ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    ~+...เทพนิยาย...ประวัติศาสตร์...+~

    ลำดับตอนที่ #126 : เรื่องราวของ3เหลี่ยม Bermuda (ของคห.6)ขอบคุณน่ะค่ะที่ติดตาม

    • เนื้อหาตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 524
      1
      25 ต.ค. 50

    นักวิทยาศาสตร์ได้ชี้ว่า บริเวณใต้ทะเลของสามเหลี่ยมเบอร์มิวด้านั้น

    อุดมสมบูรณ์ไปด้วยทรัพยากรธรรมชาติมากมาย โดยเฉพาะแหล่งของแกสมีเธนไฮเดรท (Methane hydrates)
     
    ซึ่งในบางครั้งบางคราว แรงดันของแหล่งแกสเหล่านี้จะมีมากจนดันผ่านรอยแตกของเปลือกโลกขึ้นมา

    มันจะลอยขึ้นสู่ผิวน้ำเบื้องบน ปริมาณของมีเธนไฮเดรทไม่ใช่น้อยๆเหมือนฟองอากาศนี่ครับ

    อาณาบริเวณก็ไม่ใช่เล็กๆ ดังนั้นจึงไม่แปลกเลยหากปรากฏการณ์นี้จะจมเรือสักสิบลำที่อยู่ในบริเวณนั้นพร้อมๆกันได้ในพริบตา

    เจ้ามีเธนไฮเดรทนี้ยังมีทีเด็ดอีกอย่างครับ

    คือมันสามารถรบกวนคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าได้

    ทำให้วิทยุสื่อสารตลอดจนเรดาร์หมดประสิทธิภาพในการทำงาน

    กลุ่มของควัน ความร้อนที่อบอวลอยู่รอบบริเวณ ก็อาจเป็นส่วนหนึ่งที่ทำให้ลูกเรือตกใจ

    นึกว่าตัวเองหลงเข้าไปในมิติสนธยา

    เคยมีการจำลองปรากฏการณ์นี้ในมหาวิทยาลัยแห่งหนึ่งของอเมริกามาแล้ว

    นักวิทยาศาสตร์ส่วนใหญ่พอใจกับคำตอบนี้

    แต่มีข้อสังเกตอยู่นิดหนึ่งว่า

    ทะเลในบริเวณอื่นที่มีแหล่งมีเธนไฮเดรทก็มีอยู่ถมถืด

     บางที่อุดมสมบูรณ์กว่าสามเหลี่ยมเบอร์มิวด้าด้วยซ้ำ แล้วทำไมสถิติการสูญหายจึงมีน้อยมากจนแทบจะเรียกได้ว่าไม่มี เมื่อมาเปรียบเทียบกับสามเหลี่ยมเจ้ากรรมแห่งนี้
     
    อ๋อ.. คำตอบง่ายมากครับ นักวิทยาศาสตร์เจ้าของทฤษฎีเค้าตอบมา

     ก็เพราะการสัญจรผ่านน่านน้ำสามเหลี่ยมเบอร์มิวด้ามันหนาแน่นกว่าที่อื่นน่ะสิ

    สถิติการสูญหายถึงได้เพียบกว่าที่อื่น

    จะว่าอย่างนั้นมันก็ถูกอยู่ครับ เพราะบางที ธรรมชาติเองก็มีความพิสดารในตัวของมันอยู่

    บางทีเบื้องหลังของความลึกลับดำมืด อาจมีคำตอบที่แสนง่ายไม่ซับซ้อนซ่อนอยู่เบื้องหลัง ตอนนี้เค้ายึดทฤษฎีนี้แหละครับเป็นหลัก

    ในการตอบปัญหาของสามเหลี่ยมเบอร์มิวด้า แต่ไม่ใช่ทั้งหมด ปมปริศนายังมีมากกว่าที่คิดแยะเลย ปรากฏการณ์ระเบิดของแกสมีเธนไฮเดรท ยังไม่สร้างความพึงพอใจนักสำหรับผู้สนใจบางคน


    อสุรกายใต้ทะเลลึก


    อีกทฤษฎีนึงที่น่าสนใจ แต่ค่อนข้างจะมีผู้เห็นด้วยน้อยมากก็คือ สิ่งมีชีวิตบางประเภท

    ซึ่งอยู่นอกสารบบของวงการชีววิทยาปัจจุบันครับ เพราะมีข่าวลือมากมายเหลือเกิน เกี่ยวกับการพบสัตว์ยักษ์ในบริเวณสามเหลี่ยมเบอร์มิวด้า ไล่ไปตั้งแต่ปลาหมึกยักษ์ยาวหลายร้อยฟุต ไปจนถึงตัวอะไรบางอย่างที่มีลักษณะเหมือนมังกรทะเล ก็งูยักษ์น่ะแหละครับ

    แต่ละปีมีรายงานการพบสัตว์ขนาดยักษ์เป็นจำนวนมาก

    แต่ส่วนใหญ่จะเป็นรายงานการพบเห็นเฉยๆ ไม่มีรายงานการเข้าโจมตีเรือของสัตว์ยักษ์เหล่านั้นแต่ประการใด

    เอกสารต้นที่ผมสรุปเอามาทำเรื่องนี้เอ่ยถึงสัตว์ยักษ์ใต้ท้องทะเลไว้อย่างน่าสนใจ

    รวมแล้วก็หลายประเด็นเหมือนกัน เอาเป็นว่าจะเอามาเล่าอีกตอนหนึ่งต่างหากก็แล้วกันนะครับ สรุปในตอนนี้ก็คือ สาเหตุของการสูญหายในบริเวณสามเหลี่ยมเบอร์มิวด้า

     ถ้ามาจากสัตว์เหล่านี้จริง ก็น่าจะเป็นแค่ส่วนน้อยที่น้อยมาก ทำไมน่ะหรือครับ? ส่วนใหญ่แล้ว!จะรักสงบ ไม่ไปรังควานใครเอาง่ายๆนอกจากจะหิว อีกประการนึงก็คือ คงไม่มีสัตว์ทะเลที่ไหนมีปัญญาจมเครื่องบินที่ฉวัดเฉวียนอยู่บนท้องฟ้าได้หรอก จริงไหมครับ?

    ปล. บาง คำที่เป้น ! ลองเดาเอานะครับ บางที มันจะเป็นคล่ายๆคำ หยาบ

    และแล้วก็ลาก UFOs เข้ามามีเอี่ยว..


    กล่าวกันว่าภยันตรายที่เกิดขึ้นในบริเวณสามเหลี่ยมเบอร์มิวด้านั้น

    ส่วนหนึ่งมาจากฝีมือของสิ่งบินลึกลับ ซึ่งเรารู้จักกันดีในนามของ UFOs ครับ

     คนที่กล่าวเช่นนี้เค้าก็มีเหตุผลน่าสนใจอยู่ เพราะมีการอ้างสถิติมากมายเป็นกระบุงโกยว่า

    ในบริเวณสามเหลี่ยมเบอร์มิวด้านั้น นักเดินเรือ หรือ นักบิน มักพบเห็น UFOs ถี่และบ่อยเป็นพิเศษ บางกรณีมีสถานี้เรด้าชายฝั่งร่วมเป็นพยานอีกด้วย ว่านอกจากสัญญาณของเครื่องบินลำดังกล่าวแล้ว

     เรด้าของสถานียังจับสัญญาณวัตถุลึกลับได้ ก็นับว่าหนักแน่นน่าฟังอยู่เหมือนกันครับ
    ความเชื่อเกี่ยวกับ UFOs หรือจานบินนั้น นักวิชาการหลายคนต่างเห็นพ้องว่ามันมีอยู่จริง

    นอกจากมีอยู่แล้วยังเคยลงมาที่โลกบ่อยๆอีกด้วยครับ แต่คนคัดค้านก็มากพอๆกัน ทั้งสองฝ่ายต่างหาหลักฐานมาโจมตีโต้ตอบกันตลอดเวลา ปะเหมาะเคราะห์ดีก็เหน็บแนมกันอย่างสนุกสนาน

    ถึงกระนั้นก็ตาม รายงานการพบเห็น UFOs เหนือบริเวณน่านน้ำสามเหลี่ยมเบอร์มิวด้า ก็มีอยู่มากมายนับพันๆราย แถมบางรายมีการบันทึกภาพเอาไว้ได้อย่างเป็นกิจลักษณะ แต่ก็นั่นแหละครับ

    ท้ายที่สุด ข่าวที่ออกมาก็กลายเป็นว่า มองเห็นภาพลวงตา หรือไม่ก็เป็นปรากฏการณ์ธรรมชาติอื่นๆเท่านั้นเอง

    ก็อยากจะลงรายละเอียดให้มันมากกว่านี้อยู่หรอกครับ แต่ข่าวการพบเจอ UFOs ในบริเวณสามเหลี่ยมเบอร์มิวด้านั้นมีมากเหลือเกิน

     เรียกว่ามากกว่าพื้นที่อื่นใดในโลกเลยก็ว่าได้ UFOs ที่พบก็หลากรูปแบบเอามากๆ

    มีทั้งพบเห็นบนพื้นดิน บนท้องฟ้า เหนือผืนน้ำ บินจากท้องฟ้าสู่ใต้ทะเล หรือแม้แต่พุ่งจากใต้ทะเลขึ้นบนท้องฟ้า และเนื่องจากมีรายงานข่าวการพบ UFOs ในบริเวณนี้มากผิดปกตินั่นเอง

    นักค้นคว้าส่วนใหญ่จึงพากันสรุปว่า สาเหตุที่เรือและเครื่องบินสาบสูญไปอย่างลึกลับนั้น ต้องมีสาเหตุส่วนหนึ่งจาก UFOs เป็นแม่นมั่น

    สนใจก็หาหนังสือของ ชาร์ลส์ เบอร์ลิซ, ดร.อิวาน ที แซนเดอร์สัน, ดร.แมนสัน วาเลนไทน์มาอ่านกันได้เลยครับ รับรองรายละเอียดแยะจนคุณต้องจุก ส่วนใหญ่มีแปลเป็นภาษาไทยแล้ว

    เห็นจะต้องจบแล้วล่ะครับ สำหรับสามเหลี่ยมเบอร์มิวด้าฉบับย่นย่อ(ย่อจริงๆ) อ้อ ยังมีเรื่องที่เกี่ยวกับสามเหลี่ยมเบอร์มิวด้าเหลืออีกนิดครับ คือ ทวีปแอตแลนติส ที่หลายคนตั้งสมมุติฐานว่า น่าจะอยู่ในบริเวณที่เป็นสามเหลี่ยมเบอร์มิวด้าในปัจจุบัน ขอยกยอดไปเล่ากันในตอนหลังละกันนะครับ วันนี้ขอลาไปก่อน ได้รายละเอียดมากกว่านี้แล้วจะนำมาลง ขอบคุณครับ สำหรับท่านที่แวะเข้ามาชม

    ที่มา : http://student.cs.kku.ac.th/46/g5/o11.html


    อีก 1เว็บ


    สามเหลี่ยมเบอร์มิวด้า ( Bermuda Triangle ) .... ชื่อนี้เป็นที่รู้จักกันดีกันในปัจจุบัน เพราะมันเป็นบริเวณอาถรรพณ์อันเป็นที่ล่ำลือ กันว่าเต็มไปด้วยเรื่องลี้ลับ เรือเดินทะเล เครื่องบิน รวมถึงชีวิตของผู้โดยสารต่างหายสาบสูญไป ณ บริเวณสามเหลี่ยมเบอร์มิวด้านี้
    ดินแดนอาถรรพณ์สามเหลี่ยมเบอร์มิวด้านี้ โดยแท้จริงแล้ว เป็นอาณาบริเวณกว้างใหญ่มาก เป็นส่วนหนึ่งของมหาสมุทรแอตแลนติก ภาคตะวันตก พื้นที่ทั้งหมดปกคลุมพื้นที่ทะเลตั้งแต่ตอนเหนือของหมู่เกาะเบอร์มิวด้าไปทางตอนใต้ของรัฐฟลอริดา ตีวงออกไปจนถึงหมู่ เกาะบาฮามัส เลยไปอีกจนถึงอ่าวเม็กซิโก ครอบคลุมพื้นที่ประมาณ 380,000 ตารางไมล์ทะเล ชื่อเสียงของมันได้ถูกขนานนามขึ้นมาในราว ปี ค.ศ. 1960 ด้วยเหตุที่ว่า ในบริเวณทะเลดังกล่าวมักเกิดแต่เรื่องร้ายๆขึ้นบ่อยๆ จนเป็นที่เลื่องลือกันไปทั่วถึงอันตรายของการหายสาบ สูญอย่างไม่มีวันได้กลับคืนมา
    สิ่งที่ทำให้ย่านทะเลแห่งนี้กลายเป็นดินแดนมรณะ ซึ่งทำให้นักบินหรือนักเดินเรือต่างพยายามหลีกเลี่ยง ถ้าไม่จำเป็นก็จะไม่ยอมผ่าน เข้าไปในบริเวณนี้อย่างเด็ดขาด เหตุการณ์ประหลาดๆ อย่างที่ไม่น่าเชื่อ มักจะเกิดขึ้นกับเรือหรือเครื่องบินที่ผ่านเข้าไปในบริเวณนั้นนับตั้ง แต่อดีตจนถึงปัจจุบัน โดยตั้งแต่ปี ค.ศ.1800 - 1976 มีเรือและเครื่องบินหายสาบสูญไปในบริเวณนี้จำนวน 143 ราย สถิติการสูญหายมี มากที่สุดในปี ค.ศ. 1975 คือ 11 ราย น่าแปลกที่ว่าเรือหรือเครื่องบินที่สูญหายไปนี้ ไม่มีการส่งสัญญาณ SOS หรือส่งวิทยุขอความช่วย เหลือ และเรือและเครื่งบินเหล่านี้ต่างก็มีอุปกรณ์เครื่องมืออิเล็กทรอนิกส์ช่วยในการนำทางที่ทันสมัย
    ข้อมูลเล็กๆน้อยๆเกี่ยวกับการสูญหายในบริเวณสามเหลี่ยมเบอร์มิวด้า ซึ่งได้จากบรรดาผู้บังเอิญรอดตายหรือจากบันทึกการติด ต่อครั้งสุดท้ายโดยการวิทยุติดต่อ สามารถนำมาประมวลเป็นคุณลักษณะที่น่าสนใจได้คือ

