ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    "..Insecure.." WangZiyi x CaiXukun จื่อคุน

    ลำดับตอนที่ #5 : Episode 4 : Devastating

    • เนื้อหานิยายตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 2.21K
      183
      9 เม.ย. 61

    Insecure

    Episode 4 =Devastating=

    #สวี่คุนเป็นโอเมก้า


    .

     


    ความกลัว… 

    คือความรู้สึกที่เลวร้ายเป็นอันดับต้นๆของการเกิดเป็นมนุษย์

     

    ทำให้สูญเสียความเป็นตัวเอง ทำให้ผิดพลาด ทำให้แตกสลายและหวั่นวิตก ความรู้สึกด้านลบทั้งหลายล้วนมารวมกันในหัวตามมาด้วยความคิดแย่ๆเกี่ยวกับเหตุการณ์ที่อาจเกิดขึ้นต่อไป ซึ่งนั่นจะปั่นประสาทตนเองมากขึ้นกว่าเก่า 

    บางคนกลัวในสิ่งที่ไม่รู้จัก บางคนหวาดกลัวความจริง บ้างก็กลัวเพราะประสบการณ์อันเลวร้ายที่ตนเคยประสบพบ ช่ายสวี่คุนไม่คุ้นชินกับความรู้สึกเหล่านั้นมากนั้น ไม่ใช่ว่าเป็นคนเข้มแข็งจนก้าวผ่านทุกสิ่งได้อย่างง่ายดาย และไม่ใช่ว่าชีวิตที่ผ่านมาโรยด้วยกลีบกุหลาบ แต่เขาถูกสอนให้ยอมรับความจริงและพยายามก้าวไปข้างหน้าพร้อมๆกับมันมากกว่า

    ครั้งหนึ่งที่สวี่คุนจำได้แม่นว่าตนรู้สึกกลัวจับใจ คือตอนอายุครบสิบสองปี วันเดียวกันกับที่ครบกำหนดตรวจสุขภาพและเป็นวันเดียวกันกับที่สัญลักษณ์โอเมก้าปรากฏขึ้นหลังใบหูของเขา วันที่สวี่คุนรู้ตัวว่าตนเป็นอะไร ในวันนั้นความหวาดกลัวเกาะกินหัวใจเขาจนเจ็บชา เขากลัวที่จะใช้ชีวิตบนโลกที่โหดร้ายใบนี้ต่อไปในฐานะโอเมก้า โดยเฉพาะเมื่อสังคมในขณะนั้นกดขี่โอเมก้าเป็นสถานะของบุคคลที่ต่ำลงกว่าแค่เพศสภาพชายหญิง และข่าวคราวความรุนแรงที่ผ่านตายิ่งทำให้เด็กชายอายุสิบสองขวัญเสีย โชคดีที่ครอบครัวของเขาพาเด็กชายที่แสนจะไร้เดียงสาในวันนั้นผ่านความหวาดกลัวนั้นมาได้ และขอบคุณที่สังคมทุกวันนี้มีความเท่าเทียมกันมากขึ้น หรืออย่างน้อยที่สุด กฎหมายก็แกร่งพอจะลดอัตราการเกิดอาชญากรรมของกลุ่มโอเมก้าลงได้มาก สวี่คุนในวันนี้จึงสามารถใช้ชีวิตได้ตามที่ตนหวัง และสามารถก้าวตามความฝันโดยไม่ต้องระแวงอะไร เพราะแบบนั้นเขาจึงใช้คำว่ากลัวในห้วงความรู้สึกของตนน้อยเหลือเกิน ความวิตกกังวลในชีวิตหากไม่มากจนทำลายแบบแผนบางอย่างของเขาไม่อาจเรียกว่าความกลัวได้

     

    แต่ตอนนี้

     

    ช่ายสวี่คุนกำลังรู้สึกกลัว

     

    มันไม่ใช่ความกลัวที่ทำให้ก้าวเท้าไม่ไหว แต่เป็นความกลัวที่ทำให้ชายหนุ่มไม่สามารถสบตาเพื่อนร่วมรายการได้อย่างปกติ สิ่งนั้นทำลายแบบแผนการใช้ชีวิตของเขางั้นหรือ คำตอบชัดเจนโดยไม่ต้องย้อนถามตัวเองอีกครั้งเลยว่าใช่ และเซนเตอร์ของรายการได้แต่หวังว่ามันจะหายไปก่อนถึงวันขึ้นโชว์

     

    จะไปโรงอาหารคนเดียวงั้นเหรอ

     

