ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    My wife ขอโทษที คนนี้เมียกู [END]

    ลำดับตอนที่ #37 : .....My wife.....{37}

    • เนื้อหาตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 4.41K
      11
      23 ก.พ. 58

     

    .....My wife..... {37}

    [Saint]

              ผมนั่งเล่นอยู่ในห้องของตัวเองอย่างเบื่อหน่าย ไม่มีการติดต่อใดๆมาจากใครทั้งสิ้น หลังจากเหตุการณ์นั้น ไอ้คีย์ที่พาไอ้ฟอร์สหายไปนั้นผมไม่รู้เรื่องว่าเกิดอะไรขึ้น แม้แต่ไอ้พี่ไนน์เอง ไม่มีทำท่าว่าจะมีอะไรเปลี่ยนแปลงไปเลยสักนิด ให้ตายเถอะ ผมไม่ชอบความรู้สึกอึดอัดแบบนี้เลยจ ให้ตายสิ ไอ้วิคเตอร์ก็พอกัน หายไปเลยอีกคน แต่เห็นจากที่มันเงียบหลายๆวันนี้ผมว่ามันเองก็น่าจะเจอปัญหาชีวิตที่แก้ไม่ตกเหมือนกันนั่นแหละ ผมไม่รู้นะว่าเกิดอะไรขึ้นกับมัน แต่กับคนอย่างมัน ไม่ยอมออกปากพูดง่ายๆหรอกถ้ามันไม่ยอมพูดเองนะ

    “เซนท์ เพื่อนมาหาน่ะลูก”

    “ครับแม่” เกินกว่าความสงสัยว่าใครจะมาในเวลานี้ คือความคาดหวังว่าจะเป็นใครสักคนที่ผมนึกถึงในเวลานี้มากกว่า และดูท่าว่าความคิดผมจะได้รับการตอบสนองจริงๆ เพราะทันทีที่ผมเดินลงมา เพื่อนคนที่ผมเจอก็คือคนที่ผมคิดว่าน่าจะช่วยผมได้ดีในตอนนี้เลยล่ะ

    “ไง” ไอ้คีย์ในชุดสบายๆทักผมราวกับว่าไม่มีอะไรเกิดขึ้น

    “ไม่ต้องมาไงเลยมึง” ผมย้อนมัน ดูทำท่าเข้า ผมแม่งกำลังคิดมากแล้วทำไมมันชิลเนี่ย

    “กูรู้ว่ามึงอยากคุยด้วย เลยแยกมาหามึง” เป็นเหตุผลหนึ่งที่ผมยอมไอ้เพื่อนคนนี้ล่ะ ไอ้การที่คิดอะไรตามทันคนอื่นตลอดเนี่ย บางทีมันก็เป็นอะไรที่น่ากลัวเหมือนกันนะ

    “แยกมาหา คือยังไง” ผมถามมันกลับ เพราคำพูดที่น่าสงสัยของมัน

    “ยาวหน่อย คุยกันนอกบ้านป่ะ หรือห้องมึง”

    “ข้างนอกก็ได้ กูอยู่ห้องจนเบื่อละ” ตกลงตามนั้นพวกผมเลยย้ายที่คุยกันออกมาเป็นม้านั่งนอกบ้านที่ค่อนข้างจะสงบเงียบ ร่มไม้ใหญ่กับลมที่พัดเบาๆทำให้ผมใจเย็นลงได้เสมอ

    “กูมาส่งฟอร์ส” ไม่ต้องรอให้ผมพูดก่อน ไอ้คีย์ก็พูดคำตอบที่ผมต้องการรู้ให้เลยทันที

    “มันอยู่ไหน” ผมถามกลับ แม้จะรู้สึกเคืองๆอยู่ แต่ผมว่าไอ้คีย์คงมีเหตุผลของมัน

    “บ้านพีไนน์” ไปทำไมวะ  นั่นเป็นความคิดแรกของผมเลยล่ะ

    “ไม่ลุกไปหรือไง” ไอ้คีย์พูดดักคอผมพร้อมกับรอยยิ้มขำๆ

    “ไม่อ่ะ กูว่ามันต้องมีอะไรมากกว่าที่กูคิด ไม่งั้นมึงไม่มาบอกกูหรอก” ถ้าคนอย่างไอ้ฟอร์สจะก่อเรื่องอะไรอีก ผมว่าไอ้คีย์มันไม่มานั่งสบายใจอยู่ตรงนี้กับผมหรอกน่า

    “ก็ไม่มีอะไรมาก แค่ฟอร์สมันอยากคุยกับพี่ไนน์ก็เท่านั้น”

    “เรื่องอะไร” ผมคิดไม่ออกจริงๆว่าทำไมไอ้ฟอร์สถึงต้องอยากเจอไอ้ไนน์ด้วย คือคนอย่างไอ้ไนน์มันกล้าที่จะเจอไอ้ฟอร์สแหละ แต่ก็คิดไม่ออกอยู่ดีว่าเจอกันทำไม

    “ความจริงไง” นี่เป็นสิ่งที่ทำให้ผมรู้สึกเบื่อมันมากเลยก็คือการที่พูดอะไรไม่ชัดเจนเนี่ยแหละ คือมึงจะช่วยกรุณาขยายความให้กูหน่อยได้ไหม ว่าอะไรคือความจริง

