ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    ~+...เทพนิยาย...ประวัติศาสตร์...+~

    ลำดับตอนที่ #83 : คำสาปจมเรือไททานิค

    • เนื้อหาตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 318
      0
      2 ต.ค. 50

    คำสาบจมเรือไททานิค


    ผมเชื่อเหลือเกินว่า ถ้าจะเอ่ยชื่อ ไททานิค 
    ในเวลานี้คงไม่มีใครไม่รู้จักเรือมหายักษ์ลำนี้แน่ เพราะความดังของภาพยนต์
    ที่ผูกเรื่องเอาความรักแสนซาบซึ้งระหว่างพระเอกและนางเอกเข้าไปพัวพันกับเหตุการณ์เรือล่ม 
    ทำให้ตำนานของเรือที่
    อับปางมานานแสนนาน กลับพลิกฟื้นเป็นที่รู้จักขึ้นมาอีกหน
    แต่ว่าท่านผู้อ่านทราบไหมครับ 
    เงื่อนงำของความหายนะครั้งนี้มีคำเล่าลือกันเหลือเกินว่า 
    มาจากการที่เรือได้ลักลอบบรรทุก
    สิ่งสำคัญสิ่งหนึ่งมาด้วย สิ่งนี้อาจเป็นสาเหตุหนึ่งที่ทำให้เรือไททานิค 
    ซึ่งเชื่อกันว่าเป็น "เรือที่ไม่มีวันจม" กลับล่มซะในเที่ยว
    แรกอย่างไม่น่าเป็นไปได้ สิ่งนั้นคือ...มัมมี่ครับ 
    ...มัมมี่ของเจ้าหญิงไอยคุปต์โบราณ"อาเมน-รา"ที่เต็มไปด้วยอาถรรพณ์
    ท่านผู้อ่านที่ไม่ค่อยเชื่อเรื่องลึกลับศาสตร์ ลองฟังเรื่องนี้ดูก่อนนะครับ 
    บางทีท่านอาจจะเปลี่ยนใจมั่งก็ได้...
    เรื่องมันเกิดขึ้นในปี ค.ศ.1920 ครับ
    เมื่อนักโบราณคดีชาวอเมริกันผู้หญิงเดินทางไปพบกับนักอียิปต์วิทยาชาวอังกฤษชื่อดักลาส 
    เมอร์เรย์ ที่บ้านพักในกรุงไคโร
    ประเทศอียิปต์ จุดประสงค์ของเขามีเพียง ต้องการติดต่อขายสินค้าชิ้นหนึ่งให้ 
    เมอร์เรย์ และสินค้าที่ว่านี้คือหีบพระศพของ
    เจ้าหญิงไอยคุปต์โบราณองค์หนึ่งซึ่งก็คือ เจ้าหญิง "อาเมน-รา"
    เมอร์เรย์ต้อนรับ 
    นักโบราณคดีชาวอเมริกันคนนี้ด้วยความไม่ไว้เนื้อเชื่อใจเท่าไหร่ 
    ก็สารรูปของเขาซิครับ ดูซูบซีดเหมือนขี้ยา
    ทั้งแต่งเนื้อแต่งตัวก็สกปรก เขาก็เลยไม่ค่อยศรัทธาใน "สินค้า" 
    ที่ได้รับการเสนอขาย แต่ก็เอ่ยปากขอดู "สินค้า" ก่อนจะตัด
    สินใจ กะว่าถ้าไอ้เจ้าหมอที่อ้างว่าเป็นนักโบราณคดีคนนี้เป็นพวกสิบแปดมงกุฎ 
    เขาจะได้ไม่หลงกล เสียเงินฟรี
    แต่นักโบราณคดีที่เมอร์เรย์หมายหัว 
    กลับยินดีที่จะพาเขาไปดูสิ่งที่เสนอขายอย่างเต็มใจเสียด้วย 
    และทันทีที่เมอร์เรย์เห็นหีบ
