ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    My wife ขอโทษที คนนี้เมียกู [END]

    ลำดับตอนที่ #40 : .....My wife.....{40}

    • เนื้อหาตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 3.84K
      6
      15 ต.ค. 58

    .....My wife.....{40}


    [Grafh]

    “จะไปไหนของนายน่ะ มีเรียนหรือไง” เสียงโมสถามทันทีที่เห็นผมเปลี่ยนชุดจะออกไปข้างนอก เพราะผมไม่ได้บอกโมสไว้ว่าจะไปที่ไหน เลยไม่แปลกที่อีกคนจะถาม

    “มีธุระด่วนนิดหน่อยน่ะ จะไปไหนหรือเปล่า” แม้ธุระผมจะสำคัญแต่ว่าถ้าโมสต้องการตัวผมใครจะไปปฏิเสธได้ล่ะครับ

    “ก็ไม่มีอะไรหรอก แค่ถามดูเฉยๆ” โมสตอบกลับผมก่อนจะหันกลับไปสนใจที่หน้าจอโน๊ตบุ๊คของตัวเองต่อ แต่เหมือนจะนึกอะไรขึ้นได้เลยหันกลับมาที่ผมอีกที

    “ออ ถ้ากลับมาไม่เจอไม่ต้องตามหานะ คงไปมหาลัยอ่ะ”

    “ไปทำอะไร” ผมหยุดการกระทำของตัวเองแล้วถามกลับด้วยความสงสัย

    “ทำงาน” คำตอบสั้นๆของโมสคล้ายกับเป็นสัญญาณว่าผมไม่ควรที่จะเซ้าซี้ถามอะไรต่อ ไม่เช่นนั้นอาจจะทะเลาะกันก็เป็นได้

    “ให้ไปส่งไหม”

    “ไม่ต้องหรอก เดี๋ยวเพื่อนมารับ นายรีบไปเถอะ เดี๋ยวก็สายหรอก” เป็นอะไรของเขาเนี่ยวันนี้ ดูไม่ปกติเลย แต่เป็นคนอื่นอาจะเข้าไปถามนะ แต่เพราะว่าผมรู้จักโมสมาพอสมควร ผมว่ายังไม่ควรถามตอนนี้จะดีกว่า ไม่อย่างนั้นอาจจะทำให้โมสอารมณ์เสียกว่าเดิมก็ได้ รอกลับมาถ้ายังไม่หายดีค่อยคุยก็ยังสายเกินไปล่ะนะ

    “ไปแล้วนะครับ” ผมพูดแล้วเดินไปกอดอีกคนก่อนจะออกจากห้องไป ไม่ขัดขืนแฮะ แสดงว่าไม่ได้โกรธอะไรผม คงจะเครียดเรื่องอื่นแหละมั้ง

    “อย่ากลับดึกละกัน” โมสบอกผม

    “ไม่นานหรอกน่า แป๊ปเดียวเอง” ใช่ครับ นัดครั้งนี้ผมว่าคงใช้เวลาไม่นานหรอก แม้จะต้องปิดบังโมส แต่ผมว่ามันก็คุ้มค่านะกับผลที่จะได้กลังจากนี้

    “อืม เสร็จแล้วจะโทรหานะครับ” โมสพยักหน้าตอบรับคำพูดผม  ทำให้ผมสบายใจขึ้นเยอะ ไม่ได้ตั้งใจจะปิดบังอะไรเลยนะ ทั้งหมดก็เพื่อโมสนะครับ

    หลังจากขอตัวโมสออกมาได้อย่างไม่มีปัญหาอะไรแล้ว ผมก็รีบเดินทางไปให้ทันนัดหมายที่เตรียมไว้ ความจริงผมไม่อยากเจอคนๆนี้อีกเลยจริงๆ ถ้าไม่ใช่เพราะว่าเธอคนนั้นปรากฏตัวขึ้นมาก่อนแล้วไม่สร้างปัญหาให้ผมแบบนี้ผมก็คงจะไม่ต้องนัดเจอเธอหรอก

    “ยินดีต้อนรับค่ะ กี่ที่คะ” พนักงานหน้าเคาเตอร์เอ่ยถามผมทันทีที่ผมก้าวเข้ามา

    “สอง ครับ เดี๋ยวอีกคนตามมา” ผมมั่นใจได้ว่าคนที่ผมนัดยังไม่มีถึงแน่นอน เพราะทันทีที่ผมก้าวเข้ามาในร้านแล้วกวาดสายตามองก็ไม่เจอเธอคนนั้น ผมเลือกที่นั่งมุมในสุดของร้านที่ค่อนข้างลับตาคน ก่อนจะสั่งอะไรไปเล็กน้อยระหว่างรอ คาเฟ่เล็กๆที่อยู่ค่อนข้างห่างจากหอของโมสและมหาวิทยาลัยเป็นสถานที่ที่ผมเลือก เพื่อป้องกันการเข้าใจผิด