    “ไม่ต้องทำหน้าแบบนั้น กูบอกมึงแน่ รายละเอียดเดียวกับที่ไอ้ฟอร์สคุยอยู่กับพี่ไนน์ด้วย แต่ก่อนจะคุยเรื่องนั้นกูอยากถามมึงก่อนสักเรื่อง” เรื่องอ่านคนได้ไม่มีใครเกินมันจริงๆ

    “คือถ้ากูไม่ตอบมึงก่อน กูก็คงไม่รู้เรื่องไอ้ฟอร์สใช่ไหม” ผมลองถามยอกย้อนไอ้คีย์ดู แต่สงสัยไม่น่าจะได้ผล เพราะมันยิ้มตอบกลับมาให้ผมเพียงอย่างเดียว

    “โอเคๆ กูยอมละๆ เรื่องมึงก่อนเลยครับ ไอ้คุณคีย์”

    “สำหรับมึง มึงว่าคนที่พยายามทำอะไรเพื่อหัวใจตัวเองมันผิดไหมวะ” เป็นคำถามที่แปลกมากครับตั้งตัวไม่ทันเลย นี่มันมาแนวไหนของมัน นึกคิดอะไรอยู่ในหัวล่ะเนี่ย มันถึงถามผมมาแบบนี้ คนละเรื่องกับที่คุยกันเมื่อกี้เลย แต่สีหน้ามันคือจริงจังมากอ่ะ

    “มันจะผิดได้ไงวะ ใครๆเขาก็ทำกัน”

    “หรอวะ แต่ถ้าบางทีเรื่องของหัวใจที่ว่ามันไม่ใช่แค่เรื่องของคนสองคนล่ะ ถ้าบางทีสิ่งที่มึงทำ มันตามหัวใจมึงจริง แต่มันกลับไม่เป็นที่ต้องการสำหรับหัวใจคนอื่นล่ะ มึงจะว่ายังไง”

    “มึงกำลังต้องการจะสื่ออะไรเนี่ย” ผมไม่ค่อยเข้าใจในสิ่งที่มันพูดเท่าไร

    “กูก็กำลังจะบอกว่า สิ่งที่ไอ้ฟอร์สมันทำลงไป มันก็ไม่ต่างอะไรกับสิ่งที่กูถามมึงในตอนนี้หรอก” ผมได้ยินแบบนั้นแล้วก็ถึงกับถอนหายใจออกมา

    “แต่บางทีมันก็ต้องมีขอบเขตของการกระทำนะเว้ย ไม่ใช่ว่ามึงจะอ้างว่าเพราะทำตามหัวใจแล้วมึงจะทำอะไรก็ได้ แล้วบางที คนเรามันก็น่าจะรู้ตัวเองไม่ใช่หรอ ว่าสิ่งที่ทำลงไปมันจะได้ผลหรือเปล่า โอเค กูยอมรับว่าบางทีมันก็คุ้มค่าที่จะเสี่ยง แต่บางทีมันก็เห็นผลตั้งแต่ยังไม่ได้เริ่มเลยหรือเปล่าวะ” ไอ้คีย์ได้แต่นิ่งเงียบไม่พูดอะไรตอบโต้

    “กูยอมรับว่าสิ่งที่กูพูดมันออกจะดูโหดร้ายเกินไป แต่ในบางครั้งสิ่งที่ทำลงไป มันมีแต่จะทำให้คนอื่นต้องเจ็บปวดเท่านั้นนะเว้ย แล้วแบบนี้มันจะได้อะไรขึ้นมาวะ” เป็นผมบ้างที่พูดด้วยสีหน้าจริงจัง แต่สิ่งที่ไอ้คีย์ทำอยู่คือมันกลับยิ้มให้ผมเสียอย่างนั้น

    “มึงเข้าใจก็ดีแล้ว แล้วทีนี้กูอยากให้มึงเข้าใจไอ้ฟอร์สบ้าง จะได้หรือเปล่าล่ะ”

    “มึงหมายความว่ายังไงให้กูเข้าใจมัน จะให้กูทำเป็นเหมือนว่าไม่มีอะไรเกิดขึ้นงั้นหรอ” ระหว่างไอ้ฟอร์สกับไอ้คีย์นี่มันเกิดอะไรขึ้นวะ ทำไมคนอย่างไอ้คีย์ถึงต้องมาปกป้องไอ้ฟอร์สด้วย แบบนี้ไม่ใช่นิสัยของมันเลยนะ

    “ก็ไม่ถึงขนาดนั้น กูรู้ว่าที่มึงโกรธเพราะมึงยังไม่รู้ว่าความจริงมันเกิดอะไรขึ้นบ้าง สิ่งที่มึงกับพี่ไนน์รู้ มันก็แค่สิ่งที่ไอ้ฟอร์สอยากให้เกิด แต่ความจริงมันไม่ใช่อย่างที่มึงรู้หรอก”

    “พูดแบบนี้หมายความว่า ถ้ากูรู้ความจริงแล้ว มึงอยากให้กูให้อภัยมันว่างั้น” ผมถามมันกลับตามที่ตัวเองเข้าใจ ความจริงงั้น มันมีอะไรที่อยู่นอกเหนือจากที่ผมรับรู้อีกหรือไงกัน

    “ก็ประมาณนั้นมั้ง กูว่าตอนนี้ไอ้ฟอร์สเองก็คงกำลังสารภาพกับพี่ไนน์มั้ง”

    “นี่ทำไมมึงรู้ทุกเรื่องเลยเนี่ย อย่างกับว่ามึงเป็นคนต้นคิดให้ไอ้ฟอร์สอย่างนั้นแหละ”

