ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    ~+...เทพนิยาย...ประวัติศาสตร์...+~

    ลำดับตอนที่ #176 : ฮิตเลอร์ ผู้โหดเหี่ยม

    • เนื้อหาตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 395
      0
      7 ม.ค. 51

    ฮิตเลอร์
    อดอล์ฟ ฮิตเลอร์ เกิดเมื่อวันที่ 20 เมษายน ค.ศ.1889 เวลา 06.30 น. ที่ Braunau-am-Inn ในประเทศออสเตรีย บิดาของเขาชื่อ Alois Shiklgruber มารดาชื่อ Klara เป็นภรรยาคนที่ 3 ในวัยเด็ก เขาเป็นเด็กที่ขาดความรัก ความอบอุ่นจากบิดาและมารดา แต่ฮิตเลอร์ก็ไม่ชอบให้ใครมาวิจารณ์พ่อของเขาในทางที่ไม่ดี แม่ของเขาแม้จะไม่ค่อยมีเวลาให้เขา แต่ก็จะคอยตามใจเขาทุกครั้งที่มีโอกาส ให้เขาในทุกๆสิ่งที่เขาต้องการ ว่ากันว่า การเอาใจอย่างเกินเหตุนี้เอง ที่เป็นสาเหตุของการก้าวไปสู่ความเป็นจอมเผด็จการแห่งยุคในที่สุด



    ฮิตเลอร์ในวัยเด็ก เป็นเด็กที่มีความเฉลียวฉลาด แม้ว่าจะขี้เกียจอย่างมาก ในงานที่ต้องใช้เวลานานๆ เขาเป็นเด็กช่างฝัน มีเพื่อนไม่มากนัก พรรคนาซีของเขามักจะทำการประชาสัมพันธ์อยู่เสมอว่า ฮิตเลอร์ในวัยเด็ก มีความเป็นผู้นำตามธรรมชาติ โดยเขามักจะนำเพื่อนๆทุกคนในสนามเด็กเล่นอยู่เสมอ อีกทั้งยังประชาสัมพันธ์อย่างจริงจังว่า ฮิตเลอร์สนใจในการค้นคว้าประวัติศาสตร์ ซึ่งที่จริงแล้ว มีคนแย้งอยู่เสมอว่า เขาไม่ได้ศึกษาประวัติศาสตร์การบุกรัสเซียของนโปเลียนเลยแม้แต่ผิวเผิน ทำให้เขาประสบกับความพ่ายแพ้ในรัสเซียเช่นเดียวกับนโปเลียน หนึ่งในวีรบุรุษที่เขาโปรดปราน
    บิดาของฮิตเลอร์ตายในปี ค.ศ. 1903 ครอบครัวของเขาย้ายไปเมือง Linz ที่นี่ฮิตเลอร์ตัดสินใจเรียนวาดภาพ อย่างไรก็ตาม พรสวรรค์ในการวาดภาพของเขาได้ถูกทำลายลงด้วยการขาดความเพียรพยายามของเขา ปี ค.ศ. 1907 เขาไม่ประสบความสำเร็จในการสอบเข้าเรียนศิลปะที่สถาบัน Vienna ในช่วงที่เขากำพร้าพ่อ เขาก็ดูมีความสุขดีกับการอยู่กับแม่ของเขา แม้ว่าเขาจะเขียนในหนังสือเรื่อง การต่อสู้ของข้าพเจ้า (Mein Kampf) ว่า เขาต้องออกไปทำงานไกลๆ เพื่อหาเลี้ยงตัวเองก็ตาม (forced to go far from home to earn his bread) ในโรงเรียน ฮิตเลอร์ทำคะแนนตกหลายวิชา และถูกปฏิเสธที่จะให้เลื่อนชั้นครั้งแล้วครั้งเล่า จนกระทั่งเขาตั้งใจที่จะไปเป็นศิลปินวาดภาพ แต่ก็ไม่ประสบความสำเร็จอีก ต่อมาเขาเลือกที่จะเรียนเปีนโน แล้วก็ถอดใจ เลิกเรียนอีก เขาย้ายมาเวียนนาเมืองหลวงของออสเตรีย (ฮิตเลอร์เป็นคนออสเตรีย ไม่ใช่คนเยอรมัน) ที่นี่เองที่เขาได้พบกับลัทธิชาตินิยม (Nationalism) และลัทธิการแบ่งแยกเชื้อชาติ (Racism) อันนำมาซึ่งสงครามโลกครั้งที่สอง สงครามที่ยิ่งใหญ่ที่สุดเท่าที่มวลมนุษยชาติได้รู้จัก