    โจวรุ่ยเอ่ยถามเขาด้วยสายตาที่แฝงความเป็นห่วงในตอนเช้าของวันที่สองหลังได้รับภารกิจใหม่  ขณะนั้นสวี่คุนเลือกที่จะฟังเสียงร้องของกระเพาะอาหารและพยักหน้าตอบคนที่ยังไม่ได้อาบน้ำไป เขาคงลืมคิดไปว่ารูมเมททุกคนของเขาล้วนเป็นโอเมก้า จึงไม่แปลกนักที่จะไม่รู้สึกเป็นกังวลเมื่ออยู่รวมกันในห้อง แต่ในวินาทีนี้ที่ชายหนุ่มยืนอยู่ท่ามกลางเด็กฝึกเป็นสิบๆคนที่มีเพศรองแตกต่างกันออกไปในโรงอาหารที่แสนจะจอแจ ช่ายสวี่คุนอยากจะย้อนเวลากลับไปแก้ไขคำตอบที่ให้ไว้กับพี่ชายผมยาวเสียจริงๆ มือที่ถือถาดอาหารของเขาสั่นเทายามรู้สึกถึงสายตาที่จับจ้องมาจากอัลฟ่าหลายคนในห้อง เป็นครั้งแรกในรายการที่ช่ายสวี่คุนก้มหน้าต่ำและไม่มองตอบ แม้จะรู้ว่าตนจะไม่เป็นอันตราย แต่ความรู้สึกที่ห้อมล้อมไปด้วยเหล่านักล่าทำให้เขาไม่สบายตัวนัก ในท้องปั่นป่วนและปวดมวน ไหนจะไอความร้อนที่แผ่ออกมาจากผิวกายที่เริ่มเห่อแดงทั้งที่ในร่างหนาวสั่นสลับกับร้อนรุ่มจนปวดหัวไปหมด 

    แทนที่อาการทั้งหมดนี้จะดีขึ้นเมื่อเขายืนอยู่ในแถวตักอาหารไปได้สักพัก แต่ปรากฏว่าความรู้สึกกลับดำดิ่งลงลึกไปในทิศทางที่เลวร้ายเมื่อคนที่มาต่อแถวเป็นอัลฟ่าคนหนึ่ง ปลายนิ้วยาวเรียวเริ่มจะชาและนั่นทำให้สวี่คุนตัดสินใจเดินเลี่ยงออกจากแถวทั้งที่ถาดอาหารยังบรรจุลงได้ไม่ถึงครึ่ง

     

    ทำไมออกมาคนเดียว

    ฟ่านเฉิงเฉิง อัลฟ่าที่ยังไม่บรรลุนิติภาวะคือคนที่ยืนซ้อนหลังเขาอยู่ ใบหน้าหล่อเหลาแสดงอาการไม่ดีนักก่อนเจ้าตัวจะเบนสายตาไปยังไก่ทอดที่อยู่ห่างออกไปทั้งใบหูแดงเรื่อ

    คนอื่นยังอาบน้ำไม่เสร็จน่ะ

    สวี่คุนไม่เห็นว่าคนถามจะสนใจคำตอบของเขาตรงไหน เฉิงเฉิงยืดหลังตรง ทำทีท่ากระอักกระอ่วน เดี๋ยวก็ล้วงกระเป๋า เดี๋ยวก็เอามือออกมาเกาหัว สาเหตุก็คงไม่พ้นกลิ่นของเขาที่กำลังรบกวนสัญชาตญาณอัลฟ่าของอีกฝ่ายอยู่ สวี่คุนรู้ว่าฟ่านเฉิงเฉิงเพิ่งจะอายุ17ปี ยังไม่โตพอจะเป็นอันตรายแต่การควบคุมตัวเองที่ต่ำกว่าอัลฟ่าซึ่งผ่านประสบการณ์การรัทมาแล้วทำให้การถอยห่างเพื่อรักษาระยะจากอีกฝ่ายคงจะเป็นทางเลือกที่ดีกว่า

     

    ปะ ไปแล้วเหรอ

    อื้อ เดี๋ยวพี่ๆนายก็คงมา กินเยอะๆล่ะ

    สวี่คุนไม่รู้ว่าตัวเองจะบอกให้เด็กนั่นกินเยอะไปทำไม ในเมื่อถาดอาหารที่เห็นตรงหน้ามีมันบดกองพูน กับปลาย่างอีกอีกสามชิ้น ขนาดว่ายังเดินไม่สุดไลน์ยังขนาดนี้ ถ้าวนครบรอบฟ่านเฉิงเฉิงคงกลายเป็นหมูอย่างไม่ต้องสงสัย

     

    สวี่คุนเดินเลี่ยงโต๊ะที่มีเด็กฝึกนั่งรวมกันอยู่มากๆมาตรงบริเวณมุมห้องที่ลับตาคนที่สุด เขาบีบต้นแขนตัวเองเพื่อให้แผ่นแปะที่วันนี้ติดมาเพิ่มเป็นสองแผ่นแนบชิดกับผิวมากขึ้นทั้งที่ว่ามันไม่ช่วยอะไรมากนัก เรื่องน่ารำคาญใจคือเขาต้องทนกับสายตาประหลาดที่จ้องมองมาไปอย่างน้อยอีกหนึ่งถึงสองวันโดยที่ทำอะไรไม่ได้ เพราะนี่ไม่ใช่การฮีทอย่างสมบูรณ์การรับประทานยากดเข้าไปจึงรังแต่จะทำให้เกิดการดื้อยาขึ้นในอนาคต ก็ได้แต่หวังว่าจะไม่มีเรื่องไม่ดีเกิดขึ้นในช่วงนี้