    “ไม่มีเรื่องอะไรเกี่ยวกับไอ้ฟอร์สที่กูไม่รู้หรอกว่ะ” ไอ้คีย์พูดพลางยิ้มอย่างมีเลศนัย รอยยิ้มแบบนี้แหละที่ผมว่าน่ากลัวที่สุดสำหรับคนอย่างไอ้คีย์มันอ่ะนะ

    “ถ้าแบบนั้นกูว่ากูต้องรู้ความจริงก่อน ไม่งั้นกูก็บอกไม่ได้ว่าควรให้อภัยไอ้ฟอร์สดีหรือเปล่า” ผมพูดแบบต่อรอง แต่ไอ้คีย์ทำท่าไม่สะทกสะท้านใดๆ

    “ความจริงก็มีแค่ว่า เรื่องคืนนั้น มึงกับไอ้ฟอร์สไม่ได้มีอะไรกัน” กลับเป็นคำพูดของไอ้คีย์มากกว่าที่มีผลกับผม ทำเอาผมนิ่งไปสักพักเพราะความคิดมากมายที่กำลังสับสนตอนนี้

    “คนอย่างไอ้ฟอร์ส มันไม่ได้กล้าขนาดที่มึงคิดหรอก”

     

    [Nein] 

              “พี่ไนน์ครับ คือ...” เสียงอ้ำอึ้งของไอ้เด็กม.ปลายที่อยากเจอผมแต่เช้านี่เล่นเอาผมรู้สึกรำคาญเหมือนกันนะ คือมันเป็นฝ่ายอยากเจอผมเองนะ แต่ที่พอเจอหน้าแล้วก็นั่งเงียบตั้งนานนี่คือะไรกัน ความกล้าเหมือนตอนที่เจอกันครั้งก่อนนี่หายไปไหนหมด ตอนนี้ทำไมหงอเชียว ก็ไม่ใช่ว่าผมจะโกรธอะไรมันนักหนานะ เพราะด้วยความที่โตมาขนาดนี้ก็พอจะดูมันออกว่าตัวมันเองจริงๆเป็นยังไง แล้วมันทำไปเพื่ออะไร แต่เวลานี้เนี่ยแหละที่ผมงงว่ามันจะทำอะไรกัน   

    “จะพูดอะไรก็พูดมา” ผมทำเสียงดุใส่ไอ้ฟอร์ส ไม่อยากทำเท่าไรหรอกครับ แต่ไม่อย่างนั้นผมว่าวันนี้ก็คงไม่รู้เรื่องกันสักทีแหละ ถ้าถามว่าผมไม่โกรธมันหรอ ผมไม่ใช่คนที่จะใช้อารมณ์เป็นตัวแก้ปัญหานะครับ ในเมื่อเจ้าตัวกล้าที่จะมาเจอผมเอง แล้วมีเหตุผลอะไรที่ผมจะไม่คุยด้วยล่ะ อีกอย่างที่นี่ก็บ้านผม แล้วผมก็ไม่ได้อยู่คนเดียวเสียหน่อย ไม่มีอะไรให้กลัว

    “ผมขอโทษครับ” มันพูดออกมาเสียงเบาแต่ผมก็ได้ยินชัดเจน ทำเอาผมมองมันแบบงงๆ

    “ไม่เข้าใจ” คำพูดนั้นทำให้ไอ้ฟอร์สที่นั่งก้มหน้าอยู่เงยหน้ามองผมแล้วพูดซ้ำอีกรอบ

    “ขอโทษสำหรับเรื่องที่ผมก่อขึ้นครับ”

    “คือจะว่าไงดีล่ะ พี่ถามจริงว่ามันได้อะไร” เหมือนคำพูดผมจะสื่อสารได้ไม่ค่อยดีเท่าไร ผมเลยเห็นไอ้ฟอร์สทำหน้าไม่เข้าใจ ไม่รู้จะพูดอะไรตอบผม

    “พี่หมายความว่า เรื่องที่เกิดขึ้นพี่ไม่ได้ติดใจอะไรกับเราเลยด้วยซ้ำ เพราะพี่เข้าใจว่าทำไมเราถึงทำแบบนั้น คนแต่ละคนมันไม่เหมือนกันฟอร์ส คนเรามีแนวทางในการจัดการเรื่องต่างๆต่างกัน ถ้าเป็นพี่ พี่อาจจะไม่ทำแบบเรา แต่คนอื่นๆที่เหมือนก็อาจจะมีก็ได้” ผมพูดขยายความให้คนตรงหน้าฟัง ผมวาไอ้ฟอร์สเองก็คงจะคิดไม่ถึงแหละนะว่าผมจะมีความคิดแบบนี้น่ะ

    “แต่เพราะผม พี่กับเซนท์ก็เลย...”