    พระศพเคลือบด้วยทองคำเหลืองอร่ามตระการตาเข้าเท่านั้น เขาก็ถึงกับอ้าปากค้าง 
    ไม่คาดคิดว่าจะพบสิ่งมีค่ามหาศาลเช่นนี้
    ต่อหน้าต่อตา 
    ทั้งมันยังจะทำท่าจะตกอยู่ในความครอบครองของเขาอย่างง่ายดายเสียอีก
    นักโบราณคดีอเมริกันเล่าว่าหีบพระศพใบนี้ ค้นพบที่วิหารอะมอนรา ในธีบีส 
    ซึ่งเป็นบริเวณที่เก็บพระศพของบรรดาเจ้าหญิง
    อียิปต์โบราณมากมาย สำหรับโลงพระศพที่อยู่ต่อหน้าเมอร์เรย์ 
    คาดว่าน่าจะมีอายุประมาณ 1,600 ปีก่อนคริสตศักราช
    "ตกลง ผมรับซื้อ" เมอร์เรย์กล่าวด้วยสีหน้าที่ซ่อนความปิติไว้มิดชิด 
    "จะจ่ายเช็คให้ตามที่คุณต้องการ"
    "แต่มันมีอาถรรพณ์หน่อยนะ เพราะมีคำสาปแช่งจารึกไว้ด้วย" 
    นักโบราณคดีอเมริกันบอกเสียงอ่อยๆ
    "ไม่เป็นไร ผมไม่เชื่อเรื่องพรรค์นี้หรอก" เมอร์เรย์ว่า 
    สายตาของเขาจับจ้องอยู่กับลวดลายข้างหีบอย่างพินิจพิเคราะห์ ไม่ทัน
    สังเกตว่า นักโบราณคดีอเมริกันถอนหายใจเบาๆ เหมือนจะโล่งอก
    เมอร์เรย์ไม่ได้นึกเสียดายเงินก้อนใหญ่ที่เขาจ่ายให้นักโบราณคดีผู้นั้นแม้แต่น้อยเลย 
    ด้วยว่ามูลค่าของหีบพระศพที่เขาได้มา
    มีค่ามากกว่ามากนัก 
    แม้คำสาปแช่งที่นักโบราณคดีอเมริกาบันทึกไว้ให้ก็ไม่ทำให้เขาสะดุ้งสะเทือน 
    คำสาปแช่งนั้นมีความว่า
    "มันผู้ใดบังอาจรบกวนสถานที่ซึ่งเป็นที่ร่างของข้าได้สถาปนาไว้ในอาณาจักรแห่งลุ่มน้ำไนล์ 
    มันผู้นั้นจะต้องพบกับภัยพิบัติ
    อันน่าสยดสยองทุกวัน มันต้องตายทุกคน"
    ความที่เมอร์เรย์ไม่เชื่อเรื่องคำสาปอย่างที่เขาว่าไว้ 
    ทำให้เขานำหีบพระศพของเจ้าหญิงโบราณไปให้ผู้เชี่ยวชาญทางด้าน
    โบราณคดีในกรุงไคโรอีกหลายท่านพิสูจน์ว่า เป็นหีบพระศพสมัยไหน? 
    ของเจ้าหญิงองค์ใด? แม้ว่าคำตอบที่เขาได้รับจะไม่
    สามารถสรุปได้แน่ชัด แต่คำชมว่าเขามีสายตาเฉียบคม 
    สามารถซื้อหีบพระศพโบราณได้ในราคาที่นับว่าถูกเมื่อเทียบกับมูลค่าที่
    แท้จริง ก็ทำให้เขายิ้มด้วยความภาคภูมิใจไปนานหลายวัน
    แต่ว่า ในท่ามกลางความภูมิใจนั้น มีข่าวๆ 
    หนึ่งแทรกเข้ามารบกวนความรู้สึกของเขาไม่น้อย นั่นคือ 
    นักโบราณคดีอเมริกันที่เพิ่ง
    ขายหีบพระศพใบนี้ให้ 
    หลังจากที่รับเช็คเงินสดจากเขาไปได้ไม่กี่ชั่วโมงก็เสียชีวิตอย่างลึกลับ...!
    หรือว่าคำสาปจะเป็นจริง?