    1. รายงานที่พบเป็นประจำ 
     
    เริ่มแรกผู้ประสบอุบัติเหตุจะรายงานว่า มีการขัดข้องเกิดขึ้นกับเครื่องมือนำร่อง เช่น เข็มทิศ, เครื่อง วัดความสูง, เครื่องวัดความเร็ว และเครื่องมือสื่อสาร โดยเครื่องมือเหล่านี้จะทำงานผิดปกติ เหมือนมีพลังอำนาจบางอย่างซึ่งมักจะเกี่ยว ข้องกับอุปกรณ์แม่เหล็กไฟฟ้าโดยเฉพาะเข็มทิศที่มักจะหมุนติ้วจนไม่สามารถจับทิศทางได้

    2. เกิดความสับสนขึ้นกับประสาทรับรู้

    ความรู้สึกทั้ง 5 ของผู้ที่หลุดเข้าไปในดินแดนอาถรรพณ์นี้
     ทำให้ผู้นั้นรู้สึกงุนงง สับสนต่อ เหตุการณ์ และจะสูญเสียความรู้สึกในเรื่องของเวลาและการทรงตัว

    3. มีการรบกวนทางระบบไฟฟ้า และการติดต่อสื่อสารทางวิทยุจะถูกตัดขาด 
     
    ข้อมูลนี้เป็นอีกข้อมูลหนึ่งที่มักจะพบเสมอจากราย งานครั้งสุดท้ายของผู้ที่หายสาบสูญ

    4. มีปรากฏการณ์หมอกสีขาว หรือแสงสีขาว

     ซึ่งทราบจากรายงานครั้งสุดท้ายก่อนการหายสาบสูญเช่นกัน
    ความแปลกประหลาดของสามเหลี่ยมเบอร์มิวด้ามีผู้ที่พยายามจะค้นคว้าหาคำตอบกันมากมาย ซึ่งก็มีข้อสันนิษฐานแตกต่างกันไป ดังนี้

    1. การหายสาบสูญของเรือในบริเวณสามเหลี่มเบอร์มิวด้า 
     
    อาจเกิดจากการที่เรือแล่นไปชนทุ่นระเบิด ซึ่งทุ่นระเบิดเหล่านี้หลง เหลือมาจากสมัยสงครามโลกครั้งที่สอง แต่แนวคิดนี้ดูจะเป็นไปได้น้อยมากเพราะมันไม่สามารถอธิบายเหตุการณืประหลาดอย่างอื่นๆ ได้ เช่น ในกรณีที่เรือเดินทะเลบางลำลอยเข้าหาฝั่ง โดยที่ไม่มีผู้คนอาศัยอยู่บนเรือนั้นเลยแม้แต่คนเดียว ข้าวของและของมีค่าอื่นๆยังอยู่ ครบบนเรือ คนบนเรือหายตัวไปโดยไม่ทราบสาเหตุ

    2. การหายสาบสูญของเรือ อาจเกิดจากพายุในทะเลที่ก่อตัวขึ้นอย่างฉับพลันทันที 
     
    นี่ก็เป็นข้อเสนออีกข้อหนึ่งที่มีทางเป็นไปได้ แต่ น้อยมาก เพราะโดยหลักการแล้ว ทะเลในย่านนี้ ถ้าจะมีพายุขนาดใหญ่ชนิดที่จะสามารถทำให้เรือเดินทะเลอับปางทันทีทันใดนั้น จะต้องเป็น พายุที่ใหญ่และรู้ล่วงหน้าก่อนเสมอ และเรือเดินทะเลขนาดใหญ่ก็จะมีเครื่องมือตรวจพายุอยู่ด้วย อย่างน้อยก็ต้องมีการส่งข่าว รายงานเข้าสู่ฝั่ง หรือวิทยุขอความช่วยเหลือมาบ้างถ้าเจอเข้ากับพายุใหญ่ขนาดที่จะจมเรือเดินสมุทรได้

    3. เป็นเรื่องราวของความเชื่อ อันเกิดมาจากเหตุบังเอิญ 
     
    ซึ่งข้อสรุปนี้เป็นคำประกาศเป็นทางการของกองเรือยามฝั่งที่เจ็ด ของนาวี สหรัฐอเมริกา ซึ่งเป็นหน่วยงานที่ทำงานรับผิดชอบอยู่ในเขตน่านน้ำบริเวณสามเหลี่ยมเบอร์มิวด้า ประกาศว่า "ความอาถรรพณ์นั้นไม่มีจริง เป็นเพียงเรื่องล่ำลือ เชื่อกันไปเอง การหายไปของเรือไม่ใช่เรื่องแปลกอะไร ที่ไหนๆก็มีเหตุการณ์เช่นนี้เกิดขึ้นได้เช่นกัน เพียงแต่ว่าบริเวณ สามเหลี่ยมเบอร์มิวด้า เป็นบริเวณที่มีการสัญจรทางเรือ และทางอากาศหนาแน่นมากกว่าบริเวณอื่นๆเท่านั้น เปอร์เซนต์อุบัติเหตุต่างๆจึงมี มากกว่าที่อื่นๆ และด้วยเหตุพ้องจองที่ว่า แถบเมอร์บิวด้า มีภาวะแวดล้อมที่ผิดแผกไปจากบริเวณเส้นทางอื่นเดินเรืออื่นๆเท่านั้น จึงทำให้ เกิดความผิดพลาดและเกิดอุบัติเหตุทางเรือได้ง่าย เป็นเหตุให้เรืออับปาง และเครื่องบินตกได้ง่ายกว่าที่อื่น..." ทฤษฎีนี้ฟังดูเข้าทีที่สุด เพราะมันประกอบด้วยข้อมูลสถิติและหลักสามัญสำนึกธรรมดา แต่มีปัญหาหนึ่งที่ทฤษฎีนี้พยายามปิดบังไม่กล่าวถึง นั้นคือเรื่องของการอับปางของเรือและเครื่องบินที่ไม่พบร่องรอยหรือซากอับปางให้เห็นบ้างเลย

    4. ทฤษฎีการบ่ายเบนของสภาพเวลาอวกาศ โดย ดร.แซนเดอร์สัน ไอแวน ( Dr. Sanderson Ivan )
     
    เป็นผู้เสนอทฤษฎีนี้ มีใจความ
    โดยสรุปว่า บริเวณสามเหลี่ยมเบอร์มิวด้า อาจเป็นบริเวณที่มี "สาเหตุไม่ปกติ"ทางธรรมชาติเกิดขึ้นเนื่องมาจากเป็นบริเวณที่มีการเปลี่ยน
    แปลงของสนามแม่เหล็กโลกและสนามไฟฟ้าของโลกมากที่สุดเมื่อมีกระแสน้ำอุ่นจากตอนเส้นศูนย์สูตรไหลขึ้นไปทางเหนือของมหาสมุทร

     แอตแลนติกปะทะกับกระแสน้ำเย็นที่ไหลลงสู่ทางใต้ของขั้วโลกเหนือการปะทะกันของกระแสน้ำทั้งสองชนิดนี้ทำให้เกิดการแบ่งตัวกันของ ระดับน้ำเป็นชั้นๆ ชั้นบนจากผิวน้ำลงไปสู่ความลึกประมาณ 500 - 1,000 ฟุต จะเป็นชั้นของกระแสน้ำอุ่นลึกลงไปจากนี้ก็จะเป็นชั้นของ กระแสน้ำเย็น

    ทั้งสองชั้นนี้มีทิศทางการไหลของน้ำสวนทางกัน ซึ่งอยู่ในระดับความลึก 500 - 1,000 ฟุต จะเกิดการอัดแน่นของกระแสน้ำ มีการขัดถูกัน และมีการถ่ายเทอุณหภูมิกันอย่างมากมาย เกิดการถ่ายเทขัดสีกันของประจุไฟฟ้าสถิตย์ขึ้นอย่างมากมาย เป็นจำนวนมหาศาล หลายพันล้านโวลท์เกิดการเหนี่ยวนำของสนามไฟฟ้าเป็นผลกระทบตามมาประกอบกับการผันแปรของสนามแม่เหล็กโลกซึ่งมีเกิดขึ้นบ่อย

    ครั้งในบริเวณนี้การผันแปรของสนามแม่เหล็กโลกและสนามไฟฟ้าอาจมีการแปรผันสัมพันธ์กันนำไปสู่ภาวะการพิเศษที่เกิดขึ้นชั่วคราวกระ

    ทบกระเทือนกับสนามแรงโน้มถ่วงของโลกในบริเวณนั้น และนี่คือผลที่ทำให้เกิดการบ่ายเบนของสภาพเวลา-อวกาศ เมื่อสาเหตุไม่ปกตินี้เกิด ขึ้นก็จะทำให้เรือหรือเครื่องบินที่บังเอิญอยู่ตรงบริเวณนั้นในขณะนั้น แล่นหรือบินออกจากจุดแห่งความแตกต่างของห้วงกาลเวลา หรืออีก นัยหนึ่งอาจกล่าวได้ว่าบริเวณนั้น

     มีการเปลี่ยนแปลงของมิติที่ 4 เกิดขึ้น เรือหรือเครื่องบินอาจหลุดหรือผ่านเข้าสู่อีกมิติหนึ่งหรืออีกกาลเวลา หนึ่งก็ได้จุดแปรผันของกาลเวลานี้อาจทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงของมิติขึ้นและอาจทำให้เรือเดินทะเลขนาดใหญ่หรือเครื่องบินทั้งฝูงหลุด เข้าไปสู่อีกห้วงหนึ่งของกาลเวลาที่ไม่ใช่ปัจจุบันแล้วติดอยู่ในนั้น ไม่สามารถกลับออกมาสู่มิติเดิมได้ ทฤษฎีนี้เป็นทฤษฎีที่มีตัวเลขยืนยันคำ นวณกันแต่บนกระดาษแต่ในความเป็นจริงก็ยังไม่มีใครกล้าทดลอง

    5. บริเวณสามเหลี่ยมเบอร์มิวด้า อาจเป็นที่ตั้งของฐานทัพลับใต้มหาสมุทร

    ของชนชาติลึกลับหรือมนุษย์ต่างดาวซึ่งการหายไปของเรือ และเครื่องบินอาจเกิดจากการจงใจขโมยเรือหรือเครื่องบินรวมทั้งลักพาคนไปศึกษาแนวความคิดนี้ก็มีความเป็นไปได้เหมือนกันเพราะแถบ หมู่เกาะเมอร์บิวด้านี้มีรายงานการปรากฏตัวของ UFO บ่อยครั้ง แต่ทฤษฎีนี้ยังไม่มีหลักฐานอย่างอื่นที่พอจะนำมาอ้างหรือสนับสนุนได้ว่า UFO มีอะไรเกี่ยวข้องกับการสูญหายไปของเรือและเครื่องบิน

    อย่างไรก็ตาม แนวโน้มที่คาดว่าจะเป็นไปได้มากที่สุดคือ บริเวณสามเหลี่ยมเบอร์มิวด้าเป็นบริเวณที่มีสภาวะผิดปกติทางสภาพเวลา - อวกาศ และ UFO ที่มาปรากฏตัวในบริเวณนี้มากนั้นอาจเนื่องมาจากว่า UFO ใช้บริเวณนี้เป็นเส้นทางผ่านเข้าออกระหว่างมิติภพหรือจะพูด ง่ายๆคือ บริเวณสามเหลี่ยมเบอร์มิวด้า อาจเป็นบริเวณที่มีการเปิดปิดของประตูแห่งกาลเวลา หรือประตูแห่งมิติ โดยธรรมชาติก็ได้

    ที่มา : http://www.satitcmu.ac.th/student/2542/2/nat/bermudas.html


    " ความลี้ลับของสามเหลี่ยมเบอร์มิวดา "
     

    สามเหลี่ยมเบอร์มิวดาเป็นอาณาบริเวณส่วนหนึ่งของมหาสมุทรแอ็ตแลนติคภาคตะวันตก พื้นที่ทั้งหมดเริ่มจาก ตอนหนือของเบอร์มิวดาไปถึงตอนใต้ของรัฐฟลอริดาและจากฟลอริดามุ่งตรงไปทางตะวันออกทำมุมสี่สิบองศากับเส้นรุ้ง ผ่านบาฮามัสและเปอร์โตริโก จากนั้นก็ย้อนเฉียงกลับไปสู่ทางใต้ตอนเหนือของเบอร์มิวดาอีกซึ่งทำให้อาณาบริเวณแห่งนี้ กลายเป็นรูปสามเหลี่ยมและอาณาบริเวณรูปสามเหลี่ยมแห่งนี้เองที่เป็นแหล่งกำเนิด ปรากฏการณ์ อันลี้ลับ มหัศจรรย์ขึ้น ในยุคอวกาศของชาวเราในปัจจุบัน เป็นสิ่งลึกลับและเหลือเชื่อหากจะบอก ท่านว่า เริ่มตั้งแต่หลังสงครามโลก ครั้งที่สองในปี ค.ศ. 1945 มาจนถึงปัจจุบัน เครื่องบินจำนวนกว่า 100 เครื่องและเรือ เดินสมุทร จำนวนอีกมากหลายได้ หายไปในบรรยากาศ และพื้นทะเลของ สามเหลี่ยมเบอร์มิวดาแห่งนี้ โดยไม่มีร่องรอย ชีวิตมนุษย์จำนวนพัน ในระยะเวลา กว่า 20 ปีที่ผ่านมา ได้หายไปพร้อมกับ พาหนะโดยไม่มีซากศพ แม้แต่รายเดียว หรือเศษชิ้นส่วนใด ๆ ของเรือ หรือ เครื่องบินที่หายไปเหลือให้เห็น การหายสาบสูญของเรือ เครื่องบิน และชีวิตมนุษย์ ในบริเวณดินแดนสามเหลี่ยม- เบอร์มิวดา ยังคงปรากฏอยู่ต่อไป และมีปริมาณเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ ทั้ง ๆ ที่ชาติต่าง ๆ ซึ่งเกี่ยวข้องกับการสูญเสียเหล่านี้ ต่างก็พยายามดำเนินการค้นคว้า หาสาเหตุ แห่งปรากฏการณ์อันประหลาดและลึกลับนี้อย่างเร่งด่วน แต่ก็ไม่มีใคร สามารถบอกสาเหตุ และหาทางป้องกัน จากภัยที่เกิดขึ้นในบริเวณท้องทะเลแห่งนี้ได้ไม่