    “มันไม่เกี่ยวกันฟอร์ส ต่อให้เราไม่ทำ พี่เชื่อว่ามันก็มีคนคิดที่จะทำ แล้วยังไงล่ะ เรื่องแบบนี้โอกาสเกิดมันมีเยอะแยะ แต่มันก็จะไม่เกิดขึ้นเลยถ้าคนแบบไอ้เซนท์หัดระวังตัวเสียบ้าง ไม่ต้องอ้างด้วยว่าเพราะเราเป็นเพื่อน ไอ้เซนท์เลยไม่คิดอะไร พี่ถามจริง คนเราจะรู้ความคิดคนอื่นได้ขนาดไหนกันเชียว” ผมพูดอธิบายเพิ่มเพื่อให้ไอ้ฟอร์สเข้าใจในสิ่งที่ผมคิดมากขึ้น

    “พี่ไนน์ แต่ความจริงมันไม่ได้เป็นแบบที่พี่รู้นะ” คำพูดนั้นทำเอาผมแปลกใจพอควร

    “หมายความว่ายังไง ความจริง”

    “คือไอ้เรื่องระหว่างผมกับไอ้เซนท์ มันไม่มีอะไรเกิดขึ้นตามที่พี่เข้าใจหรอกครับ” ผมมองไอ้ฟอร์สแบบงงๆ ไม่ค่อยเข้าใจเท่าไร มันกำลังจะบอกว่าผมเข้าใจผิดงั้นหรอ เรื่องอะไร?

    “ยังไงคือไม่ใช่ตามที่พี่เข้าใจ” ผมค่อนข้างไม่เข้าใจกับสิ่งที่ได้เด็กตรงหน้านี่พูดนะ

    “คือ... ทั้งหมดที่พี่เห็นอ่ะครับ มันก็แค่สิ่งที่ผมจัดฉากขึ้นมาเอง มันไม่ได้มีอะไรเกิดขึ้นระหว่างผมกับไอ้เซนท์หรอกครับ” ไม่รู้เหมือนกันว่าทำไม คำตอบของไอ้ฟอร์สกลับทำให้ผมรู้สึกโล่งอย่างบอกไม่ถูก อารมณ์ขุ่นมัวที่สะสมมาเริ่มหายไปทีละนิด

    “แล้วทำไมนายถึง...” เวลาแบบนี้อะไรคือสิ่งที่ผมควรจะถามกันแน่

    “ถ้าจะถามว่าทำไมผมไม่ทำจริงๆเลยก็...ไม่รู้สิครับ ผมอาจจะยังมีความละอายอยู่ก็ได้” ไอ้ฟอร์สก้มหน้าก้มตาพูดราวกับว่าไม่อยากให้ใคเห็นความอ่อนแอในแววตาของมัน

    “ละอายงั้นหรอ ไม่เข้าใจอยู่ดี” มีอะไรแบบนี้ด้วยหรอ ผมคิดไม่ถึงเลยแฮะ

    “ก็ไม่ว่าจะยังไง ไอ้เซนท์ก็เป็นเพื่อนของผม อีกอย่างสำหรับมัน พี่ไนน์เป็นคนสำคัญนี่ครับ ไม่แค่คบเล่นๆเหมือนที่ผ่านมา พอแค่คิดแบบนี้แล้ว ผมกลับรู้สึกไม่กล้าพอที่จะทำลงไป” บางทีคนเราอาจจะคิดอะไรที่ซับซ้อนได้มากกว่าที่คนอื่นจะคาดถึงก็ได้นะผมว่า

    “เฮ้อ.. ไม่รู้สิ การที่เรื่องมันกลายเป็นแบบนี้พี่ควรจะทำยังไงดีล่ะ” ผมพูดออกไปเป็นเชิงคำถาม แต่ลึกๆแล้วผมก็รู้อยู่แหละว่าคำตอบที่น่าจะได้รับคืออะไร

    “ก็ในเมื่อเรื่องมันมาขนาดนี้แล้ว ผมว่าพี่น่าจะดีกันได้แล้วนะครับ” รอยยิ้มอ่อนๆถูกส่งมาจากไอ้ฟอร์ส ซึ่งดูก็รู้ว่าคำพูดที่มันพูดออกมาเองนั้นบาดใจมันแค่ไหน

    “ไม่รู้ว่ะ อะไรหลายๆอย่างมันก็คงจะไม่ง่ายขนาดนั้นนะ” ผมก็บอกตัวเองไม่ถูกเหมือนว่าทำไม แต่ในใจของผมตอนนี้ก็ยังคงมีความรู้สึกเคืองไอ้เซนท์อยู่

    “ทำไมล่ะครับ พี่ยังติดใจเรื่องอะไรอยู่หรือเปล่า”

    “ก็ไม่มีหรอกนะ แต่ว่านะฟอร์ส ก็อย่างที่พี่บอกไปนั่นแหละ มันไม่ใช่เรื่องว่าไอ้เซนท์จะนอนกับใครหรือยังไง แต่มันอยู่ที่ว่ามันดูแลตัวเองได้ดีแค่ไหนมากกว่า แม้ครั้งนี้นายจะจัดฉากขึ้นมา แต่ถ้ามันมีคราวหน้าที่เป็นคนอื่นล่ะ นายจะให้พี่ไว้ใจอะไรได้” พอเจอคำตอบของผมไปไอ้ฟอร์สก็ดูท่าว่าจะไปไม่ถูกเหมือนกัน มันเหมือนจะดูไร้เหตุผลนะ แต่ก็ไม่เสียทีเดียว

    “ว่าแต่นายเถอะ คิดยังไงถึงยอมมาบอกพี่ง่ายๆแบบนี้ล่ะ” น่าสงสัยนะเรื่องนี้

    “ก็ไม่มีอะไรหรอกครับ แค่ผมคิดว่าดึงดันไปมันก็ไม่ได้อะไรขึ้นมา ไม่แน่ว่าสุดท้ายถ้าผมยังแข็งต่อไป ผมอาจจะไม่เหมือนอะไรเลยก็ได้” คำพูดเสียงอ่อยที่เป็นคำตอบของคนตรงหน้ากลับทิ่มแทงลงบนใจผมอย่างบอกไม่ถูก สุดท้ายจะไม่เหลืออะไรงั้นหรอ