    นั่งรอไม่นานคนที่ผมต้องการจะพบก็ก้าวเข้ามาในร้าน พนักงานเคาเตอร์ทำการต้อนรับบตามปกติก่อนที่จะผายมือมาทางผม ไม่แปลกหรอกครับก็ผมนัดหมายเขาไว้แล้วนี่นาว่าถ้าผู้หญิงคนนี้มาถึงก็คือแขกของผม ช่วงที่ลูกค้าน้อยแบบนี้ไม่แปลกที่จะขออะไรแบบนี้ได้

    “มานานหรือยังคะ” เสียงทักทายจากลิน หญิงสาวที่ผมมีนัดด้วยในวันนี้ ใช่ครับผมนัดลินไว้เพื่อนเคลียร์เรื่องของเราให้จบไป ผมถึงไม่บอกโมสไงครับว่าผมมาทำอะไรกันแน่

    “ก็สักพัก” การเลือกที่จะไม่ตอบด้วยบทสนทนายาวๆเป็นทางเลือกที่ดีที่สุด

    “แปลกใจจังนะคะที่อยู่ๆกราฟก็นัดมาแบบนี้น่ะ” ผมไม่รู้ว่าคนตรงหน้าแค่แกล้วถามผมหรือไม่รู้จริงๆกันแน่ ลินคิดว่าในสถานการณ์แบบนี้ผมจะมีธุระอะไรอื่นอีกหรือไงกัน

    “แน่ใจว่าเธอไม่รู้จริงๆ” ผมลองถามแบบหยั่งเชิงแต่ดูจากสีหน้าของลินแล้วผมว่าผมคิดถูกแล้วล่ะ คนๆนี้ไม่ได้ไร้เดียงสาถึงขนาดที่จะไม่รู้อะไรเลย

    “ก็ถามไปงั้นแหละ ก็คาดหวังบ้างว่าจะได้คำตอบที่ดีกว่านี้”

    “เสียเวลาเปล่าน่า” ผมตอบกลับไปอย่างไร้เยื่อใย กับคนๆนี้ถ้าไม่จำเป็นผมก็ไม่ต้องการที่จะเจอหรอก เธอคนที่ทำให้ผมกับโมสต้องทะเลาะจนถึงขั้นเลิกกัน ผมจะไม่ยอมให้คนๆนี้เข้ามาทำลายชีวิตของผมอีกเป็นครั้งที่สองแน่

    “ใจร้ายจังนะนายน่ะ ทั้งๆที่เคยรู้จักกันมากมาก่อนแท้ๆ” ผมไม่ได้คิดไปเอง ผมรู้สึกว่าลินจะย้ำค่าว่ารู้จักเป็นพิเศษ ราวกับต้องการที่จะสื่อความหมายแอบแฝงบางอย่าง

    “นั่นสินะ อาจจะเพราะรู้จักดี ฉะนั้นก็อย่านอกเรื่องเลยดีกว่า” ผมตอบกลับ

    “เลิกยุ่งกับพวกเราซะ” ไม่รอให้อีกคนพูดไปมากกว่านี้ผมเลือกที่จะเข้าเรื่องทันที แต่ดูเหมือนว่าอีกคนจะไม่ค่อยสนใจในสิ่งที่ผมพูดมากเท่าไร

    “ลินก็ไม่เคยไปทำอะไรกราฟนี่นา” กะแล้วเชียวว่าต้องตอบกลับมาแบบนี้

    “กราฟพูดชัดเจนแล้วนะลิน ว่าเรา นั่นรวมทั้งโมสด้วย” ลินทำท่าทางไม่ค่อยสบอารมณ์เท่าไรทันทีที่ได้ยินผมพูดชื่ออีกคนออกมา

    “อย่าให้ต้องพูดซ้ำนะลิน เราสองคนก็รู้จักกันพอสมควร ก็น่าจะรู้ว่าเรื่องอะไรของลินที่กราฟน่าจะรู้บ้าง” อีกคนที่กำลังทำท่าทางไม่ค่อยสนใจกลับหน้าเสียไปทันทีที่ผมพูดจบ

    “กราฟหมายความว่ายังไง”

    “ก็หมายความตามที่พูด ถ้ายังไม่เลิกยุ่งกับโมสอีกก็อย่าหาว่าไม่เตือน ระวังโลกจะรู้เรื่องพฤติกรรมของเธอก็แล้วกัน” ผมไม่เคยบอก่าผมเป็นคนดี และไม่เคยบอกว่าตัวเองเป็นสุภาพบุรุษด้วย ไม่เกี่ยวกับว่าเป็นผู้หญิงหรือผู้ชาย ถ้าใครเริ่มก่อนผมก็พร้อมที่จะตอบโต้เสมอ คนอย่างผมไม่ยอมให้ใครมาเอาเปรียบผมได้ง่ายๆหรอก

