ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    "..Insecure.." WangZiyi x CaiXukun จื่อคุน

    ลำดับตอนที่ #7 : Episode 6 : Faintly

    • เนื้อหาตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 2.35K
      178
      19 เม.ย. 61

    Insecure 06

    #สวี่คุนเป็นโอเมก้า

    -Faintly-



    .

    แปดนาฬิกาสามสิบสองนาทีไม่ขาดไม่เกิน

    จื่ออี้วางข้อมือกลับลงไปบนโต๊ะไม้ขนาดเล็กที่ตกแต่งด้วยกระถางสำหรับบรรจุกระบองเพชรสีดำสนิท เจ้าพืชมีหนามมีดอกสีขาวเล็กๆแซมอยู่สองสามดอกทำให้ลำต้นอวบที่ประดับประดาไปด้วยคมหนามดูน่ารักขึ้นทันตา นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่หวังจื่ออี้เห็นดอกของต้นกระบองเพชร แต่นี่เป็นครั้งแรกที่เขาใช้เวลาพินิจพิเคราะห์มันเนิ่นนานจนแทบจะจดจำรายละเอียดของละอองเกสรสีสดภายในนั้นได้ เขาละปลายนิ้วไปบนยอดแหลมของส่วนที่ทิ่มแทงออกมาจากลำต้นอิ่มน้ำ สัมผัสสากระคายบนผิวเนื้อกำลังย้ำเตือนถึงอันตรายของมันหากเขาเผลอไผลกดสัมผัสจนแรงเกินไป กลีบสีขาวเล็กกระจิดริดเสียจนไม่อาจดึงแยกมันออกจากกันด้วยปลายนิ้ว ช่างเปราะบางและนุ่มนวล เป็นความธรรมดาที่พิเศษของต้นกระบองเพชรนี่สินะ

    ความอ่อนหวานภายใต้ความแข็งแกร่งที่แสนอันตราย

    “จับแบบนั้นเดี๋ยวมันก็ตำเอาหรอกครับ”
    เสียงนุ่มๆของชายหนุ่มในผ้ากันเปื้อนสีครีมสลับน้ำตาลดังขึ้นจากด้านหลัง กลิ่นกาแฟเข้มๆลอยเตะจมูกทันทีที่ชายคนนั้นก้มตัวลงมาวางแก้วเครื่องดื่มลงตรงหน้าของเขา ลาเต้อาร์ตรูปใบไม้ดูน่ารักเสียจนจื่ออี้ไม่แน่ใจว่าควรจะจิบมันดีไหม เขาหันไปขอบคุณพนักงานคนดังกล่าวก่อนจะเลื่อนสายตาไปยังแคคตัสอีกต้นบนโต๊ะตัวที่อยู่ใกล้กัน
    “ดอกมันจะใหญ่ขนาดนั้นเลยเหรอครับ”
    เขาหันไปถามบาริสต้าหนุ่มที่ดูจะว่างงานถึงได้เดินมาเสิร์ฟกาแฟให้เขาถึงที่ ชายในยูนิฟอร์มประจำตัวส่ายหน้าเบาๆก่อนจะขยายความคำตอบนั้น 
    “แล้วแต่พันธุ์น่ะครับ สีของดอกก็ต่างกัน ถึงจะเป็นพันธุ์เดียวกันก็เถอะ ที่จริงผมเองก็ไม่ค่อยรู้เรื่องนักหรอก ต้องถามแฟนผมโน่น” 
    เจ้าตัวบุ้ยปากไปยังหญิงสาวที่กำลังวุ่นอยู่หลังเคาท์เตอร์ เจ้าหล่อนบรรจงวางเครปเค้กสีสันน่ารับประทานลงบนชั้นของตู้กระจก กลิ่นอบเชยอวลๆที่เขาได้กลิ่นมาตั้งแต่เดินเข้ามาในร้านดูจะแรงขึ้นเล็กน้อยยามร่างระหงหมุนกายไปหยิบเค้กชิ้นใหม่ 

    โอเมก้างั้นเหรอ
    ไม่สิ อัลฟ่า
    อัลฟ่าผู้หญิงสินะ แรร์อัลฟ่ากับเบต้าที่ทำคาเฟ่เล็กๆด้วยกันก็เป็นคู่ที่ไม่เลวเลย

