ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    "..Insecure.." WangZiyi x CaiXukun จื่อคุน

    ลำดับตอนที่ #11 : Episode 10 : Judged

    • เนื้อหาตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 1.81K
      155
      4 พ.ค. 61

    Insecure

    #สวี่คุนเป็นโอเมก้า

    Episode 10 -Judged-


    .



    เครื่องปรับอากาศพ่นลมเย็นชื่นปรับอุณหภูมิที่เริ่มจะไต่สูงให้ลดต่ำลงอีกครั้ง ไรขนที่บริเวณหลังแขนลุกชันยามสายลมเย็นจัดเป่าพัดผ่าน ช่ายสวี่คุนหันมองห้องแต่งตัวที่ไม่ได้เต็มแน่นนัก คงเพราะหลายทีมยังรันทรูกันไม่เสร็จด้วยสายตาว่างเปล่า เขายังรู้สึกตื่นเต้นกับการขึ้นเวที แต่ความเหนื่อยล้าตลอดสัปดาห์ที่ผ่านมาทำให้ช่ายสวี่คุนขี้คร้านจะแสดงออกอะไรมากมาย

    “ช่วงนี้เป็นยังไงบ้าง”

    ช่างแต่งหน้าคนสวยถามไถ่เขาด้วยความหวังดี หญิงสาวที่สวมผ้าปิดปากสีขาวเอาไว้เพราะดันมาป่วยเอาในเวลางานแตะปลายพู่กันลงบนหลุมอายแชโดว์สีน้ำตาลอ่อนก่อนจะระบายมันลงบนเปลือกตาของชายหนุ่มตรงหน้าอย่างปราณีต

    “ก็ดีครับ โชว์นี้เต็มที่มาก”

    ”ก็คิดว่าอย่างนั้นแหละ ขอบตานี่คล้ำมาเชียว”

    สวี่คุนหัวเราะจนไหล่สั่น นึกสงสารหญิงสาวที่ต้องมารับผิดชอบร่องรอยความอ่อนล้าบนหน้าเขา มือเล็กกดไหล่กว้างของชายตรงหน้าลงพร้อมทั้งเอ็ดให้คนที่เอาแต่หัวเราะอยู่นิ่งๆ เจ้าหล่อนบ่นยกใหญ่ว่าเขาทำให้อายแชโดว์บนเปลือกตาเลอะเทอะ

    “ขอโทษครับ”

    ช่ายสวี่คุนตอบกลับอย่างไม่จริงจังนัก น้ำเสียงขี้เล่นที่ได้ยินทำให้ริมฝีปากที่ถูกปกปิดด้วยผ้าขาวเนื้อบางยกยิ้ม 

    “สู้ๆก็แล้วกัน”

    .


    “ไม่เห็นจะเชียร์ผมบ้างเลย”

    ยังไม่ทันที่ตลับอายแชโดว์จะวางลงถึงโต๊ะ เสียงกระเง้ากระงอดแสนงอนก็ดังขึ้นพร้อมๆกับการปรากฏตัวของเด็กหนุ่มร่างสูงโปร่ง ฟ่านเฉิงเฉิงมุ่ยหน้าแสร้งทำเป็นน้อยอกน้อยใจเสียเต็มประดา เจ้าเด็กโข่งเดินกระแทกส้นผ่านเก้าอี้ของเขาไปนั่งบนเก้าอี้หน้ากระจกตัวที่อยู่ติดกัน ก่อนจะเปิดกระเป๋าถือใบเล็กของตัวเองเพื่อหยิบช็อคโกแล็ตบาร์ขึ้นมากัดแก้มตุ่ย

    “เด็กน้อยเอ๊ย”

    ช่ายสวี่คุนว่าไปตามที่ตัวเองเห็น ช่างแต่งหน้าอีกคนในห้องเห็นดีด้วยจึงหัวเราะเสียงใส ผิดกับหญิงสาวตรงหน้าเขาที่โอ๋เด็กหน้าบูดจนริมฝีปากรูปกระจับเริ่มจะมีรอยยิ้ม

    “ไม่ได้เด็กนะ ผมโตแล้ว”

    “จ้าๆ เฉิงเฉิงของพี่เก่งที่สุด”

    พอโดนป้อยอเข้าหน่อย คนโตแล้วก็ยักคิ้วกลับมาให้ช่ายสวี่คุนพลางเคี้ยวช็อคโกแล็ตบาร์กร้วมๆ ท่าทางที่ต่อให้ตีลังกามองช่ายสวี่คุนก็ยังเห็นว่าดูเด็กน้อยมากอยู่ดี แต่ถึงจะคิดอย่างนั้นเขาก็ยอมพยักหน้ายอมแพ้ให้กับคนอายุน้อยกว่าเพราะเหนื่อยจะเถียง ฟ่านเฉิงเฉิงยิ้มร่า เลิกสนใจเขาเมื่อเห็นว่าจบประเด็นเมื่อครู่ไปแล้ว รูปหน้าสมบูรณ์แบบราวกับรูปสลักหันไปหน้ากระจกเพื่อให้ช่างแต่งหน้าได้ละเลงผลงานอย่างเต็มที่ แน่นอนช็อคโกแลตที่ใกล้หมดในมือก็ถูกดันขึ้นจนห่อพลาสติกยับย่นไปด้วย