    “นะ...นายไม่กล้าหรอก” ความลับมากมายที่ผมรู้เกี่ยวกับผู้หญิงคนนี้ ไม่ว่าจะพฤติกรรมแย่ๆที่ทางบ้านไม่รู้ รวมถึงความร้ายกาจที่ซ่อนไว้โดยที่คนใหม่ๆที่เข้ามาในชีวิตเธอไม่เคยรู้จะมีก็แต่คนที่รู้จักเธอมานานเท่านั้นที่รู้ซึ่งต่างคนต่างก็เอือมระอาเกินกว่าที่จะพูดถึงเธอ ในเมื่อเธอเลือกที่จะกลับมาตามรังควานผมซึ่งเป็นอดีตไปแล้ว เธอก็ต้องพร้อมที่จะถูกโต้กลับด้วยอดีตของเธอเอง ผมถึงบอกไงว่าคนแบบผมไม่ใช่คนที่ดีมากเท่าไรหรอก

    “ลิน ไหนว่าเรารู้จักกันมากพอไง เรื่องแค่นี้น่าจะคิดได้นะว่าคนอย่างกราฟทำจริงหรือเปล่า” ใครจะหาว่าผมรังแกผู้หญิงก็ช่าง ผมไม่ได้สนใจ ในเมื่อมองระยะยาวมันก็คุ้มค่าที่จะทำ

    “นายมันหน้าตัวเมีย รังแกผู้หญิง”

    “แล้วไง เธอเป็นใครทำไมเราต้องแคร์เธอด้วย เทียบกับโมสแล้วคนแบบเธอมันไม่มีค่าเลยสักนิด” ถ้าการที่ผมจะทำตัวเป็นสุภาพบุรุษแล้วผมต้อเสี่ยงที่จะเสียโมสไปอีก แบบนั้นผมว่ามันไม่คุ้มค่ามากพอที่จะเสี่ยง หัวใจของใครๆก็ต้องปกป้องอยู่แล้ว จริงไหมล่ะ

    “ถือเป็นการเตือนครั้งสุดท้ายสำหรับคนแบบเธอก็แล้วกัน ถ้ายังไม่ยอมจบก็เตรียมตัวรับมือกับอดีตของเธอไว้ก็แล้วกัน เพื่อโมส กราฟทำได้ทุกอย่าง จำไว้ก็แล้วกัน”  ไม่จำเป็นที่จะต้องรอคำตอบหรือสนทนาอะไรต่อไป นั่นคือคำขาดจากผม ถือเป็นที่สิ้นสุดสำหรับการพบกันครั้งนี้ ถ้าไม่คิดจะจบ ผมก็จะไม่จบด้วยเช่นกัน 

                ผมลุกออกมาจากที่นั่งแบบนิ่งๆโดยไม่สนใจหน้าตาที่ดูเหมือนว่าจะกำลังอึ้งไปของลิน ผมชำระเงินเรียบร้อยก่อนจะเดินออกจากร้านอย่างผู้ชนะ แต่ดีใจไม่ทันไรผมก็ต้องยืนนิ่งค้างอย่างตกใจทันทีเมื่อเดินมาถึงที่รถสายตาผมสังเกตเห็นอะไรบางอย่าง ร่างเล็กของใครสักคนกำลังนั่งรอผมอยู่บนรถอย่างสบายใจ ไม่ต้องคิดว่าเป็นขโมยอะไรหรอกครับ ถ้าถึงขนาดเปิดรถเข้าไปนั่งรอผมได้แบบนี้คนๆนั้นต้องมีกุญแจสำรองของผมแน่ ไม่ต้องถามเลยว่าใคร

    “มะ...โมส” ผมเปิดประตูรถแล้วนั่งลงที่คนขับอย่างกล้าๆกลัวๆให้ตายเถอะทำไมเป็นแบบนี้ไปได้เนี่ย ใครจะคิดว่าโมสจะเจอผมล่ะครับ ซวยสิครับแบบนี้

    “ออกรถสิ” โมสที่ตอนนี้ทำเพียงก้มหน้าเล่นโทรศัพท์อย่างใจเย็นพูดออกมา

    “ไปไหนอ่ะครับ” ผมถามอีกคนด้วยเสียงกันเบา จะให้ผมทำไงได้ล่ะครับเวลานี้ เล่นเดาอารมณ์ของอีกคนไม่ถูกเลยนะตอนนี้ นั่งเงียบๆแบบนี้ของโมสแหละน่ากลัวที่สุดแล้ว

    “ไหนก็ได้ที่คิดว่าดี” โอ้ย เล่นตอบมาแบบนี้ก็โจทย์ยากเกินไปแล้วนะ

    “โกรธหรอ”

    “ก็ไม่นี่ ออกรถเถอะ” ผมเลือกที่จะเงียบแล้วยอมออกรถตามคำขอแต่โดยดี คนแบบโมส ถ้าตอบว่าไม่ก็คือไม่นั่นแหละ ถ้าขืนผมถามมากไปกว่านี้เดี๋ยวจะกลายเป็นโกรธจริงก็ได้นะ

    ในเมื่ออีกคนไม่ยอมบอกจุดหมายเองว่าอยากไปที่ไหนปล่อยให้ผมตัดสินใจเอง มันก็ช่วยไม่ได้นะที่ผมจะคิดว่าที่น่าจะไปคือที่ๆคุ้นเคยเลยน่าจะสบายใจที่สุด สวนสาธรณะสำหรับพักผ่อนสักที่แหละมั้ง และที่ๆผมเลือกคือลานต้นไม้ในมหาวิทยาลัยนั่นแหละ แม้อาจจะมีคนอื่นอยู่บ้างแต่มันก็เป็นที่ๆดูจะสงบที่สุดแล้วถ้าเทียบกับสวนสาธารณะทั่วไปน่ะนะ