    จื่ออี้ไม่ได้อยากจะยุ่งเรื่องของชาวบ้านนักหรอก แต่เพราะเขาว่างเนื่องจากมาก่อนเวลานัดตั้งเกือบหนึ่งชั่วโมงเลยต้องมานั่งวิจัยกระบองเพชรในคาเฟ่กลิ่นอบเชย ที่ตกแต่งด้วยสีน้ำตาลดำกับต้นกระบองเพชรซึ่งดูยังไงก็ไม่เข้ากันฆ่าเวลาไปเสียได้ ถึงการตกแต่งร้านจะไม่ได้ไปด้วยกันกับกลิ่นอบเชยนี่ แต่จื่ออี้ก็ทึกทักไปเองว่ามันดูน่ารักดีเมื่ออัลฟ่าคนหนึ่งใช้กลิ่นที่คล้ายกับกลิ่นตัวเองมาสร้างบรรยากาศให้กับสถานที่พิเศษ
    เหมือนจะให้เบต้าคู่ชีวิตได้รับรู้ถึงตัวตนที่อีกฝ่ายไม่มีทางได้สัมผัส

    จื่ออี้อาจจะคิดไปเองก็ได้ บางทีเจ้าหล่อนอาจจะชอบอบเชยมากเสียจนเอามันมาทำเป็นน้ำหอมปรับอากาศ แต่ถึงยังไงลาเต้รสดีนี่ก็ไม่ทำให้เขาผิดหวังนักหรอก

    ครืด 

    โทรศัพท์สมาร์ทโฟนที่วางอยู่บนโต๊ะไถลครืดเมื่อมีสายโทรเข้า จื่ออี้รีบหยิบมันขึ้นมากดรับจนเกือบจะทำลาเต้ร้อนหกรดเสื้อตัวเอง เขากรอกเสียงลงไปหาปลายสายโดยที่ไม่ทันได้เลื่อนสายตามองหน้าจอให้ดีด้วยซ้ำ
    “ถึงแล้วเหรอ”

    “อื้อ กำลังจะเดินเข้าไปในร้านแล้ว”
    เสียงนุ่มๆที่เขารอคอยมากว่าครึ่งชั่วโมงตอบกลับมา ก่อนที่กลิ่นอบเชยที่ลอยวนอยู่รอบกายจะเจือกลิ่นมิ้นต์จางๆที่ทำให้มุมปากยกขึ้นเองอัตโนมัติ

    “ไง มาเร็วนะ”
    “ฉันต้องเป็นคนพูดประโยคนั้นไม่ใช่หรือไง”

    .

    เพราะเป็นช่ายสวี่คุนแน่ๆ. . .
    เกิดเป็นช่ายสวี่คุนนี่ทำอะไรก็ดูดีไปหมดเสียจริง 

    จื่ออี้เท้าคางมองคนอายุน้อยกว่าตักบราวนี่ที่ยังอุ่นอยู่ขึ้นมาเป่าก่อนจะละเมียดละไมมันด้วยปลายลิ้น สวี่คุนงึมงำในคอ สีหน้าที่แสดงออกบ่งบอกความพออกพอใจในเจ้าขนมหวานชิ้นพอเหมาะ ของหวานที่ตกถึงท้องก่อนของคาวดูจะไม่ใช่ปัญหาของคนที่ยกแก้วโกโก้ร้อนหวานน้อยขึ้นจิบ สวี่คุนแลบลิ้นสีสดออกมาเลียของคราบของเหลวที่เข้มข้นเสียจนรู้สึกเสียดายหากจะปล่อยให้มันติดอยู่ที่ริมฝีปาก ให้ตายเถอะ ไอ้เด็กนี่เคยคิดบ้างไหมว่าการทำแบบนั้นมันทำให้ชาวบ้านเขาคิดดีด้วยไม่ได้

    “ถ้าไม่ใช่นายฉันคงเอาที่ช็อตไฟฟ้าจี้คอไปแล้ว สายตาโรคจิตชะมัด”