     

    มานั่งคนเดียวไม่เหงาแย่หรอ

    สวี่คุนที่กำลังเขี่ยสลัดในจานเล่นเงยหน้าขึ้นมองเจ้าของเสียงที่ไม่คุ้นเคย ทีมงานคนหนึ่งยืนอยู่ไม่ห่างไปนัก ชายร่างสูงใหญ่ในแจ็คเก็ตกันหนาวสีดำเดินเข้ามาใกล้ กลิ่นของอัลฟ่าที่ชัดเจนจนเกือบจะผิดปกติทำให้ร่างโปร่งถอยกรูด มือใหญ่คว้าแขนเขาหมับในจังหวะที่กำลังจะลุกหนี พอเหมาะพอเจาะเหลือเกินราวกับตั้งใจจะกระชากเขาเข้าหา สวี่คุนบิดตัวออกจากการเกาะกุม กำมือแน่นพร้อมจะปล่อยหมัดหากอีกคนยังคุกคามเขาต่อไป เสียงจอแจรอบๆเงียบลงช้าๆ ราวกับว่าทุกคนในบริเวณนั้นกำลังรอดูเหตุการณ์ที่จะเกิดขึ้นต่อไปเพื่อนบางคนทำท่าจะลุกขึ้นมาช่วยแต่ก็ยังลังเลเพราะกลัวว่าตนจะมีปัญหา สวี่คุนเองก็ยั้งหมัดตัวเองไว้ด้วยเหตุผลเดียวกัน

     

    ไงสวี่คุน อ้าว สวัสดีครับ คุยกันอยู่เหรอ

     

    เสียงคุ้นเคยที่ดังขึ้นจากที่ไกลๆทำให้ชายหนุ่มถอนหายใจด้วยความโล่งอก มือที่กุมข้อมือเขาเอาไว้หลวมๆผละออกและถอยห่างเมื่อเห็นว่าถูกจับจ้อง ผู้มาใหม่เดินเข้ามาแทรกและยิ้มเย็นๆในทีมงานตรงหน้าก่อนจะนั่งลงตรงหน้าเขาอย่างใจเย็น เพียงพักเดียวชายร่างใหญ่ก็เดินจากไปทิ้งไว้เพียงสายตาน่าขนลุกที่มองมายังสวี่คุน

    พวกอัลฟ่าที่กำลังจะรัทก็เหมือนหมาบ้า

    โจวรุ่ยพูดแบบนั้นก่อนจะตักมันบดเข้าปากตัวเอง สวี่คุนยิ้มจางให้อีกฝ่าย นึกขอบคุณที่รุ่นพี่คนนี้ไม่ได้ตำหนิเขาที่ออกมากินข้าวคนเดียวแถมยังสร้างเรื่องให้อีก ชายหนุ่มตักอาหารทานบ้างแม้จะรู้สึกฝืดเฝื่อนจนกินไม่ลงเลยก็ตาม เขากวาดสายตามองไปรอบๆห้องที่กลับเข้าสู่สภาวะปกติอีกครั้ง แม้จะมีเสียงกระซิบที่น่าจะเกี่ยวกับเขาอยู่บ้าง แต่ก็ไม่น่าอึดอัดเท่าสถานการณ์ก่อนหน้า

    หาจื่ออี้เหรอ

    เปล่า

    อ๋อ มานั่นแล้วน่ะ

    ถึงจะปฏิเสธไปแล้ว แต่โจวรุ่ยก็ยังชี้นิ้วไปยังร่างสูงที่กำลังเดินมานั่งที่โต๊ะถัดออกไปอยู่ดี เห็นแบบนั้นสวี่คุนจึงมองตามไปบ้างแล้วก็พบว่าฝ่ายนั้นมองเขาอยู่ก่อนแล้ว อัลฟ่าที่เขาสนิทใจด้วยที่สุดทำหน้าตาหงุดหงิดแล้วขยับปากแบบที่เขาอ่านไม่ออกแต่ก็เดาเอาเองว่าคงไม่พอใจที่ถูกห้ามไม่ให้เข้าใกล้ มุมปากของเขากระตุกขึ้นเองตามธรรมชาติเมื่อได้เห็นอะไรแบบนั้น รอยยิ้มที่ส่งมาทำให้จื่ออี้ยิ้มได้บ้างหลังจากนอนคิดมากเรื่องที่ไม่ใช่เรื่องของตัวเองอยู่ค่อนคืน จื่ออี้ยกนิ้วโป้งขึ้นให้กำลังใจคนอายุน้อยกว่า สวี่คุนหัวเราะอย่างพอใจก่อนจะยกนิ้วแบบเดียวกันให้ เมื่อเห็นว่าหวังจื่ออี้หันไปสนใจอาหารของตัวเองบ้างแล้ว เขาจึงกลับมาตักสิ่งที่เหลือในถาดทาน และได้พบว่ามันอร่อยขึ้นอย่างไม่น่าเชื่อ

