ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    "..Insecure.." WangZiyi x CaiXukun จื่อคุน

    ลำดับตอนที่ #22 : Episode 21 : Undermine

    • เนื้อหานิยายตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 1.71K
      133
      20 มิ.ย. 61

    INSECURE

    #สวี่คุนเป็นโอเมก้า

    Episode 21 - Undermine -



    .



    ไม่มีใครคิดว่าการแข่งขันในรายการเซอร์ไวเวิลเป็นเรื่องง่าย โดยเฉพาะเมื่อเป็นรายการคัดหาไอดอลกรุ๊ปที่อาศัยผลโหวตจากผู้ชมร้อยเปอร์เซ็นต์ด้วยแล้วมันยิ่งยากกันเข้าไปใหญ่ แม้แต่ช่ายสวี่คุนผู้ครองตำแหน่งอันดับหนึ่งมาอย่างต่อเนื่องตั้งแต่สัปดาห์ที่สองของการแข่งขันก็ยังเคยท้อใจในความยากลำบากที่ต้องพบเจอ

    ไม่ใช่แค่เต้นให้ถูก

    ไม่ใช่แค่ร้องให้ดี

    แต่การเฟอร์ฟอร์มบนเวทีก็ต้องยอดเยี่ยม รวมถึงคาแรกเตอร์ที่มีก็ต้องน่าสนใจพอที่คนจะกดโหวตให้แม้จำนวนผู้ถูกเลือกจะลดน้อยลงไปทุกที ความเจ็บปวดจากกระแสวิพากษ์วิจารณ์ถูกเก็บเอาไว้ลึกกว่ารอยยิ้มที่แสดงออก รอยร้าวภายในใจได้รับการซ่อมประสานด้วยความหวังอันเปราะบาง ความเหนื่อยล้าไม่เคยหายไป ในทางตรงกันข้ามน้ำหนักบนบ่ากลับยิ่งสะสมมากขึ้นในทุกรอบที่ก้าวผ่าน ทว่าไม่มีใครปริปากบ่น

    ความฝันเป็นเรื่องเหลวไหล

    ความพยายามต่างหากที่เป็นของจริง


    .


    ฟ่านเฉิงเฉิงคิดว่าตัวเองโชคดีที่ตัวเองอยู่รอดมาจนถึงไฟนอลสเตจ แม้ความจริงที่ว่าตัวเขาอยู่ในอันดับที่สามมาโดยตลอดจนไม่น่าที่จะเป็นคนวิตกกังวลกับผลการแข่งขันจะทำให้ใครหลายคนเข้าใจผิด ฟ่านเฉิงเฉิงไม่ได้มั่นใจในตัวเองมากถึงขนาดนั้น และเขาก็ยังขอบคุณแฟนๆที่ยังกดโหวตให้แม้ข่าวเรื่องการเป็นโอเมก้าของเขาจะแพร่ออกไปอย่างรวดเร็วจนน่าตกใจ แน่ล่ะ สวมปลอกคอแถมยังมีกลิ่นในวันโชว์ขนาดนั้น ไม่มีใครเอาไปพูดสิแปลก

    เฉิงเฉิงฉันขอโทษนะ

    ไม่ต้องคิดมากหรอกครับ ผมร้องอะไรก็ได้อยู่แล้ว

    ฟ่านเฉิงเฉิงยิ้มหวานให้สวี่คุนที่เดินมากอดไหล่หลังสิ้นสุดกระบวนการแบ่งพาร์ทในเพลงรอบไฟนอล เฉิงเฉิงก้มเปิดชีทในมือเพื่อหาพาร์ทร้องเสริมของตนเอง ถึงจะหดหู่อยู่หน่อยๆที่ต้องถูกเปลี่ยนออกจากตำแหน่งที่ตนคาดหวังทั้งที่มีอันดับสูงถึงอันดับสามแต่จะให้ทำอะไรได้นอกจากยอมรับกติกาของเกม


    ช่างเป็นเซอร์ไวเวิลที่ทำให้หดหู่ใจได้จนถึงวินาทีสุดท้ายจริงๆ


    แต่ก็ตกใจนิดหน่อยที่พี่เลือกร้องนำ

    ฉันคงคิดเหมือนนายล่ะมั้ง ฮ่าฮ่า

    สวี่คุนหัวเราะเสียงใสก่อนมือขาวจะฉุดให้ร่างของเด็กหนุ่มอายุน้อยกว่าให้นั่งลงล้อมวงร่วมกับสมาชิกทีมคนอื่นๆ ฟ่านเฉิงเฉิงพยักหน้าหงึกหงักอย่างเข้าอกเข้าใจ เขาขยับตัวห่างออกจากโอเมก้ารุ่นพี่เล็กน้อยเมื่อเห็นว่าจื่ออี้ทำท่าจะเดินมานั่งข้างสวี่คุน ในหัวฉุกคิดเรื่องที่ทำให้หน้าแดงหลังนึกขึ้นได้ว่ากลิ่นแปลกๆที่ได้จากตัวคนดังข้างกายคือกลิ่นอะไร