    จื่ออี้ละสายตาที่เดาว่าคงจะเคลิบเคลิ้มมากไปหน่อยจากใบหน้าหล่อเหลามายังแก้วกาแฟของตน อัลฟ่าหนุ่มเอนตัวพิงพนักเก้าอี้หลังเห็นว่าช่ายสวี่คุนอาจจะกำลังอึดอัดจากการกระทำของเขาเอง เขาเลือกจะต่อประโยคสนทนาด้วยท่าทางทีเล่นทีจริงขณะแอบมองอีกคนค่อยๆจัดการบราวนี่อบร้อนตรงหน้าทีละนิด
    “นี่ฉันเป็นอัลฟ่านะ ไม่คิดว่าจะอันตรายบ้างหรือไง”
    “ถ้าไม่คิดก็ไม่พกมาด้วยหรอกน่า”

    “ไม่ไว้ใจกันเลยสินะ”
    “เอ้า สรุปจะเอายังไงกันแน่”
    จื่ออี้หัวเราะอย่างชอบใจเมื่อเห็นใบหน้ายุ่งๆของคนที่โดนเขาแหย่จนต้องขู่ฟ่อ สวี่คุนตักบราวนี่ชิ้นสุดท้ายเข้าปาก ก่อนจะมองดวงตาคู่คมนิ่งราวกับกำลังก่อสงครามจิตวิทยาอยู่กลายๆ ริมฝีปากอิ่มตรงหน้าเขายกมุมปากข้างหนึ่งขึ้น สีหน้าร้ายๆที่มองยังไงก็ยังดูดีของอีกคนปรากฏขึ้นก่อนช่ายสวี่คุนจะพูดเสียงยานคางเหมือนพวกโรคจิตในซีรีย์
    “อยากโดนช็อตสินะ หึหึหึ”
    “งั้นก่อนโดนช็อตขอโรคจิตให้คุ้มเลยดีไหม ทำอะไรก่อนดีน้า”
    รอยยิ้มร้ายเบื้องหน้าค่อยๆหุบลงจนกลายเป็นสีหน้าเรียบนิ่ง สวี่คุนดึงตัวออกห่างก่อนจะกลอกตาเมื่อเห็นว่าตัวเองแพ้คำขู่ของเขาอีกแล้ว จื่ออี้หัวเราะเสียงต่ำไม่ได้รู้สึกดีที่เอาชนะอีกคนได้ เพียงแค่รู้สึกดีกับความเป็นธรรมชาติระหว่างพวกเขาทั้งสองคนมากกว่า ถึงจะกำลังพูดถึงการคุกคามในฐานะอัลฟ่าคนหนึ่ง แต่จื่ออี้ดีใจที่สวี่คุนไม่ได้มองเขาในเชิงนั้น

    มองเป็นแค่จื่ออี้ นั่นแหละที่เขาต้องการล่ะ

    “ฉันเลี้ยงนะ”
    ช่ายสวี่คุนพูดขึ้นมาเมื่อเครื่องดื่มทั้งสองแก้วหมดลงในที่สุด จื่ออี้ที่ตั้งใจจะออกให้ยื้อข้อมือเล็กกว่าเอาไว้แต่ก็โดนตอกกลับมาเสียก่อน
    “ถึงจะไม่มีแบล็คการ์ดแต่ฉันก็หาเงินได้หลายล้านนะหวังจื่ออี้”
    พูดขนาดนี้ถ้าไม่ปล่อยมือก็ไม่รู้จะว่ายังไง ที่จริงแล้วสวี่คุนทำงานเก่งกว่าเขามาก ทั้งยังมีประสบการณ์ในวงการบันเทิงเยอะ ไหนจะความคิดที่เป็นผู้ใหญ่และพัฒนาการที่ไม่หยุดนิ่งนั่นอีก ถึงจะตัดเรื่องรูปลักษณ์ภายนอกออกไปสวี่คุนก็ดีกว่าเขาไปเสียหมด เป็นถึงช่ายสวี่คุนคนดังนี่นะ กะแค่เลี้ยงกาแฟคนธรรมดาๆอย่างเขาคงไม่คณามือนักหรอก
    “ถือว่าลงโทษที่ฉันมาสายก็แล้วกัน”
    พูดจบก็ยิ้มตาหยี จะให้เถียงว่าตัวเองเป็นคนมาก่อนเวลาเสียเว่อร์ก็เถียงไม่ออก แพ้รอยยิ้มแบบนั้นจริงๆสินะให้ตาย


    .

    .