    “แล้วนายบอกไอ้เซนท์เรื่องนี้ไหม” มันก็เป็นคนที่ควรจะรู้เรื่องด้วยในเวลานี้นะ

    “ไอ้คีย์คงไปบอกแล้วล่ะครับ” คีย์??  ออ..เพื่อนไอ้เซนท์ที่โผล่มาด้วยตอนนั้นอ่ะนะ

    “พี่ไม่รู้จะตอบว่ายังไงดีเหมือนกัน แต่ว่าต้องขอเวลาหน่อยละกันนะ” ผมตอบไปตามที่คิด ผมขอเวลาให้ตัวเองได้คิดก่อนละกัน ว่าจากนี้ไปผมควรจะทำยังไงดี ความเงียบเข้าปกคลุมระหว่างผมกับไอ้ฟอร์สไปสักพัก จนกระทั่งมีบางอย่างที่ทำลายความเงียบในห้อง บางอย่างที่ผมคิดว่ามันมาไม่ถูกเวลาเอาเสียเลย เวลานี้ผมยังไม่ต้องการที่จะเจอมันนะ

    “พูดไปหมดแล้วงั้นสิ” คนแรกที่พูดขึ้นมาคือไอ้คนที่น่าจะชื่อคีย์ สายตาและน้ำเสียงที่พูดกับอีกคน ไม่รู้ทำไมเหมือนกัน แต่มันกลับให้ความรู้สึกถึงความห่วงใยแปลกๆ

    “อืม ก็ประมาณนั้นแหละ” ไอ้ฟอร์สพูดตอบด้วยรอยยิ้มแห้งๆ

    “ขอบใจมากนะ” ไอ้เซนท์พูดตอบเพื่อนทั้งสองคนของมัน

    “มึงไม่โกรธกูหรอ”

    “มันไม่มีอะไรให้ต้องโกรธแล้วนี่ ยังไงมึงก็เพื่อนกูน่า ในเมื่อมึงคิดได้ขนาดนี้แล้วทำไมกูต้องโกรธมึงด้วย” ไอ้เซนท์เดินเข้ามาแตะไหล่ไอ้ฟอร์สเบาๆอย่างให้กำลังใจ

    “ขอบคุณนะ” เห็นภาพแบบนี้แล้วผมก็รู้สึกดีด้วยนะ ความเข้าใจระหว่างเพื่อนผมว่าเป็นอะไรที่สวยงามนะ ไม่ว่าจะโกรธกันแค่ไหน แต่ถ้ายอมเปิดใจให้กัน ทุกอย่างมันก็จบ

    “ถ้างั้นกูว่าพวกกูควรจะกลับกันได้แล้วว่ะ” ไอ้คีย์พูดขึ้น ไอ้ฟอร์สเลยลุกเดินไปยืนข้างไอ้คีย์อย่างช่วยไม่ได้ สงสัยไอ้สองคนนี้คงมาด้วยกัน ผมว่านะ ระหว่างสองคนนี้มันคงมีเรื่องซับซ้อนน่าดูเลยล่ะ ผมรู้สึกถึงออร่าแปลกๆ มันจะเป็นแบบเพื่อนก็ไม่ใช่ จะแฟนกันก็ไม่เชิง ดูจะเป็นความสัมพันธ์ที่อธิบายยากพอสมควร แต่ก็นั่นแหละ เรื่องของคนสองคนล่ะนะ

    “กลับแล้วนะครับพี่ไนน์ ไปแล้วเพื่อน ไว้เจอกัน” ไอ้คีย์กล่าวลาผมกับไอ้เซนท์ ทั้งสองคนยกมือไหว้ลาผม ก่อนที่ไอ้คีย์จะจูงมืออีกคนแล้วก็พากันเดินออกไป  หืม ยังไงกันแน่เนี่ย

    ในห้องตอนนี้เหลือพียงผมกับไอ้เซนท์สองคน ไอ้เด็กข้างบ้านหันกลับมามองหน้าผม แต่ก็ไม่ยอมพูดอะไรออก ราวกับรอคอยให้ผมเป็นคนเริ่มพูดก่อนอย่างนั้นแหละ

    “กูรู้ว่ามึงต้องการอะไร แต่ว่าตอนนี้มันยังไม่ใช่ว่ะ”

    “ทำไมวะไนน์ เรื่องมันก็จบไปแล้วเว้ย ทุกอย่างมันก็เคลียร์แล้ว ทำไมมึงยะงเป็นแบบนี้อยู่วะ” น้ำเสียงตัดพ้อที่พูดออกมาทำให้ผมรู้สึกแย่อยู่ไม่น้อย คำพูดและน้ำเสียงที่ถูกถ่ายทอดออกมาให้ผมรับรู้ได้เลยว่าคนตรงหน้ากำลังรู้สึกอย่างไร ไม่อยากจะคิดเลยว่าไอ้เซนท์มันจมอยู่กับความรู้สึกแย่ๆแบบนี้มานานเท่าไรแล้วนะ

    “กูบอกไม่ได้วว่ะเซนท์ มึงไม่เป็นกูมึงไม่รู้หรอก ตอนนี้ตัวกูยังไม่พร้อมจริงๆ”