    เมอร์เรย์ตัดความรู้สึกฉงนใจทิ้ง เขาไม่เชื่อว่าจะมีความเร้นลับอะไรในศตวรรษที่ 
    20 ได้อีก สิ่งหนึ่งที่เขาต้องรีบกระทำขณะนี้ คือ
    การส่งหีบพระศพไปเก็บไว้ที่บ้านในกรุงลอนดอน ประเทศอังกฤษ 
    สมัยนั้นไม่มีการขนส่งใดดีกว่าทางเรือ เมอร์เรย์จึงติดต่อว่าจ้าง
    ให้บริษัทเดินเรือมาจัดการขนหีบห่อที่เขาจัดการบรรจุไว้เรีบยร้อยไปขึ้นเรือก่อนการเดินทาง
    แต่ว่าสามวันหลังจากนั้น 
    ก็มีเหตุให้เขาออกไปซ้อมยิงปืนทางตอนเหนือของแม่น้ำไนล์ จู่ๆ 
    ปืนเกิดระเบิดขึ้นโดยไม่ทราบสาเหตุ
    ถูกเข้าที่แขนของเมอร์เรย์เป็นแผลเหวอะหวะ 
    แพทย์ต้องตัดแขนเขาทิ้งตั้งแต่ข้อศอกลงไป เมอร์เรย์กลายเป็นคนพิการอย่างที่ไม่
    น่าจะเป็น ด้วยสาเหตุบังเอิญที่น่าพิศวงยิ่ง
    อุบัติเหตุคราวนี้ทำให้ต้องปล่อยหีบพระศพเดินทางไปล่วงหน้า 
    ส่วนตัวเขาจำเป็นต้องอยู่พักฟื้นในอียิปต์สักพักจนแน่ใจว่าอาการ
    ไม่กำเริบแน่ จึงค่อยตามไปภายหลัง
    หลังจากนั้น เมื่อบาดแผลของเขาค่อยยังชั่ว 
    เมอร์เรย์ก็รีบเดินทางไปอังกฤษทันทีครับ แต่ระหว่างการเดินทางอยู่ในเรือ 
    ปรากฏว่า
    เพื่อนของเขาที่มีส่วนเกี่ยวข้องกับการขนส่งหีบพระศพ 2 คน 
    และหญิงรับใช้ชาวอียิปต์ของเขาอีก 1 คน จู่ๆ ก็พร้อมใจกันตายโดย
    ไม่ทราบสาเหตุ เมอร์เรย์ชักจะไม่ค่อยแน่ใจแล้วซีครับว่า 
    มันเป็นเหตุบังเอิญหรือมาจากอาถรรพณ์คำสาปกันแน่
    อย่างไรก็ตามครับ พอเมอร์เรย์ไปถึงอังกฤษ 
    เขาก็รีบจัดการนำหีบพระศพออกจากโกดังท่าเรือกลับบ้าน ที่บ้านนั่นละครับที่นัก
    อียิปต์วิทยารายนี้ตัดสินใจเปิดหีบออกดูพระศพ 
    ทันทีที่ฝาโลงเปิดออกเผยให้เห็นมัมมี่ของเจ้าหญิงเท่านั้น ทำเอาเมอร์เรย์ถึงกับ
    ผงะหน้าซีดเผือดเหงื่อเม็ดเป้งผุดขึ้นเต็มใบหน้า 
    ก็มัมมี่ของเจ้าหญิงที่เขาเห็นเวลานี้ แตกต่างไปจากที่เคยเห็นซะแล้ว 
    มันดูเหมือน
    ใบหน้าของคนยังมีชีวิตอยู่จริง จ้องมองเขาเขม็งด้วยแววตาอาฆาตแค้น
    คราวนี้ละครับเมอร์เรย์ปักใจเชื่อว่าคำสาปมีจริงเต็มร้อย 
    เขาคิดว่าสิ่งที่นักโบราณคดีอเมริกันเตือน เริ่มสำแดงเดชให้ประจักษ์
    ความหวาดกลัวพุ่งเข้าจับขั้วหัวใจ 
    เขาต้องคิดหาวิธีใดวิธีหนึ่งที่จะนำหีบพระศพไปให้พ้นตัว 
    แต่ใครล่ะจะมาเป็นผู้รับเคราะห์แทน
    ในที่สุด ก็มีเพื่อนหญิงที่เคยร่มชั้นเรียน สนิทสนมกับเขามาตั้งแต่ครั้งยังเด็ก 
    ยินยอมรับเอาหีบพระศพไป หญิงผู้ไม่รู้อิโหน่อิเหน่
    ไม่ต้องรอนานเลย บรรดาคำสาปที่ติดอยู่กับมัมมี่โบราณก็เริ่มแผลงฤทธิ์ 
    เริ่มด้วยแม่ของเธอเสียชีวิตกระทันหัน ตามด้วยเธอเอง
    ก็ถูกสามีทอดทิ้ง แล้วแถมต่อมายังล้มป่วยด้วยโรคประหลาด
    เรื่องร้ายๆ ที่เกิดขึ้นซ้อนๆ กันทำให้เธอรีบแจ้นนำหีบพระศพมาคืนให้เมอร์เรย์ 
    ข้างฝ่ายเมอร์เรย์ก็กลัวเดชคำสาปมาก ไม่ต้องการ
    เก็บหีบพระศพไว้เช่นกัน จึงคิดหาทางมอบต่อให้พิพิธภัณฑ์สถานแห่งชาติอังกฤษ