    “เป็นเด็กที่ตลกดีนะ”

    เสียงหวานแต่อู้อี้เปรยขึ้นไม่ดังนัก ปลายพู่กันอันเล็กตวัดเอาสีแดงเรื่อในถาดขึ้นมาปาดทับบนริมฝีปากอิ่ม ช่ายสวี่คุนยิ้มรับความเห็นที่ตรงใจก่อนจะเม้มปากเบาๆเมื่อลิปสติกบนปากถูกแปะป้ายจนเสร็จเรียบร้อย

     .

    “เห เฉิงเฉิงยังไม่มีรอยสักเหรอเนี่ย”

    น้ำเสียงแปลกใจของช่างแต่งหน้าโต๊ะข้างๆเรียกสายตาของคนทั้งคู่ให้หันเบนไปหา แก้มขาวขึ้นสีแดงอ่อนๆอย่างเคอะเขินเมื่อพื้นที่หลังใบหูถูกสำรวจ สวี่คุนหรี่ตามองตามนิ้วชี้ของหญิงสาวไปยังผิวเนื้อที่ยังเรียบสนิท ไม่มีรอยนูนเด่นขึ้นอย่างที่ควรจะเป็น รอยสักของเพศรองยังไม่ปรากฏขึ้นมาทั้งที่อายุเกิน15ปีมาแล้ว ก็แปลกจริงๆนั่นแหละ

    “มันคงจะขึ้นมาเร็วๆนี้แหละครับ”

    เด็กอยากโตเอ่ยเสียงเบา ดูไม่มั่นใจผิดกับท่าทีเมื่อครู่ 

    “เดี๋ยวมันก็ขึ้นมาเองแหละ ขนาดไม่ขึ้นมายังขนาดนี้เลย”

    สวี่คุนหมายถึงบุคลิกนิสัยของฟ่านเฉิงเฉิงที่แสดงความเป็นอัลฟ่าอย่างชัดเจน ทั้งนิสัยติดเอาแต่ใจ อยากจะโดดเด่นหรือได้รับการยอมรับอย่างที่อัลฟ่าสมควรได้ แถมยังอยู่ในครอบครัวที่เป็นอัลฟ่าทั้งตระกูล(ดอกจันสามครั้งว่าฟ่านปิงปิงเป็นอัลฟ่าหญิงที่เซกซี่ที่สุด) ไหนจะความรู้สึกตอนที่เขาพรีฮีทนั่นอีก ทั้งที่อาการชัดขนาดนี้ไม่น่าเชื่อว่ายังไม่มีรอยสักเป็นของตัวเอง

    “แต่ไปตรวจก็ดีเหมือนกัน”

    “ง่า ช่างมันเถอะๆ ได้โปรดลืมมันไป”

    ฟ่านเฉิงเฉิงโอดโอย มือขาวพยายามปิดใบหูที่ว่างเปล่าขณะที่ผิวเนื้อเนียนเริ่มกลายเป็นสีแดง ลามตั้งแต่พวงแก้มไปจนถึงปลายจมูกและใบหู เฉิงเฉิงคงรู้สึกเหมือนถูกก้าวก่ายเรื่องส่วนตัวแถมยังเป็นเรื่องที่พูดกันยากอย่างเพศรองอีกต่างหาก สวี่คุนดึงตัวกลับพยายามทำเฉยเพราะแค่โดนช่างแต่งหน้าสองคนรุม เด็กนั่นก็ต้องปัดป้องเป็นพัลวันแล้ว

    .


    รอยสักที่พูดถึงไม่ใช่รอยสักที่ผ่านกระบวนการประดิษฐ์ด้วยฝีมือมนุษย์ ทว่าโดยปกติแล้วรอยสักหลังใบหูจะปรากฏขึ้นเองในรูปแบบของอักขระนูน บ้างก็มีสีดำบ้างก็ไม่มีสี เมื่ออัลฟ่าหรือโอเมก้าเข้าสู่วัยรุ่น ในอดีตอาจเป็นตอนอายุครบสิบห้าปี แต่เพราะเด็กในปัจจุบันโตไวขึ้นมากทำให้อัลฟ่าและโอเมก้าบางคนมีรอยสักบอกเพศรองตั้งแต่อายุสิบสองสิบสาม