    จื่ออี้เดินมาจากฟากโน้น

    แต่กลิ่นขนมอบกลับลอยมาจากใต้จมูก

    ถ้าเดาไม่ผิดกลิ่นของอัลฟ่าคนนั้นคงติดอยู่บนตัวของช่ายสวี่คุนมาตั้งแต่แรก แล้วไปทำกันอิท่าไหนถึงได้


    หน้าแดงนะ อ่านเนื้อเพลงแล้วคิดอะไรอยู่อ่ะ

    เฉิงเฉิงกระแอมออกมาแก้ขัดตอนที่ศอกแหลมๆของสวี่คุนถองใส่ข้างเอวแรงพอจะทำให้คิดว่าพรุ่งนี้คงขึ้นรอยสีเขียวช้ำ เสียงหัวเราะคิกคักจากอีกฝ่ายทำให้หน้าที่แดงอยู่แล้วกลายเป็นสีของมะเขือเทศสุก สวี่คุนยิ่งชี้นิ้วล้อเข้าไปใหญ่คงเพราะเข้าใจสาเหตุของมันผิดจากความเป็นจริง เฉิงเฉิงเป่าลมฟู่ออกจากปากเพื่อลดความร้อนที่แผ่ออกจากร่างขณะกำข้อมือของคนที่กำลังทำร้ายร่างกายตนเองเอาไว้หลวมๆ

    เล่นอะไรกันดูน่าสนุก

    อัลฟ่าเจ้าของกลิ่นขนมอบปนกาแฟหอมกรุ่นเดินตรงดิ่งมาใกล้ รอยยิ้มที่ประดับอยู่บนใบหน้าทำให้รูปหน้าคมยิ่งดูน่ามองขึ้นอีกเป็นเท่าตัว จื่ออี้ไม่ได้เดินมานั่งตรงกลางระหว่างเขากับสวี่คุนอย่างที่คิดเอาไว้ ชายหนุ่มร่างสูงเลือกที่จะเลี่ยงไปนั่งอีกด้านแทนทำให้ช่องว่างระหว่างกลางไร้ผู้จับจองไปโดยปริยาย

    มานั่งใกล้ๆสิ จะเลิกแกล้งแล้วสัญญา

    คนอ่อนวัยกว่ามุ่ยหน้าแต่ก็ยอมขยับตัวเข้าไปชิดแต่โดยดี เอาเข้าจริงถึงช่ายสวี่คุนจะแกล้งอีกเขาก็ไม่กลัวหรอกเพราะอีกฝ่ายตัวเล็กกว่าเขาตั้งเยอะ เผลอๆโดนแกล้งกลับหน่อยเดียวอาจจะร้องงอแงไปเลยก็ได้ ทว่าไม่ทันจะได้พูดคุยอะไรกันต่อสมาชิกคนอื่นๆในทีมก็ตั้งท่าเตรียมฟังเพลงอย่างจริงจังกันอีกรอบ เฉิงเฉิงที่กำลังหัวหมุนไปกับเนื้อเพลงท่อนใหม่ไม่ต่างกับคนอื่นจึงต้องตั้งสติจับจุดสำคัญตามคนที่เหลือไปด้วย

    เพราะท่อนร้องส่วนของตัวเองไม่ได้มีเยอะนักเผลอแปปเดียวเขาก็ลงรายละเอียดคร่าวๆบนแผ่นกระดาษจนเสร็จเรียบร้อย ฟ่านเฉิงเฉิงเงยหน้าขึ้นจากเอกสารเนื้อเพลงเพื่อหันมองข้างกายก็พบว่าสวี่คุนซึ่งได้ตำแหน่งร้องนำไปครอบครองลุกไปซ้อมกับเปียโนเสียแล้ว ข้างกันคือจื่ออี้ที่กำลังวาดบล็อกกิ้งเพลงอยู่เงียบๆ พอจะหันไปหาเจิ้งถิง หัวหน้าคนเก่งของเยฮวาก็ดันยุ่งอยู่กับการเปิดหาแรงบันดาลใจเพื่อนำมาคิดเป็นท่าเต้นใหม่อยู่อย่างขะมักเขม้น