    ฮิตเลอร์อาสาสมัครเข้าร่วมรบกับกองทัพเยอรมันภายใต้การนำของพระเจ้าวิลเฮล์ม ไกเซอร์ (Kaiser) โดยอยู่ในกรมบาวาเรียนที่ 16 (the 16th Bavarian Regiment) ในสงครามโลกครั้งที่ 1 ทั้งๆที่เขามีปัญหาด้านสุขภาพ ในกองทัพนี่เอง ที่ทำให้ชีวิตที่เพ้อฝัน และขาดการเอาจริงเอาจังของเขาเปลี่ยนไป เขากลายเป็นคนที่มีระเบียบวินัย สนุกสนาน ร่าเริง ปฏิบัติหน้าที่ด้วยความกล้าหาญ พร้อมที่จะรับภารกิจที่เต็มไปด้วยอันตราย จนได้รับเหรียญกล้าหาญกางเขนเหล็กชั้นที่ 2 (the Iron Cross Second Class) ซึ่งภายหลังถูกยกระดับให้เป็นเหรียญชั้นที่ 1 เป็นที่น่าสังเกตุคือ เขาได้รับการเสนอชื่อให้เข้ารับเหรียญกล้าหาญนี้ โดยฝ่ายเสนาธิการประจำกรมของเขา ซึ่งเป็นคนยิว


    ภายหลังสงครามโลกครั้งที่หนึ่งได้สิ้นสุดลง พร้อมๆกับความพ่ายแพ้ของเยอรมัน ฮิตเลอร์เองก็ต้องเข้ารับการรักษาในโรงพยาบาล เนื่องจากได้รับบาดเจ็บจากการถูกโจมตีด้วยแก๊สพิษจากฝ่ายอังกฤษ เยอรมันถูกจำกัดในทุกๆด้าน ด้วยสนธิสัญญาแวซาย (The Treaty of Versailles) ฮิตเลอร์มีความเชื่อว่า ความพ่ายแพ้ของเขา และกองทัพเยอรมัน เกิดขึ้นมาจากศัตรูที่อยู่ภายใน (Enemy within) มากกว่า ความพ่ายแพ้ต่อกองทัพฝ่ายสัมพันธมิตร เขาเชื่อว่าศัตรูที่อยู่ภายในนั้น หักหลังประเทศเยอรมัน พวกนั้นก็คือ พวกยิว พวกคอมมิวนิสต์ หรือมาร์กซิส และพวกนักการเมือง สนธิสัญญาแวซายจำกัดทุกอย่าง กองทัพเยอรมันถูกลดลงเหลือเพียง 100,000 คน เศรษฐกิจของประเทศเยอรมันถูกทิ้งให้อยู่ในสภาพที่สิ้นหวัง ในขณะเดียวกัน ลัทธิคอมมิวนิสต์ ก็เริ่มประสบความสำเร็จมากขึ้นเรื่อยๆ เริ่มจากการล้มราชวงศ์โรมานอฟ ของพระเจ้าซาร์ในประเทศรัสเซีย และแผ่ขยายเข้าสุ๋เยอรมัน มีการจัดตั้งพรรคคอมมิวนิสต์ขึ้นในเยอรมัน ฮิตเลอร์ซึ่งสังกัดอยู่ในลัทธิชาตินิยมขวาจัด ได้นำกำลังเข้าโจมตีสหภาพแรงงานซึ่งเป็นหัวหอกของพวกคอมมิวนิสต์ ตลอดจนกลุ่มธุรกิจของฝ่ายคอมมิวนิสต์ ผู้นำกลุ่มของฮิตเลอร์ในขณะนั้นคือ Anton Drexler ประกาศว่า พรรคชาตินิยมของเขาจะไม่มีชนชั้นเหมือนพวกคอมมิวนิสต์ เป็นองค์กรสังคมนิยมชาตินิยม (คอมมิวนิส๖์เองก็เป็นสังคมนิยมเช่นกัน แต่เป็นสังคมนิยมแบบคอมมิวนิสต์ ซึ่งอยู่ในซีกซ้ายจัด) มีการก่อตั้งลัทธิสังคมนิยมชาตินิยมขึ้น เรียกว่า National Socialist German Workers' Party หรือเขียนเป็นภาษาเยอรมันว่า National Sozialistische Deutsche Arbeiter Partei ภายหลังเรียกสั้น๐ว่า National Sozialist หรือ NAZI นั่นเอง