    ช่ายสวี่คุนเองก็เป็นหนึ่งในนั้น

    หลังมีรอยสักเป็นของตัวเอง อัลฟ่าและโอเมก้าจะค่อยๆเปลี่ยนแปลงสภาพร่างกายและจิตใจของตนไปตามกลไกการปรับตัวตามธรรมชาติเพื่อให้เหมาะสมกับเพศรอง สำหรับอัลฟ่านอกจากจะพัฒนากลิ่นเฉพาะตัวและความสามารถในการรับรู้กลิ่นขึ้นแล้ว อัลฟ่าเพศชายจะแข็งแกร่งขึ้น และอัลฟ่าเพศหญิงจะเริ่มโดดเด่นขึ้นมาในด้านต่างๆ ส่วนโอเมก้าเองก็มีกลิ่นที่ใช้เรียกคู่ของตนเช่นเดียวกันกับอัลฟ่า ผิดกันที่บุคลิกนิสัยและร่างกายที่เริ่มมีการเตรียมพร้อมสำหรับการตั้งครรภ์ สำหรับคนที่ไม่มีรอยสักนั่นหมายถึงการถูกระบุว่าเป็นเบต้าโดยไร้สัญญาณบอก บางคนอาจรอคอยรอยสักจนถึงอายุยี่สิบจึงยอมรับสภาพเบต้าของตน ส่วนบางคนที่ไม่มีอาการแสดงมาตั้งแต่แรกย่อมไม่คาดหวังถึงการเปลี่ยนแปลงมาตั้งแต่ต้น



    หากพูดถึงในกรณีของฟ่านเฉิงเฉิง มันน่าจะหมายถึงการแสดงออกของสัญลักษณ์อัลฟ่าที่ล่าช้ากว่าที่ควรจะเป็น สวี่คุนไม่รู้ว่านั่นจะส่งผลอะไรต่อร่างกายอีกฝ่ายในภายหลังหรือเปล่า ประเด็นหลักเลยคือเขาไม่ใช่หมอ ส่วนประเด็นรองก็คือตลอดช่วงชีวิตที่ผ่านมาเขาสนใจแค่การเปลี่ยนแปลงของโอเมก้าเท่านั้น 

    ถ้าใครจะเป็นอะไรขึ้นมาจริงๆ ก็ช่วยๆดูแลกันไปก่อนก็แล้วกัน


    “ทำไมคิ้วขมวด”

    เสียงของจื่ออี้ที่ดังมาจากด้านหลังทำให้คนที่ตกอยู่ในห้วงความคิดของตนเองสะดุ้งโหยง ช่ายสวี่คุนหันมองคนที่เข้ามาในห้องแต่งตัวตั้งแต่เมื่อไหร่ไม่รู้ด้วยสายตาตื่นตกใจ เหมือนลูกแมวที่โดนแกล้งจนขนพองฟู แต่จากสภาพในตอนนี้น่าจะดูคล้ายสัตว์ตระกูลแมวตัวอื่นเสียมากกว่า จื่ออี้ดึงสาบเสื้อคลุมกีฬาสีแดงสะท้อนประกายวาววับให้ขึ้นมาเกาะบนไหล่มน หลังเห็นว่ามันเลื่อนหลุดขณะที่สวี่คุนหมุนตัวมาหา เสื้อกล้ามสีดำข้างในตัดกันดีกับผิวขาวๆที่ประดับลอนกล้ามเนื้อพอให้น่าดู ถึงจะดูดีแค่ไหนถ้ายังไม่ถึงตอนโชว์จื่ออี้ก็คิดว่าปิดเอาไว้บ้างน่าจะดีกว่า

    “เปล่า”

    “เปล่าอะไรขมวดอยู่เลยเนี่ย”

    ชายหนุ่มจิ้มปลายนิ้วลงบนหัวคิ้วที่ยู่เข้าหากันของอีกฝ่าย สวี่คุนทำปากยื่นน่าตีก่อนจะต้องหมุนตัวกลับไปนั่งหันหน้าเขากระจกในท่าเดิมเพราะโดนช่างทำผมว่าเข้าให้


    “จัสตินเป็นยังไงบ้าง”

    ลีดเดอร์ของทีมpapillonถามถึงเซนเตอร์ที่พ่วงตำแหน่งน้องเล็กของทีมด้วยน้ำเสียงจริงจัง จัสตินเปรยถึงความอึดอัดใจในฐานะเซนเตอร์มาตั้งแต่เมื่อวานตอนซ้อมใหญ่ เขาเองก็ไม่รู้จะช่วยยังไง ถึงตัวจะผ่านตำแหน่งเซนเตอร์มาแล้ว แต่เพราะสถานการณ์ที่ต่างกันทำให้แนะนำอะไรไม่ได้มาก อีกอย่างจัสตินก็เป็นอัลฟ่า เขากลัวว่าถ้าตัวเองไม่ยุ่มย่ามมากเข้าจะกลายเป็นว่าทำให้ฝั่งนั้นอึดอัดใจยิ่งกว่าเดิม เพราะอย่างนั้นหน้าที่ดูแลความรู้สึกของน้องเล็กจึงตกเป็นของจื่ออี้อีกจนได้ 

    “ดีขึ้นแล้ว ไปคุยด้วยเมื่อกี้ก็เหมือนจะมั่นใจขึ้น ไม่ต้องเครียดน่า ทุกคนทำได้อยู่แล้ว”