    เพราะต้องคิดท่าเองทั้งหมดคนที่พอจะมีประสบการณ์จึงวุ่นวายกันยกใหญ่ ส่วนคนที่เหลือก็มานั่งปวดหัวกับท่อนร้องอันไม่คุ้นเคยของตัวเอง เฉิงเฉิงเข้าใจดีว่าทุกคนอยากทำโชว์สุดท้ายในรายการให้ออกมาดีที่สุด แต่ความรู้สึกคันไม้คันมือบวกกับคันปากยิบๆอยากเล่นกับใครสักคนก็ดูจะแก้ไม่หายแม้ในสถานการณ์เช่นนี้

    คิดถึงจัสตินจัง ไม่รู้ว่าทีมนั้นเป็นยังไงบ้าง แต่ที่รู้แน่ๆคือฟ่านเฉิงเฉิงกำลังเคว้งคว้างเอามากๆ

    นอกจากจะไม่มีเพื่อนเล่นแล้วยังช่วยเหลือใครไม่ได้อีก

    รู้สึกเหมือนเป็นขยะอวกาศอย่างไรก็ไม่รู้


    หิวก็กินซะ ไม่มีใครเขาว่างไปกินข้าวเที่ยงกับนายหรอกนะ

    ข้าวปั้นห่อสาหร่ายแบบที่พบได้ตามร้านสะดวกซื้อถูกโยนมาให้จากด้านข้าง แขนยาวยกขึ้นรับหมับก่อนจะหันไปมองเจ้าของของมันด้วยแววตาหงุดหงิด ความหวังดีที่ไม่ได้ร้องขอไม่ได้ทำให้รู้สึกตื้นตันใจอย่างที่ใครคาดหวัง ไม่ว่าจะเมื่อไหร่ลี่หนงก็ยังมีปัญหากับเขาอยู่เรื่อย ยิ่งอยู่ทีมเดียวกันแบบนี้ก็ยิ่งแล้วใหญ่ ไม่ได้อยากมั่นใจนักหรอกนะแต่ถ้ากระแสในตอนนี้ยังไม่เปลี่ยนเฉิงเฉิงคิดว่าตัวเองมีโอกาสสูงทีเดียวที่จะต้องทนปวดหัวไปอีกปีกว่าๆ

    ไม่ได้หิว ไม่ได้ขอด้วย

    เฉิงเฉิงปาข้าวปั้นกลับไปให้คนที่นั่งกอดเข่าอยู่คนเดียวตรงมุมห้องได้อย่างพอดิบพอดี ร่างสูงเกินวัยลุกจากที่เพื่อเดินเข้าไปหาเจิ้งถิงที่ย้ายก้นมานั่งอยู่บนเก้าอี้ตัวข้างกันกับจื่ออี้ กระดาษที่พิมพ์เนื้อเพลงไว้จนเต็มที่ด้านหนึ่งถูกพลิกกลับ หน้ากระดาษที่ควรจะเป็นสีขาวบัดนี้มีร่องรอยขีดเขียนอยู่เต็มไปหมดจนแทบเดาไม่ออกว่าสัญลักษณ์บนแผ่นกระดาษนั้นแทนอะไร น่าแปลกที่จื่ออี้กับเจิ้งถิงดูจะเข้าใจมันได้โดยไม่ต้องอธิบายเพิ่มเติม

    เฟิ่นเกอจะคิดท่าเต้นไหม

    พอช่วยได้นิดหน่อยแต่พวกรายละเอียดคงไม่ไหว

    จูชิงเจี๋ยพยักหน้ารับคำตอบของผู้อาวุโสที่สุดในทีมก่อนจะเดินมารวมกลุ่มกับจื่ออี้ด้วยอีกคน เฉิงเฉิงกำลังจะอ้าปากถามว่าต้องการให้เขาช่วยอะไรตรงไหนหรือเปล่าแต่พอเห็นว่าช่ายสวี่คุนละมือออกจากแป้นเปียโนแล้วหันหน้ามาร่วมวงสนทนาด้วยจึงทำได้เพียงก้าวถอยหลังไปเงียบๆ

