
สอนลูกอย่างไรให้มีความรับผิดชอบ
เมื่อตอนเด็ก สิ่งที่คุณพ่อ-คุณแม่สอนเรา เราไม่เคยสนใจที่จะทำตามเลย แต่ทำไมสิ่งเหล่านั้นเรากับทำเป็นกิจวัตรประจำวัน และยังคงจำมันได้ไม่ลืม มานั่งคิดดูก็เป็นเพราะกลยุทธ์ที่ท่านสอนเรานั่นเอง เลยนำมาต่อยอดสอนให้ลูกอีกต่อหนึ่ง ตอนที่เริ่มสอนลูก ลูกอายุประมาณ 3 ขวบ โดยเริ่มจากสิ่งง่ายๆ ที่อยู่รอบตัวเรา อาทิเช่น สอนให้เก็บกวาดเศษใบไม้ร่วงหน้าบ้าน โดยการแข่งกันเก็บว่าใครได้เยอะกว่ากัน คนนั้นชนะ ซึ่งตอนที่ดิฉันยังเด็กอยู่จำได้ว่า ชนะคุณแม่เกือบทุกครั้งเลย ซึ่งตอนนั้นยังจำถึงความภาคภูมิใจได้เลย ดิฉันจึงนำเอากลยุทธ์ของคุณแม่มาใช้กับลูกก็คือ ต้องพยายามเก็บเศษใบไม้ให้ได้น้อยกว่าลูก เพื่อให้ลูกรู้สึกสนุกในการทำงานบ้าน และเขาก็จะเกิดความภูมิใจในความสามารถของเขา
แต่การที่ทำให้เขาชนะทุกครั้งก็จะเป็นสิ่งที่เขาไม่สามารถยืนอยู่ในสังคมได้ เพราะคนเราต้องรู้จักแพ้รู้จักชนะ ช่วงหลังๆ คุณแม่จึงต้องเป็นฝ่ายชนะบ้าง แต่ก็ต้องให้เหตุผลไปในลักษณะที่ว่า แม่เห็นหนูเหนื่อยมากแล้ว แม่เลยรีบเก็บเยอะๆ จะได้ช่วยให้หนูเก็บเสร็จไวไว จะได้ไม่เหนื่อย จนถึงปัจจุบันนี้เวลาลูกลงไปเล่นหน้าบ้านแล้วเห็นเศษใบไม้ร่วง เขาก็จะไปหยิบไม้กวาดมาจัดการเอง และก็ยังพูดล้อแม่ว่า คุณแม่ครับแข่งกันอีกไหมครับ แต่ผมรู้ว่าคุณแม่ไม่แข่งหรอกเพราะคุณแม่รู้ว่าผมรู้ทันคุณแม่แล้ว
จากคำพูดของลูกก็เลยนั่งคุยกันต่อว่า แล้วลูกจำได้หรือเปล่าว่าแม่แอบสอนอะไรให้ลูกอีก นั่งนึกกันไป กินขนมกันไปสักพัก ลูกก็พูดถึงเรื่องการพับผ้าขึ้นมา ตอนนั้นผมพับผ้าไม่สวยคุณแม่ก็บอกว่าสวย และก็สอนให้เก็บแยกเสื้อ กางเกง แต่ผมก็ยังแปลกใจว่าทำไมผมต้องแยกตู้เสื้อผ้า แล้วลูกจำได้ไหมว่าลูกอายุเท่าไร แต่คุณแม่จำได้แม่นเลยว่าลูกอายุน่าจะประมาณ 6 ขวบ ที่แม่ให้แยกตู้เสื้อผ้าก็เพราะสอนให้ลูกรู้จักความเป็นระเบียบในตัวเอง เวลาเอาเสื้อผ้ามาใส่ก็ต้องดึงออกมาแบบเป็นระเบียบ เพราะเวลาเก็บผ้าที่พับใหม่เข้าไปมันจะไม่เป็นระเบียบ นึกถึงตอนที่ลูกหาถุงเถ้าไม่เจอซิ มันหงุดหงิดใช่ไหม คุยกันไปคุยกันมาก็ใกล้เวลาทานข้าวแล้ว เลยชวนกันขึ้นบ้าน
คุณแม่ก็เลยให้ลูกโชว์การหุงข้าว แล้วแม่ก็เล่าให้ลูกฟังว่า ตอนนั้นแม่แอบสอนลูกหุงข้าวได้โดยที่ลูกไม่รู้ตัว เพราะคุณยายก็สอนแม่มาแบบนี้เหมือนกัน แม่ก็แปลกใจเหมือนกันว่าข้อนิ้วทุกคนมันเท่ากันได้อย่างไง ใช่ครับตอนนั้นผมก็สงสัยเหมือนกัน คุณแม่ก็เริ่มสอนตั้งแต่การตวงข้าว แล้วเอาไปซาว เสร็จแล้วก็ใส่น้ำ โดยคุณแม่ก็เอานิ้วของคุณแม่ลงไปวัดให้ได้ 1 ข้อ เสร็จแล้วก็ให้ลูกเอานิ้วลงไปวัดระดับน้ำดู แล้วก็ถามเขาว่า ได้ระดับไหน ลูกตอบว่าได้เท่านี้ (1 ข้อ) คุณแม่ก็บอกลูกไปว่านั่นแหละหนูหุงข้าวเป็นแล้ว แล้วก็สอนให้ลูกเช็ดก้นหม้อให้แห้งก่อนนำไปใส่ในตัวหม้อหุงข้าว เพราะถ้าไม่แห้ง จะทำให้หม้อหุงข้าวเสียได้ รอไปประมาณ 10 นาที ข้าวก็สุก ลูกตื่นเต้นมาก ขอกินข้าวเลย แล้วก็บอกว่า ข้าวของหนูอร่อยจังเลย
ลูกชายถามดิฉันว่า ทำไมถึงจำเรื่องของผมได้หมด คุณแม่ก็ตอบไปแบบไม่ต้องคิดเลย ก็เพราะรักลูกมาก ลูกชายก็เลยเล่าถึงความทรงจำที่เขาไม่ลืมเลย คือเรื่องที่คุณแม่แอบหอมแก้มผมตอนผมกำลังจะหลับ เป็นประจำเกือบจะทุกวัน สิ่งนี้แหละที่คุณแม่ต้องบอกเคล็ดลับให้ลูกรู้ เวลาส่งลูกเข้านอน คุณแม่จะคอยดูว่าลูกกำลังเคลิ้มจะหลับ จังหวะนี้แหละเป็นจังหวะที่ดี คุณแม่ก็บรรจงเข้าไปหอมแก้มลูก ผมยังเคยถามคุณแม่เลยว่าหอมแก้มทำไม คุณแม่ก็ตอบไปว่า “นึกว่าหลับแล้ว ก็แม่รักลูกมาก พอเห็นลูกหลับก็เลยอยากหอม” จริงๆ แล้วคุณแม่ตั้งใจมาตลอดเลยนะ
การสอนลูกแบบใจเย็น ให้ความอบอุ่น และก็ทำให้เป็นเรื่องแบบธรรมชาติ เป็นสิ่งที่ทำให้ลูกประทับใจไปโดยไม่รู้ตัว นี่แหละนะความรักของคนเป็นแม่ เพราะว่าตัวคุณแม่เองก็ได้รับความรักแบบนี้มาเหมือนกัน
คอนโดแมว , พัดลมมือถือ , หมอนผ้าห่ม , หมอนหัวทุย , เก้าอี้หัดนั่ง
ความคิดเห็น