    11 พ.ย. 1923 ฮิตเลอร์และพลพรรคนาซีของเขาพยายามทำการปฏิวัติ แต่ไม่สำเร็จ เขาถูกจับพร้อมกับพรรคพวกของเขา เหตุการณ์ดังกล่าวเกิดขึ้นที่ Munich Putch เขาถูกจำคุก ด้วยโทษ 5 ปี แต่จริงๆ เขาถูกจำคุกเพียงแค่ 9 เดือนเท่านั้น หนังสือพิมพ์ต่างตีพิมพ์คำให้การ คำสัมภาษณ์ของเขา ที่ต้องการฟื้นฟูประเทศเยอรมัน ระหว่างที่ติดคุก เขาเขียนหนังสือชื่อ การต่อสู้ของข้าพเจ้า (Mein Kampf) ความพ่ายแพ้ของเขาในครั้งนี้ กลับทำให้เขาได้รับความนิยมมากขึ้น
    ในเดือน พ.ค. 1927 ถึง 1928 ฮิตเลอร์ถูกห้ามกล่าวคำปราศรัยในที่สาธารณะ และในปี 1928 นี่เองที่ฮิตเลอร์เช่าวิลล่าที่ Obersalzberg ที่นี่เขาได้พบกับ Angela Raubal ซึ่งเข้ามาในฐานะแม่บ้าน ฮิตเลอร์ตกหลุมรักอย่างบ้าคลั่งกับเธอ บางทีอาจจะเป็นครั้งเดียวที่เขาตกหลุมรักในชีวิตของเขาทั้งชีวิต

    พรรคนาซีเริ่มได้รับความนิยมอีกครั้งจากการนำทางของ Gregor Strasser ผู้ร่วมงานของฮิตเลอร์ ในขณะเดียว เออร์เนส โรห์ม (Ernest Rohm) คนสนิทของฮิตเลอร์ ก็ได้ก่อตั้งกองกำลัง SA (Strumabtielung) -สตุมอับไทลุง- เพื่อเป็นกองกำลังส่วนตัวของฮิตเลอร์
    แต่โรห์ม เริ่มทำตัวเป็นเอกเทศ และมีทีท่าว่าจะไม่สามารถควบคุมได้ กองกำลัง SA เองก็ดูเหมือนจะเชื่อฟังโรห์ม มากกว่า ฮิตเลอร์ ฮิตเลอร์จึงได้ตั้งไฮน์ริช ฮิมเลอร์ นักธุรกิจที่ร่างกายอ่อนแอ และล้มเหลว เป็นนักเพ้อฝัน จัดตั้งกองกำลังเอส เอส SS ขึ้น