    รู้สึกเห็นตัวเองเป็นขยะอวกาศเป็นครั้งที่สองในรอบวัน


    บอกแล้วว่าไม่มีใครเขาว่างหรอก มานี่มา

    จู่ๆข้อมือที่ปล่อยทิ้งอยู่ข้างกายก็โดนใครบางคนคว้าหมับเข้าให้ แรงกระชากเบาๆทำให้ฟ่านเฉิงเฉิงเผลอฝืนตัวไปเองโดยอัตโนมัติ และเพราะขนาดตัวไม่ได้ต่างกันมากนักจึงกลายเป็นว่าภาพที่ปรากฏคือภาพของเด็กหนุ่มสองคนที่กำลังยื้อยุดฉุดกระชากกันไปมากลางห้องซ้อม 

    สองคนนั้นขยับไปเล่นกันตรงโน้นได้ไหม เดี๋ยวตรงนี้พวกฉันจะลองวางบล็อกกิ้งดู

    เฉิงเฉิงเบ้ปากจนแทบจะกลายเป็นคว่ำปากเบะ ในใจนึกอยากเถียงใจจะขาดแต่เพราะโดนสายตาดุๆของจื่ออี้มองใส่เขาจึงต้องก้าวเท้าตามแรงลากของลี่หนงไปตามระเบียบ


    .


    ฟ่านเฉิงเฉิงไม่ได้หิวจนสมองตาย ถึงเสียงโครกครากที่ได้ยินจะทำให้ต้องยอมรับอยู่หน่อยๆว่ากระเพาะอาหารของตัวเองกำลังเรียกร้องหาอะไรหนักๆมาโยนใส่แต่ถึงกระนั้นข้าวปั้นหน้าตาดูไม่ได้บนตักก็ไม่ได้เป็นทางเลือกสำหรับเขา นิ้วยาวเขี่ยข้าวปั้นไม่เป็นทรงบนตักขณะหันหลังกลับไปมองกลุ่มคนที่กระจุกตัวอยู่หน้าเปียโนมาร่วมยี่สิบนาทีแถมยังไม่มีทีท่าว่าจะสิ้นสุดการหารือก่อนจะพรูลมหายใจยาวๆออกมา เสียงแรปของคนที่นั่งอยู่ใกล้กันซึ่งเท่าที่ฟังดูแล้วบอกตรงๆแบบไม่รักษาน้ำใจเลยว่าโฟลวแย่จนอยากร้องไห้แทนคนแต่งเพลงทำให้เฉิงเฉิงต้องหันมาเท้าคางมอง ดวงตาใสของหนึ่งในไอ้ตัวแสบของรายการทำให้โวคอลเสียงดีที่นึกคึกอยากเปลี่ยนมาแรปเผลอลมหายใจสะดุด เฉินลี่หนงเงยหน้าขึ้นจากแผ่นกระดาษเพื่อจ้องกลับไปในลูกแก้วสีเข้มตรงหน้า ท้าทายวังวนแววใสที่สะท้อนภาพเขาอย่างชัดเจนด้วยดวงตาวาวโรจน์อย่างอัลฟ่า

    มีอะไร

    สงสัยว่าทำไมอยากแรป

    ทีนายยังอยากร้องได้เลย

    มันไม่เหมือนกัน ฉันรู้ว่าตัวเองทำได้ แต่นายไม่เคยทำมันด้วยซ้ำ ไม่คิดว่ามันเสี่ยงไปหน่อยเหรอ

    ลี่หนงขมวดคิ้วขณะคิดตามเสียงโทนต่ำของอีกฝ่ายไปด้วย อาจเป็นเพราะนี่เป็นเวทีสุดท้ายในฐานะเด็กฝึกในรายการ ลี่หนงจึงคิดว่าหากได้ลองทำอะไรที่ไม่เคยทำมาก่อนดูบ้างก็คงจะน่าสนใจพิลึก ต่อให้ผลที่ได้อาจจะไม่เป็นไปดังที่หวังแต่เขาก็เชื่อว่าตัวเองจะไม่มานั่งเสียดายอยู่คนเดียวตอนที่ทุกอย่างจบลง 

    ก็แค่อยากลองดู

    เสียงโครกครากดังมาจากคนข้างตัวทำให้อดยิ้มออกมาไม่ได้ ลี่หนงเลิกคิ้วมองคนที่นั่งเอามือกุมท้องพร้อมกับบอกให้อีกฝ่ายรีบๆจัดการข้าวปั้นบนตักเสีย ก่อนกระเพาะหลุมดำของเจ้านี่จะมีรูพรุนไปก่อน โชคดีที่ฟ่านเฉิงเฉิงไม่ดื้อด้านอย่างทุกครั้ง คงเพราะเจ้าตัวหิวจัดล่ะมั้งข้าวปั้นที่เขาอุตส่าห์ออกไปซื้อมาพกไว้ติดกระเป๋าทั้งที่ตัวเองไม่ได้ชอบกินอะไรพวกนี้ถึงได้ผลุบหายเข้าไปในริมฝีปากสีเนื้อทีเดียวเกือบครึ่งอัน ลี่หนงมองกระพุ้งแก้มป่องๆที่ขยับไปมาตามการเคี้ยวอย่างเพลิดเพลิน รู้ตัวอีกทีก็ตอนที่เฉิงเฉิงพูดบางอย่างขึ้นมานั่นแหละ