    “โมส ถึงแล้วครับ” ผมแอบเห็นโมสยิ้มนิดๆก่อนจะลงจากรถ แล้วยืนนิ่งอยู่แบบนั้นเป็นเหมือนสัญญาณให้ผมเดินนำก่อนเลย ดูไม่มีอะไรเปลี่ยน  เป็นอะไรของเขากันนะ

    ผมเดินนำโมสมาจนถึงต้นไม้ใหญ่ต้นหนึ่งที่ห่างจากคนอื่นพอสมควร ก่อนจะนั่งลงบนหญ้าสีเขียวบริเวณโคนต้นนั้น มันอาจจะดูไม่น่าทำแต่สำหรัผมที่แบบนี้แหละผ่อนคลายที่สุด และก็ไม่ใช่ผมคนเดียวที่คิดแบบนี้ มีอีกหลายคนที่นั่งใต้ต้นไม้ปล่อยตัวเองไปตามบรรยากาศ

    “ไม่คิดว่าคนแบบนายจะมีโมเม้นสงบอะไรแบบนี้ด้วย” โมสนั่งลงตรงหน้าผมพลางพูดขึ้นสายตี่มองผมแบบนั้นคืออะไรกัน คิดว่าผมเป็นเด็กหรือไงกันล่ะ

    “มันก็มีบ้างหรือเปล่า ที่แบบนี้แหละสบายใจดี” ผมตอบไปตามความจริง

    “ก็ไม่ได้ว่าอะไร แค่เหนือความคาดหมายไปบ้างก็เท่านั้น” นี่โมสมองผมเป็นคนยังไงกัน

    “หายโกรธละยังเนี่ย” ผมพูดพร้อมกับยื่นมือไปจับมือโมสอย่างเคยตัว

    “โกรธอะไร ไม่มีนี่” โมสหันมามองหน้าผมอย่างสงสัย

    “ก็เงียบมาตลอดทางแบบนี้ ไม่เรียกโกรธแล้วจะให้เรียกว่าอะไรล่ะ” ผมพูดแย้งกลับไป แม้จะแอบกลัวแต่ก็ต้องพูดให้มันชัดเจนสินะ ไม่อย่างนั้นอาจจะมีปัญหาได้

    “เปล่า แต่มีเรื่องให้คิดนิดหน่อยน่ะ นายนั่นแหละมีอะไรหรือเปล่า” คำพูดเหมือนจะถามแบบไม่ใส่ใจเท่าไร แต่ผมรู้ความหมายของมันน่า

    “ไปเจอลินมา ขอโทษที่ไม่ได้บอก”

    “รู้อยู่แล้วล่ะ” ผมไม่ค่อยแปลกใจที่ได้คำตอบแบบนี้เพราะระหว่างทางที่ลองคิดดูแล้ว ผมว่าการที่ผมนัดเจอลินแบบนี้คนอย่างลินไม่น่าพลาดนะที่จะทำให้โมสรู้น่ะ ผมลืมไปได้อย่างไรกัน งั้นแสดงว่าที่โมสเงียบมาตั้งแต่เช้าก็รวมเรื่องนี้ด้วยอย่างนั้หรอ

    “แล้วโมส...” ผมไม่รู้จะถามอะไรต่อเลยจริงๆ  เพราะเดาใจคนตรงหน้าไม่ออกเลยเวลานี้

    “ไม่ได้โกรธอะไรทั้งนั้นแหละ รู้ว่ากราฟทำเพื่อเรา แต่แค่รู้สึกแปลกๆ”

                “หมายความว่ายังไงรู้สึกแปลก” บอกตามตรงว่าผมไม่เข้าใจในสิ่งที่โมสพูด

    “ก็ในขณะที่กราฟทำอะไรเพื่อเรามากมาย เรากลับไม่เคยทำอะไรเพื่อกราฟเลย” คำพูดของโมสทำให้ผมยิ้มออกมาได้ในทันที ผมยื่มมือไปขยี้หัวโมสเบาๆอย่างหมั่นเขี้ยว โมสไม่ได้สนใจเรื่องของลินเพราะก็คงเข้าใจว่าผมทำไปทำไม กลับมากังวลเรื่องนี้เองหรือเนี่ย

    “เรื่องแค่นี้เอง ทำไมต้องคิดมากด้วย” ก็เข้าใจนะครับว่าคนๆนี้เป็นคนที่คิดมากมากแค่ไหน ไม่แปลกใจเลยที่เรื่องแค่นี้จะทำให้โมสกังวลได้น่ะ

    “มันดูเหมือนเราเป็นคนเห็นแก่ตัวยังไงก็ไม่รู้สิ”