    ทั้งที่บอกเขาว่าอยากไปดูรองเท้ากับเสื้อผ้า แต่สวี่คุนกลับเดินเป๋ออกจากทางที่ตั้งใจเอาไว้แล้วลากเขาเข้าร้านอาหารญี่ปุ่นเสียอย่างนั้น จื่ออี้จะไม่โทษคนที่เดินไปตักอาหารตัวปลิวหรอก ในเมื่อฝ่ายนั้นยังไม่มีอะไรหนักๆตกถึงท้องมาตั้งแต่เช้า แต่จื่ออี้เพียงแค่คิดว่าการเริ่มต้นวันด้วยบุฟเฟ่ต์คงจะไม่ดีเท่าไหร่ จากที่ตั้งใจจะมาเดินเล่น เขาล่ะกลัวว่ามันจะกลายเป็นพากันมานั่งอืดคาร้านอาหารตั้งแต่หัววัน

    “ไปตักสิ”
    ช่ายสวี่คุนคงไม่ได้คิดอย่างนั้น เจ้าตัวถึงได้ตักปลาดิบมาเสียพูนจาน ไหนจะแกงกะหรี่กับไข่ตุ๋นเนื้อเนียนที่อยู่อีกมือนั่นอีก จื่ออี้ยิ้มอ่อนให้คนที่ตั้งหน้าตั้งตาจัดการอาหารตรงหน้าของตัวเอง คงจะลืมไปแล้วล่ะมั้งว่ามีใครบางคนนั่งอยู่อีกฝั่งหนึ่งของโต๊ะ ถึงจะรู้สึกแย่นิดหน่อยที่ในสายตาของสวี่คุนแซลมอนดูน่าสนใจกว่าหวังจื่ออี้คนนี้ แต่สุดท้ายชายหนุ่มก็เดินไปตักอาหารในส่วนของตัวเองมาจนได้ 
    ‘นั่นคุนคุนรึเปล่า’
    เสียงกระซิบที่ดังจนไม่อยากจะใช้คำนั้นลอยเข้าหูของจื่ออี้ทำให้ชายหนุ่มหันขวับ หญิงสาวร่างเล็กกระตุกชายเสื้อของชายวัยรุ่นที่ดูๆแล้วน่าจะเป็นแฟนหนุ่มของเธอเพื่อให้ร่างสูงโย่งก้มตัวมาหา
    ‘สงสัยจะใช่ เห มากินบุฟเฟ่ต์คนเดียวเหรอเนี่ย’
    เด็กหนุ่มคนนั้นชะเง้อมองคนที่กำลังก้มหน้าก้มตากินอาหารก่อนจะหันมาตอบแฟนสาวของตน หญิงเจ้าพอได้รับคำยืนยันก็ทำท่าจะพุ่งเข้าใส่สวี่คุนจนเด็กหนุ่มข้างๆต้องคอยดึงเอาไว้
    ‘นี่ ฉันจะไปถ่ายรูป’
    ‘พุ่งไปแบบนั้นเดี๋ยวเขาก็วิ่งหนีหรอก’ 
    จื่ออี้ยิ้มขำเมื่อเห็นว่าเด็กหนุ่มผู้ซึ่งห้ามปรามแฟนสาวเสียดิบดีกลับเป็นฝ่ายเดินนำเข้าไปหาสวี่คุนเสียเอง เขารีบวางมือที่กำลังตักซูชิเพื่อเดินตามสองร่างนั้นให้ทัน จื่ออี้ตั้งใจจะเข้าไปเป็นตากล้องจำเป็นให้ พอดีกับที่สวี่คุนกวักมือเรียกเขาให้ไปหา
    “จื่ออี้มาถ่ายรูปให้หน่อยสิ”
    มือถือสีหวานแหววถูกยื่นให้ก่อนที่เขาจะเดินไปกดถ่ายภาพตามคำสั่ง เด็กสาวมองหน้าเขาอยู่พักหนึ่งก่อนจะเดินเข้ามาใกล้ๆ
    “เอ่อ ถ่ายรูปด้วยได้ไหมคะ”
    จื่ออี้เลิกคิ้วขึ้นอยากแปลกใจก่อนจะร้องอ๋อเมื่อเจ้าหล่อนบอกว่าคุ้นหน้าเขาจากรายการ idol producer ลืมไปเสียสนิทว่ารายการออกอากาศไปได้พักหนึ่งแล้ว เขายืนถ่ายรูปกับเด็กสาวโดยมีแฟนหนุ่มของเธอที่ดูแล้วคงจะไม่คุ้นหน้าเขาเท่าไหร่เป็นคนถ่ายให้ ก่อนที่ทั้งสองคนจะแยกตัวออกไปที่โต๊ะของตนเองตามเดิม