    ในความคิดนายฉันคงดีแต่กินสินะ

    ตลกดีที่คนที่พูดประโยคตัดพ้อนั่นยังคงยัดข้าวปั้นเข้ามากหมุบหมับ ลี่หนงคิดว่านี่อาจเป็นครั้งแรกตั้งแต่เข้าร่วมรายการที่บทสนทนาระหว่างเขากับฟ่านเฉิงเฉิงไม่ได้ทำให้ใครคนใดคนหนึ่งความดันเลือดสูงขึ้นด้วยความโกรธ ไม่เข้าใจเหมือนกันว่าที่ผ่านมาตัวเองเป็นบ้าอะไรอยู่ น่าจะเพราะอคติที่บังตาทำให้เอาแต่หาเรื่องอีกฝ่าย ไม่อย่างนั้นก็เพราะรอยแผลรูปโอเมก้าที่ขึ้นใหม่บนหลังใบหูของฟ่านเฉิงเฉิงที่ทำให้ลี่หนงรู้สึกว่าคนตรงหน้าดูน่าเอ็นดูขึ้นหลายเท่า

    เป็นความน่ารักที่แปลกดีเหมือนกัน

    แล้วนายชอบอะไรบ้างล่ะ

    ลี่หนงพิงหนังเข้ากับผนังห้องขณะมองเฉิงเฉิงเคี้ยวอาหารกร้วมๆ น้องเล็กจากตระกูลฟ่านยังคงพร่ำต่อไปราวกับลืมไปแล้วว่าตัวเองเพิ่งจะมองเขาตาขวางไปเมื่อไม่กี่นาทีก่อน

    ชอบเกม ชอบตุ๊กตา ชอบสัตว์ ชอบแรป ชอบดูหนัง ชอบกีฬาผาดโผน ฉันชอบอะไรตั้งเยอะแยะ

    ในความคิดของลี่หนง หากเขาตอกกลับไปว่าแล้วชอบฉันด้วยไหมมันคงจะตลกอยู่ไม่หยอกแต่เพราะนึกได้ว่าความสัมพันธ์ระหว่างตัวเองกับคนตรงหน้าไม่ได้ดีถึงขั้นที่จะทำเช่นนั้นแล้วไม่กระอักกระอ่วนจึงต้องพับความคิดประหลาดกลับเข้าที่เดิมไปโดยปริยาย

    งั้นมาคุยเรื่องตุ๊กตากัน

    ลี่หนงเห็นประกายสดใสในดวงตาของอีกฝ่าย กลิ่นส้มอ่อนๆตามธรรมชาติไม่ได้แปลกจมูกอย่างที่เคย ลี่หนงเพิ่งค้นพบว่าไอ้กลิ่นหวานๆสดชื่นๆแบบผลไม้สดนี่ก็สบายจมูกดีเหมือนกันก็วันนี้ แถมยังต้องแปลกใจกว่าเดิมเมื่อพบว่าผู้ชายบุคคลิกเย็นชา ผู้มีขนาดร่างกายสูงเท่าตึกอย่างฟ่านเฉิงเฉิงดูจะหลงรักตุ๊กตาทุกประเภทอย่างหัวปักหัวปำ

    ไม่มีอะไรที่เข้ากันสักอย่างในคนๆนี้

    ทั้งท่าทางแสนเย่อหยิ่งที่มาพร้อมกับสถานะโอเมก้าคนเดียวในตระกูล กลิ่นหวานสดใสผิดกับท่าทางที่พยายามแสดงออกบนเวที กระทั่งรสนิยมส่วนตัวที่ผิดกับแฟชันที่เจ้าตัวโปรดปราน ทุกอย่างไปกันคนละทิศละทางเสียจนน่าหงุดหงิด

    เนี่ย ทำหน้างี้ไม่เชื่อล่ะสิว่าฉันมีกาชาปองกุเดทามะครบทุกแบบ

    ไม่รู้ว่าที่ผ่านมาเขามองฟ่านเฉิงเฉิงเอาไว้ยังไงบ้าง แต่ตอนนี้ลี่หนงคิดว่าตัวเองคงกำลังเป็นบ้าไปแล้วจริงๆ

    ทั้งๆที่ควรจะรู้สึกแปลกแต่เขากลับมองว่าภาพที่เห็นอยู่ตอนนี้ดูน่ารักไปเสียได้ บางทีคอนแทคเลนส์ที่สวมคงจะผิดค่าสายตาไปแล้วแน่ๆ



    .