    “ฟังนะโมส เรื่องนั้นมันไม่สำคัญหรอก แค่ตอนนี้โมสเลือกกราฟ แค่นั้นมันก็มากพอแล้วสำหรับกราฟ” ผมบอกไปตามความจริงเพื่อให้อีกคนคลายความคิดมาก โมสยิ้มให้กับผม

    “ขอโทษนะที่ทำให้เป็นห่วง” โมสบอกกับผมแค่นั้น ผมยิ้มตอบกลับ

    “ไม่เป็นไรครับผม กลับกันเถอะ ไม่มีเรียนใช่ป่ะ ไปดูหนังกัน”

    “อืม” มันไม่เกี่ยวหรอกครับว่าใครจะทำอะไรเพื่อใครมากแค่ไหน เพราะบางครั้ง สิ่งเหล่านั้นก็ไม่มีได้สำคัญอะไรเลยสำหรับใครบางคน เพราะแค่การที่เรายังอยู่ข้างๆกันแบบนี้มันก็คือช่วงเวลาที่มีค่าที่สุดแล้วในตอนนี้  เพียงแค่นั้นก็ไม่ต้องการอะไรอีกแล้ว

     

    [Saint]

              “วิคเตอร์ เดี๋ยวมึงไปไหนต่อวะ” ผมถามไอ้เพื่อนรักด้วยความต้องการที่พึ่งหลังจากทำงานกลุ่มกันเสร็จ ช่วงที่ผมเองกำลังบอบช้ำทางจิตใจแบบนี้ต้องการใครสักคนแหละเป็นที่พึ่งที่จะทำให้ผมสบายใจได้ และก็คงไม่ช่ใครอื่นนอกจากพวกเพื่อนของผมเนี่ยแหละ

                “เอ่อ กูมีธุระนิดหน่อยว่ะ มึงมีอะไรหรือเปล่า” หืม ธุระอะไรของมันวะ

    “ธุระอะไรของมึงวะ” ผมถามอย่างสงสัย ปกติคนแบบนั้นไม่พูดว่ามีธุระนะ เพราะมันจะไปทำอะไรมันบอกตลอด แต่แบบนี้มันน่าสงสัยเกินไปละ แถมเมื่อกี้ก็เอาแต่มองโทรศัพท์มันหมายความว่าไมกันวะ ได้ข่าวว่าช่วงนี้โสดไม่ใช่หรือไง ทำไมต้องใส่ใจโทรศัพท์ขนาดนั้นด้วย

    “เออ ไอ้วิคเตอร์ เมื่อกี้มึงไม่ได้เอารถมาเองใช่ป่ะ แล้วมึงมาไงวะ” ไอ้อาร์เป็นคนเปิดประเด็นครับ หืม คนแบบไอ้วิตเตอร์เนี่ยนะไม่เอารถมา กรณีคำถามต่อมามีอย่างเดียวเท่านั้น

    “ใครมาส่งมึง”  นี่ไงล่ะ ไอ้ภีมถามได้ถูกต้องเลย ไอ้วิคเตอร์ตอนนี้นั่งเอ๋อเลยครับ

    “ก็เพื่อนป่ะวะ”

    “เพื่อนที่ไหน ใคร กูว่าที่กูเห็นมันไม่ได้ดูเหมือนเป็นเพื่อนมึงเลยนะเว้ย” แบบนี้แปลว่าไอ้อาร์เห็นไอ้วิคเตอร์แน่นอน แล้วก็มาบอกตอนนี้เนี่ยนะ ทำไมไม่บอกแต่แรกวะ

    “น่ะๆ ว่าไงไอ้วิคเตอร์เอาแน่ๆดิ ช่วงนี้โสดไม่ใช่หรือไง” ไอ้นันท์ที่เงียบอยู่น่าเริ่มผสมโรง

    “เออ ก็โสดไงวะ กูไม่ได้มีใครจริงๆ” ไอ้วิคเตอร์เถียวกลับ

    “เฮ้ยๆ โสดจริง เพราะคนที่กูเห็นนั่นผู้ชายว่ะ ใส่ชุดนักศึกษาด้วย” ไอ้อาร์บอก

    “เฮ้ย อธิบายมาดิไอ้วิคเตอร์ นี่หมายความว่ายังไง คนแบบมึงเนี่ยนะจะยอมให้คนอื่นมาส่ง” ไอ้ภีมเป็นคนตั้งประเด็น น่าสนใจแฮะเรื่องนี้ คงปล่อยไปไม่ได้ง่ายๆแล้วล่ะ

    “ก็พี่กูมาส่งบ้างไม่หรือไงวะ”

    “พี่มึงนี่เรียนนอกไม่ใช่หรือไง จะใส่ชุดนักศึกษาทำไม”  ผมเป็นคนตอบครับ จนไอ้วิคเตอร์หันมามองผมอย่าโกรธๆ เฮ้ย ช่วยไม่ได้ว่ะ งานนี้กูก็อยากรู้เหมือนกัน

    “เออ ก็แค่พี่ที่รู้จักน่า ไม่ได้สำคัญอะไร” ไอ้วิคเตอร์บอกแบบปัดๆอย่างไม่ค่อยใส่ใจนัก