    ในที่สุด ฮิตเลอร์ก็ตัดสินใจทำลายองค์กร SA ในวันที่ 6 มิ.ย. 1934 ณ โณงแรม Tegernsee 50 ไมล์จากมิวนิค โรห์ม พร้อมกับเด็กหนุ่มคู่ขาของเขา (โรห์มเป็นเกย์ และใช้ SA ในการหาเด็กหนุ่มมาเป็นคู่ขา)ถูกจับ ทหารเอส เอส ได้รับคำสั่งจากฮิตเลอร์ ให้ยื่นโอกาสแห่งเกียรติยศด้วยการฆ่าตัวตายกับ โรห์ม ทหารเอส เอส วางปืนให้เขา แล้วออกมา เวลาผ่านไป 10 นาที โดยที่ไม่มีเสียงปืน ทหารเอส เอส จึงเดินเข้า แล้วจ่อยิงโรห์มจนเสียชีวิต พร้อมกันนั้น หัวหน้าหน่วย SA ก็ถูกจับตัว บ้างถูกขัง บ้างถูกสังหารโดยทหารเอส เอส ซึ่งได้ก้าวขึ้นมาแทนกองกำลัง SA
    กองกำลังเอส เอส ถูกฝึกขึ้นมาเพื่อให้จงรักภักดีต่อฮิตเลอร์อย่างปราศจากคำถามใดๆทั้งสิ้น และเขาก็ภูมิใจในหน่วยนี้เป็นอย่างมาก
    เดือนเม.ย. 1934 สุขภาพของประธานาธิบดีฮินเดนเบอร์ก (Hindenburg) ประธานาธิบดีเยอรมันในขณะนั้นไม่สู้ดีนัก เขาเสียชีวิตในวันที่ 2 สิงหาคม 1934 สามชั่วโมงหลังจากนั้น ฮิตเลอร์ได้ประกาศรวมตำแหน่งประธานาธิบดีและและนายกรัฐมนตรี (บางทีเรียกว่าอัครมหาเสนาบดี - Chancellor) เข้าด้วยกันและตั้งตัวเองเป็นประมุขของรัฐและผู้บัญชาการทหารสูงสุด หรือที่เรียกว่า ผู้นำ (Fuehrer) เยอรมันก้าวเข้าสู่ความเป็นเผด็จการสมบูรณ์แบบนับแต่นั้นเป็นต้นมา

    ฮิตเลอร์มีรูปแบบการแต่งเครื่องแบบที่แตกต่างจากจอมเผด็จการอื่นๆ นั่นคือ เขาไม่นิยมติดเหรียญตรามากมาย เหรียญตราที่เขาติดมีอยู่อย่างเดียว คือ เหรียญกล้าหาญกางเขนเหล็ก (Iron Cross) ซึ่งเขาได้รับจากการรบในสงครามโลกครั้งที่ 1 เป็นเหรียญตราที่ได้มาด้วยความกล้าหาญ

    ในขณะที่ฮิตเลอร์ขึ้นดำรงตำแหน่งนั้น เยอรมันกำลังอยู่ในสภาวะล้มละลาย เศรษฐกิจตกต่ำ คนว่างงานมากมายมหาศาล เมื่อเขาได้เป็นผู้นำ ระหว่างปี 1934 - 1938 เขาทำการสร้างและฟื้นฟูอุตสาหกรรมภายในประเทศอย่างขนานใหญ่ มีการสร้างอาวุธ อย่างชนิดที่โลกไม่เคยเห็นมาก่อน การพัฒนาเป็นไปอย่างก้าวกระโดด เขาฉีกสนธิสัญญาแวซายทิ้งอย่างไม่เกรงกลัว ชาวเยอรมันต่างพากันยกย่องฮิตเลอร์ ในฐานะผู้ที่พลิกโชคชะตาของชาติ จากความล้มละลายกลับสู่ความเป็นมหาอำนาจอีกครั้ง
    ฮิตเลอร์ประกาศว่า อาณาจักรไรซ์ที่สามของเขาจะมีอายุยืนยาวนับพันปี

    ในขณะเดียวกันเขาก็เริ่มสร้างความมั่นคงภายนอกเพื่อประวิงเวลาการรุกรานจากภายนอกออก
    ไป ทำให้เยอรมันไม่ต้องพะวักพะวนกับสงครามที่อาจจะมีขึ้น และสามารถทุ่มเทให้กับการพัฒนาประเทศได้อย่างเต็มที่ เช่น เซ็นสนธิสัญญาไม่รุกรานกันและกันระหว่างเยอรมันกับโปแลนด์ เพื่อทำให้มั่นใจว่า โปแลนด์ซึ่งเป็นพันธมิตรกับฝรั่งเศสจะไม่รุกรานเยอรมัน หากเยอรมันรบกับฝรั่งเสส หรือในกรณีที่เยอรมันบุกฝรั่งเศส