    หวังจื่ออี้มีความคิดอยู่สองอย่างในหัวที่ยังไม่ได้พูดออกมา เขามองกล่องอาหารที่ใครบางคนสั่งมาบนพื้นห้องสลับกับหน้าจอไอแพดของช่ายสวี่คุนขณะที่เจ้าของมันขอตัวไปเข้าห้องน้ำ ตัวเลขเล็กๆด้านบนหน้าจอบอกเวลาตีหนึ่งครึ่งเข้าไปแล้วแต่สวี่คุนก็ยังไม่หยุดดูวิดีโอท่าเต้นที่คนในทีมอัดไว้เมื่อตอนหัวค่ำเสียที อากาศในห้องซ้อมเย็นลงอย่างรวดเร็วจนไม่ต้องพึ่งเครื่องปรับอากาศอีกต่อไป ส่วนหนึ่งคงเพราะในห้องกว้างๆห้องนี้มีเพียงจื่ออี้กับสวี่คุนใช้อยู่เพียงสองคนเท่านั้น

    มาแล้วๆ

    คนในความคิดวิ่งเหยาะๆเข้ามาในห้องหลังออกไปเพียงไม่นาน สวี่คุนเปิดหน้าสมุดบันทึกของตัวเองก่อนจะเริ่มลงมือจดต่อไปพร้อมๆกับดูวิดีโอทั้งหลายใหม่รอบแล้วรอบเล่าอย่างตั้งใจ

    บางทีจื่ออี้ก็คิดว่าท่าทางแบบนั้นมันดูตั้งใจมากกว่าปกติไปสักหน่อย

    ฉันคิดไปเองหรือเปล่าว่านายไม่ยอมสบตาฉัน

    จื่ออี้ไม่ได้ตั้งใจจะทำให้คนที่กำลังใช้สมาธิจดจ่อกับงานสำลักอากาศขึ้นมาอย่างที่เป็นอยู่ แต่ก็ต้องขอบคุณอาการนั้นที่ยืนยันว่าความคิดที่หนึ่งของเขาเป็นความจริงอย่างไม่ต้องสงสัย สวี่คุนเอานิ้วขึ้นมาถูจมูกจนปลายจมูกรั้นกลายเป็นสีแดงเฉกเช่นเดียวกับผิวแก้มที่ปรากฏร่องรอยเลือดฝาดขึ้นมาจางๆ

    ตั้งใจดูไปเถอะน่า

    ไม่ นายตั้งใจไม่สบตาฉันนี่

    ช่ายสวี่คุนจิ๊ปากอย่างขัดใจ ดวงหน้าที่ขึ้นสีแดงอ่อนๆเปลี่ยนเป็นสีเข้มขึ้นเมื่ออาการเคอะเขินที่พยายามเก็บซ่อนถูกเน้นย้ำเป็นรอบที่สอง เสียงกระแอมดังขึ้นหลังพบว่าจื่ออี้ไม่ยอมหยุดมองหน้าเขาเสียที ต่อให้ไม่หันไปจ้องกลับสวี่คุนก็พอจะเดาออกว่าคนๆนั้นต้องกำลังยิ้มเผล่อยู่แน่ๆ

    ไม่เห็นต้องเขินเลยเสี่ยวคุน

    เสียงหวานหยดที่ไม่ได้ช่วยให้รู้สึกดีขึ้นเลยแม้แต่น้อยดังขึ้นพร้อมๆกับใบหน้าคมที่ก้มต่ำหมายจะสบตาคนขี้เขินให้ได้สักรอบโดยไม่ได้เกรงใจแรงผลักบนหัวไหล่เลยแม้แต่นิด ก็แหมเรื่องวันนั้นเขาไม่ได้เริ่มก่อนเสียหน่อย แล้วคนใจกล้าที่แอบหนีหายไปก่อนแถมยังมาทำหลบตากันแบบนี้มันใช้ได้เสียที่ไหน