    เครื่องบินที่หายไปเหนือพื้นทะเลแห่งนี้ส่วนมากก่อนที่จะหายการติดต่อกับฐานปฏิบัติการณ์ หรือสถานีปลายทาง เป็นไปอย่างปกติ และสภาพของบรรยากาศ และทัศนะวิสัย ก็สงบและ แจ่มใสดี ไม่มีวี่แววของพายุร้ายใด ๆ แต่แล้ว เมื่อถึงบทจะหายเครื่องบินเหล่านั้นก็จะหายไป อย่างฉับพลันโดยไม่มีร่องรอย ซึ่งนักบินก็ไม่มีโอกาสที่จะแจ้งข่าวทาง วิทยุให้หน่วยควบคุม การบินทราบได้ แต่ ก็มีเป็นจำนวนมากเหมือนกัน ก่อนที่เครื่องบินจะหายสาบสูญ นักบิน มีเวลา พอที่จะแจ้งข่าวผิดปกติ มายังฐานปฏิบัติการได้ ซึ่งทุกรายต่างก็แจ้งตรงกันทั้งหมดว่า ไม่สามารถควบคุมกลไกต่าง ๆ ให้ดำเนินไปตามปกติได้ เข็มทิศประจำเครื่องจะหมุน ปั่น จะไม่สามารถบอกทิศทางได้ ท้องฟ้าจะกลายเป็นสีเหลือง และมองดูคล้ายหมอกหนาทีบ ทั้ง ๆ ที่เป็นวันที่บรรยากาศแจ่มใส และแดดส่องจ้ามาก่อน และท้องทะเลซึ่งเงียบสงบ กลับปั่นป่วน ขึ้นมาโดยไม่อาจจะทราบสาเหตุได้

    อุบัติการณ์ ลึกลับที่ไม่อาจให้คำอธิบายได้ เกี่ยวกับการสาบสูญของเรือเดินสมุทร และ เครื่องบินเป็นจำนวนมาก ในดินแดนแห่งสามเหลี่ยมเบอร์มิวดายังคงเกิดขึ้นเรื่อย ๆ ไม่ได้ขาด จนกระทั่งในปัจจุบัน ทุกครั้งที่ได้รับรายงานการ สูญหาย หน่วยยามฝั่งที่ เจ็ด ของกองทัพเรือสหรัฐ จะทำการค้นหาร่องรอยอย่างละเอียดละออ แต่ก็ประสบความ ล้มเหลว ที่จะพบพยานหลักฐาน ซึ่งจะนำไปสู่การไขปัญหาลึกลับนี้ได้ทุกครั้ง และในที่สุด กองทัพเรือสหรัฐ ก็ได้เก็บเรื่องเหล่านี ้ไว้เป็นความลับ ไม่ยอมเปิดเผยหรือให้คำวิจารณ์ใด ๆ แก่ประชาชน ที่อยากรู้อยากเห็นว่า อุบัติการณ์ ลึกลับเหล่านั้น เกี่ยวข้องกับความอาถรรพ์ของดินแดนแห่งสามเหลี่ยมเบอร์มิวดาหรือไม่ แต่ทั้ง ๆ ที่กองทัพเรือสหรัฐพยายามจะปกปิด เรื่อราวเหล่านี้ไว้ ประชาชนทั่วไปก็เริ่มรู้ระแคะระคาย ต่าง ๆ และเชื่อว่า จะต้องมี แรงอาถรรพ์ หรือพลังอำนาจอันลึกลับ อย่างหนึ่งอย่างใด ภายในบริเวณ สามเหลี่ยมเบอร์มิวดาอย่างแน่นอน และยิ่งปรากฏว่าเมื่อเร็ว ๆ นี้ได้มีข่าวรายงานว่า มี นักบิน และนักเดินเรือบางคนได้รอดชีวิตมาจากปรากฏการณ์สยองขวัญ ในดินแดนของ สามเหลี่ยมเบอร์มิวดา จึงทำให้ เกิดการฮือ ฮากันใหญ่ในขณะนี้ แต่อย่างไรก็ดี จวบจน กระทั่งบัดนี้หาได้มีผู้ใด ที่สามารถให้คำอธิบายแจ่มชัด เกี่ยวแก่ความลึกลับและ ความอาถรรพ์ของสามเหลี่ยมเบอร์มิวดาได้ไม่ และการสาบสูญ ก็ยังคงปรากฏอยู่ต่อไป โดยไม่มีทางป้องกันหรือขัดขวางได้

    มีผู้ให้ความคิดเห็นและคำอธิบายเกี่ยวกับเรื่องนี้ ด้วยเหตุผลที่แตกต่างกันไป บ้างก ็ว่าเนื่องมา จากความปั่นป่วน ของท้องน้ำ ที่เกิดขึ้นอย่างทันทีทันใด จากแผ่นดินไหว ใต้มหาสมุทร หรือเกิดจากอุกาบาตเป็นจำนวนมากในบริเวณนั้น ได้พุงเข้าชนเครื่องบิน และทำให้เกิดระเบิดขึ้นมา รังควานเป็นครั้งเป็นคราว สำหรับนักวิทยาศาสตร์ ให้คำอธิบาย ที่อาจ เป็นไปได้ว่า เครื่องบินและเรือเหล่านั้น ได้ถูกเปลี่ยนแปลงไปยังอีกมิติหนึ่ง ด้วย การกระทำของสิ่งมีชีวิตที่มีปัญญาสูง เพื่อจุดประสงค์บางอย่าง อีก ทฤษฏีหนึ่ง นักวิทยาศาสตร์ได้ให้เหตุผลว่า เครื่องบินอาจพุ่งดิ่งลงสู่ทะเล เพราะแรงดึงดูด ของ สนามแม่เหล็ก ไฟฟ้าหรือแรงโน้มถ่วงของโลก ที่เกิดจากฝีมือการกระทำของสิ่งมีชีวิต ที่มีปัญญาสูง เมื่อเครืองบิน นั้นร่อนลงสู่พื้นน้ำนักบินและลูกเรือก็จะถูกจับตัวโดย มนุษย์จากจานบิน (UFO) ที่ถูกควบคุมโดยมนุษย์อีกพวกหนึ่ง ที่ไม่คุ้นเคยกับชาวโลก ซึ่งอาจจะเป็นมนุษย์ที่เหลือรอดมีชีวิต สืบต่อกันมาจากสงครามนิวเคลียร์มหาประลัย ที่เกิดขึ้น ในกาลก่อน หรือเป็นมนุษย์จากอวกาศนอกโลก หรือมนุษย์ในอนาคต ที่ต้องการ รวบรวมตัวอย่างการดำรงชีวิตของ ชาวโลก เพื่อการศึกษาค้นคว้า หรือป้องกันภัย ที่จะเกิด จากอาวุธนิวเคลียร์ ในอนาคตอย่างใดอย่างหนึ่ง

    มีอยู่หลายกรณีเกี่ยวกับการสืบสวนความลึกลับของเรื่องนี้ ที่เจ้าหน้าที่มุ่งตรงใน ประเด็นซึ่งเกี่ยวกับท้องทะเล โดยเฉพาะเพราะแม้ว่า เราจะอยู่ในสมัยที่กำลังก้าวเข้าสู่ อวกาศก็ตาม แต่ความลึกลับของท้องทะเล ยังคงเป็นสิ่งมืดมน สำหรับพวกชาวโลกอยู่ ก่อน อื่นเราจะต้องรับความจริงที่ว่า 3 ใน 5 ส่วนของพื้นใต้มหาสมุทร เรายังรู้จักกันน้อยกว่า ปล่องภูเขาไฟในดวงจันทร์ หรือพื้นราบบนดาวอังคารเสียอีก เรามีแต่แผนที่ทางทะเล ที่เขียนขึ้นอย่างหยาบ ๆ จากการ สำรวจโดยใช้เสียงสะท้อนของโซน่า ใช้เครื่องดำน้ำลึก หรือเรือดำน้ำที่มีเขตจำกัดสำรวจได้เฉพาะพื้นน้ำที่ไม่ลึกนัก เท่านั้น และความประสงค์ ส่วนใหญ่ จะมุ่งเฉพาะการค้นหาแหล่งน้ำมัน และทรัพยากรธรรมชาติเท่านั้นเอง เรายัง ไม่อาจจะทราบได้ว่า ในส่วนก้นบึ้งที่ลึกที่สุด มีอะไรที่จะสร้างความประหลาดใจ อย่างใหญ่หลวงให้แก่พวกเราบ้าง พื้นทะเลลึกและหุบเหวใต้ท้องทะเล อาจจะเป็นที่อาศัย ของสิ่งมีชีวิตที่มีมันสมองและฉลาดเกินกว่าเราจะคาดคิด ก็เป็นได้

    ความลึกลับมหัศจรรย์ ใต้ท้องทะเล หาได้หยุดยั้งเพียงเท่าที่กล่าวมาแล้วไม่ นิยายปรัมปรา เล่าลือสืบต่อเนื่องกันมา เกี่ยวกับพิภพ และ!ประหลาดใต้ท้องทะเล โดย ไม่มีวันจบสิ้น และยิ่งการค้นพบหลักฐานซากเมืองโบราณ ใต้พื้นน้ำ ลึกเป็นพัน ๆ ฟุต ในหลายส่วนของพื้นมหาสมุทรทั่วโลก ยิ่งทำให้เรื่องพิลึกกึกกือได้รับความสนใจจาก ความอยากรู้ อยากเห็นของชาวโลกยิ่งขึ้น เราเคยทราบวัฒนธรรม และความรุ่งโรจน์ ของ ชาวเมืองแอตแลนติส โบราณจากบันทึกของ มหาปราชญ์เพลโตเมื่อสองพันกว่าปีมาแล้ว ปัจจุบันนักโบราณคดีและนักภูมิศาสตร์ ต่างเชื่อมั่นว่าอาณาจักรแอตแลนติก อันเคยรุ่งเรือง ด้วยอารยธรรมมาก่อนนั้นมีจริง ขณะนี้เมืองทั้งเมืองได้จมหายอยู่ใต้พื้นมหาสมุทร แอตแลนติคที่ใดที่หนึ่ง

    อีกสิ่งหนึ่งที่สร้างความประหลาดใจให้แก่โคลัมบัสเมื่อห้าร้อยปีก่อน คือส่วนหนึ่งของ กระแสน้ำอุ่น กัลฟ์ตรีม ที่เรียกกันว่าสายน้ำขาว พื้นน้ำบริเวณนี้จะมองเห็นสุกใส ด้วย แสงเรืองเป็นทางยาว ระยะทางเป็นไมล์ ๆ ใกล้ ๆ กับ บาฮามัส ซึ่งในปัจจุบันแสงเรือง บนพื้นน้ำเหล่านี้ก็ยังคงปรากฏอยู่การตรวจสอบของนักวิทยาศาสตร์ ก็ยังไม่ทราบแน่ชัด ว่าเกิดการเรืองแสงของจุลินทรีย์ในน้ำที่ถูกฝูงปลารบกวนหรือเป็นแสงเรืองที่เกิดจาก กัมมันตภาพรังสี หรืออาจเป็น การเคลื่อนไหวของ!ประหลาดขนาดมหึมาใต้ท้องทะเลกันแน่ และยิ่งกว่านั้น มีเหตุผลพอจะทำให้เชื่อได้ว่า พื้นที่ใต้มหาสมุทรแถวนั้นอาจเป็นที่ตั้งฐาน ใต้น้ำ ของชาวนอกโลก ที่มาศึกษาชีวิตความเป็นไปในโลกของเราก็ได้ และแสงเรือง ที่เกิดขึ้น อาจเป็นสัญญาณให้ยานอวกาศของพวกเขาทราบตำแหน่งที่ตั้งและมองเห็นได้ ชัดเจน ก่อนที่ยานอวกาศจะเข้าสู่บรรยากาศโลก เหตุผลต่าง ๆ ที่กล่าวมานี้ท่านอย่าเพิ่ง เชื่อปักใจ ไปกับอย่างใดอย่างหนึ่ง เพราะตราบใดที่เรายังไม่อาจพิสูจน์ได้แน่ชัด ปรากฏการณ์ประหลากชองสามเหลี่ยมเบอร์มิวดาก็ยังเป็นเรื่องลึกลับ ที่มืดมนสำหรับเราอยู่


    จบ------

    " มันอาถรรพณ์อย่างไร? "


    นี่คือเหตุการณ์ประหลาดเหลือเชื่อที่เกิดขึ้นจริงๆ บนพิภพของเรานี้ ณ บริเวณที่เรียกกันว่า "สามเหลี่ยมปิศาจ เบอร์มิวด้า" (Bermuda Triangle)...ชื่อนี้เป็นที่รู้จักกันดีในปัจจุบัน เพราะมันเป็นบริเวณดินแดนอาถรรพณ์ อันเป็นที่ล่ำลือกันว่าเต็มไปด้วยความลี้ลับ มันเป็นดินแดนที่กลืนกินชีวิตมนุษย์และเรือเดินทะเลที่กลืนกินชีวิตมนุษย์และเรือเดินทะเล เครื่องบินที่โชคร้ายบังเอิญผ่านเข้าไป...ก็อาจหายสาบสูญไปอย่างไม่มีร่องรอยให้เห็นอีกเลย

    ดินแดนอาถรรพณ์ สามเหลี่ยมเบอร์มิวด้า โดยแท้จริงแล้ว เป็นอาณาบริเวณกว้างใหญ่มากเป็นส่วนมก เป็นส่วนหนึ่งของมหาสมุทรแอตแลนติกภาคตะวันตก พื้นที่ทั้งหมดปกคลุมพื้นทะเลตั้งแต่ตอนเหนือของหมู่เกาะเบอรืมิวด้าไปยังทางตอนใต้ของรัฐฟลอริดาตีวงออกไปในทะเลทางตะวันออกไปจนภึงหมู่เกาะบาฮามัส เลยไปอีกจนถึงอ่าวเม็กซิกโน้น .. ทั้งหมดถ้าดูตามแผนที่จะครอบคลุ่มพื้นที่ประมาณ 380,000 ตารางไมล์ทะเล ซึ่งถ้าดูกันจริงๆ แล้ว มันไม่ใช่พื้นที่เป็นรูปสามเหลี่ยมเหมือนกับชื่อของมันเลย ไม่ทราบว่าชื่อ "สามเหลี่ยมเบอร์มิวด้า" นี้ได้มาอย่างไร ....มีผู้พยายามตั้งชื่อเสียใหม่ว่า "บริเวณดินแดนปิศาจ" บ้างก็เรียกว่า "สามเหลี่ยมปีศาจ" (Devil's Trian gle) ...อย่างไรก็ตามชื่อเสียงของมันได้ถูกขนานนามขึ้นมาในราวๆ ปี ค.ศ.1960 โดยไม่ทราบว่าใครเป็นคนต้นคิดชื่อเหล่านี้ขึ้นมา แต่ด้วยเหตุที่ว่า ในบริเวณทะเลดังกล่าวนั้นมักจะปรากฏแต่เรื่องร้ายๆ เกิดขึ้นเสมอๆ บ่อยๆ ครั้ง และเป็นประจำจนะป็นที่เลื่องลือกันไปทั่วถึงอันตรายของการหายสาบสูญอย่างไม่มีวันได้กลับคืนมา...จากบันทึกของกองเรือยามฝังสหรัฐฯ และบริษัทประกันภัยทางทะเล บริษัทประกันภัยเรือเดินสมุทรและเครื่องบิน มีสถิติความสูญหายอย่างผิดปกติในอาณาบริเวณนี้เป็นบริเซณต้องห้ามและเป็นดินแดนอาถรรพณ์จริงๆ

    มันอาถรรพณ์อย่างไร? 
     