    ในเดือนมีนาคม 1935 ฮิตเลอร์เริ่มสร้างกองทัพอย่างขนานใหญ่ กองทัพอากาศ หรือ Luftwaffe ได้ถูกสร้างขึ้นอย่างเป็นทางการ จริงๆแล้วเยอรมันมีการฝึกนักบินมาล่วงหน้านี้อย่างลับๆมากว่าสองปีแล้ว ในนามนักบินพลเรือน

    ขณะเดียวกันชาวเยอรมันที่อยู่ในออสเตรีย โปแลนด์ และเชคโกสโลวาเกียต่างก็พากันสนับสนุนรัฐบาลให้เข้าร่วมกับเยอรมัน

    วันที่ 27 ก.พ. 1936 ฮิตเลอร์เซ็นสัญญาไม่รุกรานกันระหว่างเยอรมัน กับรัสเซีย เพื่อสร้างความมั่นใจว่า สงครามทางด้านรัสเซียจะไม่เกิดขึ้น ในขณะที่เยอรมันยังไม่พร้อม

    ขณะเดียวกัน กองทัพเยอรมันก็กำลังเตรียมการครั้งใหญ่สำหรับสงคราม กรมทหารใหม่ถูกจัดตั้งขึ้น ทหารผ่านศึกจากสงครามโลกครั้งที่ 1 ถูกเรียกเข้ามาเป็นครูฝึกให้กับทหารใหม่
    วันที่ 7 มี.ค. 1936 ฮิตเลอร์เคลื่อนกำลังเข้ายึดครอง Rhineland โดยอังกฤาและฝรั่งเศสไม่มีการต่อต้าน และเป็นการพิสูจน์ว่า สนธิสัญญาแวซายที่จำกัดสิทธิทุกอย่างของเยอรมัน ได้ถูกฉีกทิ้งอย่างสิ้นเชิงโดยเยอรมัน และสันนิบาตชาติ (League of Nations) หมดสิ้นอำนาจลงอย่างสิ้นเชิง


    ขณะเดียวกัน กองทัพเยอรมันได้เพิ่มจำนวนถึงกว่าหนึ่งล้านคน ฮิตเลอร์เริ่มมั่นใจมากขึ้นว่า ไม่ว่าอังกฤษ หรือฝรั่งเศส หรือใครก็ตาม ไม่สามารถหยุดยั้งอาณาจักรไรซ์ที่สามได้อีกแล้ว
    เซอร์วินสตัน เชอร์ชิล ซึ่งขณะนั้นยังไม่ได้เป็นนายกรัฐมนตรีของอังกฤษ ได้ประกาศเตือนโลกว่า สงครามกำลังใกล้เข้ามา อันตรายรออยู่ข้างหน้า แต่ผู้คนที่หวาดกลัวสงคราม ต่างก็พยายามทำเป็นไม่ได้ยินเสียงเตือนนี้ โดยเชื่อว่า การประนีประนอมกับเยอรมัน จะทำให้โลกพ้นจากสงครามได้
    ต่อมาเกิดสงครามกลางเมืองในสเปน ฮิตเลอร์ไม่รอช้าที่จะส่งรถถัง เครื่องบิน และช่างเทคนิค เข้าไปช่วยในนาม คอนดอร์ (Condor Legion)

    ฮิตเลอร์ส่งกองทัพ Condor Legion เข้าไปสนับสนุนสงครามกลางเมืองในสเปน ฝ่ายของนายพลฟรังโก จุดประสงค์ก็เพื่อสร้างประสบการณ์ให้กับกำลังพลของเขา ในขณะเดียวกันอิตาลี ภายใต้การนำของจอมเผด็จการมุสโสลินี ก็ส่งทหารเข้าร่วมกับนายพลฟรังโก กว่า หกหมื่นคน
    กองทัพอากาศเยอรมัน (Luftwaffe) ได้ทำการทดลองการใช้เครื่องบินแบบสตูก้า (Stuka) ในการดำทิ้งระเบิด เพื่อพัฒนาเทคนิคต่างๆ เมื่อนำมาใช้ในการเตรียมการรุกแบบสายฟ้าแลบที่เยอรมันได้เตรียมการไว้