    ทางพิพิธภัณฑ์ก็แสนจะดีใจ รับเอาของบริจาคแล้วรีบจัดแสดงทันที 
    โดยให้นักอียิปต์วิทยาจัดสถานที่วาางหีบพระศพให้ดูเหมือน
    บรรยากาศอียิปต์โบราณ แล้วเปิดให้นักท่องเที่ยวซื้อบัตรเข้าชม 
    ไม่มีใครคาดว่าเหตุการณ์สยองขวัญจะเกิดขึ้นจนได้ ขณะที่นักท่อง
    เที่ยวคนหนึ่งกำลังถ่ายภาพหีบพระศพอยู่ดีๆ 
    ก็มีอันล้มตึงชักดิ้นชักงอขาดใจตายคาที่โดยไม่มีท่าทีมาก่อน แค่นั้นยังไม่พอ 
    นัก
    อียิปต์วิทยาผู้แตะต้องหีบพระศพเพื่อการจัดแสดง 
    ก็นอนตายตาเหลือกอยู่บนเตียงในห้องนอน คล้ายกับตกใจกลัวอะไรบางอย่าง
    สุดขีดจนหัวใจวายกระทันหัน หนังสือพิมพ์อังกฤษเอาข่าวนี้ไปตีพิมพ์ 
    กลายเป็นข่าวดังทำให้ประชาชนหวาดกลัว ไม่มีใครอยาก
    เฉียดเข้าไปใกล้หีบพระศพเลย
    ผู้อำนวยการพิพิธภัณฑ์สถานแห่งชาติอังกฤษ 
    จึงตัดสินใจมอบหีบพระศพใบนี้ให้พิพิธภัณฑ์สถานแห่งชาติกรุงนิวยอร์ค สหรัฐ
    อเมริกา ซึ่งทางนิวยอร์คก็ยอมรับอย่างยินดี 
    โดยให้ทางอังกฤษจัดส่งโดยเรือที่ดีที่สุด ทันสมัยที่สุด 
    และใหญ่ที่สุดในสมัยนั้นคือ
    เรือไททานิค
    เรือไททานิค เป็นเรือที่ถือกันว่า "ไม่มีวันจม" 
    และถือว่าเป็นเรือที่หรูหราที่สุด 
    แต่ครั้นจะขนย้ายหีบพระศพไปกับเรืออย่างเปิดเผย
    ก็กลัวผู้คนจะแตกตื่น เลยจำต้องกระทำอย่างเป็นความลับ 
    ทางฝ่ายขนส่งจัดการบรรจุหีบพระศพใส่ลังอย่างดี แล้วนำไปซ่อมไว้ใต้
    ท้องเรือ ไม่มีผู้โดยสารทราบเลยแม้แต่คนเดียวว่า 
    มีหีบพระศพอียิปต์โบราณที่มีอาถรรพณ์ บรรทุกมากับเรือด้วย 
    ผู้รู้เรื่องนี้ดีก็คือ
    บริษัทผู้จัดส่งเท่านั้น
    เรือไททานิคเที่ยวแรกออกเดินทางจากSouth Hamton มู่งสู่New York 
    กระทั่งถึงวันที่ 15 เมษายน ค.ศ.1912 ทั่วโลกก็ตะลึง
    งันกับข่าว "เรือไททานิคชนภูเขาน้ำแข็งอับปางลงกลางมหาสมุทรแอตแลนติค 
    มีผู้โดยสารเสียชีวิตถึง 1,498 คน"
    ไม่มีผู้ใดทราบแน่ชัดว่าเรือไททานิคที่มีอุปกรณ์เดินเรือทันสมัย 
    ทำไมถึงอับปางเร็วนัก หรือทำไมถึงต้องพุ่งเข้าชนภูเขาน้ำแข็งเข้า
    อย่างจัง 
    แต่บริษัทผู้รับจ้างขนหีบพระศพและบริษัทประกันภัยเท่านั้นที่ทราบอยู่เต็มอกว่า 
    เหตุที่เรือไททานิคชนภูเขาน้ำแข็งจนมีผู้
    เสียชีวิตมากมาย เพราะคำสาปของเจ้าหญิงอียิปต์โบราณ"อาเมน-รา"นั่นเอง
    เรือไททานิคต้องคำสาป และถูกทำลายด้วยมนคต์ตราโบราณอายุนับพันปี 
    ชะรอยเจ้าหญิงองค์นี้คงต้องการที่อยู่ที่สงบ ปราศจาก
    การรบกวนของผู้คน เธอจึงเลือกท้องน้ำที่ลึกที่สุดซึ่งจนกระทั่งบัดนี้ 
    ยังไม่มีการกู้เรือมาได้เพราะความลึกประหนึ่งบาดาลนี่ละครับ
    สงสารก็แต่ผู้คนที่จำเป็นต้องตามติดไปเป็นบริวารด้วยถึง 1,498 คน 
    ที่ไม่รู้อิโหน่อิเหน่อะไรด้วยเท่านั้น ที่ต้องมาสังเวยชีวิตเพราะ
    คำสาปไอยคุปต์แท้ๆ
    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×