    สิ่งที่ทำให้ย่านทะเลแห่งนี้กลายเป็นดินแดนมรณะ ซึ่งทำให้นักบินหรือนักเดินเรือต่างพยายามหลีกเลี่ยง ถ้าไม่จำเป็นก็จะไม่ยอมผ่านเข้าไปในบริเวณนี้อย่างเด็ดขาดอาจเป็นเพราะความเชื่อในเรื่องอันพิลึกกึกกือที่เป็นข่าวระบือลือลั่นกันไม่รุ้จบระหว่างคนในระแวกนั้น เหตุการณ์ประหลาดๆ อย่างที่ไม่น่าเชื่อ ไม่น่าจะเป็นไปได้ มักจะเกิดขึ้นกับเรือ หรือเครื่องบินที่ผ่านเข้าไปในบริเวณนั้น นับตั้งแต่อดีตกาลจนถึงปัจจุบัน จากสถิติของบริษัท Lioyd's ov London ซึ่งเป็นบริษัทรับประกันภัยเรือเดินสมุทร พบว่านับตั้งแต่ปี ค.ศ. 1963 ถึง 1973 มีเรือในประกันของบริษัทจำนวน 60 ลำ รวมผู้โดยสาร 900 คน ได้หายสาบสูญไปในบริเวณน่านน้ำเบอร์มิวด้า

    โดยเฉพาะในปี ค.ศ. 1967 มีเรือทะเล

    เรือพาณิชย์ขนาดใหญ่ได้หายไปอย่างลึกลับเป็นจำนวน 15 ลำ ทั้ง 15 ลำไม่มีการส่งสัญญาณ "SOS" หรือส่งวิทยุขอความช่วยเหลือใดๆ ทั้งสิ้น ... สิ่งที่แปลกน่าฉงน และน่ากลัวที่สุดก็คือ เรือทั้ง 15 ลำนั้นเป็นเรือขนาดใหญ่ มีอุปกรณ์เครื่องมืออิเล็กทรอนิกส์ ช่วยในการเดินเรือแบบทันสมัยบริบูรณ์ เช่นวิทยุสื่อสาร เราดาร์นำร่องโซนาร์นำร่อง การค้นหาได้กระทำกันเป็นเดือนๆ แต่ก็ประสบผลล้มเปลวโดยสิ้นเชิงไม่พบแม้แต่เงา...นี่เป็นเพียงตัวอย่างหนึ่งที่ไดมาจากบริษัทประภัยของเอกชนที่ต้องจ่ายประกันไปจนบริษัทแทบล้มละลาย น้ำมาซึ่งความงุนงง ให้แก่ผู้ที่อยู่ข้างหลังอย่างสิ้นหวัง...อะไรเกิดขึ้นกับเรือเหล่านั้น ลูกนาวี 900 คนหายไปไหนใครบ้างจะมีคำตอบสำหรับคำถามเหล่าน

    ี้ตัวอย่างอีกรายหนึ่งที่จะขอยกมาให้พิจารณาว่ามันเป็นอาถรรพณ์ของดินแดนมรณะแห่งนี้ หรือเป็นเพียงอุบัติเหตุ ได้แก่ การหายสาบสูญของฝูงบินขับไล่ทิ้งระเบิดนาวีสหรัฐฯ เมื่อวันที่ 5 ธันวาคม ค.ศ. 1945 เครื่องบินทิ้งระเบิดแบบ TBM ของนาวีสหรัฐฯ 1 ฝูงบิน (5 เครื่อง) พร้อมด้วยเจ้าหน้าที่ประจำเครื่องทั้งหมด 14 นายไดออกทำการบินฝึกทิ้งระเบิดเหนือดินแดนเบอร์มิวด้า ห่างจากฐานทัพฟอร์ทล๊อคเดอร์เดลประมาณ 225 ไมล์...และแล้ว ฝูงบินทั้ง 5 ลำก็หายสาบสูญ ไม่เหลือแม้แต่เงา ..นาวีสหรัฐฯ ส่งเครื่องบินผู้ประสบภัยมาร์ติน มารีนเนอร์ แบบ PBM (เป็นเครื่องบินน้ำ 2 เครื่องยนต์) พร้อมด้วยเจ้าหน้าที่ประจำเครื่อง 13 นาย อกตามหา ...20 นาทีต่อมา .... PBM ก็หายสาบสูญ โดยขาดการติดต่อกับหอบังคับการ และหายไปอย่างลึกลับเช่นกันไม่มีเหลือแม้แต่เงา


    มันจะเป็นเหตุบังเอิญ อุบัติเหตุ หรือเป็นดินแดนอาถรรพณ์จริง แนวโน้มจากสถิติการสูญหายอาจบอกเราได้ นับตั้งแต่ปี ค.ศ. 1800 จนถึงปี ค.ศ.1976 มีเรือและเครื่องบินหายสาบสูญไปในบริเวณเบอร์มิวด้าแล้วเป็นจำนวน 143 ราย รวมชีวิตมนุษย์เท่าที่ทราบแน่นอนเป็นจำนวน 2,101 คน ที่ต้องสังเวยไปในดินแดนอาถรรพณ์แห่งนี้ ..สถิติการสูญหายมีมากที่สุดในปี ค.ศ. 1975 คิดมีการสูญสาย 11 ราย เฉลี่ยเดือนละราย... เมื่อเปรียบเทียบความเสียหายในบริเวณนี้กับบริเวณเส้นทางเดินเรืออื่นๆ แล้ว พบว่า...แถบเบอร์มิวด้าต้องเป็นดินแดนอาถรรพณ์จริงๆ ...เพราะในน่านน้ำที่อื่นๆ ไม่มีสถิติการสูญหายมากเท่านี้เลย

    " ดินแดนอาถรรพณ์มีอยู่แห่งเดียวรึ? "
     

    เปล่าเลยครับ...เบอร์มิวด้าไม่ใช่ดินแดนอาถรรพณ์เพียงแห่งเดียวบนโลกนี้เท่านั้น ยังมีอีกแห่งหนึ่งเป็นอาณาบริเวณบนท้องทะเลเล็กๆ อยู่ทางตอนทิศตะวันออกเฉียงใต้ของประเทศญี่ปุ่น บริเวณนี้เคยเป้ฯดินแดนอาถรรพณ์เช่นกัน แต่ปัจจุบันความอาถรรพณ์ของบริเวณนี้ เบาบางลงจนดูเหมือนจะจางหายไปแล้ว เมื่อสมัยปี ค.ศ. 1950 บริเวณนี้ได้ถูกขนานนามว่า "ทะเลปิศาจ" (Devil's Sea) มันเคยกลืนกินเรือเดินทะเลขนาดใหญ่ๆ ไปกล่า 50 ลำ...ในปี ค.ศ. 1955 รัฐบาลญี่ปุ่นถึงกับลงทุนกสีงคณะนักสำรวจสมุทรศาสตร์แบะนักวิทยาศาสตร์ ผู้เชี่ยวญาญพร้อมด้วยอุปกรณ์สำรวจทางวิทยาศาสตร์อันทันสมัยที่สุดเท่าที่จะหาได้ในสมัยนั้นบงเรือสำรวจสมุทรศาสตร์ขนาดยักษ์ เดินทางไปยังทะเลปิศาจเพื่อค้นหาคำตอบของความอาถรรพณ์ลี้ลับ ณ บริเวณนั้น ...สองสามวันต่อมาเมื่อเรือไปถึงบริเวณทะเลปิศาจ...รัฐบาลญี่ปุ่นก็ต้องพบกับความอาถรรพณ์ ความงุนงงและความตกตะลึง ก็จะอะไรเสียอีกละครับ...เรือของคณะนักสำรวจลำนั้น ได้หายสาบสูญไป ไม่เหลือแม้แต่เงา ไม่มีสัญญาณวิทยุ ไม่มีสัญญาณขอความช่วยเหลือไม่มีอะไรทั้งนั้น..หน่วยค้นหาถูกส่งตามออกไปค้นหากันแทบพลิกท้องทะเล...แต่ไม่พบแม้แต่เงา

    " มีอะไรเกิดขึ้นที่แดนอาถรรพณ์ "
     

    เราพอจะหาคำตอบอะไรได้บ้าไหมเกี่ยวหับการหายสาบสูญอย่างไร้เงาของบรรดาผู้เคราะห์ร้ายที่หลุดเข้าไปในดินแดนมรณะเหล่านั้น...พวกที่หายสาบสูญไปแล้วย่อมไม่มีโอกาสที่จะกลับมาบอกเล่าให้คนข้างหลังได้ทราบได้ว่าเขาได้ไปเผชิยกับอะไรมา แต่..เราก็ยังคงพอจะมีข้อมูลเล็กๆ น้อยๆ ที่สามาถนำประติดประต่อกันพอจะให้ดูออกเป็นรูปร่างได้ว่า มันเกิดกันพอจะให้ดูออกเป็นรูปร่างได้ว่า มันเกิดอะไรขึ้นกับพวกเขาเหล่านั้น ข้อมูลเล็กๆ น้อยๆ ที่ไดมาจากบรรดาผู้ที่บังเอิญรอดตายหรือหลบหลีกกับได้ จากบันทึกการติดต่อครั้งสุดท้ายโดยวิทยุกับพวกที่หายสาบสูญไป...มีรายงานที่น่าสนใจหลายชิ้นที่แสดงให้เห็นว่าอะไรก็ตามที่ได้เกิดขึ้นอย่างปัจจุบันทันด่วน เป็นสิ่งที่เกิดขึ้นคล้ายปรากฏการณ์ของธรรมชาติ ที่ยังไม่มีมนุษย์หน้าไหนเคยรู้จักกันมาก่อน

    ....อย่างไรก็ตาม เมื่อนำเอาข้อมูลเล็กๆ น้อยๆ เหล่านี้มาปะติดปะต่อกันดูแล้วก็จะพบกับปรากฏการณ์ที่ยิ่งใหญ่ อันนำไปสู่ความปวดเศียรเวียนเกล้าให้แก่บรรดานักวิทยาศาสตร์เป็นที่สุด มันไม่ได้ช่วยทำให้ปัญหาคลี่คลายออกไปได้เลย แต่กลับเพิ่มความงุนงงสนเท่ห์ใจหใมากยิ่งขึ้นเพระามันยังคงเต็มไปด้วยอาถรรพณ์ลี้ลับจริงๆ

    เราอาจจะสรุปคำตอบได้เป็นข้อตามความเป็นไปได้ ทั้งโดยทางทฤษฎีวิทยาศาสตร์ และโดยสามัญสำนึก ซึ่งจะช่วยมให้เราแจกแจงได้ว่าคำตอบใดจะเป็นคำตอบที่ดีที่สุดสำหรับปัญหาสามเหลี่ยมมรณะแต่ในลำดับแรกเราจะเริ่มด้วยการประมวลเหตุการณ์ว่า "มีอะไรเกิดขึ้นที่แดนอาถรรพณ์" เสียก่อนเพื่อที่เราจะได้เข้าใจว่าสิ่งที่เกิดขึ้นนั้นมันมีธรรมชาติ พฤติการณ์คุณลักษณะเป็นอย่างไรกันแน่....

    1)รายงานที่พบเป็นประจำ 
     
    เริ่มแรกผู้ประสบเหตุจะรายงานว่า มีการขัดข้องเกิดขึ้นกับเครื่องมือนำล่อง ตัวอย่างรายงานทำนองนี้ได้แก่รายงานทางวิทยุครั้งสุดท้ายก่อนการหายสาบสูญไป ของนักบิน นาวีร้อยเอกเทเลอร์ (Charles Taylor) ได้ส่งวิทยุติดต่อแจ้งเข้ามา ยังหอบังคับการบินที่ Fort Lauderdale Naval Air Station ในขณะที่กำลังบินกลับจากการฝึกบินตามปกติ เขาแจ้งเข้ามาด้วยวิทยุความถี่ฉุกเฉินว่า..."เข็มทิศหมุนอย่างบ้าคลั่ง ผมจับทิศไม่ถูกแล้วผมไม่ทราบตำแหน่งว่าผมอยู่ที่ไหน..." ...จากนั้นเสียงก็ขาดหายไป และแล้วร้อยเอกเทเลอร์กับเครื่องบินของเขาก็ไม่ปรากฏตัวที่ไหนอีกเลย เขาหายสาบสูญไปชั่วนิรันดร

    อีกตัวอย่างหนึ่ง เป็นรายงานที่ได้มาจาก ร้อยเอกเดนตาย อูลเมอร์ (Robert Ulmer) นักบินมือสองและด๊อกเตอร์ดิ๊กบาย (Dr. Robert Digby) ผู้โดยสานเดนตายคนเดียวที่รอดมาได้ จากเที่ยวบินพิเศษในสมัยสงครามโลกครั้งที่สอง โดยเครื่องินทิ้งระเบิดแบบ บี-24 .."ขณะบินอยู่ในระดับสูง 9,000 ฟุต ทางเหนือของเบอร์มิวด้าอากาศแจ่มใส่มาก ...จู่ๆ เครื่องบินก็สั่นยังกับจ้าวเข้าทรง เครื่องวัดต่างๆ หมุนไปมาอย่างไม่มีจุดหมาย และแล้วเครื่องบินก็เริ่มปักหัวลงทะเล กัปตันพยายามดึงขึ้นทั้งๆ ที่ไม่รู้ว่ามันเกิดอะไรขึ้น ...เราต่อสู้กับอำนาจลึกลับที่พยายามดึงเครื่องบินให้ปักหัวลงทะเลตลอดเวลา เราดึงเครื่องขึ้น เครื่องบินเอียง เซไปมา และจะดำดิ่งลงท่าเดียว เราก็ดึงมันขึ้นอีก ต่อสู้กันจนเราแทบหมดแรง...ผมไม่รู้จริงๆ ว่าผีบ้าซาตานอะไรมาเข้าสิงเครื่องบิน บินแบบถูลู่ถูกัง มาจนถึงฝั่งเม็กซิกโก และตกบนภูเขาเหนืออ่างเปอร์โตริโก เป็นระยะทาง 1,500 ไมล์ที่ขับเขี้ยวมากับอำนาจเร้นลับที่พยายามดึงเครื่องบินให้ปักหัวลง ...ดร.ดิ๊กบายเล่าว่า.."ผมเป็นผู้โดยสารคนเดียวที่รอดมาได้ ในสมัยนั้นเราไม่รู้ว่ามีบริเวณที่เรียกว่าสามเหลี่ยมเบอร์มิวด้า...แต่อย่างไรก็ตามผมก็เจอมาแล้วกับตัวเอง มันมีอำนาจอะไรบางอย่างที่ดึงดูดเครื่องบินของเราลงไป ผมไม่รู้ว่าจะอธิบายได้อย่างไร แต่อำนาจลี้ลับนั้นมีอยู่แน่ๆ ที่บริเวณสามเหลี่ยมมรณะนั้น"...