    พูดจบก็ยิ้มชนิดที่ทำให้ตาพร่ามาให้หนึ่งที จื่ออี้ถอยไปนั่งบนโซฟาบุหนังเพื่อรอคิวแต่งหน้า เจ้าตัวหันไปสนใจภาพยนตร์แอคชันเก่าๆเรื่องหนึ่งที่ถูกนำมาฉายซ้ำบนจอโทรทัศน์ เนื้อเรื่องคงกำลังเข้าสู่ช่วงเข้มข้นเจ้าตัวถึงได้ทำหน้าเครียดเสียขนาดนั้น ผมดำขลับที่เริ่มยาวได้รับการเติมแต่งจนดูดีพร้อมต้องแสงสปอตไลท์ เอาเข้าจริงต่อให้ไม่แต่งหน้าสวี่คุนก็เชื่อว่าจื่ออี้สามารถขึ้นเวทีได้อย่างสบาย

    “มีอะไรอีกหรือเปล่า”

    หวังจื่ออี้หันมาถามเจ้าของสายตาที่มองมาหากันผ่านบานกระจกอยู่นานสองนาน สวี่คุนเพียงแค่ยิ้มให้ก่อนจะขยับปากเป็นคำว่าขอบคุณแบบไร้เสียง เขาเพียงแค่ยิ้มรับคำขอบคุณนั้น เพราะไม่คิดว่าตัวเองทำตัวเป็นประโยชน์อะไรมากมาย ช่ายสวี่คุนเสียอีกที่เป็นฝ่ายควบคุมดูแลทุกอย่าง ตัวเขาเองเพียงแค่ให้คำปรึกษากับน้องๆตามสมควรก็เท่านั้น

    “จัสตินเป็นอะไรอ่ะ”

    ฟ่านเฉิงเฉิงที่โดนจับหันไปทางซ้ายบ้างขวาบ้างตามใจช่างแต่งหน้าเอ่ยขึ้นมาในความเงียบระหว่างพวกเขาทั้งคู่ จื่ออี้คิดว่าเฉิงเฉิงก็คงจะกังวลไปตามประสาเพื่อนร่วมค่ายนั่นแหละ ในระหว่างที่เขากำลังสรรหาคำมาอธิบายสถานการณ์ในทีมให้ทีมคู่แข่งฟังอยู่นั้น เด็กหนุ่มที่ดูโตเกินอายุก็ถามซ้ำอีกรอบเพราะไม่ได้รับคำตอบอย่างที่ต้องการจึงคิดว่าอีกฝ่ายคงไม่ได้ยิน

    “เขาเป็นอะไรหรือเปล่า”

    “ตอนนี้ไม่มีอะไรแล้ว แค่เครียดน่ะ บอกเลยว่าตอนนี้พร้อมสุดๆ ฝากบอกเซนเตอร์ทีม very good ด้วยว่าให้ระวังตัวไว้”

    หลังหย่อนระเบิดลูกเล็กๆเอาไว้หนึ่งลูก รอไม่นานฟ่างเฉิงเฉิงก็เหยียบมันเข้าเต็มเปา นอกจากจะทำหน้าตาตลกเพราะโดนพาดพิงแล้ว เจ้าตัวยังยืดอกพูดถึงความเป็นต่อของทีมvery goodของตนด้วยท่าทางแบบเด็กๆร่วมด้วย เรียกเสียงหัวเราะจากทุกคนในห้องได้อย่างที่จื่ออี้ตั้งใจ

    จริงๆแล้วเขาเป็นคนขี้แกล้ง ยิ่งแกล้งเด็กแบบนี้ยิ่งเป็นของถนัดเชียวล่ะ


    ปึง


    “แย่ล่ะ แย่แน่ๆ”

    “โจวรุ่ยระวังล้ม”

    หญิงสาวที่เรียกให้เขาเดินไปนั่งแทนที่สวี่คุนตะโกนขึ้นหลังเห็นว่าโจวรุ่ยเดินทะล่าเข้ามาให้ห้องโดยไม่ได้มองทาง โจวรุ่ยที่วันนี้สวมเสื้อแขนยาวสีขาวเนื้อบางกับการเกงเอวสูงสีดำทำหน้ายุ่งพอๆกับผมเผ้าที่พันกันมั่ว เจ้าตัวคุ้ยกระเป๋าเป้ของตัวเองที่วางพาดเก้าอี้มุมห้องเอาไว้ ก่อนจะหยิบกล่องใส่ยาแบบพลาสติกสีฟ้าอ่อนออกมาจากช่องลึกสุด

    “กินตอนนี้จะทันเหรอ”

    “ยุ่ง”

    เอ้า หวังจื่ออี้กลายเป็นคนผิดซะงั้น

    ถ้าไม่เห็นแก่กลิ่นหวานแรงของชาจีนในตอนนี้แล้วล่ะก็ จื่ออี้คงจะสวนกลับคนอายุมากกว่าไปสักดอก ให้มันรู้กันไปสักตั้ง แต่เพราะดวงตาที่สั่นริกกับฝ่ามือเล็กที่พยายามยัดยาเข้าปากก่อนจะดื่มน้ำตามอึกใหญ่นั่นทำให้เขาเปลี่ยนใจ 

    “ไปฉีดยาดีกว่ามั้งพี่”

    “เมื่อวานกินยาไปแล้ว แค่ต้องกินซ้ำ”