     

    อัลฟ่าบางคนไม่รัทก็เหมือนหมาบ้าเหมือนกัน

     

    สวี่คุนเหลือบตาขึ้นจากถาดเพื่อมองพี่ชายผมยาวที่วางสายตาไว้ตรงกับตำแหน่งของจื่ออี้แล้วคว่ำปากใส่คนฟากโน้น สวี่คุนไม่รู้ความหมายของประโยคนั้นแน่ชัดนัก แต่เขาก็คิดว่ามันตลกดีหลังได้เห็นพี่ชายสองคนแลบลิ้นปลิ้นตาใส่กันราวกับเด็กสามขวบ

     

     

    .

     

     

    จื่ออี้เป็นกังวล 

    และความกังวลนั้นทำให้เขาเสียสมาธิจนเต้นต่อไม่ได้ หลังแยกย้ายกันทานอาหารเช้าจนอิ่มหนำ ทั้งเขาและเยี่ยนเฉินก็ปลีกตัวออกมาจากคนอื่นเพื่อเรียนรู้ท่าเพลงPPAPใหม่ตั้งแต่ต้น ทว่าการเต้นท่าน่ารักนั่นไม่ใช่ต้นตอของปัญหาที่ทำให้ชายหนุ่มลำบากใจอยู่ในตอนนี้ แต่เรื่องที่โจวรุ่ยเล่าให้ฟังหลังจากนัดซ้อมรวมกันในช่วงบ่ายต่างหากที่ทำให้ทุกคนในทีมกังวลใจกันไปหมด

     

    สวี่คุนรู้สึกไม่ค่อยดีเท่าไหร่เลยไม่มาซ้อมรวมนะ

    โจวรุ่ยที่ดำรงตำแหน่งกัปตันทีมบอกข่าวกับสองอัลฟ่าก่อนจะเริ่มจัดแถวโดยไม่ลืมที่จะเว้นที่ว่างตรงกลางเอาไว้สำหรับเซนเตอร์ที่ยังไม่พร้อมจะร่วมการฝึกในวันนี้

    นี่ถ้าลำบากใจก็แยกไปก่อนก็ได้ ไม่ซีเรียส

    เยี่ยนเฉินยักไหล่หลังพูดจบ คล้ายยืนยันว่าตนไม่ได้คิดมากกับเรื่องนี้จริงอย่างที่พูด ชายหนุ่มเจ้าของผมสีดำสนิทตัดสั้นหันมาดันหลังจื่ออี้ เมื่อพบว่าตำแหน่งที่เพื่อนยืนอยู่ดูจะผิดจากที่มาร์คไว้ตอนแรกไปหน่อย เยี่ยนเฉินคงไม่ได้ติดใจอะไรจริงๆนั่นแหละ เจ้าตัวถึงได้ซ้อมอย่างเอาเป็นเอาตายเหมือนเมื่อตอนเช้าไม่มีผิด แต่ทั้งเขาและจูเจิ้งถิงที่เคยฝึกในระดับเดียวกันกับสวี่คุนกลับมองว่ามันผิดวิสัยของคนๆนั้นไปมากทีเดียว มากจนน่ากังวลด้วยซ้ำไป ข้อหนึ่ง ช่ายสวี่คุนไม่เคยขาดซ้อมไม่ว่าจะป่วยขนาดไหนก็ตาม ข้อสองถ้าไม่ไหวจริงๆอย่างน้อยที่สุดเด็กนั่นก็ต้องเดินมาบอกกับทุกคนด้วยตนเอง ไม่ใขังตัวเองไว้ในห้องอย่างที่โจวรุ่ยพูด และข้อสาม ช่ายสวี่คุนกินเยอะอย่างกับเครื่องจักร แต่อาหารที่อีกฝ่ายกินไปในตอนเช้ากลับน้อยผิดปกติแถมเมื่อตอนเที่ยงจื่ออี้ยังหาสวี่คุนในโรงอาหารไม่เจออีก

     

    ข้อผิดปกติเพียงสามข้อก็มากพอจะทำให้เขาเต้นผิดเต้นถูกและมากพอจะทำให้เจิ้งถิงเงียบจนผิดปกติ

     