    สรุปแล้ว ข้อมูลประการที่หนึ่งที่เราพบก็คือ มีพลังบางอย่างที่มีผลกระทบกับเครื่องมือนำทาง เช่นเข็มทิศ เครื่องวัดความสูง เครื่องวัดความเร็ว และเครื่องมือสื่อสาร นั่นคืออำนาจลึกลับนี้มีผลกระทบกับอุปกรณ์ที่เกี่ยวข้องกับแม่เหล็กไฟฟ้าทั้งหมด โดยเฉพาะเข็มทิศแม่เหล็ก 
     

    2)เกิดความสับสนขึ้นกับประสาทความรู้สึกในการรับรู้ทั้ง 5 

     ของผู้ที่หลุดเข้าไปในดินแดนอาถรรพณ์ ทำให้ผู้นั้นงุนงง สับสนต่อเหตุการณ์ และที่สุดคือสูญเสียความรู้สึกในเรื่องเวลา และการทรงตัว ดังตัวอย่างรายงานอดีตผู้บังคับการฝูงบินทิ้งระเบิด บิลล์สัน (Commander Marcus Billson) เมื่อวันที่ 25 เดือนนาคม ปี ค.ศ. 1945 ขณะทำการบินด้วยเครื่องบิน PBM (เครื่องบินน้ำ แบบสองเครื่องยนต์) และรอดตายมาได้อย่างหวุดหวิดเล่าว่า... "ผมกำลังบินในตอนกลางคืน อยู่ระหว่างครึ่งทาง จากฟลอริด้า ไปเกาะบาฮาม่า...ในขณะนั้นอย่างไม่มีปี่มีขลุ่ย เจ้าวิทยุเข็มทิศ (radio compass) ก็เริ่มหมุนติ้วยังกับกังหันต้องลม และเข็มทิศแม่เหล้กก็เอากับเขาด้วยวิทยุติดต่อก็เกิดเสียงรบกวนซู่ซ่าจนใช้การอะไรไม่ได้เลย ผมงงไปหมด ไม่รู้ว่ามันเกิดบ้าอะไรกันขึ้นมา แล้วต่อมาไฟฟ้าในห้องนักบินก็ดับพลึบลง ทีนี้มันก็มือสนิทมองไม่เห็นอะไร มองออกไปนอกหน้าต่างก็ไม่เห็นอะไรทั้งนั้น ไม่มีท้องผ้า ไม่มีแสงดาว ไม่มีอะไรเลย นอกจากความมืดสนิท...ผมไม้เข้าใจว่าแสงดาวบนท้องฟ้ามันดับหายไปไหนหมด แสงระยิบระยับบนท้องทะเลก็ควรจะมองเห็นได้บ้างเป็นบางครั้งแต่นี่มันมืดมิดจริงๆ ...ผมนึกว่าผมคงตาบอดแน่ๆ ...ผมไม่รู้ว่าเราบินไปทางไหนเอาหัวขึ้น หรือเอาหัวลงก็บอกไม่ได้ ผมมีประสบการณ์การบินมามากกว่า 5,000 ชั่วโมง หลับตาบินผมก็รู้ว่าผมบินได้...แต่นี่มันต่างกัน ผมสูญเสียความรู้สึกไปหมดผมเหมือนคนตาบอดสนิท..ผมถือคันบังคับเครื่องบินแน่น พยายามเลี้ยง ประคองเอาไว้ให้ตรงที่สุดเท่าที่ความรู้สึกนึกคิดของผมจะมีอยู่ในเวลานั้น ..ต่อมาทุกอย่างก็กลับสู่สภาพปกติ ไฟฟ้าสว่างขึ้นเอง เข็มวัดทุกอย่างทำงานเหมือนเดิม เหมือน/ไม่มีอะไรเกิดขึ้น...และผมก็งงไปหมด เครื่องได้มาบินอยู่เหนือสนามบินบาฮาม่าแล้ว... ผมงงจริงๆงงจนไม่รู้ว่าจะพูดหรืออธิบายว่าอย่างไรถูก..เหตุการณ์มันเป็นอย่างนี้จริงๆ แล้วคุณจุให้ผมอธิบายว่าอย่างไร ผมก็จนปัญญา"...

    3)มีการรบกวนทางระบบไฟฟ้า
     
    และการติดต่อสื่อสารทางวิทยุจะถูกตัดขาดนี่คือข้มูลอีกข้อหนึ่งที่เราจะพบเสมอจากรายงานครั้งสุดท้ายของผู้ที่หายสาบสูญไปในดินแดนอาถรรพณ์ ดังตัวอย่างการหายสายสูญของฝูงบินขับไล่ทิ้งระเบิดที่ 19 ของนาวีสหรัฐอเมริกา ...หายทั้งฝูงเลยนะครับ..ไม่ใช้ลำเดียว..ฝูงบินที่ 19 มีเครื่องบินแบบ TBM อเว็งเจอร์ จำนวน 5 ลำ ได้ออกบินฝึกตามภารกิจปกติ เมื่อวันที่ 5 ธันวาคม ค.ศ. 1945 และได้หายสาบสูญไปอย่างลึกลับ ถึงแม้จะมีการระดมหน่วยค้นหาตามล่ากันอย่างละเอียดถี่ถ้วนครอบคลุมพื้นที่ทุกๆ ตารางฟุต กว้างถึง 380,000 ตารางไมล์ แต่ก็ไม่พบแม้แต่เงา...รายงานสุดท้ายที่จ่าฝูง.ร้อยเอก โรเบิร์ต คอส รายงานมา รับฟังได้จากวิทยุ ณ ฐานทัพภาคพื้นดิน ตอนหนึ่งกล่าวด้วย น้ำเสียงของคนตกใจสุดขีดว่า.. "อย่าตามผมมา.. แยกกันออกไป แยกกันออกไป.." แล้วเสียงวิทยุก็ถูกตัดขาดทันที เหมือนกับว่ามีใครไปปิดเครื่องส่งของเขาฉะนั้น ...ร้อยเอกโรเบิร์ต คอส บินเข้าไปพบอะไร ไม่มีใครทราบ แต่สิ่งที่เขาพบต้องเป็นสิ่งที่น่ากลัวจนทำให้เขาสั่งลูกฝูงไม่ให้บินตามเข้าไป...แต่ก่อนหน้านั้นมีเสียงวิทยุโต้ตอบกันระหว่างจ่าฝูงกับลูกฝูงของเขา ซึ่งรับฟังได้ยินไม่ชัดเจน เป็นเสียงขาดๆ จางๆ และมีคลื่นแทรกรบกวนมาก พอจะจับความได้บ้างบางตอนว่า ฝูงบินที่ 19 กำลังหลงเข้าไปในสภาพบรรยากาศอันผิดปรกติ แปลกประหลาดอย่างหนึ่ง




    " เครื่องบินที่สาบสูญเหนือดินแดนอาถรรพ์ "
     

    ความลึกลับของสามเหลี่ยมเบอร์มิวดา เริ่มสร้างความฮือฮาและดึงดูดความสนใจแก่มหาชน อย่างกว้างขวาง เมื่อเครื่องบินหกลำพร้อมด้วยนักบินและพลประจำเครื่องของ กองทัพเรือสหรัฐได้ถูกกลืนหายไปทั้งฝูงโดยไม่มีร่องรอยเหนือ สามเหลี่ยมเบอร์มิวดา ใน วันที่ 5 ธันวาคม ค.ศ.1945 ห้าลำแรกถูกกลืนหายไปเป็นฝูงบินที่อยู่ระหว่างการฝึกบิน ตามปกติซึ่งเป็นการซ้อมบินในเส้นทางสามเหลี่ยมเบอร์มิวดาเครื่องบินทั้งห้าเริ่มต้นออกจากสนามบินของกองทัพเรือสหรัฐ โดยวางแผนการบินมุ่งไปทางทิศตะวันออก160ไมล์ บินเฉียงขึ้นไปทางเหนือ40ไมล์แล้วจึงบินกลับสู่ที่เดิมเป็น รูปสามเหลี่ยมและเหตุที่ผู้ให้ สมญาอาณาบริเวณของมหาสมุทรแห่งนี้ต่าง ๆ นา ๆ เช่น "สามเหลี่ยมแห่งปีศาจ" "สามเหลี่ยมมรณะ","ทะเลอาถรรพ์" หรือ "สุสานของมหาสมุทรแอ๊ตแลนติค" ก็เพราะการหายสาบสูญของเครื่องบิน ของกองทัพเรือสหรัฐจำนวนทั้งหกลำครั้งนั้นเอง ซึ่งนักสังเกตการณ์ทั้งหลายต่างให้ข้อสงสัยว่า การวางเส้นทางฝึกบิน ของกองทัพเรือ ในครั้งนั้น เป็นเส้นทางที่อยู่ในบริเวณเดียวกับอาณาเขตของสามเหลี่ยมเบอร์มิวดาและ ก็เป็น ประจวบเหมาะที่มีเรือและเครื่องบินได้หายไปในท้องทะเลแห่งนั้น ด้วยสภาวะ อันผิดปกติมาก่อนจำนวนไม่น้อย ดังนั้นเมื่อกองทัพเรือสหรัฐทั้งฝูง กับเครื่องบินช่วยเหลือ ชื่อ มาร์ติน มารีนเนอร์พร้อมด้วยลูกเรือ 13 คนได้ถูกกลืนหายไปในบรรยากาศของดินแดน อาถรรพ์แห่งนี้ ก็ย่อมต้องมีการฮือฮาและโจษขานกันอย่างมากมายเป็นธรรมดา




    "รายชื่อ เครื่องบินหรือเรือ ที่สาบสูญ "
     

    รายการข้างล่างนี้คือ หลักฐานการ สูญหายที่สำคัญของเครื่องบิน และเรือเดินทะเลในบริเวณสามเหลี่ยมเบอร์มิวดา ที่เลือกนำมาแสดงนี้ เป็นกรณีที่สำคัญจริง ๆ ที่สร้างความวุ่นวายในการค้นหาและสอบสวน แก่เจ้าหน้าที่ทุกหน่วยอย่างที่ไม่เคยปรากฏมาก่อน ไม่ว่าจะเป็นยามสันติ หรือในสภาวะ ของสงคราม

    เหตุการณ์สำคัญต่าง ๆ ของเครื่องบินที่หายไปเหนือดินแดนสามเหลี่ยมเบอร์มิวดา 
     

    วันที่ 5 ธันวาคม ค.ศ. 1945 : เครื่องบินท้องระเบิดแบบ TBM ของกองทัพเรือสหรัฐจำนวน 5 เครื่อง พร้อมด้วยเจ้าหน้าที่ประจำเครื่อง 14 นาย หายไปขณะฝึกบินทิ้งระเบิดเหนือดินแดนสามเหลี่ยมเบอร์มิวดา ห่างจากฐานทัพฟอร์ท ล๊อดเดอร์เดล ประมาณ 225 ไมล์
    http://www.pramool.com:5050/.8/r788293-57.jpg

    วันที่ 5 ธันวาคม ค.ศ. 1945 : เครื่องบินช่วยเหลือผู้ประสบภัย มาร์ตินน มารีน แบบ PBM พร้อมพลประจำเครื่อง 13 นาย ได้หายไปประมาณ 20 นาที หลังจากบินไปทำการช่วยเหลือเครื่องบินฝึกทิ้งระเบิดแบบ TBM จำนวน 5 เครื่องที่ขาดการติดต่อกับ หอบังคับการณ์และหายไปอย่างลึกลับ


    วันที่ 3 กรกฏาคม ค.ศ. 1967 : เครื่องบินลำเลียงพลแบบ G-54 ของกองทัพบกสหรัฐหายไปห่างจากเบอร์มิวดา ขึ้นมาทางเหนือประมาณ 100 ไมล์


    วันที่ 29 มกราคม ค.ศ. 1948 : เครื่องบินโดยสารชื่อสตาร์ไทยเกอร์ เป็นเครื่องบินสี่เครื่องยนต์แบบทิวเดอร์-4 ของอังกฤษหายไปเหนือดินแดนสามเหลี่ยมเบอร์มิวดาพร้อมกับชีวิตของเจ้าหน้าที่และผู้โดยสาร 31 คน


    วันที่ 28 ธันวาคม ค.ศ. 1948 : เครื่องบินโดยสารชาร์เตอร์ ส่วนบุคคล แบบ DC-3 หายไประหว่างซานฮวนกับไมอามี่ พร้อมพนักงานประจะเครื่องและผู้โดยสาร 32 คน


