านี่เป็นคำตอบละกัน ถ้าจะให้พี่เลิกคิดกับเราแบบที่เป็นตอนนี้พี่บอกเลยว่าพี่ทำไม่ได้ การที่คนเรารักใครสักคนแล้ว มันไม่ได้เปลี่ยนกันง่ายๆหรอกนะวิคเตอร์ แต่ถ้าเราอยากให้พี่กลับไปเป็นไอ้ต้าเพื่อนไอ้วินเนอร์เหมือนเดิม ก็ได้ พี่ยอม ไอ้พาสต้าคนเลวที่เราเกลียดนักหนาจะหายไปจากโลก เหลือไว้แค่ไอ้ต้า เพื่อนของไอ้วินเนอร์ พี่ชายเรา  แค่นั้น  แต่เราเองก็อย่าลืมละกัน ว่าพี่จะไม่ใช่ไอ้พาสต้าของเราแล้วนะ พี่กลายเป็นพี่ต้าคนเดิมที่เคยเจอเรามาเมื่อนานมาแล้ว” ไอ้พาสต้าเงยหน้าแล้วพูดกับผม ด้วยรอยยิ้มที่ดูเศร้า รอยยิ้มที่ผมเองก็ยังเจ็บปวด

    “ไอ้พาส”  ผมเรียกชื่อมันด้วยเสียงอันเบา ทำไมผมรู้สึกเหมือนคนตรงหน้ากำลังจะหายไปเลยล่ะ ทั้งน้ำเสียง แววตา และสีหน้าเจ็บปวดนั่น มันกำลังบอกลาผมอยู่งั้นหรอ

                “พี่ให้แค่คืนนี้นะ ตั้งแต่พรุ่งนี้ไปเรียกพี่ว่าพี่ต้าเหมือนเมื่อก่อนด้วยล่ะ ถือว่าพี่ขอ” ยิ้มแบบนี้อีกแล้ว ถ้ามึงจะยิ้มแล้วแววตามึงเศร้าขนาดนี้มึงไม่ต้องฝืนยิ้มให้กูก็ได้

    “แต่กูไม่ชินอ่ะ” ผมเถียงกลับเหมือนเด็กๆ ก็จริงนี่ มันปุบปับเกินไปอ่ะ

    “ถือว่าตกลงกันแล้วนะวิคเตอร์ แบบนี้ล่ะสบายใจที่สุด แบบที่เราต้องการไม่ใช่หรือไง ถ้าอยากให้พี่เป็นแค่เพื่อนพี่ชายเรา เราเองก็ต้องลืมเรื่องของไอ้พาสต้าไปซะ” ไอ้พาสต้าพูด

    “ก็ได้” ผมตอบกลับไป แต่มันกลัวดูเศร้าลงกว่าเดิมซะงั้น เฮ้ย ทำไมเป็นแบบนั้นล่ะ

    “โอเคนะ ตามนี้ เราไปได้แล้ว” ไอ้พาสต้าปล่อยมือออกจากตัวผมทั้งหมด แล้วย้ายกลับไปจับที่พวกมาลัย แต่ทำไมมันจับแน่นจนเส้นเลือดปูดขึ้นมาแบบนั้นล่ะ

    “อืม กูไปล่ะ” ผมละสายตาจากมือมัน ก่อนจะเปิดประตูรถเตรียมลงจากรถเข้าบ้าน

    “เฮ้ย!!!...อะ...อื้อ...”  เป็นผมที่ร้องอุทานออกมา เพราะขณะที่จะก้าวลงจากรถ อยู่ๆก็ถูกใครอีกคนดึงตัวเข้าไปจูบอย่างรวดเร็ว ริมฝีปากหนากดลงบนริมฝีปากผมอย่างหนักแน่น มืออีกข้างประคองท้ายทอยผมไว้อย่างเบาๆ ราวกับทุกความรู้สึกของไอ้พาสต้ากำลังถูกสื่อสารมาถึงผม จูบที่อ่อนโยนแต่มั่นคง มือข้างที่ดึงตัวผม จับมือผมเคลื่อนไปวางไว้ที่อกของมันจนสัมผัสได้ถึงแรงเต้นของหัวใจ ไอ้นานนักไอ้พาสต้าก็ถอนริมฝีปากตัวเองออก ก่อนจะย้ายขึ้นไปจูบที่หน้าผากของผมอย่างแผ่วเบา แต่แรงสัมผัสอันน้อยนิดกลับทำให้ผมรู้สึกอบอุ่นอย่างบอกไม่ถูก แต่ก็แทนที่ด้วยความว่างเปล่าทันทีที่ใครอีกคนปล่อยตัวผม ก่อนจะส่งยิ้มฝืนๆให้

    “พี่ขอโทษนะ” ผมเงียบแล้วเลือกที่จะออกจากรถทันที การกระทำเมื่อกี้มันกำลังทำให้ผมสับสน  ทันทีที่ประตูปิดลง ไอ้พาสต้าก็สตาร์ทรถแล้วเร่งเครื่องขับออกไปเลยอย่างเร็ว ปล่อยให้ผมเดินเข้าบ้านราวกับคนไร้วิญญาณ ผมไม่รู้ว่าควรทำยังไง ไม่รู้เลยแม้กระทั่งความรู้สึกของตัวเอง แต่ที่ ณ เวลานี้มีสิ่งเดียวที่ผมพอจะเดาได้คือ ไอ้พาสต้ากำลังจะจากผมไปแล้วใช่ไหม