    “กลายเป็นจื่ออี้คนดังไปแล้ว”
    “ไม่เท่านายหรอกน่า”
    ช่ายสวี่คุนยิ้มกริ่ม พยักหน้าหงึกหงักทั้งที่กระพุ้งแก้มพองป่อง ไอ้การเห็นดีเห็นงามกับความโด่งดังของตัวเองน่ะไม่เท่าไหร่ แต่การยัดทุกอย่างที่ตักมาลงท้องภายในเวลาอันสั้นต่างหากที่ทำให้จื่ออี้ต้องเอ่ยปราม
    “เดี๋ยวก็ปวดท้องหรอก”
    “นายก็พาฉันไปส่งโรงพยาบาลไง”

    กับเรื่องกินนี่สู้ขาดใจเลยจริงๆสินะ

    .

    .


    กว่าจะได้ฤกษ์ออกมาเดินซื้อของจริงๆก็ปาเข้าไปเกือบเที่ยง จื่ออี้ที่ลากท้องหนักๆของตัวเองเดินตามร่างสูงสมส่วนมาถึงร้านเสื้อผ้าแนวสตรีทแฟชันที่ดูน่าสนใจและค่อนข้างจะมีชื่อในกลุ่มวัยรุ่น นั่งแหมะลงกับโซฟาขนาดสำหรับหนึ่งคน เขาลูบท้องที่นูนป่องออกมาแล้วก็ได้แต่ขอบคุณที่ตัวเองไม่เลือกสกินนี่ยีนส์มาสวม ไม่อย่างนั้นคงขาดอากาศหายใจแย่ ไม่เข้าใจคนที่กำลังเดินเลือกเสื้อผ้าบนราวเลยสักนิดว่ายังวิ่งร่าอยู่ได้ยังไงกัน ป่านนี้แซลมอนทั้งน่านน้ำคงจงเกลียดจงชังพวกเขาสองคนเพราะไปกินญาติของพวกมันไปสักครึ่งมหาสมุทรเห็นจะได้ 

    “ชอบไหม”

    สวี่คุนที่ไม่รู้ว่าไปหยิบเสื้อยืดลายกราฟฟิตี้ขาดๆมาตั้งแต่เมื่อไหร่เอ่ยถามขณะวางเสื้อสีสดลงบนร่างของตัวเอง จริงๆแล้วจื่ออี้เองก็ชื่นชอบสตรีทแฟชันอยู่เป็นทุนเดิม เสื้อผ้าพวกนี้จึงดูค่อนข้างจะเข้าทางของเขาและไม่ได้ดูผิดแปลกไปจากที่คุ้นเคยเท่าไหร่นัก แต่ติดที่ว่าสีสันที่ดูจะจัดจ้านเกินไปสำหรับผู้ชายโมโนโทนอย่างหวังจื่ออี้ทำให้เสื้อยืดตัวนี้สอบตกไปโดยปริยาย

    ถามว่าชอบเสื้อไหม คงต้องตอบเลยว่าไม่
    แต่ถ้าถามว่าชอบสวี่คุนในเสื้อตัวนั้นไหม

    “อื้อ”