    วันที่ 17 มกราคม ค.ศ. 1949 : เครื่องบินโดยสาร สตาร์ แอเรียล ของอังกฤษ บินจากลอนดอนไปซานดิเอโก โดยผ่านทาง จาไมกา เครื่องบินได้หายไปในบริเวณสามเหลี่ยม เบอร์มิวดาในระหว่างเส้นทางไปยังคิงส์ตัน


    วันที่ 8 มีนาคม ค.ศ. 1950 : เครื่องบิน โกล๊ปมาสเตอร์ ของสหรัฐอเมริกา หายไปทางตอนเหนือของสามเหลี่ยมเบอร์มิวดา ขณะมุ่งบินไปสู่ไอร์แลนด์

    วันที่ 8 มีนาคม ค.ศ. 1950 : เครื่องบินโดยสารของบริษัทเดินอากาศยอร์คแห่งอังกฤษหายไปในบริเวณสามเหลี่ยมเบอร์มิวดา พร้อมผู้โดยสาร 33 คน


    วันที่ 30 ตุลาคม ค.ศ. 1954 : เครื่องบินแบบ ซุปเปอร์คอนสเตลเลชั่น ของสหรัฐ หายไปพร้อมผู้โดยสาร 42 คน ในบริเวณเดียวกับจุดที่ฝูงบิน ที่ 19 สูญหายทั้ง 5 เครื่องมาก่อน


    วันที่ 9 พฤศจิกายน ค.ศ. 1956 : เครื่องบินลาดตระเวนของกองทัพเรือสหรัฐแบบ P5M หายไปใกล้ ๆ กับเบอร์มิวดา พร้อมเจ้าหน้าที่ประจำเครื่องอีก 10 นาย


    วันที่ 8 มกราคม ค.ศ. 1962 : เครื่องบินบันทุกน้ำมันสำหรับเติมน้ำมันกลางอากาศแบบ KB-50 ของสหรัฐ ได้หายไปอย่างลึกลับ บริเวณสามเหลี่ยมเบอร์มิวดา


    วันที่ 28 สิงหาคม ค.ศ. 1963 : เครื่องบินของกองทัพอากาศสหรัฐสี่เครื่องยนต์แบบ KC-135 จำนวนสองเครื่อง หายไปทางทิศตะวันตกห่างจาก สามเหลี่ยมเบอร์มิวดาราว 300 ไมล์
    http://www.pramool.com:5050/.8/r788293-56.jpg



    วันที่ 5 มิถุนายน ค.ศ. 1965 : เครื่องบินโดยสารขนาดกลางแบบ C-119 หายไปใกล้ ๆ กับเบอร์มิวดา พร้อมด้วยผู้โดยสาร 10 คน


    5 เมษายน ค.ศ. 1956 : เครื่องบินทิ้งระเบิดแบบทันสมัย B-52 ของสหรัฐ ซึ่งถูกดัดแปลงเป็นเครื่องบินบรรทุกสินค้า หายไปตรงจุดศูนย์กลาง ของสามเหลี่ยมเบอร์มิวดา พร้อมทั้งชีวิตของชีวิตของนักบินทั้ง 3 นาย


    วันที่ 11 มกราคม 1967 : เครื่องบินแบบ YC-122ซึ่งดัดแปลงเป็นเครื่องบินบรรทุกสินค้าหายไปพร้อมกับพนักงานประจำเครื่อง 4 นาย ในบริเวณสามเหลี่ยมเบอร์มิวดา ใกล้ ๆ กับาฮามัส


    วันที่ 22 มกราคม ค.ศ. 1963 : : เครื่องบินแบบ C-132 ซึ่งเป็นเครื่องบินบรรทุกสินค้าขนาดใหญ่ หายไปในบริเวณสามเหลี่ยมเบอร์มิวดา ตอนใดตอนหนึ่งระหว่างทางสู่ แอโซเรส



    เหตุการณ์สำตัญต่าง ๆ ของเรือเดินสมุทรที่หายไปเหนือดินแดนสามเหลี่ยมเบอร์มิวดา 
     



    ในปี ค.ศ. 1840 : เรือสินค้าขนาดใหญ่ของฝรั่งเศษชื่อ โรซาลี่ ได้หายไปในบริเวณสามเหลี่ยมเบอร์มิวดาระหว่างเดินทางจากยุโรปไปฮานาวา โดยไม่มีผู้ใดเหลือชีวิตรอดพอที่จะบอกเรื่องราวให้ฟังได้

    ในปี ค.ศ. 1840 : เรือลาดตระเวณอังกฤษชื่อ แอ๊ตตาแลนตา หายไปอย่างลึกลับไม่ห่างจากเบอร์มิวดานักพร้อมทั้งทหารประจำเรือ 290 นาย


    วันที่ 11 ตุลาคม ค.ศ. 1902 : เรือเยรมันชื่อ เฟรย่า มีผู้พบทอดสมออยู่ในบริเวณสามเหลี่ยมเบอร์มิวดา ไม่มีสิ่งมีชีวิตใด ๆ อยู่บนเรือลำนั้น จากปฏิทินฉีกประจำวันในห้องกัปตันระบุเป็นวันที่ 4 ตุลาคม 1902


    วันที่ 4 มีนาคม ค.ศ. 1998 : : เรือบรรทุกอุปกรณ์และสินค้าชื่อ ไซคล๊อปส์ เป็นเรือเดินสมุทรขนาดใหญ่ มีความยาว 500 ฟุต และระวางขับน้ำ 1900ตัน หายไปอย่างไร้ร่องรอยในบริเวณสามเหลี่ยมเบอร์มิวดาพร้อมด้วยชีวิตลูกเรือและผู้โดยสาร


    กลางเดือน กุมภาพันธ์ ค.ศ. 1925 : เรือโคโทแพ็คซี หายไปในดินแดนสามเหลี่ยมเบอร์มิวดา ในระหว่างเดินทางจากซาร์ลตันสู่ฮานาวา


    ในเดือนเมษายน ปี ค.ศ. 1932 : เรือใบ 21 ลำชื่อ จอนและแมรี่ เป็นเรือที่ขึ้นทะเบียนในนิวยอร์คทั้งสองลำมีผู้พบลอยละล่องใกล้ ๆ กันอยู่ในบริเวณเบอร์มิวดาใบเรือทั้งสองลำถูกลดลงจากเสา
    เรียบร้อยแล้ว


    วันที่ 22 ตุลาคม ค.ศ.1944 : เรือยอร์จ ชื่อ กลอเรียโคไลท์ มีผู้พบถูกปล่อยให้ลอยเคว้งคว้างอยู่กลางมหาสมุทรในบริเวณสามเหลี่ยมเบอร์มิวดา สิ่งของเครื่องใช้ทุกอย่างในเรืออยู่อย่างเป็นระเบียบ และของ
    มีค่ายังอยู่ครบถ้วน


    ในเดือนมิถุนายน ค.ศ. 1950 : เรือบรรทุกสินค้ายาวชื่อแซนดรา ได้หายไปบริเวณสามเหลี่ยมเบอร์มิวดาแถวเปอร์โตริโกอย่างไม่มีร่องรอยใด ๆ พร้อมชีวิตลูกเรือทั้งหมดและสินค้าอีก 300 ตัน


    ในเดือนกันยายน ค.ศ. 1955 : เรือยอร์จชื่อ คันแนมาร่าที่ 4 ได้หายไปอย่างลึกลับประมาณ 400 ไมล์ทางตะวันตกเฉียงใต้ของเบอร์มิวดา


    วันที่ 2 กุมภาพันธ์ ค.ศ. 1963 : เรือเดินทะเลขนาดยักษ์ซึ่งมีความยาวถึง 425 ฟุต ชื่อมารีน ซัลเฟอร์ ควีน ได้หายไปอย่างไม่มีร่องรอยใด ๆ


    วันที่ 1 มิถุนายน ค.ศ. 1963 : เรือจับปลาชื่อ โชบอยหายไปพร้อมด้วยลูกเรือ 4 คนโดยไม่มีหลักฐานใด ๆ เหลือให้เห็น


    ในปี ค.ศ. 1942 : เรือโดยสารญี่ปุ่นชื่อ ไรฟูกุ มารู ได้วิทยุขอความช่วยเหลือขณะที่วิ่งอยู่ระหว่างคิวบาและบาฮามัส แต่แล้วก็หายไปอย่างไร้ร่องรอย


    ในปี ค.ศ. 1931 : เรือสินค้า สตาฟเวํงเยอร์ หายไประหว่างบาฮามัสและ แค็ต ไอร์แลน พร้อมด้วยชีวิตลูกเรือ 43 คน


    ในเดือนมีนาคม ค.ศ. 1938 : เรือแองโกล-ออสเตรเลียน ได้หายไปทางใต้ของแอโซซเรส พร้อมด้วยชีวิตลูกเรือ 39 ชีวิต


    ในเดือนธันวาคม ค.ศ. 1967 : เรือยอร์จขนาด 46 ฟุต ชื่อ เรโวน๊อค หายไปอย่างปราศจากร่องรอย


    วันที่ 24 ธันวาคม ค.ศ. 1967 : เรือยอร์จ วิชคร๊าฟ หายไปอย่างปราศจากร่องรอยนอกฝั่งไมอามี พร้อมกับชีวิตเจ้าของเรือและผู้โดยสาร


    ในเดือนเมษายน ค.ศ. 1970 : เรือมิลตัน เอไทรด์ หายไปอย่างไร้ร่องรอยบริเวณสามเหลี่ยมเบอร์มิวดา


    ในเดือนมีนาคม ค.ศ. 1973 : เรือเดินทะเลขนาดใหญ่ระวางขับน้ำ 20000ตัน ได้หายไปพร้อมกับชีวิตลูกเรือและผู้โดยสารทั้งหมด

    จบ-----

    " กรณีวิเคราะห์ด้วยหลักของสามัญสำนึก "
     


    ในบางกรณี หากวิเคราะห์ด้วยเหตุผลเกี่ยวกับการหาบสาบสูญของเรือเดินสมุทรและเครื่องบินในบริเวณ
    สามเหลี่ยมเบอร์มิวดา จะพบว่าหาเป็นเรื่องประหลาดลึกลับแต่อย่างใดไม่เพราะเครื่องบินแต่ละลำ เมื่อนำไปเปรียบเทียบกับความกว้างใหญ่สุดคณานับของพื้นมหาสมุทรโลกแล้ว ก็เปรียบเสมือนฝุ่นละอองที่ล่องลอย อยู่ในห้องโถงใหญ่ น้ำในมหาสมุทรก็ไม่ได้หยุดนิ่งอยู่กับที่ แต่มีการเคลื่อนไหว กระแสน้ำอุ่นกัลฟ์สตรีม มีอัตราความเร็วกว่าสี่ไมล์ต่อชั่วโมง ในท้องทะเลนอกฝั่งบาฮามัสมีสิ่งแปลกประหลาดอยู่สิ่งหนึ่งที่นักประดาน้ำ มักจะพบเห็นอยู่บ่อย ๆซึ่งพวกเขาเรียกว่า "ปล่องน้ำเงิน" จะปรากฏอยู่ตามหุบผาใต้น้ำและแหล่งหินประการัง มีลักษณะเป็นอุโมงค์หรือปล่องใต้ทะเล โดยทั่วไปเป็นที่อยู่ของปลาที่ไม่ค่อยได้พบกันที่ผิวน้ำ ปล่องเหล่านี้เชื่อว่า เกิดจากถ้ำหินประการังถูกกัดกร่อนด้วยกระแสน้ำใต้ทะเลมาเป็นเวลานับหมื่นปี เคยมีนักประดาน้ำดำลงไป สำรวจปล่องต่าง ๆ นี้ พบว่าปล่องจำนวนมากต่างมีทางแยกออกไปในหลายทิศทาง ทำให้ปลาที่ว่ายวน อยู่ในนั้นเกิดสับสนถึงกับว่ายเอาครีบท้องขึ้นสู่เบื้องบน

    ยิ่งกว่านั้นยังพบว่ากระแสน้ำไหลเชี่ยวแรงเข้าสู่ส่วนลึกคล้ายถูกดูดด้วยกำลังอันมหาศาลซึ่งเป็นอันตราย ต่อนักประดาน้ำมาก และลักษณะการณ์เช่นนี้ทำให้น้ำบริเวณปากปล่องไหลวนเข้าไปภายในอย่างรวดเร็ว ก่อให้เกิดการหมุนเป็นกรวยเหนือพื้นน้ำในลักษณะของวังน้ำวน ซึ่งสามารถจะดึงดูดเรือเล็กพร้อมด้วยคนบนเรือ ลงสู่ก้นอย่างรวดเร็ว


    อีกทฤษฏีหนึ่ง เป็นทฤษฏีเกี่ยวกับลมพายุทอนาโดซึ่งเกิดเป็นครั้งคราว จะกวาดเรือและเครื่องบิน
    ให้จมลงสู่ก้นมหาสมุทรได้ไม่ยาก พายุทอร์นาโดเป็นพายุหมุนปั่นเอาน้ำทะเลหมุนเป็นเกลียวสูงนับร้อย ๆ ฟุต
    กลางอากาศและหากมันเกิดตอนกลางคืน เครื่องบินที่บินอยู่ระดับต่ำอาจถูกกระแทกตกลงสู่ทะเลได้ เพราะนักบิน
    ไม่สามารถจะมองเห็นได้ในระยะไกล ส่วนเรือเดินสมุทรขนาดใหญ่ที่จมหายนั้น เชื่อว่าอาจจะเกิดจากกระแสคลื่น
    มหึมาที่เป็นผลมาจากแผ่นดินไหวใต้ทะเลก็ได้ เพราะคลื่นที่เกิดจากปรากฏการณ์เช่นนี้จะมี ความสูงร่วมร้อยฟุตเลยที่เดียว