    “ไปฉีดยาเถอะ เป็นห่วงนะเนี่ย”

    “เอ๊ะ เรื่องมากจังวะ”

    เห้อ ใครกันแน่ที่เรื่องมาก


    ช่วยไม่ได้แล้วนะ


    “ผมบอกให้ไปฉีดยา”

    จื่ออี้กดเสียงจนต่ำทุ้ม กลิ่นไอที่แผ่ออกมาจากตัวก็ทะมึนดำจนช่ายสวี่คุนต้องกอดเสื้อคลุมของตัวเองแน่น

    “ปะ ไปก็ได้”

    หลังเห็นดวงตาเข้มจัดกึ่งจะข่มขู่กึ่งจะแสดงอำนาจของจื่ออี้ รุ่นพี่ที่ตั้งใจว่าจะไม่บากหน้าไปขอฉีดยาในวันนี้เพราะตัวเองดันไปบอกกับหมอตั้งแต่เมื่อวานว่าจะกินยากดอาการเอาไว้แทนจำต้องเปลี่ยนใจ โจวรุ่ยเดินห่อไหล่ออกไปจากห้องแต่ก็ไม่วายตวัดสายตาขุ่นมัวมาให้แม้ดวงตาจะเอ่อคลอด้วยความกลัวอยู่ก็ตาม ต่อให้เป็นโอเมก้าที่อายุเยอะกว่าแค่ไหน ถเาเจอสายตาแบบนั้นของอัลฟ่าเข้าไปก็กลัวกันทั้งนั้นแหละ

    “บ้าอำนาจ”

    ฟ่านเฉิงเฉิงที่นั่งหน้าแดงตัวแดงเพราะกลิ่นฟีโรโมนของโอเมก้าโตเต็มวัยพูดขึ้นพร้อมกับขยำชายเสื้อของตัวเองเล่น ความรูเสึกแปลกๆที่ตีขึ้นมากับความสับสนมึนงงทำให้คนอายุน้อยไม่รู้จะทำยังไงนอกจากนั่งเฉยๆให้มันหายไปเอง จื่ออี้มองเด็กหนุ่มที่คงจะไม่หายจากอาการหน้าแดงง่ายๆแล้วตอบด้วยเสียงเรียบนิ่ง

    “ไม่ได้อยากทำ แต่ถ้าส่อแววจะฮีทขึ้นมาตอนนี้เดี๋ยวก็แย่กันหมด”

    นายเองก็ดูอาการหนักสุดเลยด้วย อ่า ประโยคนี้เขาไม่ได้พูดออกไป


    “อย่ามองแบบนั้นสิ มันน่ากลัวนะ”

    ช่ายสวี่คุนบอกคนที่ยังทำตาเข้มมาให้ด้วยเสียงสั่นๆ เขาไม่เคยเห็นจื่ออี้ในมุมนี้ เกือบจะลืมไปด้วยซ้ำว่าอัลฟ่าคนนี้มีด้านที่เขาไม่อาจต้านทานอยู่มากเท่าไหร่ พลังของอัลฟ่าที่เขาไม่มีวันเอาชนะได้มองเห็นได้เด่นชัดแม้ไม่ได้ประจันหน้าซึ่งกันและกันตรงๆ ลูกแก้วสีนิลสะท้อนประกายอ่อนลงในอีกไม่กี่วินาทีต่อมา

    “โทษที ต้องใช้เวลาน่ะ”

    จื่ออี้หมายถึงดวงตาดุกร้าวของตัวเองและหมายความรวมไปถึงปฏิกิริยาที่มีต่อโอเมก้าที่กำลังฮีทด้วย ทำไมเขาจะไม่รู้ว่าช่ายสวี่คุนแอบเอามือปิดจมูกตอนที่โจวรุ่ยเข้ามาในห้อง เป็นธรรมดาที่โอเมก้าด้วยกันจะไม่ชอบกลิ่นของกันและกันในยามฮีท เหมือนเป็นกลไกการปกป้องอาณาเขตและการแสดงออกถึงการหวงคู่ แน่นอนว่าจื่ออี้ไม่ได้เข้าข้างตัวเองขนาดจะคิดว่าช่ายสวี่คุนมองตนเป็นคู่จึงเกิดอาการหวงขึ้นมา จุดที่เขายืนกับจุดนั้นยังห่างกันอีกไกล และหากโอเมก้าถูกดึงดูดด้วยกลิ่นของโอเมก้าด้วยกันเองคงประหลาดพิลึก

    ไม่ใช่ว่าเกิดขึ้นไม่ได้

    แต่โอกาสมันน้อยยิ่งกว่าการจับคู่กันเองของอัลฟ่าถึงสองถึงสามเท่า


    ดีแล้วล่ะที่มันไม่เกิดขึ้น



    .