    “มันไม่ได้สำคัญหรือมึงบ่ายเบี่ยงกันแน่”

    “พวกมึงนี่จะอะไรนักหนาว่า มันน่าสนใจตรงไหนเนี่ยก็แค่คนมาส่งกูน่ะ” ไอ้วิคเตอร์ตอบ และระหว่างที่กำลังจะซักซ้ต่อนั้นเอา โทรศัพท์ของไอ้วิคเตอร์ก็ดังขึ้น

    ครับผมหืม ไอ้น้ำเสียงรับสายแบบสุภาพนี่มันคืออะไรกัน ปลายสายคือใครกันแน่ ไม่รอให้พวกผมได้กวนใจ ไอ้วิคเตอร์รีบปลีกตัวออกไปคุยโทรศัพท์กันที สร้างความสงสัยให้พวกผมมากกว่าเดิมอีก  ทำไมมันต้องปิดบังเพื่อนแบบนี้วะ

    “มึงคิดว่าใครโทรมา” ไอ้นันท์เป็นคนพูดก่อน คำถามที่ทุกคนก็สงสัยเหมือนกัน

    “กูว่า คนเดียวกับที่มาส่งเมื่อเช้าแน่นอน มันต้องมีอะไรสักอย่างสิวะ ปกติไอ้วิคเตอร์ไม่ใช่คนแบบนี้นี่นา” ไอ้อาร์เป็นคนพูดตอบคำถามครับ

    “ถ้ามันพร้อมจะบอกเดี๋ยวมันก็บอกพวกมึงเองแหละน่า” เป็นไอ้วุธที่นั่งเงียบอยู่นานเป็นคนปิดประเด็นทั้งหมดเสียอย่างนั้น

    “นั่นมันสำหรับมึงเถอะ แต่พวกกูอยากรู้นี่หว่า” ไอ้นันท์พูดโต้กลับไป

    “แล้วมึงจะไปง้างปากไอ้วิคเตอร์มันหรือไง ก็เห็นๆอย่ามันไม่พร้อมจะบอกพวกมึงตอนนี้น่ะ” มันก็จริงแบบที่ไอ้วุธพูดมานะ มันคงไม่คิจะปิดบังเพื่อนจริงๆหรอก

    “เฮ้ยพวกมึง กูไปแล้วนะเว้ย” ระหว่างที่ทุกคนกำลังนั่งเงียบไอ้วิคเตอร์ก็กลับมาพร้อมขอตัวออกไปก่อนเสียอย่างนั้น

    “อะไรของมึงวะ นี่จะทิ้งเพื่อนเลยหรือไง” ไอ้ภีมพูดแซว

    “ก็งานเสร็จแล้วไม่ใช่หรือไง อีกอย่างพวกมึงก็ไม่ได้นัดจะไปที่ไหนกันด้วยนี่นา” จะว่าไปมันก็จริงนะ โทรศัพท์ของไอ้วิคเตอร์มันมาก่อนที่พวกผมจะนัดกันนี่นา พวกผมช้าเอง

    “แล้วมึงกลับไงเนี่ย ไม่ได้เอารถมาไม่ใช่หรือไง” ไอ้วุธถามครับ หืม ไอ้หมอนี่ เงียบตั้งนานนี่ไม่ใช่ไม่สนใจนะ แต่แอบเก็บข้อมูลอยู่นี่กว่า ร้ายไม่ใช่เล่นเลยเพื่อนคนนี้

    “พี่ที่รู้จักนั่นมารับชัวร์” ไอ้อาร์เป็นคนพูดอย่างมั่นใจ

    “เออ คนเดิมนั่นแหละ จบป่ะ กูไปแล้วนะเว้ย แล้วค่อยเจอกัน” ไม่รอให้เพื่อนตอบรับอะไรไอ้วิคเตอร์ก็เดินไปเลย แบบนี้ยิ่งทำให้ผมสงสียหนักกว่าเดิมอีก

    “ชิ เบื่อชะมัดเลยไอ้พวกชอบมีความลับกับเพื่อนเนี่ย”

    “เฮ้ย พวกมึง กูว่ากูก็ต้องไปแล้วล่ะว่ะ” อยู่ๆผมก็พูดขอตัว ทำเอาเพื่อนๆงงไปตามกัน

    “ไอ้นี่อีกคนละ จะรีบไปไหนของมึงวะ มีธุระแบบไอ้วิคเตอร์หรือไง” ไอ้นันท์ถาม

    “เออ กูก็มีธุระของกูบ้างหรือเปล่าวะ แต่ไม่เหมือนของไอ้วิคเตอร์หรอกน่า” ผมตอบกลับพวกมัน เรื่องของไอ้ไนน์พวกมันก็รู้แล้วล่ะ ผมบอกเองแหละ ผมไม่อยากให้เพื่อนเป็นห่วงถ้าเห็นผมซึมๆไป  อีกอย่างเรื่องของไอ้ไนน์สำหรับพวกนี้ก็ไม่ใช่ความลับอยู่แล้ว สำหรับผม ไม่จำเป็นต้องปิดบัง เพราะมัน....เป็นอดีตไปแล้ว