    ปรากฏารณ์อย่างหนึ่งที่อาจเป็นอันตรายต่อเครื่องบินได้ คื่อากรผันแปรของอากาศอย่างทันทีทันใด
    ที่เรียกกันว่า "แค๊ท" (Cat - clear air turbulenec) โดยทั่วไปแล้ว "แค๊ท" จะเป็นปรากฏการณ์ที่ไม่อาจจะ
    คาดคะเนหรือทำการพยากรณ์ได้เช่นเดียวกับลักษณะภูมิกาศโดยทั่วไปมันจะเกิดขึ้นได้ทุกเวลาและทุกสภาวะอากาศ
    สาเหตุของปรากฏการณ์นี้ยังไม่ทราบกันแน่ชัด แต่เชื่อกันว่าหากมันเกิดขึ้นขณะที่กระแสลมพัดแรงและรวดเร็ว
    จะทำให้เกิดสูญญากาศบริเวณนั้นทันที ซึ่งหากเครื่องบินได้บินเข้าสู่บริเวณของมันก็อาจจะตกดิ่งสู่ทะเลได้ง่าย
    แต่อย่างไรก็ดี การผันแปรวิปริตของบรรยากาศทันทีทันใดในลักษณะเช่นนี้นั้น จะต้องไม่ใช่สาเหตุการหายสาบสูญ
    ของเครื่องบินทุกลำในบริเวณสามเหลี่ยมเบอร์มิวดาเป็นแน่ เพราะปรากฏาการณ์ "แค๊ท" จะไม่เป็นผลต่อการ
    ทำงานของเครื่องวัดต่าง ๆ และระบบการติดต่อทางวิทยุบนเครื่องบอน แต่ทุกครั้งที่เกิดเหตุ จะปรากฏว่าการ
    ติดต่อทางวิทยุได้เงียบหายไป


    การแปรผันของสนามแม่เหล็กโลก ก็อาจเป็นสาเหตุที่ทำให้เครื่องบินตกได้เช่นเดียวกัน เพราะมัน
    จะทำให้เกิดการผิดพลาดในการทำงานของเครื่องวัดระดับและเข็มทิศประจำเครื่อง ในกรณีเช่นนี้นักบินไม่มี
    ความสามารถพอก็อาจจะนำเครื่องบินดิ่งลงสู่มหาสมุทรได้ ยิ่งกว่านั้นปรากฏการณ์ต่าง ๆ ทางธรรมชาติอีกมากมาย
    ที่เราไม่อาจจะอธิบายหรือทราบสาเหตุของมันได้


    ปล.ออกจะไปทางวิชาการครับผม เน้นเกี่ยวกับความเป็นไปได้ทั้งหมดครับ

    " ท้องทะเลแห่งความพรั่นพรึง " 
     
    เรือเดินทะเลที่หายสาบสูญไปในสามเหลี่ยมเบอร์มิวดานั้น ส่วนมากจะเกิดขึ้นในบริเวณที่เรียกว่า "ทะเลซากัสโซ" และสาเหตุที่ท้องมหาสมุทรแห่งนี้มีนามว่าทะเลซากัสโซ ก็เพราะอาณาเขตบริเวณแห่งนี้อุดมสมบูรณ์ไปด้วย สาหร่ายทะเลชนิดหนึ่งซึ่งมีชื่อว่าสาหร่ายซากัสซั่ม สาหร่ายชนิดนี้เป็นอุปสรรคต่อการเดินเรืออย่างยิ่ง และ เหตุการณ์ประหลาดลึกลับทางทะเลต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นมาตั้งแต่โบราณกาล มักจะมีต้นตอมาจาก ทะเลซากัสโซเสียเป็นส่วนมาก ชาวฟีนีเชียนโบราณซึ่งเคยใช้เรือเดินทางผ่านท้องทะเลมหาภัยแห่งนี้มา ตั้งแต่หลายพันปีก่อน ได้บันทึกปรากฏการณ์ประหลาดต่าง ๆ ไว้เป็นจำนวนมาก ท้องทะลซากัสโซ่ มีอาณาเขตบริเวณกว้างใหญ่อยู่ทางตะวันตกเฉียงเหนือของมหาสมุทรแอ๊ตแลนติค บริเวณแห่งนี้จะเต็มไปด้วย สาหร่ายทะเลลอยฟ่องเต็มไปหมด เมื่อตอนที่โคลัมบัสแล่นเรือผ่านท้องทะเลแห่งนี้เป็นครั้งแรก กลาสีเรือต่างตื่นเต้นที่คิดว่าเรือคงแล่นเข้าใกล้ฝั่งแห่งใดแห่งหนึ่งเข้าไปแล้ว แต่แม้จะแล่นเรือต่อไปอีกนาน อาณาเขตของ สาหร่ายแห่งนี้ก็หาหมดลงไปไม่ อีกอย่างหนึ่งที่เป็นสัญลักษณ์ประจำของทะเลซากัสโซ คือ ภูเขาทะเล ภูเขาทะเลคือภูเขาที่อยู่ใต้พื้นน้ำ แต่มีส่วนยอดแบนราบโผล่ขึ้นมาเหนือพื้นน้ำเล็กน้อย มองดูคล้ายเกาะ แต่ไม่มีพืชพันธ ์ใด ๆ นอกจากตระใคร่น้ำเกาะอยู่เท่านั้นทะเลซากัสโซไม่เพียงแต่เป็นท้องทะเลที่เต็มไปด้วยสาหร่ายยากแก่การเดินเรือ เท่านั้น แต่กิตติศัพย์ในความน่าสะพรึงกลัวของมันได้ถูกกล่าวขานกันอยู่เสมอ บ้างก็ให้เชื่อว่าเป็นทะเลแห่งความหายนะ หรือสุสานของเรือเดินสมุทรบ้างก็ว่าเป็นที่สิงสถิตของภูติผีปีศาจทะเล หรือ!ร้ายดึกดำบรรพ์ เรื่องราวต่าง ๆ ที่พวกชาวเรือชอบนำมาเล่าสู่กันฟังเกี่ยวกับท้องทะเลจำนวนนับไม่ถ้วน ถูกยึดนิ่งสงบรวมอยู่ในใจกลางของทะเลซากัสโซ่ ตั้งแต่สมัยการการเดินทางโดยทะเลของพวกฟินีเชียน ไวกิ้ง โรมัน หรือแม้แต่เรือต่าง ๆ ในสมัยกลางของยุโรป พวกเหล่านี้เชื่อว่าเรือเหล่านี้ลอยกองรวมกันพร้อมด้วยสมบัติมหาศาลที่บรรทุกอยู่เหตุที่ไม่จมเพราะมีสาหร่ายจำนวนหนาแน่นรองรับอยู่ข้างใต้ มนุษย์ผู้พบท้องทะเลแห่งนี้เป็นพวกแรกเข้าใจว่าจะต้องเป็นพวกฟินีเชียนและพวกคาร์ธายิเนียนโบราณ เพราะเป็นเวลา หลายพันปีแล้วที่พวกนี้เดินทางข้ามมหาสมุทรแอ๊ตแลนติคสู่อเมริกาหลักฐานที่ปรากฏคือรอยแกะสลักบนแผ่นหินของ พวกฟินีเชียน ที่พบอยู่ในประเทศบราซิลขณะนี้ และศิลาจารึกในสุสานฝังศพของ พวกคาร์ธายิเนียน เมื่อราว 500 ปี ก่อนคริศศักราชระบุว่า

    ....เหนือท้องทะเลแห่งนี้มีแต่ความอ้างว้างเงียบเหงา คล้ายกับสุสานใหญ่ที่มองจรดขอบฟ้าไปทุกด้าน ไม่มีแรงลม พอที่จะพัดพาเรือให้แล่นไปได้ ใต้พื้นน้ำเต็มไปด้วยสาหร่ายทะเลอย่างหนาทึบ ซึ่งยึดเรือ
    ทั้งหลายให้หยุดนิ่งอย่างกับกำลังมหาศาลของหนวดปลาหมึกยักษ์.....

    ท้องทะเลบางแห่งตื้นเขินซึ่งเป็นที่อาศัยของ!ประหลาดมหึมาหลายสิบชนิด และบางครั้งมันก็ว่ายน้ำ เข้ามาทำลายเรือทั้งลำให้กลายเป็นผุยผงไปในพริบตา

    แผนที่ " สามเหลี่ยมเบอร์มิวด้า "


















    ภาพและข้อมูล เรือและเครื่องบินที่สูญหาย



    วันที่ 5 ธันวาคม ค.ศ. 1945 : เครื่องบินท้องระเบิดแบบ TBM ของกองทัพเรือสหรัฐจำนวน 5 เครื่อง พร้อมด้วยเจ้าหน้าที่ประจำเครื่อง 14 นาย หายไปขณะฝึกบินทิ้งระเบิดเหนือดินแดนสามเหลี่ยมเบอร์มิวดา ห่างจากฐานทัพฟอร์ท ล๊อดเดอร์เดล ประมาณ 225 ไมล์

    วันที่ 28 สิงหาคม ค.ศ. 1963 : เครื่องบินของกองทัพอากาศสหรัฐสี่เครื่องยนต์แบบ KC-135 จำนวนสองเครื่อง หายไปทางทิศตะวันตกห่างจาก สามเหลี่ยมเบอร์มิวดาราว 300 ไมล์

    เรือ u.s.s มารีนซัลเฟอร์ ควีน หายไปพร้อมกับชีวิตทุกคนบนเรือเมื่อวันที่ 2 กุมภาพันธ์ 1963

    รูปภาพของสิ่งที่เราคิดว่าเป็นมนุษย์จากนอกโลก

    ภาพถ่ายจากดาวเทียมจากนักสำรวจชาวอังกฤษ ที่เชื่อว่า แอตแลนติส อยู่ตรงทะเลแถบสเปน
     
    ภาพทะเล


    ปรากฏการณ์ "หมอกเรืองแสงสีขาว" 
     

    ....นี่ คือข้อมูลที่ได้รับจากวิทยุติดต่อกันระหว่างฝูงบินที่ 19... เสียงจ่าฝูงดังมาแล้วได้ยินชัดว่า "สงสัยว่าเราหลงทางทำไมแถวนี้มีแต่หมอกสีขาวเรืองแสงไปหมด...เฮ้ พื้นน้ำเป็นสีขาว ไปหมด..มองไม่เห็นท้องฟ้า ..มันขาวโพลนไปหมด..." นี่เราอยู่ที่ไหนกัน..เข็มทิศผมมันหมุนติ้วไปหมดแล้ว "แล้วทุกอย่างก็เงียบหายไป..ฝูงบินที่ 19 หายสาบสูญไปจากโลกของเรา

    อีกตัวอย่างหนึ่ง ได้แก่รายงานการหายตัวอย่างลึกลับของเครื่อง 727 หายวับจากจอเรดาร์ของสนามบินไมอามี่ ขณะเรื่อง 727ลำนั้นกำลังปักหัวลงสู่สนามบิน ....727 ของสายการบิน "National airline บินดำดิงลงมา ผ่านเข้าหมูเมฆขาวก้อนเล็กๆ จู่ ๆ ก็หายวับไปจากจอ เรดาร์ พนักงานหอบังคับการต่างวิ่งกันวุ่นกรดปุ่มสัญญาณเตรียมลงฉุกเฉิน บางคนกล้องส่องทางไกล เผ่นออกไปนอกบังคับการ เพื่อมองหาเครื่อง 727 เพราะว่าว่าตกหม่งโลกไปแล้ว แต่ไม่มีใครเห็นอะไร นอกจากก้อนเมฆก้อนนั้น ภาพปรากฏใหม่บนจอเรด้าร์ แล้ว 727 ก็บินลงสนามทางปกติ เหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น ..ทั้งบินและผู้โดยสานเครื่องบิน 727 ต่างงงไปตามๆ กันเมื่อเห็นว่ามีรถดับเพลิง รถพยาบาล รถผม้ภัย ของสนามบินต่างวิ่งตามกันมาห้อมล้อมกันเต็มไปหมด..ภายหลังจึงทราบว่าอะไรเกิดขึ้น ..เวลาของนักบินและของผู้โดยสาย เที่ยวบินนั้นได้ขาดหายไป 10 นาที ทั้งๆ ที่ไม่มีใคร รวมทั้งนักบิน 10 นาที ทั้งๆ ที่ไม่มีใคร รวมทั้งนักบินรู้เลยว่าเวลา 10 นาทีนั้นขาดหายไปไหน ..และหายไปได้อย่างไร.. การสอบสวนไม่ได้ให้ควายกระจ่างอะไรเพิ่มเติม นอกจากจะเพิ่มความงุนงงมากขึ้นเท่านั้น..เวลามันหายไป 10 นาที ตอนที่เครื่อง 727 บินเข้าไปในเมฆก้อนเล็กๆ "มันแปลกอยู่หน่อยที่เมฆก้อนนั้นมันมีความสว่างผิดปรกติธรรมดา คล้ายกับว่ามันมีแสงเรืองในตัวเอง..แต่ผมก็ไม่คิดว่ามันจะมีปัญหาอะไรเลย..ผมไม่เข้าใจว่าเวลามันหายไปตอนไหน.. เจ้าหน้าที่หอบังคับการเขาว่าผมบินหายเข้าไปในเมฆนานถึง 10 นาที แต่มันเป็นไปไม่ได้แน่ๆ ..เพราะเมฆมันก้อนเล็กนิดเดียว ผมบินทะลุเมฆลงมาในเวลาไม่ถึง 3 วินาทีก็ออกมาเป็นทางวิ่งลงแล้วนี่ครับ.."


    " คำตอบคืออะไร? "

    ความประหลาด ความลึกลับ ขอสิ่งที่เกิดขึ้นในย่านทะเลเบอร์มิวด้า มีผู้ที่พยายามจะค้นคว้าหาคำตอบกันมากมาย มันเป็นดินแดนอาถรรพณ์จริงๆ หรือ หรือมันเป็นเพียงเหตุบังเอิญหรือปรากฏการณ์ตามธรรมชาติ... คำตอบต่างๆ มีมากมายแต่ข้อไหนล่ะที่ถูกต้องหรือใกล้เคียงกับความจริงที่สุด ขอให้เรามาดูกันเป็นข้อๆ ดีกว่านะครับ..

    1)การหายสาบสูญสูญของเรือในบริเวณสามเหลี่ยมเบอร์มิวด้า อาจเกิดจากสาเหตุที่ว่าเรื่อเหล่านั้นแล่นไปชนเอาทุ่นระเบิดเข้าก็ได้ ทุ่นระเบิดที่หลงเหลือจากสมัยสงครามโลกครั้งที่สองยังคงมีหลงเหลืออยู่อย่างไม่ต้องสงสัย..แนวคิดข้อนี้ดูจะเป็นไปได้น้อยมากนะครับ เพราะมันไม่สามารถอธิบายเหตุการณ์ประหลาดอย่างอื่นๆ อีกหลายๆ กรณีได้เลย เช่นในกรณีที่เรือเดินทะเลบางลำลอยเท้งเต้งเข้าหาฝั่ง โดยที่ไม่มีผู้คนอาศัยอยู่บนเรือนั้นเลยแม้แต่คนเดียว ข้าวของและของมีค่าอื่นๆ ยังอยู่ครบบริบูรณ์บนเรือ กะลาสีเรือและกัปตันเรือหายตัวไปหมดโดยไม่ทราบสาเหตุอย่างนี้จะอธิบายได้อย่างไรละครับ..