    สุดท้ายโจวรุ่ยก็ไปฉีดยา 

    ขอบคุณความน่ากลัวของหวังจื่ออี้ที่ไม่ทำให้วันถ่ายทำเกิดเหตุการณ์ไม่คาดฝันขึ้นมากไปกว่านี้ ร่องรอยของการฮีทที่หลงเหลืออยู่แสดงออกมารูปของผิวกายสุกปลั่งดูน่าสัมผัส โจวรุ่ยดูสวยงามเสียจนพวกที่นั่งอยู่ด้วยกันในห้องพักส่งเสียงโหวกเหวก แม้แต่โอเมก้าอย่างเขายังรู้สึกเลยว่าอีกฝ่ายดูน่าหลงใหลขึ้นมาอย่างน่าประหลาด 

    คงเป็นผลดีต่อเจ้าตัว ด้วยเสียงตอบรับที่ดีขนาดนั้น สวี่คุนไม่แปลกใจเลยหากโจวรุ่ยจะได้ที่หนึ่งในโพสิชันโวคอล ความเป็นไปได้สูงลิ่วแต่เพราะอะไรก็เกิดขึ้นได้เขาจึงไม่อยากมั่นใจเกินไปนัก

    “นี่…”

    ช่ายสวี่คุนหันไปหาคนข้างตัว จื่ออี้ที่สวมเสื้อคลุมสีเขียวแวววับกำลังมองจอที่ถูกติดตั้งเพื่อให้เด็กฝึกได้รับชมการแสดงแบบสดๆด้วยแววตาวูบไหว แม้แต่อัลฟ่าอย่างจื่ออี้ก็ยังลุ่มหลงไปตามกฎแห่งธรรมชาติ

    เป็นครั้งแรกที่สวี่คุนอยากโตไวกว่านี้

    เขาไม่พอใจในปฏิกิริยาแบบนั้น

    และแม้จะรู้อยู่แก่ใจตัวเองดีว่านั่นเป็นสิ่งที่ห้ามไม่ได้ เขาก็ยังหงุดหงิดงุ่นง่าน


    “อะไรนะ”

    จื่ออี้หันมาถามเพราะรู้สึกว่าโดนสะกิด ดวงตาคมยังมีแววนุ่มลึกอย่างที่สวี่คุนคลับคล้ายคลับคลาว่าเคยเห็นมันมาก่อน 

    “เปล่า”

    “มีอะไร หันมามองหน้าสิ”

    สวี่คุนหันไปมองหน้าอีกฝ่ายตามเสียงเรียก ในอกยังกรุ่นด้วยความคับข้องใจบางอย่าง มันไม่ใช่ความโกรธ แต่เป็นเพียงความรู้สึกไม่พอใจที่คล้ายจะเป็นอารมณ์หวง ยิ่งจื่ออี้ถามว่าเป็นอะไรไปก็ยิ่งแสบยิบในใจ

    น่ารำคาญชะมัด

    “โกรธเหรอ”

    “ไม่ อึดอัด”

    เขาไม่ได้โกหกเลยสักนิด สวี่คุนรู้สึกอึดอัดกับตัวเองจนไม่ทันเห็นประกายอ่อนโยนจากคนที่มองอยู่ใกล้ๆ จื่ออี้ตบเบาๆบนไหล่ก่อนจะลูบไปมาให้ใจเย็นลงนิด

    “ไม่ต้องเครียด ไม่มีอะไรหรอกน่า”

    สวี่คุนคิดว่าจื่ออี้คงหมายถึงโชว์ของทีมpapillon เขาจึงทำเออออไปกับคำปลอบประโลมนั้น จัสตินที่บังเอิญได้ยินเข้าจึงหันมาชูกำปั้นให้กำลังใจอีกแรง ลำดับคิวถอยร่นมาใกล้จนเกือบจะถึงเวลาเตรียมตัว สวี่คุนเรียกปู่ฝานที่เสียสมาธิไปกับการดูโวคอลทีมผัดเปลี่ยนกันขึ้นแสดงให้รู้ตัวว่าใกล้ถึงคิว ก่อนจะได้ยินเสียงเรียกแรปทีมสองทีมแรกในรายชื่อดังขึ้นพร้อมๆกับเสียงปรบมือให้กำลังใจจากเพื่อนโดยรอบ เป็นคิวของทีม Artist และ Papillon ตามเอกสารที่แจกก่อนการรันทรูช่วงเช้า เสียวกุ่ยลุกขึ้นเป็นคนแรกตามมาด้วยคนอื่นๆในทีมArtist ก่อนที่ทีมของเขาจะเป็นทีมที่สองที่ออกจากห้องไป

    ความตื่นเต้นที่ทุเลาลงจากคราวแรกปะทุเดือดขึ้นอีกระลอก สวี่คุนตะโกนให้กำลังใจทีมคู่แข่งที่ต้องขึ้นเวทีก่อน แล้วจึงหันมารวบรวมสมาธิกับทีมของตน ทั้งความตื่นเต้น ความกังวล และอารมณ์อีกร้อยแปดคือสิ่งที่เขาสัมผัสได้ยามทั้งสี่ชีวิตวางมือซ้อนกัน เป็นความรู้สึกดีอันแสนประหลาด สวี่คุนเชื่อว่ายิ่งหลากความรู้สึกอัดอยู่ในใจมากเท่าไหร่ เมื่อขึ้นเวทีย่อมระเบิดออกไปได้แรงเท่านั้น และยิ่งคนดูรับรู้ถึงมันได้มาก ก็หมายถึงโอกาสในการสร้างอิมแพคที่มากขึ้นด้วย