    ก็รู้อยู่หรอกว่าตัวเองเป็นคนคิดมาก

    แต่เจอแบบนี้จะไม่ให้ห่วงเลยได้อย่างไรกัน

     

    เขาโอเคแน่นะ

    คิดว่าไม่ เมื่อกลางวันฉันไปเรียกเขาที่ห้อง แต่กลับโดนไล่ออกมา

    ได้บอกอะไรไหม

    ไม่เลย

    เจิ้งถิงที่ทำหน้าลำบากใจไม่แพ้กันผละตัวออกตามไลน์เต้น ขณะที่จื่ออี้เคลื่อนตัวช้าไปหนึ่งจังหวะ ทำให้โจวรุ่ยที่ยืนดูอยู่ต้องยุติการซ้อมลงชั่วคราว

    จื่ออี้เป็นอะไรไป เหนื่อยเหรอ พักสักหน่อย… เฮ้ จะไปไหน

    หวังจื่ออี้พุ่งตัวออกจากประตูทันทีหลังจบคำว่าพัก เสียงโวยวายของโจวรุ่ยและเยี่ยนเฉินไม่อาจห้ามร่างสูงจากการพุ่งไปยังอาคารหอพักของเด็กฝึกได้ ทว่ารองเท้าผ้าใบราคาแพงพอๆกับกล้องมิลเลอร์เลสสักตัวกลับหยุดการเคลื่อนไหวและเปลี่ยนทิศไปเมื่อนึกขึ้นได้ว่าใครคนนั้นอาจจะกำลังหิวอยู่ 

     

    ไม่รู้ว่าได้กินอะไรไปบ้างรึยัง

    แวะร้านสะดวกซื้อสักหน่อยก็แล้วกัน

     

    .

     

    ไปไหนของเขา

    โจวรุ่ยที่มองตามแผ่นหลังกว้างของร่างสูงผ่านหน้าต่างชั้นสอง ขมวดคิ้วเมื่อเห็นว่าชายหนุ่มเปลี่ยนเป้าหมายไปเป็นร้านสะดวกซื้อที่ประตูทางออก เยี่ยนเฉินที่มองอยู่ด้วยกันแต่แรกเดินออกไปซ้อมเต้นต่ออย่างไม่กังวลอะไร ขณะที่เจิ้งถิงก้าวเข้ามายืนข้างๆเขาแทน

    กลัวสวี่คุนจะหิวล่ะมั้ง

     

    เดี๋ยวนะ

     

    หมอนั่นจะไปหาสวี่คุนงั้นหรอ แล้วทำไมไม่บอกเล่า

    โจวรุ่ยตะโกนลั่น ดังพอจะทำให้เยี่ยนเฉินสะดุดปลายเท้าตัวเองและล้มคว่ำ ร่างเล็กของหัวหน้าทีมทำท่าจะวิ่งออกจากห้องแต่ถูกมือที่ว่างอยู่ของเจิ้งถิงคว้าเอาไว้เสียก่อน จูเจิ้งถิงใช้นิ้วข้างหนึ่งอุดหูหลังได้ยินเสียงวิ้งหลังสิ้นเสียงตะโกนเมื่อครู่ ส่วนมือที่ยึดแขนอีกคนไว้ก็ออกแรงจนเกร็งเพื่อไม่ให้คนที่พยายามจะดึงตัวออกหลุดจากการเกาะกุม

    ปล่อยไปเถอะ คุนคุนอาจจะดีขึ้นก็ได้

    โจวรุ่ยมุ่ยหน้า ด้วยไม่อยากยอมรับความคิดนั้นเท่าไหร่นัก ชายหนุ่มเห็นจื่ออี้ที่วิ่งออกจากประตูศูนย์ฝึกไปเมื่อสักครู่ วิ่งกลับเข้ามาพร้อมกับถุงขนมถุงใหญ่ในมือ ท่อนขายาวก้าวสลับเร็วๆไปยังอาคารหอพัก คงจะตรงไปยังห้องพักของช่ายสวี่คุนอย่างไม่ต้องสงสัย

    เอาเถอะน่า คุนคุนคงไม่เปิดประตูให้หมอนั่นเข้าไปหรอก

    เจิ้งถิงบอกแบบนั้นพร้อมทั้งลูบหัวไหล่มนราวกับจะปลอบใจ ส่วนเยี่ยนเฉินที่เพิ่งยันตัวขึ้นจากพื้นอย่างทุลักทุเลก็ตรงเข้ามาตบบ่าให้กำลังใจเฉกเช่นเดียวกัน

     

    ถ้าจื่ออี้เข้าไปแล้วเกิดอะไรขึ้นฉันจะฆ่าพวกนาย

    โจวรุ่ยเข่นเขี้ยวเคี้ยวฟันขณะมองตามแผ่นหลังที่เดินห่างออกไปลิบๆจนลับสายตา ไม่อยากจะยอมทำตามแต่เพราะอาการของสวี่คุนในช่วงกลางวันไม่ดีเท่าไหร่ เขาจึงต้องยอมปล่อยให้เป็นไปอย่างที่เพื่อนๆบอกและคาดหวังผลที่ที่ดีขึ้นจากการตัดสินใจในครั้งนี้