    “เดี๋ยวก็ไม่ทันหรอกมึง” ผมหันขวับทันทีที่ได้ยินประโยคนี้  อีกแล้ว ไอ้เชี่ยวุธอีกแล้ว รู้ทันตลอดอ่ะ ไอ้คนนี้ ผมว่าถ้าใครได้มันเป็นแฟนนี่ต้องโคตรระแวงอ่ะ รู้ทันไปหมด

    “ไปแล้วนะเว้ย” ผมรีบบอกลาพวกมันแล้วรีบไปที่รถของตัวเอง เรียกได้ว่ายังทันเห็นหลังของใครบางคนกำลังขึ้นรถปริศนาที่ผมไม่รู้จักอยู่ไปอย่างเร่งรีบ

     

    [Victor]

                “เป็นอะไรหรือเปล่า ดูรีบๆนะ” เสียงพี่พาสต้าถามผมทันทีที่ผมขึ้นรถมา เดี๋ยวนี้เป็นพี่พาสต้าแล้ว จะว่าไปก็รู้สึกไม่ชินอย่างไรก็ไม่รู้สิ แต่จะให้เรียกเหมือนเดิมก็ทำไม่ลงแล้วนะ

    “อย่าพึ่งถาม ออกรถเถอะเร็ว” ผมหันมองซ้ายขวาด้วยความระแวง พี่พาสไมได้ถามอะไรผมโดยขับรถออกไปอย่างไม่ได้ติดใจอะไรนัก

    “หลบเพื่อนอยู่หรือไง”

    “รู้ได้ไงน่ะ” ผมหันไปถามอย่างสงสัย นี่เดาสุ่มหรือว่าไงกัน

    “ก็ท่าทางเราดูออกเสียขนาดนี้จะให้พี่คิดว่าไงได้ล่ะ” นั่นสินะ ความเร่งรีบของผมกับหันมองซ้ายขวารอบๆอยู่ตลอดเวลาแบบนี้น่ะ

    “โกรธหรือเปล่า” ผมลองถามกลับดู จะเข้าใจผมผิดหรือเปล่าเนี่ย

    “ก็ไม่นะ พี่เข้าใจ เรื่องแบบนี้มันต้องใช้เวลา อีกอย่าง ไม่เห็นจำเป็นต้องป่าวประกาศให้ใครรู้เลยจริงไหม” ผมมองพี่พาสต้าอย่างอึ้งๆ คนๆนี้ดูเป็นผู้ใหญ่จัง ผมเทียบไม่ได้เลยแฮะ

    “ขอบคุณนะ” ขอบคุณที่เข้าใจคนเอาแต่ใจแบบไอ้วิคเตอร์คนนี้

    “คิดมากน่าเจ้าตัวแสบ” ผมว่าผมคิดไม่ผิดแน่นอนแล้วล่ะที่เลือกคนๆนี้

    “ว่าแต่กับน้องพี่ไนน์คนนั้นก็ไม่ได้บอกหรอ” พี่พาสต้าพูดขึ้นหลังจากเราเงียบไปสักพัก

    “ใคร? ไอ้เซนท์หรอ”

    “อ่าๆ ไอ้คนนั้นแหละ สนิทกันมากไม่ใช่หรอ อีกอย่างมันก็ชอบพี่ไนน์ไม่ใช่หรือไง มันเข้าใจเราอยู่มั้ง” ไอ้เซนท์งั้นหรอ จะว่าไปผมก็ยังไม่ได้บอกอะไรมันเลยนี่นา

    “ยังอ่ะ” พอพี่พาสต้าพูดขึ้นมาแบบนี้ทำเอาผมรู้สึกผิดไปเลยอ่ะ

    “อ่าว พี่เห็นเราสองคนสนิทกันก็นึกว่าจะคุยกันแล้วเสียอีก แบบนี้ไอ้เซนท์นั่นไม่ผิดหวังแย่เลยหรือไง” โห พูดแบบนี้ทำเอาจุกเลยนะ

    “ผมว่ายังดีกว่า มันกำลังอกหักจากพี่ไนน์อยู่”

    “หืม เกิดอะไรขึ้นงั้นหรอ พอดีพี่ไม่ค่อยได้ติดต่อพี่ไนน์น่ะ” ไม่แปลกหรอก ผมว่าพี่ไนน์เองก็คงไม่อยากจะพูดเรื่องนี้ขึ้นมากับใครหรอก พวกผมรู้จักไอ้เซนท์มากพอที่จะรู้ว่าทุกวันนี้มันฝืนใจตัวเองมากแค่นี้ที่ยังยิ้มร่าเริงกับพวกผมได้แบบนี้น่ะ ในเมื่อเพื่อนผมมันพยายามที่จะไม่ให้เป็นห่วงขนาดนี้แล้วพวกผมจะทไงได้นอกจากตามน้ำมันไปแล้วเลิกที่จะพูดเรื่องพี่ไนน์เสีย