    ชอบสิ ใครจะไม่ชอบกัน


    “หน้าตาไม่จริงใจ ไม่ผ่าน”
    ช่ายสวี่คุนพูดแบบนั้นก่อนจะวางเสื้อลงกับราวแขวนตามเดิม จื่ออี้เอียงหัวอย่างแปลกใจเพราะเห็นว่าอีกคนดูจะสนใจเสื้อตัวนั้นอยู่ไม่น้อย ไม่แน่ว่าการแสดงอาการสนอกสนใจในสินค้าขนาดนั้นก่อนจะวางมันกลับที่เดิมอาจเป็นสไตล์การช้อปปิ้งของอีกฝ่ายก็เป็นได้ แต่ก็ไม่แน่อีกเหมือนกันว่ารสนิยมของเขาดันไปกระทบกับความมั่นใจของคุนคุนเข้าหรือเปล่า
    “เฮ้ ซื้อสิ ก็สวยดีนี่”
    จื่ออี้ตะโกนบอกคนที่เริ่มเดินลึกเข้าไปในโซนแจ็คเก็ต สวี่คุนเบนสายตากลับมาหาเขาตามเสียงเรียกก่อนจะส่ายศีรษะไปมา พร้อมกับหยิบแจ็คเก็ตแขนยาวขึ้นมาทาบกับตัว
    “ไม่เอา มันสายไปแล้วหวังจื่ออี้”

    จื่ออี้ที่รู้สึกว่าอาหารเริ่มจะย่อยไปบ้างแล้วเดินตรงเข้าไปหาคนที่วางแจ็คเก็ตสองตัวสลับกันไปมาหน้ากระจก เขายกผ้ายีนส์ฟอกสีในมือข้างหนึ่งของอีกฝ่ายขึ้นมาเป็นเชิงว่าตัวนี้ดีกว่า แต่แทนที่จะเอามันกลับไปทาบกับตัวเอง ช่ายสวี่คุนกลับวางมันบนตัวเขาเสียอย่างนั้น
    “อยู่บนตัวจื่ออี้แล้วดูดีกว่าอ่ะ ไม่เอาก็ได้”
    จื่ออี้แค่นหัวเราะให้กับตรรกะประหลาดของคนตรงหน้า อยากบอกเหลือเกินว่าคุนคุนน่ะใส่อะไรก็ดูดีหมดนั่นแหละแต่ก็กลัวโดนหาว่ายอเกินจริง สุดท้ายจึงได้แต่เปรยสิ่งที่แอบคิดเอาไว้ออกมาอย่างไม่ตั้งใจเท่านั้น

    “เหมือนมาเดทเลยว่าไหม”

    ช่ายสวี่คุนที่ยืนอยู่ตรงหน้าผิวแก้มค่อยกลายเป็นสีแดงเรื่อ เขาได้ยินเสียงเต้นตุบตับของก้อนเนื้อน้อยๆในอกของโอเมก้าที่ยืนประจันหน้ากันอยู่ เสียงหัวใจที่ดังก้องกับลมหายใจสั่นสะดุดพาลทำให้คนที่เผลอหลุดปากออกมาเองอย่างเขาต้องหันหน้าหนี จื่ออี้ยกมือขึ้นจับปอยผมที่มัดเอาไว้ลวกๆแก้เก้อ ก่อนจะต้องรีบลดมือลงมารับวัตถุหนักๆที่ถูกโยนมาใส่
    “นายใส่แล้วดูดี เอาไปเลยไป ฉันจะไปซื้อหมวกแล้ว”

    ทั้งๆที่จื่ออี้ไม่ได้สนใจเจ้าแจ็คเก็ตในมือนี่เท่าไหร่ จะให้วางกลับไปบนราวก็ไม่รู้สึกเสียใจด้วยซ้ำ แต่ไม่รู้ว่าเพราะเหตุผลบ้าอะไร รู้ตัวอีกทีไอ้เจ้าเสื้อยีนส์เนื้อหนานี่ก็นอนนิ่งอยู่ในถุงช้อปปิ้งในมือของเขาเสียแล้ว

    .

    .