     

    [Pasta]         

              ผมขับรถออกจากหน้าบ้านของวิคเตอร์ได้ไม่ไกลนักก็ต้องหยุดรถ ก่อนที่จะซบหน้าลงกับพวงมาลัยอย่างยอมแพ้ ใครจะว่าผมอ่อนแอก็ช่าง แต่ผมไม่ไหวแล้วจริงๆ

    หึหึ เพื่อนไอ้วินเนอร์งั้นหรอ ให้พี่หายไปจากชีวิตเรายังจะง่ายกว่าเลย วิคเตอร์

    เสียงโทรศัพท์ที่ดังขึ้น ดึงผมออกจากความคิด น้ำตาที่พึ่งเริ่มไหลถูกเช็ดออกอย่างลวกๆ

    ว่าไง ผมรับสายทันที เพราะเห็นชื่อแล้วว่าคนๆนี้อาจช่วยปลอบผมได้บ้าง

    มึงโอเคไหม ผมหลับตาลงเอนหลังพิงกับเบาะอย่างปล่อยวาง ผมก็พอจะเดาได้ว่าไอ้วินเนอร์น่าจะเห็นผมกับวิคเตอร์แน่ๆ ไม่งั้นมันคงไม่โทรมาถูกเวลาแบบนี้หรอก

    กูว่าไม่ว่ะ ผมตอบไปตามตรง ไม่มีอะไรต้องปิดบัง สำหรับเพื่อนสนิทคนนี้

    แล้วมึงจะยอมถอยจริงๆแล้วงั้นหรอ ไอ้วินเนอร์ถามผมกลับ

    ก็กูจะทำอะไรต่อไปได้ล่ะวะ ใช่ ผมถูกบอกมาแบบนั้นแล้ว ผมจะทำอะไรได้

    ไอ้วิคเตอร์ตาแดงเดินเข้าบ้าน ร้องไห้งั้นหรอ ตัวเล็ก พี่ต่างหากที่ควรจะร้องน่ะ ผมรู้นะว่าไอ้วินเนอร์ต้องการที่จะสื่ออะไรถึงผม แต่ไม่ว่ายังไงผมก็แค่คนนอกแล้วเวลานี้

     ‘ต่อให้น้องมึงมาร้องไห้ต่อหน้ากู กูก็ทำอะไรไม่ได้ มึงเข้าใจไหมไอ้วินเนอร์ ตอนนี้กูมีค่าแต่เป็นเพื่อนมึง กูคือพี่ต้า กูไม่ใช่ไอ้พาสต้าอีกแล้ว ยิ่งพูดก็เหมือนยิ่งตอกย้ำสถานะของตัวเอง

    มันพูดแบบนั้นหรอวะ ไอ้วินเนอร์ถามด้วยน้ำเสียงเกรงใจพยายามไม่ให้ซ้ำเติมผม

    ... เงียบ ผมไม่อยากที่จะพูดซ้ำเติมตัวเอง ผมไม่ได้แข็งแกร่งพอที่จะรับได้ทันทีหรอกนะ

    เชี่ย เรื่องของพวกมึงนี่กูไม่รู้จะทำไงจริงๆว่ะ กูไม่น่าบังคับมึงเลยจริงๆ ไอ้วินเนอร์พูด

    ไม่เกี่ยวว่ะ คนที่มันไม่ใช่ยังไงก็คือไม่ใช่ ไม่ว่าจะเข้ามาด้วยวิธีไหนก็ตามทีเถอะ

    ไอ้ต้า ความจริงยังไงก็คือความจริง ยังไงก็หนีมันไม่พ้นหรอก

    แค่นี้ก่อนนะ ดูแลมันดีๆด้วย ผมเลือกที่จะบอกหยุดการสนทนา ผมอยากอยู่คนเดียว

    อืม ไอ้วินเนอร์ยอมวางสายแต่โดนดี ส่วนผมก็ก้มหน้าฟุบลงกับพวงมาลัยรถเหมือนเดิม วันนี้คนที่ชื่อพาสต้าขออ่อนแอสักวันเถอะ จะเป็นไรไป ยังไงเสีย ก็ไม่มีใครช่วยอะไรผมได้ ถ้าใครเห็นก็ให้มันรู้กันไปเลยว่าผู้ชายอย่างผมก็ร้องไห้เป็น ปล่อยออกมาให้หมดปล่อยไอ้พาสต้าออกมาเพื่อที่ผมจะได้ฟื้นกลับขึ้นมาใหม่ มาเป็นพี่ต้า คนที่เป็นแค่ เพื่อนของพี่ชาย 


    **********************************************************

     
    ขอบคุณทุกคนที่ติดตามนะครับผม





    พิเศษ!!  ใครอยากพูดคุยกันก็ไปเจอได้ในเพจนะครับ ลิ้งอยู่หน้าแรก หาให้เจอนะครับ ถ้าคนเยอะแล้วจะเริ่มคุยจริงจังละ มีคนไปตามหาเพจผมเจอด้วยล่ะ 5555 เก่งเวอร์  ผมแปะเฟสไว้หน้านิยายแบบชาวบ้านเขาไม่ได้อ่ะ ผมเป็น ver.1 อยู่ ไปคุยกันได้นะครับ ^ ^ 

     
    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×