    ไอ้บ้า

    จื่ออี้ไม่แน่ใจว่าตัวเองต้องเจ็บปวดกับถ้อยคำผรุสวาทของสวี่คุนหรือเปล่า เขาคงหน้าด้านเกินไปถึงได้หัวเราะร่ายามที่ดวงตากลมใสหันมาสบเพียงเสี้ยววินาที ร่างเล็กกว่านิดหน่อยบอกเสียงห้วนว่าจะไปนอนแล้วก่อนจะรวบเอาสัมภาระทั้งหมดไปไว้ในอ้อมแขนแล้วเดินเชิดหน้าออกจากห้องไป ทิ้งจื่ออี้ที่นอนยิ้มเหมือนคนบ้าให้อยู่เฝ้ากองขยะที่ไม่ใช่ของตัวเองอยู่เพียงคนเดียว

    ถึงไม่มีคำกล่าวว่าขยะแฟนก็เหมือนขยะเรา แต่คนอย่างหวังจื่ออี้ก็ไม่ได้รู้สึกแย่อะไรที่ต้องเก็บกล่องกระดาษพวกนี้ไปทิ้งเอง อันที่จริงยังมีอีกหลายเรื่องที่เขาอยากพูดกับอีกฝ่ายแต่เพราะความคิดที่หนึ่งได้รับการยืนยันไปแล้ว จื่ออี้จึงช่วยไม่ได้ที่จะปล่อยให้ตัวเองทำตามความคิดที่สองโดยไม่ได้ขออนุญาตคนในความคิด



    .



    ช่ายสวี่คุนกำลังสลึมสลือในระดับที่ว่าไม่แน่ใจว่าตัวเองกำลังมีสติอยู่จริงหรือเปล่า ในทีแรกชายหนุ่มคิดว่าตัวเองฝันไปแต่ผิวกายอุ่นๆที่แทรกเข้ามาในผ้าห่มผืนเดียวกันกับท่อนแขนหนักๆบนเอวก็ดูจะชัดเจนเกินกว่าจะเป็นเพียงแค่ความคิดในหัว เขาควรจะลุกขึ้นไถ่ถามหรืออย่างน้อยที่สุดก็ขืนตัวออกจากอ้อมกอดปริศนาในยามวิกาลแต่เพราะจมูกรับรู้ได้ถึงกลิ่นคุ้นเคยที่ทำให้สบายใจเสียจนไม่มีแรงจะต่อต้าน ท้ายที่สุดช่ายสวี่คุนจึงได้แต่ปล่อยให้ใครบางคนกดจมูกลงบนกลุ่มผมและกระชับอ้อมกอดให้แน่นขึ้นก็เพียงเท่านั้น

    จื่ออี้

    ครับ

    “…”

    พอเสียงทุ้มๆตอบรับมาตามที่คาดเดา เปลือกตาที่ปิดสนิทก็พลันเกียจคร้านเกินกว่าจะเปิดออกเพื่อมองหน้าคนที่แอบย่องเข้าห้องชาวบ้านตอนดึกๆดื่นๆไปเสียได้ คนอ่อนวัยกว่าครางเบาๆในคอตอนที่จื่ออี้รั้งร่างให้เข้าไปอยู่ในอ้อมกอด จากที่ร่างชิดกันอยู่แล้วด้วยการบีบบังคับของขนาดเตียงก็แนบสนิทเข้าไปกว่าเก่าจนสวี่คุนเกรงว่าตัวเองจะจมหายเข้าไปในอกของจื่ออี้ก่อนจะทันได้รู้สึกตัว

    แน่นไปไหม

    ใบหน้าที่วางอยู่บนอกส่ายเบาๆแทนคำตอบ เซนเตอร์ของรายการเอียงหน้าแนบลงกับอกอุ่นๆไม่ต่างกับหมอนข้างใบโปรด เสียงตึกตักของสัญญาณแห่งการมีชีวิตอยู่ของอีกฝ่ายดังก้องในหู แปลกดีที่มันช่วยให้นอนสบายเสียยิ่งกว่าเพลงบรรเลงที่มารดาของเขาชอบซื้อมาเปิดให้ฟังตอนเด็กๆ

    คิดถึงจัง

    สวี่คุนคิดว่าจื่ออี้มีปัญหาทางความรู้สึก ไอ้คำว่าคิดถึงที่อีกฝ่ายพูดน่ะมันไม่สมควรจะพูดออกมาเลยด้วยซ้ำในเมื่อวันนี้ก็อยู่ด้วยกันทั้งวันเสียขนาดนั้น ไม่ก็คงเป็นความผิดเขาเองที่เขินอายกับเรื่องราวที่เกิดขึ้นเกินกว่าจะพูดคุยหรือสบตากับคนที่จองตัวเขาไว้ในสถานะพิเศษได้อย่างปกติ