    “ทำไมวะ กูไม่เข้าใจมึงอ่ะ มึงทำไมต้องเป็นแบบนี้อ่ะ มึงเป็นแบบนี้มึงสบายใจมากหรือไงวะ” อย่าถามกูเลยไอ้เซนท์ มึงเองก็น่าจะตอบตัวเองได้ ว่ากูรู้สึกแบบไหนในตอนนี้

    “มึงจะให้กูปรับความรู้สึกได้เลยทันทีแบบนั้นมันไม่ง่ายไปหน่อยหรอวะ มึงก็น่าจะเข้าใจหน่อยสิวะ ความรู้สึกคนนะเว้ย มึงจะให้กูไว้ใจมึงได้ทันทีที่เพื่อนมึงมาอธิบายเรื่องทั้งหมดงั้นหรอ มึงไม่คิดว่ามันต้องใช้เวลาสร้างมันขึ้นมาใหม่หรือไงกัน มันไม่ได้ง่ายแบบที่มึงคิดนะ” ผมพูดทุกอย่างออกไปตามที่อยากจะพูด และดูเหมือนว่าไอ้เซนท์เองก็จะพูดไม่ออกเหมือนกัน

    “เพราะครั้งนี้โชคดีที่มันเป็นเพื่อนมึงที่เป็นคนทำ มึงเลยจะบอกว่าไม่มีมีอะไรงั้นหรอ ความผิดมันคือเพื่อนมึงต้องการตัวมึงอย่างเดียวงั้นหรอ แล้วมึงจะโชคดีแบบนี้ตลอดไปไหมเซนท์ แล้วถ้าต่อไปไม่ใช่เพื่อนมึงล่ะ ถ้าต่อไปไม่ใช่แค่จัดฉากล่ะ มึงคิดว่าคนแบบกูจะเจอความรู้สึกแย่ๆแบบนี้เมื่อไรก็ได้งั้นหรอ กูไม่ได้เข้มแข็งขนาดนั้นนะเว้ย” ยิ่งพูดออกไปผมก็ยิ่งรู้สึกเหมือนตัวเองจะร้องไห้ แต่ทว่าความอัดอั้นที่ท่วมท้นทำให้ผมตอนนี้ก้าวข้ามจุดที่จะร้องไห้ไปแล้วล่ะ ไม่ใช่เวลาอะไรที่ผมจะต้องมาแสดงความอ่อนแอออกมาให้เห็นตอนนี้

    “ไอ้ไนน์ มึงก็...”

    “มึงจะบอกว่ากูคิดมากไปงั้นหรอ ไม่ว่ะเซนท์ เป็นใครๆก็ต้องห่วงตัวเอง ถ้ากูกลับไปหามึง เรื่องแบบนี้กูจะเจออีกไหม มึงรับประกันได้ไหมล่ะ คนที่เสียความรู้สึกคือกูนะเว้ย ไม่ใช่มึง กูเคยรู้สึกแย่เพราะคิดว่ามึงห่างไกลเกินไป แต่พอมาวันนี้พอกูใกล้มึงมากขึ้น กูควรจะดีใจไม่ใช่หรอเซนท์ แล้วทำไมกูกลับแย่กว่าเดิมล่ะ ทำไมกูกลับรู้สึกว่ากูควรอยู่แบบเดิมดีกว่าล่ะเซนท์...” อยู่ๆก็มีแรงสัมผัสอบอุ่นเกิดขึ้นรอบตัวผม อ้อมกอดที่รัดแน่นของใครอีกคน ทำให้น้ำตาหมดแรกของผมร่วงลงในทันที ก่อนที่ผมจะปล่อยตัวเอง ให้ความอ่อนแอทั้งหมดมันไหลออกมา มีใครบ้างไหมที่จะเข้าใจความรู้สึกของผมตอนนี้น่ะคนตรงหน้าผมตอนนี้ล่ะ จะเข้าใจผมบ้างไหม

    “มึงตอบกู...ได้ไหม...เซนท์” เสียงพูดที่ปนกับเสียงสะอื้น รวมกับความอัดอั้นทั้งหมดที่เอ่อล้นออกมาทำเอาผมแทบไม่มีแรงยืน ถ้าไม่ใช่เพราะกำลังถูกใครอีกคนกอดไว้อยู่ วงแขนรัดแน่นราวกับต้องการปลอบประโลมจิตใจของผมในตอนนี้

    “มึงเข้าใจกู...ใช่ไหมเซนท์” ไอ้เซนท์ไม่ตอบอะไรผมกลับมา มีเพียงความเงียบที่ผมเดาไม่ออกว่ามันเองเข้าใจในสิ่งที่ผมพูดอยู่หรือเปล่า หรือมันเพียงไม่พูด เพราะมันไม่ได้ฟังผมอยู่แล้วก็ไม่แน่ ผมอาจจะดูบ้าบอสำหรับในเรื่องนี้ แต่ผมเองก็รักตัวเองเป็นนะ หัวใจผมมีแค่ดวงเดียวผมก็ต้องการที่จะรักษามันไว้ให้ดีที่สุดสิ ไม่อยากคิดเลยว่าถ้าสักวันหนึ่งผมต้องเจอกับเรื่องที่ทำให้ผมต้องเจ็บแบบจริงๆ ผมนั้นจะเป็นอย่างไร ผมกลัว กลัวอนาคตที่มีเซนท์