    “สู้นะจัสติน”

    จื่ออี้แปะมือลงกลางกระหม่อมของอัลฟ่าอายุน้อย จัสตินยิ้มแห้งๆแทนคำตอบขณะที่สวี่คุนเลือกจะพูดรวมๆโดยไม่เจาะจงมากกว่าเน้นประเด็นอ่อนไหวของบางคน

    “มาทำให้เวทีลุกเป็นไฟกันเถอะ”

    เสียงตอบรับไม่อาจดังเทียบเท่าเสียงกรีดร้องของแฟนๆเมื่อทีมpapillonถูกประกาศชื่อ จื่ออี้กำข้อมือของสวี่คุนเอาไว้หลวมๆขณะกระตุกรั้งให้ก้าวขึ้นเวทีไปพร้อมกัน เสียงทุ้มห้าวน่าฟังกระซิบแผ่วท่ามกลางความอึกทึกภายนอก

    “You cool bro”

    “You too”


    .


    ถ้าถามว่าช่ายสวี่คุนคาดหวังอะไรกับโชว์ในวันนี้ เขาคงตอบแบบไม่คิดเลยว่าความสนุกสนานและการได้ระเบิดตัวตนของตัวเองออกไปสู่สายตาคนภายนอก เพราะฉะนั้นสวี่คุนจึงไม่รู้สึกผิดหวังนักแม้ตัวเองจะกลายเป็นอันดับที่สองของทีม หมดสิทธิ์ลุ้นคะแนนพิเศษเพิ่มเติมในฐานะอันดับหนึ่งแต่ก็ไม่เป็นไร เรื่องเดียวที่ทำให้เสียใจก็คืออันดับหนึ่งไม่ได้เป็นของจื่ออี้ดังที่คาด 

    ไม่ใช่ว่าอีกสองคนทำไม่ดี ที่จริงแล้วทั้งจัสตินและปู่ฝานก็สร้างผลงานได้เยี่ยม เพียงแต่ว่าเขาเอียงใจไปทางจื่ออี้มากกว่าหน่อยก็เท่านั้น แทบจะไร้ที่ติแท้ๆ น่าเสียดายที่ผลออกมาเป็นแบบนี้

    ใบหน้าของจื่ออี้ยังประดับรอยยิ้มบางอย่างเคย ฝ่ามือที่สอดประสานเอาไว้หลวมๆชื้นเหงื่อจากความตื่นเต้นเมื่อครู่ สวี่คุนเผลอตัวมองคนที่แสดงความยินดีกับจัสตินเป็นครั้งที่สองหลังกลับเข้ามาในห้องพัก เขากำลังตามหาร่องรอยความผิดหวังของคนๆนี้ พลันวงหน้าคมคายก็หันกลับมา ในอารมณ์ตกใจระคนสับสนตาต่อตาประสานกันเพียงหนึ่งเสี้ยววินาที ก่อนจื่ออี้จะดึงมือออกมาวางแหมะบนเข่าของอีกคน 

    “ขอโทษที่ทำให้ผิดหวัง”

    ผิดแล้ว สวี่คุนไม่ได้ผิดหวังในตัวจื่ออี้เลยสักนิด

    ในทางกลับกัน เขาภูมิใจที่มีโอกาสได้ทำโชว์นี้ร่วมกันมากกว่า


    “จื่ออี้เจ๋งที่สุดอยู่แล้ว”


    สวี่คุนมองรอยยิ้มของจื่ออี้แล้วเหมือนจะเห็นดาวพร่างพรายปรากฏขึ้นในลานสายตา มารู้ตัวอีกทีกก็ตอนที่ทีมงานสองคนเข้ามาลากตัวเยี่ยนเฉินที่ตัวสั่นงันงกออกไปยังโรงพยาบาล เมื่อเช้าเยี่ยนเฉินเป็นลมพับลงไปบนเวทีเพราะความอ่อนล้า หัวฟาดพื้นไปเลยด้วย ไม่รู้ว่าโอเคขึ้นหรือยัง พอเยี่ยนเฉินออกไปได้ไม่นานเท่าไหร่ แฝดพี่น้องที่คนหนึ่งพันผ้าปิดตารอบศีรษะก็จูงมือกันเข้ามา

    สวี่คุนครางในคอ

    มันเศร้าเกินไป ทั้งที่ตั้งใจมากแท้ๆแต่กลับเกิดอุบัติเหตุจนขึ้นเวทีไม่ได้ แค่คิดตามก็เหมือนน้ำตาจะรื้นขึ้นมา


    “คุนคุน คิดถึงจัง”

    โจวรุ่ยที่แสดงเสร็จไปพักใหญ่แล้วสละที่ให้สองพี่น้องก่อนจะเดินมานั่งข้างกันกับเขา มือเล็กยื่นขนมมาจ่อที่ริมฝีปาก ทำให้ต้องอ้าปากรับอย่างช่วยไม่ได้

    “เอามานี่ ฉันป้อนเอง”

    “ไม่!”