    ตะวันกำลังจะตกดิน 
    แสงสีส้มแดงยามพลบค่ำย้อมพื้นผิวถนนและบ้านเรือนจนกลายเป็นสีอุ่นจัดราวกับภาพวาดสีน้ำมัน ร่างสองร่างเดินเตร่จากย่านช้อปปิ้งมาจนถึงแถบบ้านเรือนที่เงียบสงบกว่ากันมาก จื่ออี้ที่เดินทอดน่องเยื้องมาด้านหลังสวี่คุนเงยหน้าขึ้นมองฟ้าก่อนจะเผลอสบถออกมาเมื่อรู้สึกถึงหยดฝนที่หล่นลงมากระทบใบหน้า ทั้งที่อากาศแจ่มใสมาตลอดวันแต่จู่ๆกลับมีฝนตกลงมาเสียได้ จื่ออี้หันมองคนข้างตัวที่เริ่มจะหันรีหันขวางก็พอจะรู้แล้วว่าสวี่คุนเองก็คงจะไม่ได้พกร่มมาเหมือนกัน
    “บ้าจริง”
    “ไปหลบตรงตึกแถวตรงโน้นไหม”
    สวี่คุนพยักหน้าหงึกหงัก เรือนผมที่เคยเงาสวยเริ่มจะเปียกลู่ลงระใบหน้าทีละน้อย จื่ออี้วิ่งนำอีกคนมายังตึกแถวที่เมื่อตอนกลางวันยังเป็นร้านรวงต่างๆแต่ตอนนี้กลับเริ่มจะทยอยปิดกันไปบ้างแล้ว เขาลอบมองใบหน้าได้รูปที่ก้มต่ำด้วยความหนาวเพราะอุณหภูมิโดยรอบเริ่มลดต่ำลง รองเท้าสนีกเกอร์มียี่ห้อก้าวเข้าไปชิดกับเท้าของอีกคนใต้ชายคาของตึกแถวกลางเก่ากลางใหม่ สวี่คุนเงยหน้ามองคนที่สูงกว่าตนเล็กน้อยเพียงนิดก่อนจะก้าวถอยห่างจนชิดกับบานประตูห้างร้านที่ปิดสนิท จื่ออี้มองคนที่ถอยหลังไปก่อนจะหันกลับมามองฝนฟ้า เขาไม่ได้ก้าวตามเข้าไปตั้งแต่ทีแรกเพราะกลัวว่าจะทำให้อีกฝ่ายรู้สึกเหมือนกำลังโดนคุกคาม แต่เมื่อหยดฝนทวีความรุนแรงในระดับที่สาดซัดเข้ามากระทบตัวจนชายกางเกงหนักอึ้ง จื่ออี้ก็จำเป็นจะต้องถอยเข้าไปใกล้โอเมก้าที่ยืนห่อตัวอยู่เบื้องหลัง
    “ขอโทษนะ”
    เสียงทุ้มเอ่ยเพียงเท่านั้นก่อนจะเบียดแทรกตัวเองเข้าไปยืนในระดับเดียวกันกับอีกคน กลิ่นหอมอ่อนๆของน้ำหอมยี่ห้อหรูถูกหยดฝนชะล้างจนเผยกลิ่นเฉพาะตัวของตนออกมา จื่ออี้กลืนน้ำลายอึกใหญ่ รู้สึกไม่สบายใจนักเมื่อต้องยืนอยู่ในพื้นที่เล็กๆที่ท่ามกลางกลิ่นมินต์และไอดินเข้ากันกับกลิ่นไอชื้นแฉะของพื้นที่รอบๆ

    จะหอมเกินไปแล้ว

    “ได้เอาแผ่นแปะมาไหม”
    จื่ออี้เพิ่งจะรู้ว่าเสียงของตัวเองสามารถดำดิ่งลงต่ำและแหบพร่าได้แค่ไหนก็ตอนที่เอ่ยประโยคเมื่อครู่ เสียงฝนตกกระทบหลังคาดังไม่เป็นจังหวะแต่ก็ยังเบากว่าเสียงบีบตัวของหัวใจที่เขาได้ยิน สวี่คุนกอดตัวเองแน่นขณะส่ายศีรษะไปมา จื่ออี้คิดว่าตัวเขาเองก็คงจะปล่อยกลิ่นออกมาไม่ต่างกันอีกคนถึงได้หูแดงเสียขนาดนั้น เขาหยิบแจ็คเก็ตที่ซื้อมาเมื่อกลางวันขึ้นมาดูและพบว่ามันยังแห้งสนิท ชายหนุ่มกระแอมเบาๆก่อนจะดึงโอเมก้าที่ชักจะตัวหอมขึ้นทุกทีเข้ามาใกล้ๆเพื่อสวมแจ็คเก็ตให้ 
    “ของนายจะเปียก”
    “กลิ่นนายกำลังจะทำให้ฉันเป็นบ้า” 
    พอเขาพูดเพียงเท่านั้น คนที่ยื้อตัวไว้ในทีแรกก็ยอมสวมเสื้อของเขาเข้าไปแต่โดยดี สวี่คุนเงยหน้าขึ้นยิ้มก่อนจะเอ่ยขอบคุณเขา ร่างเล็กกว่าดึงเสื้อยีนส์ให้คลุมตัวจนแน่นราวกับลืมไปว่าตัวเองเพิ่งจะกังวลว่าจะทำมันเปียก
    “กลิ่นนายก็ทำให้ฉันหิว”
    ช่ายสวี่คุนพูดกลั้วหัวเราะ คงจะพยายามจะทำให้บรรยากาศผ่อนคลายมากขึ้น แต่จื่ออี้ที่กำมือแน่นจนเส้นเลือดบนช่วงแขนขึ้นชัดกลับไม่ได้รู้สึกในทิศทางนั้น