    “กูขอโทษ ไนน์ กูผิดเอง กูขอโทษ” สิ่งที่มันพูดออกมาให้ผมคือการขอโทษแต่ทว่าผมไม่รู้เหมือนกันว่าลึกแล้วๆคนที่พูดจะรู้สึกแบบไหน จะขอโทษผมจากใจริงๆหรือแค่พูดออกมาให้ผมสบายใจ แต่ผมว่ามันก็ดีกว่าการที่มันจะเงียบใส่ผมหรือพยายามคาดคั้นเอาอะไรจากผมในตอนนี้ เพราะมันคงไม่ช่วยให้อะไรมันดีได้ขึ้นมาหรอก

    “ขอเวลากูเถอะเซนท์ อย่าพึ่งยุ่งกับกูตอนนี้เลยเถอะ กูขอร้อง” ไม่มีเสียงตอบรับใดๆจากอีกคน ผมว่าตอนนี้ต่างคนต่างก็คงจมอยู่ในห้วงความคิดของตัวเองอยู่นั่นแหละ ในเรื่องบางเรื่อง บางทีความรีบเร่งก็คงจะไม่ใช่ทางออกที่ดีสักเท่าไร

     

     [Victor]

              “วันนี้ไม่ออกไปที่ไหนหรือยังไง” เสียงพี่ชายคนเดียวของผมทักขึ้นทันทีที่มันเห็นผมเดินออกจากห้องนอนพอดี คำพูดเหมือนจะปกติ แต่รอยยิ้มนี่โคตรจะไม่ปกติเลยล่ะ

    “แล้วกูจะอยู่บ้านบ้างไม่ได้หรือไง” ผมตอบกลับไอ้พี่จอมกวนไปอย่างเคืองๆ

    “ก็เปล่า แค่คิดว่า มึงอาจจะอยากทำอะไรๆที่ไม่ควรทำ”

    “มีเรื่องที่กูไม่ควรทำด้วยหรอ อะไรล่ะที่มึงคิดว่ากูไม่ควรทำ” ผมยิ้มแล้วถามกลับแบบกวนๆ คิดว่าเป็นพี่ชายแล้วจะเดาความคิดของน้องชายได้ถูกหมดทุกอย่างงั้นเลยหรือไง

    “ก็รู้อยู่แก่ใจตัวเองล่ะน่าคนเรา”

    “ทำไม คิดว่ากูจะออกไปหาเพื่อนมึงหรือไง” หึ ถ้าผมไปหามันแล้วก่อกวนมันได้ผมคงออกไปแล้วล่ะ แต่จากที่เจอกันล่าสุด ไอ้พาสต้าใจแข็งเกินกว่าที่ผมคิดไว้เสียอีก

    “ไม่รู้สิ กูว่ามันน่าจะเป็นสิ่งเดียวที่มึงอยากทำที่สุดตอนนี้น่ะ” ผมมองค้อนไอ้พี่ชายอย่างหาเรื่อง อะไรเป็นสิ่งที่ทำให้มันคิดแบบนั้น ผมไม่ได้คลั่งไคล้ไอ้พาสต้าอะไรขนาดนั้นสักหน่อย

    “หมายความว่าไง”

    “ก็เปล่า ไม่มีอะไร แต่ไม่ไปหามันก็ดีแล้ว เพื่อนกูจะได้มีเวลารักษาแผลใจตัวเอง เผลอๆมันอาจจะเจอคนใหม่เลยก็ได้ ไม่แน่นะ เขายิ่งว่ากันว่าช่วงที่ช้ำที่สุดจะเป็นช่วงที่ตกหลุมรักง่ายที่สุดเสียด้วยสิ” จบประโยคของไอ้วินเนอร์เล่นทำเอาผมรู้สึกจุกอกแปลกๆ มีคนใหม่งั้นหรอ ชิ ไม่เห็นเกี่ยวกับผมเลย มันจะมีแฟนอะไรก็เรื่องของมันสิ ไม่ใช่ธุระอะไรของผมเสียหน่อย

    “นั่นก็เรื่องของมันสิ ไม่เห็นจะเกี่ยวอะไรกูเลย”

    “ก็เออ ขอให้มันจริงเถอะว่ะ ถ้ากูรู้ว่ามีเด็กแถวนี้ร้องไห้เพราะเพื่อนกูจะมีแฟนนี่กูจะสมน้ำหน้าซ้ำเข้าให้” มันพูดแค่นั้นแล้วเดินเข้าห้องไปปล่อยให้ผมมองตามมันอย่างเคืองๆ

    “ไม่มีทางหรอกเว้ย” ผมพึมพำเบาๆกับตัวเอง ไม่มีทางหรอกที่คนอย่างผมจะเป็นแบบนั้นน่ะ หายไปซะได้ก็ดี คนแบบนั้นน่ะ ผมไม่มีทางรู้สึกอะไรด้วยหรอก ไม่มีทาง ไม่มีจริงๆ

    “ฮึก.. มึงจะพูดทำไมวะ ไอ้พี่บ้า พูดเหมือนกูจะโดนทิ้งงั้นแหละ ไม่มีทางเว้ย กูต่างหากที่ต้องเป็นคนทิ้งมัน...” ผมกำลังจะโดนไอ้พาสต้าทิ้งงั้นหรอ ผมน่ะหรอ

