ลำดับตอนที่ #89
คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #89 : การทำมัมมี่ เอามาเพิ่มเยอะๆ
การทำมัมมีศพ
ต้นกำเนิดการทำมัมมีศพคหงจะมาจากตำนานที่กล่าวถึงเทวีไอซิสหรือเทพเจ้าอะนูบิส ทำมัมมีพระศพเทพเจ้าโอซิริส ภายหลังจากนำชิ้น ส่วนพระศพของพระองค์มาได้ครบ 14 ชิ้น แต่ตามประวัติศาสตร์ไอยคุปต์ได้ระบุไว้ว่า การทำมัมมีศพที่ครบตามกระบวรการจริงอยู่ในสมัยช่วงราชวงศ์ที่ 4 คือต้องใช้เวลานานถึง 70 วัน นับตั้งแต่วันเริ่มกระบวนการจนเสร็จสิ้น การทำมัมมีศพภายในเวลา 70 วัน ประกอบด้วยขั้นตอนสำคัญ 7 ขั้นตอนดังต่อไปนึ้ 1.วางพระศพลงบนแท่นภายในโรงพิธี ผู้ทำมัมมีสอดตะขอเล็ก ๆ เข้าไปทางช่องรูจมูก เพื่อตัดเอาส่วนสมอง ซึ่งเป็นอวัยวะที่เน่าเร็วออกมา 2.ผ่าตรงช่องท้องน้อย ดึงเอาอวัยวะภายในทั้งหมดออกมา เช่น กระเพาะอาหาร ตับ ไต ไส้พุง ม้าม อวัยวะภายในเหล่านี้ต้องล้าง ทำความสะอาดและทำให้แห้ง จากนั้นแต่ละส่วนก็ห่อด้วยผ้าลินิน แล้วนำไปบรรจุในภาชนะพิเศษที่เรียกว่าคาโนปิค อวัยวะส่วนที่เป็นหัวใจไม่ต้องดึง ออกมา เนื่องจากเป็นกล้ามเนื้อ และเน่าเปื่อยช้ากว่าอวัยวะภายในอื่น ๆ นอกจากนั้นยังถือว่าหัวใจเป็นแหล่งสติปัญญา และเป็นส่วนสำคัญที่ต้องคง ไว้ภายในร่างกาย 3.ชำระล้างศพสองครั้งแล้วปล่อยให้แห้ง จากนั้นก็ใส่สารกันเน่าเปื่อยเข้าไปภายในแทนอวัยวะที่ดึงออกมา 4.ปล่อยศพให้แห้งนานประมาณ 40 วัน โดยโรยผงสารกันเน่าเปื่อยคลุมไว้ 5.เมื่อครบกำหนดก็นำศพออกมาล้างทำความสะอาดทั้งภายในและภายนอก เมื่อศพแห้งสนิทก็บรรจุสารกันเน่าพิเศษ รวมทั้งเรซิน ผงฝุ่น สมุนไพร ขี้เรื่อย เศษผ้าม้วนเป็นวงกลมผสมยางไม้ และสารอื่น ๆ บรรจะเข้าไปภายในร่างศพ 6.ใช้น้ำมันทาหรือนวดศพ เพื่อให้ผิวหนังอ่อนนุ่มแลดูเปล่งปลั่งขึ้น น้ำมันที่ใช้ เช่น น้ำมันโอลิบานัม หรือน้ำมันพิเศษที่ผสมด้วยน้ำมัน ไม้ชีดาร์ น้ำมันหอมจากเกเบตี น้ำมันเลบานอน น้ำมันเกษรคัมมิน ยางเหลว น้ำมันสนบริสุทธิ์ เครื่องหอม สารนาตรอน การทาหรือนวดศพ ผู้ทำมัมมีจะใช้เศษผ้าจุ่มน้ำมันทา และต้องพึงระวังไว้ว่าต้องไม่พลิกร่างกลับไปทาซ้ำตรงบริเวณหน้าอกหรือช่อง ท้องซึ่งภายในบรรจุสิ่งต่าง ๆ ไว้แน่นอีกเป็นอันขาด เนื่องจากถือว่าเทพเจ้าต่าง ๆ ที่สถิตอยู่ในช่องท้องจะเสด็จหนีไป จากนั้นนำเครื่องรางที่เรียกว่าอัดจั๊ต รูปพระเนตรของเทพเจ้าฮอรัสติดไว้ตรงรอยผ่าตรงช่วงท้องน้อย 7.