    แต่ถ้าไม่ให้เข้าไป ฉันว่าจื่ออี้จะฆ่าพี่ก่อนแน่นอน

    เยี่ยนเฉินพูดแค่นั้นก็ลากเจิ้งถิงออกไปจากกรอบหน้าต่าง ทิ้งให้โจวรุ่ยที่อยากจะเถียงใจจะขาดแต่เถียงไม่ออกให้ยืนมองความว่างเปล่าภายนอกอาคารอยู่อย่างนั้น

     

    หวังจื่ออี้นี่มันหวังจื่ออี้จริงๆ

     

     

    .

     

     

    หยดเหงื่อเม็ดเล็กไหลซึมทั่วกรอบหน้าคมคายขณะที่เจ้าตัวกำลังรุดหน้าไปยังชั้นสามของอาคารหอพักด้วยความเร็วใกล้เคียงกับการออกวิ่ง ถุงขนมที่ตนหยิบมามั่วๆเพราะไม่แน่ใจว่าสวี่คุนชอบหรืออยากกินอะไรแกว่งไปมาตามจังหวะการเดิน เกิดเป็นเสียงฟึบฟับยามที่มันกระทบหน้าแข้งของชายหนุ่มโดยบังเอิญ

    หวังจื่ออี้ที่เพิ่งได้ยินเรื่องไม่ค่อยดีมาจากร้านสะดวกซื้อร้านที่ใกล้ที่สุดยิ่งรู้สึกร้อนใจขึ้นกว่าเก่า

     

    ได้ยินมาว่าคุนคุนคนดังคนนั้นสร้างปัญหาล่ะ

    ที่ว่ามีเรื่องกับอัลฟ่าที่กำลังรัทใช่ไหม

    เหมือนจะเป็นอย่างนั้นนะ ได้ข่าวว่าเมื่อกลางวันก็โดนทำไม่ดีใส่ เป็นโอเมก้านี่มันลำบากจริงๆ

    ก็ไม่รู้จะมาแข่งให้วุ่นวายทำไม คงจะใช้มันให้เป็นประโยชน์ล่ะสิไม่ว่า

     

    บทสนทนาที่ยินโดยบังเอิญทำให้เขาแทบจะเลือดขึ้นหน้า ถ้าไม่ติดว่าตระกูลหวังไม่นิยมการแก้ปัญหาด้วยความรุนแรงแล้วล่ะก็ จื่ออี้คงจะประทับหมัดลงบนแก้มของเด็กฝึกเบต้าที่เขาจำชื่อไม่ได้ด้วยซ้ำนั่นสักทีสองสี มันก็จริงที่จื่ออี้เพิ่งจะรู้จักช่ายสวี่คุนได้ไม่นาน เขาอาจไม่ทราบว่าเป็นโอเมก้ามันลำบากขนาดไหน หรือโอเมก้าสักคนจะใช้ประโยชน์จากเพศรองของตนได้ยังไง แต่จื่ออี้มั่นใจว่าสวี่คุนมีความพยายามมากพอจะพัฒนาความสามารถตนเองให้เป็นที่ประจักษ์ มากกว่าจะใช้หนทางนั้นเพื่อไต่ขึ้นไปบนจุดสูงสุด ความคิดที่แย่จนไม่น่าเชื่อว่ามาจากคนในกลุ่มผู้เข้าแข่งขันทำให้จื่ออี้โมโหและรังเกียจไปพร้อมๆกัน

     

    ยิ่งไปกว่านั้นเขาเป็นห่วงคนที่คงจะเจอเรื่องไม่ดีนักมาสดๆร้อนๆ

    สวี่คุนยังเด็กเกินไปที่จะควบคุมมันได้ และนั่นไม่ใช่ความผิด ไม่ใช่เลยแม้แต่นิดด้วยซ้ำ

     

    จื่ออี้เดินมาหยุดอยู่หน้าห้องพักของสวี่คุน ชื่อบนกระดานบ่งบอกว่าสมาชิกคนอื่นๆของห้องประกอบด้วยใครบ้าง ซึ่งในเวลาบ่ายสามแบบนี้ทุกคนคงจะง่วนอยู่กับการซ้อมเพลงของตน ชื่อสุดท้ายของกระดานคือชื่อของโจวรุ่ย วินาทีที่จื่ออี้เห็นมันความสงสัยก็แวบเข้ามาในหัวแทบจะทันทีเลยว่าพี่ชายคนนั้นจะรู้หรือยังว่าเขาอยู่ที่นี่

     