                “มีเรื่องทะเลาะกันเพราะมือที่สามแทรกแซงน่ะ พี่ไนน์คงเหนื่อยด้วย เลยตัดขาดกับไอ้เซนท์ไปเลย ผมเลยไม่อยากกวนมันตอนนี้เท่าไร” พูดไปก็เหมือนจะเป็นข้ออ้างนะ ความจริงไอ้เซนท์มันแยกแยะเรื่องของเพื่อนกับเรื่องชีวิตส่วนตัวของมันได้น่า มันไม่ได้คิดมากอะไรขนาดนั้น

                “โอเคๆ พี่เข้าใจละ ก็แล้วแต่เราละกัน” ผมหันไปมองคนข้างๆอย่างรู้สึกผิด พี่พาสต้า พี่จะรู้หรือเปล่าว่าความจริงคือผมกลัว กลัวเกินไปที่จะพูดเรื่องนี้กับใคร ผมกลัวที่จะเสียอะไรไป ผมไม่ได้กล้าหาญที่จะเปิดเผยทุกอย่างแบบพี่นะครับ ผมยังไม่พร้อมมากพอ

    “เย็นนี้ไปหาอะไรทานกันป่ะ พี่ชวนไอ้วินเนอร์ละ เดี๋ยวพี่ไปรับยัยพิซซ่าก่อน เดี๋ยวกลับมาหา” ชื่อนี้ ไม่ทำให้ผมแปลกใจเท่าไร เพราะผมก็รู้อยู่แล้วล่ะว่าเป็นน้องสาวของพี่พาสต้า

    “ครับผม ไงก็ได้ ยังไงวันนี้ป๊ากับม๊าก็กลับดึกอยู่ละ” เรียกได้ว่าหลังจากวันนั้น พอผมกลับมาบ้านโดยมีไอ้พาสต้ามาส่งเท่านั้นแหละ ไอ้วินเนอร์ตามล้อผมทั้งวันเลย จนถึงวันนี้ก็ยังไม่เลิก ผมว่าคงจนกว่ามันจะกลับไปเรียนนั่นแหละ มันถึงจะหุบปากของมันสักที

    “งั้นเดี๋ยวพี่มารับก็แล้วกัย” ผมพยักหน้าตอบรับประโยคคำพูดนั้นของพี่พาส

    “อ่ะถึงละ” รถของพี่พาสต้าจอดหน้าบ้านผมพอดี พอๆกับร่างหนาของใครบางคนที่นั่งเล่นอยู่หน้าบ้านลุกเดินมาที่รถอย่างช่วยไม่ได้ ทำเอาพี่พาสต้าต้องลงรถด้วยเลย

    “กูก็ว่าน้องกูมันหายไปไหนทั้งๆที่รถมันยังอยู่ ที่แท้ก็มึงนี่เอง” นั่นไงแหละเริ่มมาก็แซวเลย ไอ้วินเนอร์ที่อยู่ในชุดเสื้อยืดกาเกงขาสั้นสบายๆ ยืนประจันหน้ากับพี่พาสต้าอยู่

    “ไม่ได้ไปด้วยกัน วิคเตอร์ไปทำงานกับเพื่อน กูเลยไปรับไปส่งแค่นั้นแหละ”  

    “เออ ก็ไม่ได้ว่าไร เย็นนี้มึงมารับใช่ป่ะ กูขี้เกียจขับรถ” เป็นเพื่อนที่ดีจริงๆเลยนะ พี่ผมเนี่ย

    “เออ กูไปก่อนนะ พี่ไปนะวิคเตอร์” ผมสองคนตอบรับพี่พาสต้าแล้วยืนมองจนรถขับหายไป พอหันกลับมาที่คนข้างๆก็เจอกับรอยยิ้ม้ล็กที่ส่งมาให้

    “เฮ้อ เพื่อนกูไปชอบอะไรในตัวมึงวะเนี่ย เสียดายแทนคนอื่นจริงๆ ทั้งหล่อทั้งนิสัยดี แล้วดูน้องกูดิ” ผมมองค้อนไอ้พี่ชายอย่างไม่ปิดบัง ปากนี่ทำงานได้ดีจริงๆเลยนะครับพี่วินเนอร์

    “เฮ้ยๆ แต่กูว่ามึงกำลังจะมีปัญหาแล้วว่ะ” อยู่ไอ้วินเนอร์ก็เปลี่ยนท่าทาง ทำเอาผมต้องมองตามมัน และสุดปลายสายตานั่นก็ทำเอาผมตาค้าง

    “สวัสดีครับพี่วินเนอร์” พี่ผมรับไหว้ใครคนนั้นก่อนที่ตัวมันจะชิ่งหนีหายเข้าไปในบ้าน

    “ว่าไงมึง กูว่ารุ่นน้องไอ้ไนน์คงไม่ใช่แค่พี่ที่รู้จักของมึงหรอกมั้ง”

    “ไอ้เซนท์” โธ่เว้ย! ทำไมมันต้องตามผมมาแบบนี้ด้วยเนี่ย ซวยแล้วไงไอ้วิคเตอร์



    **********************************************************



    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×