    “มันจะเป็นอะไรก็ไม่เกี่ยวกับกูสักหน่อย ฮึก... กูไม่ได้สนใจมันสักนิด” ขณะที่ผมยืนพูดอยู่กับประตูห้องของไอ้พี่ชายคนเดียวของผมนั้น อยู่ๆไอ้วินเนอร์ก็เปิดประตูออกมาแล้วดึงหัวผมให้เข้าไปซบไหล่มันแทน ราวกับรู้ได้ในทันทีเองว่ากำลังจะเกิดอะไรขึ้น

    “ถ้าพูดออกมาแล้วไม่ตรงกับใจตัวเองกูว่ามึงก็เงียบไปเถอะ”

    “ก็มึงนั่นแหละ...พูดอะไรบ้าๆ ” ทำไมต้องพูดเรื่องไอ้พาสต้าด้วยล่ะ

    “ก็เพื่อมึงทั้งนั้นแหละ ไอ้เด็กปากแข็ง ร้องออกมาถ้ามึงอยากร้อง กูไม่ว่ามึงหรอก” ผมซบไหล่ไอ้วินเนอร์อยู่สักพัก เมื่อรู้สึกดีขึ้นแล้วก็ดันตัวมันออกเบาๆ คราบน้ำตาผมเป้อนเสื้อมันอย่างเห้นได้ชัดเจน แต่กูเหมือนว่ามันจะไม่สนใจอะไรเท่าไร

    “แค่นี้ก็ร้องไห้แล้วมึงอ่ะ จะไหวจริงๆหรอวะ” มันถามย้ำ ผมรู้ว่ามันอยากสื่ออะไร คนอย่างมันเองก็มีประสบการณ์ที่แย่ๆเหมือนกัน มันก็ไม่อยากให้ผมต้องเจอแบบมันหรอก

    “กูไม่รู้ กูยังไม่เข้าใจตัวเองเลยว่ะตอนนี้”

    “ไม่เข้าใจก็คิดให้มาก อยู่กับตัวเองให้เยอะๆ จนกว่ามึงจะเข้าใจนั่นแหละ เวลาไม่เคยรอใครนะเว้ย ทุกคนต่างก็มีเส้นทางของตัวเอง ไม่มีใครมารอมึงได้ตลอดหรอกนะ”  นั่นสินะ ใครมันจะมารอคนไม่แน่นอนอย่าผมล่ะ

    “ตกลงมึงอยู่ข้างไหนกันแน่เนี่ย กูขอถามให้แน่ใจ”

    “ไม่ข้างไหนทั้งนั้นแหละ คนหนึ่งก็เพื่อนกู คนหนึ่งก็น้องกู แต่ไม่ว่าพวกมึงสองคนจะตัดสินใจยังไงกูก็ไม่ขัดหรอกนะ เพราะยังไงเสียก็เป็นทางที่พวกมึงเลือก คนนอกเรื่องอย่างกูไม่มีหน้าที่ต้องไปยุ่งเกี่ยวหรอก” นี่ล่ะนะ ไอ้วินเนอร์ ก็เป็นคนแบบนี้แหละ

    “ขอบใจนะเว้ย” แม้มันจะไม่พูดตรงๆ แต่ผมก็เข้าใจได้ถึงสิ่งที่มันอยากจะบอกได้ ในเรื่องราวๆหลายๆอย่างของชีวิต ผมว่าการที่ผมมีพี่แบบไอ้วินเนอร์ก็นับเป็นโชคดีอย่างหนึ่งของผมนะ แม้มันจะแกล้งผมบ่อยก็เถอะ แต่อย่างน้อยมันก็ยอมรับในตัวผมเสมอมา

    “ขี้แยว่ะ น้องกู มีอะไรอยากปรึกษาก็มาหาละกัน” ไอ้วินเนอร์จับหัวผมเบาๆ พร้อมกับรอยยิ้มก่อนที่มันจะหันหลังเดินหลับเข้าห้องของตัวเองไป

    ผละจากไอ้วินเนอร์เข้าห้องตัวเองมา ผมก็มีความคิดว่าตัวเองต้องทำอะไรสักอย่าง อะไรบางอย่างที่ผมเองก็ไม่รู้เหมือนกันว่าจะเกิดอะไรขึ้นตามมา ผมรู้แค่ว่า ก็ยังกว่าที่ผมอยู่เฉยๆโดยที่ไม่ทำอะไรเลย พอคิดได้แบบนั้นผมก็โทรออกหาเพื่อนของผมคนหนึ่งทันที เพื่อนเก่าของผมที่พวกไอ้เซนท์ไม่รู้จักแน่ เพราะเรื่องนี้ผมจะให้พวกไอ้เซนท์รู้เรื่องด้วยไม่ได้เด็ดขาด

    โหล ไอ้ดีฟ นั่นมึงหรอ กูมีเรื่องให้ช่วยหน่อย

    เออน่า ไม่ใช่เรื่องใหญ่โตอะไรหรอก งานง่ายๆมึงทำได้อยู่แล้วโทษทีนะพี่ชาย ไม่รู้ว่าถ้ามึงรู้เรื่องที่กูกำลังจะทำนี้มึงจะว่าอะไรกูบ้าง อย่างมากก็แค่บ่นเพราะกูรู้ว่ายังไงมึงก็อยู่ข้างกู แต่ว่ากับเพื่อนมึงอีกคนล่ะ กูอยากรู้เหมือนกันว่าหัวใจมันจะแข็งจนด้านชาไปเลยหรือเปล่า

    ก็แค่...ช่วยนอนกับกูหน่อย

     

    **********************************************************


    ขอบคุณทุกคนที่ติดตามนะครับผม



    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×