    ภายหลังสงครามกลางเมืองในสเปน กล่าวกันว่า กองทัพอากาศเยอรมันมีนักบินที่มีประสบการณ์มากกว่าชาติใดๆในโลกทีเดียว

    การร่วมกันในสงครามกลางเมืองในสเปน ยังทำให้อิตาลีเข้ามาร่วมเว็นสัญญาเป็นฝ่ายอักษะกับเยอรมันในวันที่ 21 ต.ค. 1936 ทั้งๆที่ในสงครามโลกครั้งที่ 1 อิตาลีอยู่ฝ่ายตรงข้ามกับเยอรมัน แผนการดึงอิตาลีออกจากฝ่ายสัมพันธมิตรของฮิตเลอร์ประสบความสำเร็จเกินคาด

    ในเดือน พ.ย. ปีเดียวกัน เยอรมันก็เซ็นสัญญา Anti-Comintern กับญี่ปุ่น เพื่อเป็นการรับประกันว่า ญี่ปุ่นจะไม่ทำสัญญาใดๆกับรัสเซีย โดยปราศจากการยินยอมของคู่สัญญา โลกได้เกิดฝ่ายอักษะขึ้นอย่างสมบูรณ์แล้ว นั่นคือ เยอรมัน อิตาลี และญี่ปุ่น

    วันที่ 30 ม.ค. 1937 ฮิตเลอร์ได้กล่าวสุนทรพจน์ต่อรัฐสภาไรซ์สตาร์ค (Reichstag) ว่า เป้าหมายของเขาไม่ได้อยู่ที่สงคราม หากแต่อยู่ที่การสร้างชาติเยอรมัน การยกระดับความอยู่ดีกินดีของชาวเยอรมัน การสร้างความมั่นใจให้กับชาวเยอรมันในชีวิตและความเป็นอยู่ รวมไปถึงการสร้างความเป็นมหาอำนาจทางทหารทั้งทางบก เรือและอากาศของเยอรมัน

    ในช่วงครึ่งปีแรกของปี 1937 ฮิตเลอร์อุทิศเวลาให้กับการสร้างความสัมพันธ์กับอิตาลี มุสโสลินีตกลงที่จะเดินทางมาเยือนเยอรมันเป็นครั้งแรก

    ในปี 1938 นายกรัฐมนตรีของออสเตรียได้รับเชิญให้ไปเยือนเยอรมัน ฮิตเลอร์เรียกร้องให้มีการรวมประเทศ(anexation) Schuschnigg นายกรัฐมนตรีของออสเตรีย ไม่กล้าให้คำตอบ ฮิตเลอร์สั่งการให้กองทัพอากาศเตรียมการโจมตี

    รัฐสภาออสเตรีย ทำการขอมติประชาชนชาวออสเตรียว่าจะผนวกดินแดนกับเยอรมันหรือไม่ (ฮิตเลอร์เกิดในออสเตรีย และในออสเตรียก็มีชนชาวเยอรมันเป็นจำนวนมาก) แม้จะมีเสียงคัดค้าน วันที่ 11 มีนาคม 1938 ฮิตเลอร์เรียกร้องให้มีการรวมประเทศ วันต่อมา กองทัพเยอรมันก็ยาตราเข้าสู่ออสเตรีย ประกาศผนวกดินแดนภายใต้ชื่อ Anschluss แท้ที่จริงแล้ว ผลการออกเสียง ชาวออสเตรียลงคะแนน 99 เปอร์เซนต์ให้ผนวกเป็นส่วนหนึ่งของเยอรมัน นับการรวมดินแดนที่ไม่มีการเสียเลือดเนื้ออีกครั้งหนึ่งของฮิตเลอร์
    เมื่อทหารเยอรมันกรีธาทัพเข้าไปในออสเตรีย ชาวยิวจำนวนมากถูกจับ ค่ายกักกันที่ Mauthausen ได้ถูกจัดตั้งขึ้น และสังหารชาวยิวไปถึง 35,318 คน จนสิ้นสุดสงคราม
    ฮิตเลอร์เริ่มมองไปที่เชคโกลโลวาเกียเป็นเป้าหมายต่อไป ในขณะเดียวกัน ชาวเยอรมันต่างก็พากันชื่นชมความสำเร็จของฮิตเลอร์และพรรคนาซีของเขา โดยเฉพาะการขยายดินแดนโดยไม่มีการเสียเลือดเนื้อ อะไรจะน่าภาคภูมิใจไปกว่า การขยายดินแดนโดยไม่มีการสู้รบ และการสูญเสีย