    มันไม่ช่วยอะไรเลย
    หอมมาก ยิ่งขยับตัวก็ยิ่งหอม

    “นายตัวหอมมากเลย”
    เสียงพร่าเอ่ยขึ้นเบาๆเหมือนคนกำลังขาดสติ คราวนี้ช่ายสวี่คุนเลือกจะเงียบ และจื่ออี้นึกขอบคุณที่อีกฝ่ายทำอย่างนั้น เขารู้สึกว่าตัวเองกำลังล่องลอยออกไปอย่างช้าๆ มันรู้สึกดีที่เป็นอย่างนั้นแต่เขากลับต้องพยายามดึงตัวเองไว้ด้วยความรู้สึกผิดชอบชั่วดี เขาควรวิ่งออกไปซะ ใช่ ถ้าวิ่งตากฝนออกไปมันอาจจะดีขึ้น อย่างไรก็แล้วแต่จื่ออี้รู้ดีแก่ใจว่าทิศที่เขาหันไปมันไม่ใช่ทางถูกต้องสำหรับการวิ่งหนี

    เขานับหนึ่งถึงสิบไม่ได้ด้วยซ้ำ 

    ชายหนุ่มได้แต่ภาวนาให้สวี่คุนหยิบที่ช็อตไฟฟ้าในกระเป๋าขึ้นมาเตรียมไว้ซะ ในตอนที่เขาโน้มใบหน้าลงไปอย่างหลงใหล

    “…นะ”

    สิ่งที่จื่ออี้คาดหวังคือกระแสไฟแรงๆที่จะแล่นเข้าสู่ร่างกายของเขา เครื่องมือป้องกันตัวที่มีผลรุนแรงพอจะหยุดการกระทำนี้ได้ แต่สิ่งที่เขาได้รับกลับเป็นริมฝีปากเย็นเยียบที่แนบชิดเข้ามาจนสนิท บดเบียดเคล้าคลึง สร้างกระแสไฟฟ้าอ่อนๆวิ่งแปลบปลาบในอกก่อนจะกระจายไปทั้งร่าง 
    ช่ายสวี่คุนขบเม้มริมฝีปากบางที่คล้ายจะอบอุ่นกว่าของตัวเองก่อนจะเอียงใบหน้าไปตามการชักนำของมือหนาที่สั่นน้อยๆ เครื่องช็อตไฟฟ้าที่ควรเอาออกมาใช้ในยามคับขันไม่อาจถูกหยิบออกมา



    ไม่ใช่แค่เขาทำไม่ได้ แต่มันเป็นไปไม่ได้ด้วยซ้ำ
    เครื่องช็อตที่ไม่ได้อยู่ในกระเป๋ามาตั้งแต่แรกน่ะ จะเอามาใช้ได้ยังไง





    TBC.


    ———————

    อ๋อย เค้าคิสกันแหละค่ะ ตายแหล่วววววว
    ไม่มีอะไรจะพูดมากนอกจากบอกข่าวว่าเรามีสอบวันที่23 ซึ่งก็คือวันจันทร์นั่นเอง เพราะงั้นตอนถัดไปก็จะมาคืนวันจันทร์นะจ๊ะ

    อวยพรให้ข้าน้อยด้วย สำหรับเม้นที่อยากโดเนทเงินมาให้ ทางเราต้องการสมองมากกว่าเงินอีกค่ะ โดนเนทมาที

    ฝากคอมเม้นด้วยนะคะ เป็นกลจในการอ่านหนังสือ5555
    แล้วก็เหมือนเดิมค่ะ #สวี่คุนเป็นโอเมก้า

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×