    นอนเถอะ

    เพราะไม่รู้ว่าต่อให้คุยกับจื่ออี้ต่อตอนนี้ตัวเองจะพูดหรือสบตาอีกฝ่ายได้อย่างที่ใจต้องการแล้วหรือยัง การกล่าวตัดบทด้วยน้ำเสียงง่วงงุนจึงกลายมาเป็นทางออกที่ดีที่สุดสำหรับเขา ดีเหลือเกินที่จื่ออี้ไม่ได้ทู่ซี้ต่อ ร่างที่สูงกว่ากันเพียงไม่กี่เซนติเมตรเพียงลูบแผ่นหลังของคนในอ้อมแขนพร้อมกับกล่าวคำอวยพรให้ฝันดีก็เท่านั้น สวี่คุนหยุดรอยยิ้มบนใบหน้าของตัวเองไม่ได้ พอๆกับห้ามตัวเองไม่ให้ซุกหน้าลงไปเพื่อสูดกลิ่นชวนให้อุ่นใจเข้าไปเต็มปอดไม่ได้เช่นเดียวกัน ปลายนิ้วที่คลึงอยู่ที่หลังคอทำให้ความรู้สึกง่วงที่มีอยู่เป็นทุนเดิมเพิ่มมากขึ้นจนเกือบจะครองสติตัวเองเอาไว้ไม่อยู่ แขนข้างหนี่งของชายหนุ่มสอดไปกอดร่างของจื่ออี้บ้างเป็นการตอบโต้ครั้งสุดท้ายในค่ำคืนนี้ ชั่ววินาทีหนึ่งก่อนที่ความรู้สึกจะวูบดับเขาสัมผัสได้ถึงริมฝีปากอุ่นที่กดลงบนหน้าผากอย่างแผ่วเบา


    สวี่คุนหลับไปก่อนแล้วโดยที่จื่ออี้ยังไม่ทันได้ไถ่ถามเรื่องที่ติดค้าง

    มันไม่ได้เป็นปัญหาอะไรในเมื่อจื่ออี้คิดว่าตัวเองมีเวลาถามคำถามนั้นกับอีกฝ่ายอีกนานแสนนาน


    เอาเป็นว่าในตอนนี้ความคิดลำดับที่สองที่เขาไม่ได้บอกกับสวี่คุนได้กลายเป็นความจริงเท่านั้นก็เพียงพอ






    TBC.


    _________


    Undermine = ทำให้กร่อน

    ตอนนี้พูดถึงความสัมพันธ์ที่ค่อยๆกร่อนกำแพงลงไปของตัวละครนะคะ ทั้งในส่วนของหนงเฉิงที่เริ่มเปิดใจให้กันมากขึ้นแล้วก็จื่อคุนที่กำลังค่อยๆก้าวผ่านเส้นความสัมพันธ์ไปสู่อะไรที่ลึกซึ้งกว่าเดิมอ่ะเนอะ ตอนนี้เป็นตอนอุ่นๆเฉื่อยๆอย่างที่เราชอบเขียนนั่นแหละค่ะ เหมือนจะไม่มีอะไรแต่ถ้าอ่านดีๆมันก็มีความรู้สึกอัดแน่นอยู่เต็มไปหมดนะคะ

    เรื่องรวมเล่มสรุปว่าจะรวมนะคะ จะเปิดให้พรีในวันที่26มิถุนา ยังไม่ใช่การโอนเงินเน้อ เรื่องโอนจะแจ้งอีกทีนะคะ เผื่อเราโดนเทเยอะก็อาจจะไม่ได้รวม ต้องบอกไว้ก่อนเลยว่ายอดจากการสำรวจตอนนี้ก็ไม่ได้เยอะ กลัวเหมือนกันว่าจะไหวไหม555 ตอนพิเศษในเล่มน่าจะมีสองสามตอนแหละค่ะใครตั้งใจจะอุดหนุนเราก็รออ่านกันได้เราวางแพลนคร่าวๆเอาไว้บ้างแล้วล่ะค่ะ


    แล้วก็ฝากคอมเม้นกันคนละนิดหน่อยด้วยนะคะ เรารออ่านทุกตอนเลย ห้าบาทสิบบาทเราก็มีความสุขมากๆ ส่วนแท็ก #สวี่คุนเป็นโอเมก้า ก็น่ารักกันทุกคนเลย แวะมาเวิ่นได้บ่อยๆนะคะ คิดถึง5555 มาโยนโมเม้นหรือช่วยเราพายก็ได้ยินดีทุกข้อความค่า


    แล้วเจอกันนะคะ จุ๊บ

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×