    เพราะเจิ้งถิงที่อายุมากกว่าเขาเป็นหน่วยเดือนเพิ่งบอกมาว่าตนเองโดนสวี่คุนไล่ออกมา จื่ออี้จึงเลือกจะแขวนถุงขนมไว้กับกลอนประตูและไม่มั่นใจนักเมื่อเคาะบานประตูเป็นจังหวะ

    ก๊อก ก๊อก

    กลิ่นหอมจางที่ค่อยๆเข้มขึ้นบอกให้รู้ว่าเด็กหนุ่มหลังบานประตูนั่นยังคงตื่นตัวอยู่และอาจจะกำลังเดินมาใกล้ๆ จื่ออี้รู้ว่าคนอีกฝั่งจะรับรู้ได้ถึงตัวตนของเขาแม้ว่าเขาจะยังไม่ได้พูดอะไรออกมา ความกังวลแต่หวาดกลัวแผ่ออกมาจนจื่ออี้สัมผัสได้ และมันรุนแรงกว่าตอนคัดเลือกเซนเตอร์หลายเท่าเสียด้วย

    สวี่คุนโอเคไหม

    “…โอเค ไม่เป็นไร กลับไปเถอะ

     

    อาการแบบนี้ยังไงก็ไม่ได้โอเคจริงอย่างที่บอกหรอก

     

    คุนคุน…”

    ช่างฉันเถอะ เดี๋ยวมันก็ดีขึ้นเอง

    จื่ออี้ไม่รู้ว่าคำนิยามของคำว่าเดี๋ยวของอีกฝ่ายคือกี่ชั่วโมงหรือกี่วัน แต่ตราบใดที่สวี่คุนยังมีอาการแบบนี้อยู่เขาเองไม่อยากจะวางใจ ไม่รู้ว่าตัวเองห่วงเรื่องคนอื่นมากเกินไปหรือเปล่า แต่รู้ตัวอีกทีเขาก็ยืนอยู่หน้าประตูบานเดิมมาร่วมห้านาทีเสียแล้ว

    ยังไม่ไปอีก

    แค่เอาขนมมาให้ หิวหรือเปล่า มารับไปสิ

    สวี่คุนเงียบไปพักใหญ่แต่ก็ไม่ยอมเปิดประตูรับถุงขนมจากเขา กิริยาที่ดูคล้ายจะไม่ไว้ใจกันของอีกฝ่ายทำให้จื่ออี้รู้สึกแสบร้อนในอกแปลกๆ เขาตัดสินใจเคาะประตูเบาๆอีกครั้งก่อนจะเอ่ยเสียงเบาพอให้ได้ยินหากเงี่ยหูฟังอย่างตั้งใจ

    ไม่ต้องเครียดนะ แค่เอาขนมมาให้จริงๆ

    ท้ายที่สุดประตูห้องก็เปิดแง้มออก ระยะที่กว้างเพียงนิดเพียงพอให้สอดขนมเข้าไปได้ แต่ไม่มากพอจะต้อนรับคนหนึ่งคนเข้าไปในนั้น กลิ่นฉุนจมูกที่ลอดออกมาพอจะอธิบายได้กลายๆว่าทำไมอีกฝ่ายถึงได้กังวลนัก จื่ออี้ไม่ได้ผลักประตูเข้าไปอย่างที่ใจอยากทำ แต่ชายหนุ่มเลือกที่จะทรุดตัวลงนั่งกับพื้น เอาหน้าชิดประตูและพูดกับคนที่อาจยังอยู่หลังบานประตูนั่น

    หิวไหม

    ขอบคุณนะ

    เสียงกระซิบที่ตอบกลับมาทำให้จื่ออี้รู้สึกเบาโล่งในอกขึ้นโข ชายหนุ่มยกยิ้มบางๆทั้งที่รู้ว่าอีกฝ่ายคงไม่มีวันเห็น เขาเคาะนิ้วชี้ลงไปบนบานประตูก่อนจะเริ่มพูดต่อ

    วันนี้แย่เหรอ

    “…แย่สิ ขอโทษที่ไม่ไปซ้อมด้วยนะ

    ไม่เป็นไร ทุกคนแค่ห่วงนาย

    ฉันพยายามอยู่

    สวี่คุนตอบกลับก่อนทุกสิ่งจะกลายเป็นเพียงความเงียบสงบที่ดำเนินไปอย่างเชื่องช้า จื่ออี้ไม่แน่ใจแต่เขาอยากจะเดาว่าเด็กน้อยของเขาคงกำลังจัดการขนมในถุงอยู่จึงไม่มีเวลาตอบโต้ คนที่นั่งอยู่ริมทางเดินรอคอยอย่างใจเย็นเพื่อให้สัญญาณเคาะนิ้วดังขึ้นอีกครั้งจากอีกฟากฝั่ง