    2)การหายสาบสูญของเรือ อาจเกิดจากพายุในทะเลที่ก่อตัวขึ้นอย่างฉับพลันทันที.. นี่ก็เป็นข้อเสนออีกแนวหนึ่งที่มีทางเป็นไปได้ แต่น้อยมาก เพราะโดยหลักการแล้ว แถบทะเลในย่านนี้ ถ้าจะมีพายุขนาดใหญ่ชนิดที่จะสามารถทำให้เรือเดินทะเลอับปางทันทีทันใดนั้น จะต้องเป็นพายุใหญ่ที่ต้องรู้ล่วงหน้าก่อนเสมอ ไม่มีวันที่พายุใหญ่ๆ ขนาดนั้นจะรอดสายตาของนักอุตุนิยมวิทยาไปได้ และอย่างน้อยเรือเดินทะเลขนาดใหญ่ๆ ก็มีเครื่องมือตรวจพายุอยู่ด้วย อย่างน้อยก็ต้องมีการส่งขาว รายงานเข้าสู่ฝั่ง หรือวิทยุขอความช่วยเหลือมาบ้างถ้าเจอเข้ากับพายุใหญ่ขนาดที่จะจมเรือเดินสมุทรได้

    3)"มันเป็นเรื่องความเชื่อ อันเกิดมาจากเหตุบังเอิญ"..นี่คือคำประกาศเป็นทางการของกองเรือยามฝังที่เจ็ด ของนาวีสหรัฐอเมริกา ซึ่งเป็นหน่ายงานของรัฐบาลที่ทำงานรับผิดชอบอยู่ในเขตน่านน้ำ บริเวณสามเหลี่ยมเบอร์มิวด้า... "ความอาถรรพณ์นั้นไม่มีจริง ความจริง เป็นเพียงเรื่องล่ำลือ เชื่อกันไปเอง การหายไปของเรือไม่ใช่ของแปลกอะไร ที่ไหนๆ ก็มีเหตุการณ์เช่นนี้เกิดขึ้นได้ทั้งนั้น เพียงแต่ว่าบริเวณสามเหลี่ยมเบอร์มิวด้า เป็นบริเวณที่มีการสัญจรทางเรือ และทางอากาศหนาแน่นมากกว่าบริเวณอื่นๆ เท่านั้นเปอร์เซ็นอุบัติเหตุต่างๆ จึงมีมากกว่าที่อื่นๆ และด้วยเหตุพ้องจองที่ว่า แถบเบอร์มิวด้า มีภาวะแวดล้อมที่ผิดแผกไปจากบริเวรเส้นทางเดินเรืออื่นๆ เท่านั้นเอง จึงทำให้เกิดความผิดพลาดและเกิดอุบัติเหตุทางเรือได้ง่าย เป็นเหตุให้เกิดเรืออับปาง และเครื่องบินตกได้ง่ายกว่าที่อื่น.." ทฤษฎีนี้ฟังดูเข้ทีที่สุด เพราะมันประกอบด้วยข้อมูลสถิติและหลักสามัญสำนึกธรรมดาๆ แต่มีปัญหาหนึ่งทฤษฎีนี้พยายามปิดบังไม่กล่าวถึง อันทำให้เป็นที่น่าสงสัยนั่นก็คือ การอับปางของเรือ และเครื่องบินทำไมจึงไม่พบร่องรอยหรือซากอับปางให้เห็นบ้างเลย..เรือและเครื่องบินเหล่านั้นอับปางจริงหรือ? มันเป็นไปได้อย่างไรกันที่คนหลายร้อยหลายพันคนจะจมหายไปกับเรือ ไม่มีสิ่งของ หรือเศษชิ้นส่วนใดๆ หลุดออกมาให้เห็นเลย แม้แต่นิดเดียว ..แล้วก็อย่างในกรณีเรือ ไซคล๊อปส์ หายไปอย่างลึกลับเมื่อวันที่ 4 มีนาคม ค.ศ.1918 ..แต่จู่ๆ มันก็ปรากฏตัวลงเท้งแต้งเข้าฝั่งมาเกยตื้น โดยมีแต่เรือเปล่าปราศจากผู้คน..ผู้โดยสานจำนวน 309 คนหายไปไหนกันหมด ข้าวของมีค่าทุกชิ้นทั้งอาหารและสินค้าบนเรือยังอยู่บริบูรณ์ จะว่าเรือถูกโจรสลัดปล้นก็ไม่ใช่แต่อะไรลุได้เกิดขึ้นกับผู้คน 309 ชีวิตเขาหายไปไหน?

    4)ทฤษฎีกาบ่ายเบนของสภาพเวลาอวกาศ ...ดร.แซนเดอร์สัน ไอแว (Dr" Sanderson Ivan) เป็นผู้เสนอแนวความคิดนี้ขึ้นเป็นทฤษฎีทางเวลาอวกาศ เขียนไว้ในหนังสือชื่อ "Invisible Residents" ทฤษฎีนี้กล่าวสรุปว่า บริเวณสามเหลี่ยมเบอร์มิวด้า อาจเป็นบริเวณที่มี "สาเหตุไม่ปกติ" ทางธรรมชาติเกิดขึ้นเนื่องมาจากเป็นบริเวณที่มีการเปลี่ยนแปลงของสนามแม่เหล็กโลก และสนามไฟฟ้าของโลกมากที่สุด ...เมื่อมีกระแสน้ำอุ่นจากตอนเส้นศูนย์สูตรไหลขึ้นไปสุ่างเหนือของมหาสมุทรแอรแลนติก ปะทะกับกระแสน้ำเย็นที่ไหลลงสู่ทางใต้จากขั้วโลกเหนือการปะทะกันของกระแสน้ำทั้งสองชนิดทำให้เกิดการแบ่งตัวกันของระดับน้ำเป็นชั้นๆ ชั้นบนจากผิวน้ำลงไปสู่ความลึกประมาณ 500 ถึง 1,000 ฟุต จะเป็นชั้นของกระแสน้ำอุ่น ลึกลงไปจากนี้ก็จะเป็นชั้นของกระแสน้ำเย็น ทั้งสองชั้นนี้มีทิศทางการไหลของน้ำสวนทางกัน ซึ่งอยู่ในระดับความลึก 500 ถึง 1,000 ฟุต จะเกิดการอันแน่นของกระแสน้ำ มีการขัดถูกัน และมีการถ่ายเทอุณหภูมิกันอย่างมกมาย เกิดการถ่ายถ่ายเทขัดสีกันของประจุไฟฟ้าสถิตขึ้นอย่างมากมาย เป็นจำนวนมหาศาลหลายพันล้านโวลต์เกิดการเหนี่ยวนำของสนามไฟฟ้าเป็นผลกระบตามมา ประกอบกับการผวันแปรของสนามแม่เหล็กโลกซึ่งเกิดขึ้นบ่อยครั้งในบริเวณนี้ การผันแปรของสนามแม่เหล็กโลก และสนามไฟฟ้าอาจมีการแปรผันสัมพันธ์กัน นำไปสู่ภาวะการณ์พิเศษที่เกิดขึ้นชั่วคราว กระทบกระเทือนกับสนามแรงโน้มถ่วงของโลกในบริเวณนั้น..และนี่คือผลกระทบทีทำให้เกิดการบ่ายเบนของสภาพเวลา-อวกาศเมื่อสาเหตุไม่ปกตินี้เกิดขึ้น ก็จะทำให้เรือหรือเครื่องบินที่บังเอิญอยู่ตรงบริเวณนั้นในขณะนั้น แล่นหรือบินออกจากจุดแห่งความแตกต่างของห้วงกาลเวลา หรืออีกนัยหนึ่งอาจกล่าได้ว่าบริเวณนั้น มีการเปลี่ยนแปลงของมิติที่ 4 เกิดขึ้น เรือหรือเครื่องบินก็ตาม อาจหลุดหรือผ่านเข้าไปสู่อีกมิติหนึ่ง หรืออีกกาลเวลาหนึ่งก็ได้

    และนี่คือสาเหตุสำคัญที่ทำให้เรือ ปรือเครื่องบินหายวับไปโดยปราศจาร่อง..นอกจากนี้ ทฤษฎีของ ดร.แซน เดอร์สัน ยังสามารถใช้อธิบายในกรณ๊ที่มีเครื่องบินหายไปจากจอเรดาร์ชัวระยะเวลาหนึ่ง แล้วก็กลับปรากฏขึ้นมาอีกได้นั้นหรือในกณีที่เครื่องบินหายไปชั่วระยะเลาหนึ่ง แล้วกลับมาโดยไม่ทราบว่าหายไปไหนมา ..ทั้งนี้เพราะเหตุที่ว่าเครื่องบินเหล่านั้น ได้บังเอิญบินหลุดเข้าไปในความแปรผันของสนามเวลา ทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงทางมิติขึ้นในทันทีทันใด จุดแปรผันของกาลเวลานาอาจเป็นเพียงบริเวณเล็กๆ ที่เดิดขึ้นเพียงชัวครู่ชั่วขณะหนึ่งเท่านั้นดังนั้นจึงมิได้ทำให้เครื่งอบินนั้นเคลื่อนย้ายออกไปจากมิติ หรือกาลเวลาปัจจุบันมากนักระยะเวลาที่เกิดขึ้นกับเครื่องบินอาจจะเป็นชั่วระยะสั้นๆ แค่ 1 ในพันของวินาที หรืออาจจะไม่ถึงพริบตา แต่จะทำให้เกิดความแตกต่างกันกับเวลาบนโลกนับได้เป็นนาที หรือชั่วโมงก็เป็นได้

    และก็ด้วยการแปรผันอย่างรุนแรงของสภาพมิติ ในบางครั้ง มันก็อาจทำให้เรือเดินทะเลขนาดใหญ่ หรือเครื่องินทั้งฝูงหลุดเข้าไปสู่อีกห้วงหนึ่งของกาบเวลาที่ไม่ใช้ปัจจุบัน และผุ้เคราะห์ร้ายเหล่านั้นก็จะติดอยู่ในห้วยแห่งกาลเวลานั้นโดยไม่มีทางได้กลับออกมาสู่มิติเดิมของเขาได้อีกเลย..

    เป็นไงครับทฤษฎีของ ดร.แซนเดอร์สัน ฟังเข้าท่าพอเป็นไปได้นะครับ..แต่ใครละจะกล้าพิสูจน์ว่าทฤษฎีนี้เป็นจริงความเป็นไปได้ของการบ่ายเบนของมิตินั้นก็เป็นทฤษฎีที่มีตัวเลขยืนยันคำนวณกันแต่บนกระดาษ แต่ในความเป็นจริงแล้วทฤษฎีนี้ก็ยังไม่มีใครกล้าทดลองเพื่อยืนยันให้เป็นจริงกันสักที จึงเป็นอันว่าเราต้องคอยดูกันต่อไปดีกว่า

    5)บริเซณสามเหลี่ยมเอบร์มิวด้า อาจเป็นที่ตั้งฐานทัพลับใต้สมุทรของชนชาติลึกลับ หรือของพวกมนุษย์ต่างดาวก็ได้การหายไปของเรือและเครื่องบิน อาจเกิดจากการจงใจ "ขโมย" เรือหรือเครื่องบินรวมทั้งการลักพาคนไปเพื่อการศึกษา หรือเพื่อการทดลอง หรือเพื่อการเก็บไปเป็นตัวอย่างดูเล่นก็เป็นได้..แนวความนึกคิดทำนองนี้ อาจตมีทางเป็นไปได้อย่างเหมือนกันผู้ที่ค้นคว้าศึกษาตามแนวทางนี้โดยเฉพาะจะพบว่า ย่านท้องทะเลแอตแลนติก แถบหมู่เกาะเบอร์มิวด้านี้มีรายงานการปรากฏตัวของ ยูเอฟโอ (UFO) หนาแน่นพอๆ กับที่เห็นบนบกตามจุดสำคัญๆ เหมือนกัน..แต่ปัญหาสำคัญคือ ทฤษฎียังไม่มีหลักฐานอย่งอื่นที่พอจะอ้างได้หรือนำมาชี้ทางสนับสนุไดว่า ยูเอฟโอ มีอะไรเกี่ยวข้อกับการศูนย์หายไปของเรือและเครื่องบินการปรากฏตัวอย่างหนาแน่นของยูเอฟโอในย่านนี้ก็ไม่ได้หมายความว่า จะมีฐานทัพเร้นลับซ่อนอยู่ใต้มหาสมุทร หรือบนเกาะร้างลี้ลับแห่งใดแห่งหนึ่ง และก็ไม่มีเหตุผลอันใดที่มนุษย์ต่างดาวจะต้องมาตั้งป้อมคอยขโมยเรือ และเครื่องบิน ของชาวโลกไปมากมายเพื่อประโยชน์อันใดกัน .. ในกรณีนี้แนวโน้มที่เป็นไปได้มากที่สุดคือ บริเวณสามเหลี่ยมเบอร์มิวด้านั้นเป้ฯบริเวณที่มีสภาวะผิดปกติทางสภาพเวลา - อวกาศตามทฤษฎีของ ดร.แซนเดอต์สันมากกว่าและยูเอฟโอ ที่มาปรากฏตัวในบริเวณนี้มากนั้นก็เนื่องมาจากว่า ยูเอฟโอใช้บริเวณนี้มากนั้นก็เนื่องมาจากว่า ยูเอฟโอใช้บริเวณนี้เป็นเส้นทางผ่านเข้าออกระหว่างมิติภพ..หรือพูดง่ายๆ ก็คือ บริเวณสามเหลี่ยมเบอร์มิด้า อาจเป็นบริเวณที่มีการเปิดปิดประตูแห่งกาลเวลา หรือประตูแห่งมิติ โดยธรรมชาติก็ได้.. มันหมายถึงช่องทางที่จะใช้เดินทางผ่านเข้าออกไปสู่ย่าน "ไฮเปอร์สเปซ" นั่นเอง

    เครดิต  คุณ iCkA บอร์ด ประมูล 

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×