    จื่ออี้กับโจวรุ่ยยื้อแย่งขนมกล่องเล็กนิดเดียวกันต่อหน้าเขา คนอายุมากกว่าจิกเล็บลงบนท่อนแขนของอัลฟ่า เรียกเสียงโอดโอยมาจากจื่ออี้ ก่อนเจ้าตัวจะเอนตัวมาอ้อนขอความเห็นใจจากเขา

    “เจ็บมากเลย คุนคุนดูสิโอเมก้าตัวเหม็นทำร้ายร่างกายฉัน” 

    แขนยาวที่ยกขึ้นพาดบ่าเขาโดนดึงออกไปด้วยฝีมือโจวรุ่ยที่ทำตาเขียวใส่ ช่ายสวี่คุนไม่ได้เข้าข้างใครเป็นพิเศษ เขาหัวเราคิกคักไปพลางๆระหว่างมองผู้ใหญ่สองคนเถียงกันไม่จบไม่สิ้น

    “ไม่ได้เหม็น ใครๆก็บอกว่าฉันหอม นี่เอามือออกนะ ไอ้อัลฟ่าฉวยโอกาส”

    “อะไรของพี่เนี่ย ตัวก็เหม็นยังจะมายุ่งเรื่องของเด็กๆอีก”

    “ย่าห์ หวังจื่ออี้”


    เชื่อไหมล่ะว่าจื่ออี้กวนประสาทคนเก่ง


    “ผมไม่ชอบกลิ่นชาเขียว กลิ่นมิ้นต์ดีกว่าเยอะ”

    เจ้าของเสียงทุ้มเอ่ยขึ้นด้วยแววตาเจ้าเล่ห์ ดูเหมือนว่าหวังจื่ออี้จะไม่ได้กวนประสาทเก่งอย่างเดียว คงจะกวนใจเก่งเป็นออปชันแถมมาด้วย โจวรุ่ยโหวกเหวกโวยวายแทนเจ้าของกลิ่นมิ้นต์ ส่วนเจ้าตัวคนปล่อยกลิ่นก็เอาแต่หยิบขนมเข้าปากตัวเองขณะทำสายตาหลุกหลิก


    ที่ต้องเคี้ยวขนมเพราะกลัวตัวเองจะเผลอยิ้มกว้างเกินไป

    เพราะตอนที่หงุดหงิดไม่ได้บอกจื่ออี้อย่างตรงไปตรงมานัก ดังนั้นตอนที่อารมณ์ดีแล้วก็ไม่เห็นความจำเป็นจะต้องแสดงอาการ


    รู้แก่ใจว่ากำลังมีความสุขก็น่าจะพอ



    TBC.


    ——————

    ผิดไปแล้ววววว ฮือ ลืมอัพเมื่อวานค่ะ 

    จริงๆคือเขียนเสร็จแล้วไปเลี้ยงน้องรหัส กลับมาปุ๊ปก็แทบสลบลืมอัพนิยายไปเลยค่ะ ให้อภัยข้าน้อยด้วย

    ตอนนี้ชื่อตอนไม่ค่อยเกี่ยวแต่ก็เกี่ยวนะ (เอ๊ะ ยังไง) พอเป็นฟิคของเรื่องที่เกิดตามไทม์ไลน์ของรายการ เราก็อยากเติมเรื่องราวของเด็กๆและคนแก่คนอื่นเพิ่มเข้ามาน่ะค่ะ เป็นไปไม่ได้หรอกเนาะที่จะอยู่ด้วยกันสองคนตลอดโดยที่ไม่รับรู้เรื่องของคนอื่นเลย ชื่อตอนjudgedหรือการถูกตัดสินให้เป็นอย่างโน้นอย่างนี้ มาจากเรื่องของสัญลักษณ์เพศรองและความแตกต่างกันระหว่างอัลฟ่าและโอเมก้าค่ะ ถึงจะดูเท่าเทียมกันแต่ก็มีเส้นแบ่งชัดเจนอยู่ดีอ่ะเนอะ


    เอ ฟ่านเฉิงเฉิง(ของเรา อิ๊)สัญลักษณ์ไม่ขึ้นนี่จะมีผลอะไรรึเปล่าเน้อ บางทีเราอาจจะว่างเลยใส่มาก็ได้นะคะ แล้วดูน้องคุนหวงพี่สิ หวงแต่ไม่ยอมบอกงี้ใช้ไม่ได้นาจา


    ตอนหน้าตัว K มาจากอะไรดีน้อ


    ฝากคอมเม้นด้วยนะคะ //กราบตัก แล้วก็เหมือนเดิม #สวี่คุนเป็นโอเมก้า

    แล้วเจอกันค่า ม๊วฟ


    Ps.มีคนถามว่าเราเรียนชั้นปีอะไร นุ้งอยู่ปีสองน้า สอบครั้งหน้าเสร็จก็จบปีสองจ้า 



    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×