    ไม่ไปซ้อมเหรอ

    ไปสิ กำลังจะไป รอให้นายดีขึ้นก่อน

    กลิ่นที่ลอยผ่านจมูกเบาสบายขึ้นอย่างที่จื่ออี้พอใจให้เป็น หลังใคร่ครวญอยู่พักหนึ่งจื่ออี้ก็ตัดสินใจถามเรื่องที่อาจทำให้สวี่คุนกลับมาลำบากใจอีกรอบ

    กลัวเหรอ อย่ากลัวฉันเลยนะ

    ไม่ได้กลัวนาย แค่มัน… ช่างเถอะเดี๋ยวก็คงดีขึ้น

    ถึงจะพูดแบบนั้นแต่ความรู้สึกหวาดกลัวที่เขาสัมผัสได้กลับยังไม่จางหาย จื่ออี้มองนาฬิกาข้อมือตัวเองและพบว่าใกล้ถึงเวลาที่ตนควรกลับไปซ้อมได้แล้ว ชายหนุ่มหยัดตัวขึ้นก่อนจะพูดกับคนที่ยังปิดล็อกตัวเองอยู่ในห้องเป็นครั้งสุดท้าย

     

    ฉันจะไปแล้ว อยากเปิดประตูให้ฉันไหม

     

    จื่ออี้ไม่รู้ว่าอะไรดลใจให้เขาพูดออกไปแบบนั้น ประโยคประหลาดตามมาด้วยการยืนค้างอยู่กับที่พร้อมกับนับหนึ่งถึงยี่สิบในใจ เอาเข้าจริงจื่ออี้คิดว่าโอกาสที่สวี่คุนจะเปิดประตูออกมาแทบจะเป็นศูนย์ เพราะฉะนั้นตอนที่เขานับไปถึงเลขสิบหกแล้วบานประตูเปิดออกจื่ออี้ถึงได้แปลกใจจนลืมไปเลยว่าควรจะทำอะไร

    จะทำอะไร

    ก็ไม่รู้สิ

    สวี่คุนกับดวงตาที่มีประกายหมองลงกว่าครั้งไหนๆ มองมาที่ร่างสูงที่ยืนนิ่งอยู่อย่างนั้นอยู่พักหนึ่ง จื่ออี้ไม่ได้เดินเข้ามาและไม่ได้ก้าวถอย ร่างสูงของชายอายุมากกว่ายืนนิ่งกับที่ก่อนจะวาดวงแขนออกและเผยรอยยิ้มที่สั่นกำแพงของใครอีกคนจนพังทลาย

    ช่ายสวี่คุนเดินออกมาหาคนที่ยืนอยู่หน้าประตูอย่างกล้าๆกลัวๆในทีแรก ก่อนจะโถมตัวกอดร่างตรงหน้าเต็มรัก ความหวาดหวั่นที่สะสมมาบีบรัดก้อนเนื้อที่เต้นเป็นจังหวะจนเจ็บไปทั้งอก ก่อนมันจะคลายลงเมื่อวงแขนอบอุ่นโอบรัดแผ่นหลังของเขา 

    ไม่เบาจนจืดชืดไร้ความรู้สึก

    แต่ก็ไม่รุนแรงจนกลายเป็นการคุกคาม

     

    ดีขึ้นรึยัง

     

    มากเลย



    TBC.

    ----------------------------------------


    มีความมาดึกมากจริงๆค่ะ 

    ดีใจมาก เขาได้เดด้วยกันค่ะคุณ เรือเราจะกลายเป็นเอนเตอร์ไพรส์แล้วค่ะออเจ้า

    โมเม้นดีมาก อิฉันชอบตอนเขากอดกัน เอาอิฉันไปไว้ตรงกลางให้อิฉันฟินตายทีเถิด

    ตอนนี้งงไหมคะ อารมณ์คือน้องเครียดเพราะอาการตัวเอง แล้วยังโดยทำไม่ดีใช่อีก ส่วนพี่จื่อก็นั่นแหละค่ะ มงลงทุกอีพี

    จะบอกว่าชอบคาแรกเตอร์ของจองจองมาก น่ารักเนาะ ดูเข้าอกเข้าใจงี้ เขียนเองชอบเอง555

    ชอบก็บอกได้ ไม่ชอบก็บอกได้ อยากนินทาใครก็บอกได้ ผิดส์

    ทวิตเตอร์มีแท็ก #สวี่คุนเป็นโอเมก้า นะคะ อ่านตลอดแต่จะตอบเวลาอัพตอนใหม่ เป็นการบอกทุกคนด้วยว่าอินี่อัพแล้วนาจา5555


    ปอลิง. ตอนห้าอันแสนจะน่ารักจะมาในวันพฤหัสบดีค่ะ ไม่น่าเกินหกโมงเย็นเพราะนี่เดินทางสองทุ่ม ขอบคุณที่ติดตามนะคะ เลิฟฟฟ


     

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×