    ซูเดเตน (Sudeten) คือแคว้นหนึ่งในเชคโกสโลวาเกีย มีประชากร กว่าสามล้านครึ่งเป็นเยอรมัน จากประชากรทั้งหมด 10 ล้านคน ผู้คนพูดภาษาเยอรมัน มีวัฒนธรรมเยอรมัน แต่ไม่เคยเป็นส่วนหนึ่งของเยอรมันเลย
    สาเหตุที่ฮิตเลอร์เกลียดยิว
    คำตอบที่1 เปงชนชั้นที่ไม่มีเชื้อสายอารยัน ท่านได้กล่าวว่าชนชั้นเชื้อสายอารยันนั้นประเสริญที่สุด
    คำตอบที่2 ท่านเกลียดยิวมาก เพราะยิวเป็นผู้มายึดครองเยอรมันในอดีต และขับไล่ชนชั้นอารยันให้ออกจากประเทศเยอรมัน เพราะดินแดนนี้เป็นดินแดนศักดิ์สิทธิ์ของชาวยิวตามความเชื่อ
    คำตอบที่3 ยิวเป็นพาหะนำโรคร้ายเช่น ซิฟิลิส หนองใน เมื่อก่อนนั้นฮิตเลอร์ได้ติดโรคซิฟิลิสจากโสเภณีชาวยิวคนหนึ่ง
    คำตอบที่4 เมิ่อยิวมายึดครองเยอรมันแล้ว มาแย่งที่ทำมาหากินของชาวเยอรมัน
    มาแย่งอาหารทางชาวเยอรมัน ทำให้บางครั้งท่าน ฮิตเลอร์ผู้ที่บุคคลทั้งโลกประณามว่าเป็นปีศาจร้ายต้องมานอนอยู่ตามกองขยะ ตามสถานีรถไฟ
    คำตอบที่5 จากการที่ยิวมาแย่งอาหาร แล้วยิวยังทำอาหารไม่สะอาดทำให้ชาวเยอรมันป่วยเป็นโรคต่างๆ การทำอาหารโดยการใช้เท้าเหยียบ แบบเหยียบขี้โคลน
    คุณ จะกินกันได้ไหม

    นี่คือเหตุผลที่ฮิตเลอร์ ท่านผู้นำพรรคนาซีเยอรมัน เกลียดชาวยิว!!!!!!!!!!!

    ไป ๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆไป๊ ยูเดนๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆ


    รายชื่อสถิติที่สังหารชาวยิวไป คิดเป็น%ได้ดังนี้
    Initial Jewish
    โปแลนด์ 3,300,000 91%
    USSR 3,020,000 36%
    ฮังการี 800,000 74%
    เยอรมัน 566,000 36%
    ฝรั่งเศส 350,000 22%
    โรมาเนีย 342,000 84%
    ออสเตรีย185,000 35%
    ลัวเธเนีย 168,000 85%
    เนเทอร์แลนด์ 140,000 71%
    MOROVIA118,310 60%
    ลัสเวีย 95,000 84%
    สโลวเกีย 88,950 80%
    ยูโกสลาเวีย 78,000 81%
    GREECE 77,380 87%
    เบลเยี่ยม 65,700 45%
    อิตาลี 44,500 17%
    บัลกาเรีย 50,000 0%
    เดนมาร์ก 7,800 .8%
    ESTONIA 4,500 44%
    ลักเซมเบิอร์3,500 55%
    ฟินแลนด์ 2,000 .03%
    นอร์เวย์ 1,700 45%
    ยอดทั้งหมด 9,508,340 คน

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×