ทาศพด้วยสารเหลวเรซินจนแห้งและผิวแข็งขึ้น เพื่อป้องกันความชื้นเข้าไป จากนั้นก็พันผ้าห่อศพทับตามบริเวณร่างศพทุกส่วนหลาย ชั้นและห่อให้เรียบเสมอกันมากที่สุด ผ้าที่นิยมใช้มักเป็นผ้าลินิน ซึ่งมีความยามประมาณ 100 เมตร ผ้าที่ซื้อมาจากวิหารเทพเจ้าต่าง ๆ ถือว่าเป็น ผ้าศักดิ์สิทธิ์ เช่น ผ้าศักดิ์สิทธิ์จากวิหารเทพเจ้ารา ก็หมายถึงผ้าที่ใช้พันรูปปั้นเทพเจ้าราในวิหาร ซึ้งถือว่ามีควาาศักดิ์สิทธิ์ที่จะก่อให้เกิดอำนาจวิเศษ ในการรักษาและคุ้มครองมัมมีศพตลอดไป ชาวไอยคุปต์มักถือเคล็ดว่า การทำอะไรก็ตามต้องทำให้ครบจำนวนเจ็ดเสมอ ด้วยเหตุนี้การพันผ้าห่อศพ ก็ต้องห่อทับกัน 7 รอบ แต่ละขั้นพันผ้าทับเครื่องรางเจ็ดชนิด พิธีกรรมทางศาสนากับการทำมัมมี พีธีกรรมทางศาสนานับว่ามีความสำคัญมาก กล่าวกันว่าหากการทำมัมมีแต่ละขั้นตอนขาดพิธีกรรม ทางศาสนาประกอบก็ถือว่าการทำมัมมีไม่ครบสมบูรณ์ และไม่เป็นสิริมงคลแก่วิญญาณคนตาย พิธีกรรมดำเนินตามขั้นตอนต่อไปนี้ ภายในโรงพิธี มีเครื่องเซ่นประเภทอาหารอย่างสมบูรณ์พร้อมทั้งไหเหล้าองุ่นว่างเรียงกันไว้อย่างเป็นระเบียบ ครั้นถึงเวลาที่กำหนดไว้ นักบวชผู้เป็นประธานก็เริ่มอ่านคัมภีร์ม้วนแผ่นปาปิรุสเพื่อเชิญวิญญาณคนตายให้มาเสพอาหารหวานคาวที่จัดเตรียมไว้ จากนั้นบรรดาญาติมิตรที่ ร่วมขบวนแห่ศพมาก็จะออกไปจากห้องเหลือเพียงผู้ร่วมทำมัมมีศพนักบวช และมีสตรี 2 คน ที่แสดงเป็นสัญลักษณ์แทนเทวีไอซิสและเนปทิส(ตาม ตำนานโอซซิริสทั้งสองร่วมกันชุบชีวิตเทพเจ้าโอซิริส) นักบวชจะอ่านคำภีร์ทุกขั้นตอนของการทำมัมมี เป็นการเรียกขวัญเรียกขวัญวัญญาณคนตายทุกระยะ ต่างเป็นการเตือนให้ระลึกถึงแต่ คุณงามความดีที่ผ่านมาทั้งในอดีต ปัจจุบันและในอนาคต และทีสำคัญที่สุดคือนักบวชต้องอธิษฐานให้คนตายกลับฟื้นคืนชีพในโลกใหม่ในรูปของ วิญญาณอมตะ ขณะพันผ้าศพผู้เป็นประธานในพิธีต้องสวมหน้ากากสุนัขจิ้งจอกซึ่งเป็นสัญลักษณ์แทนเทพเจ้าอะนูนิส ผู้ซึ่งถือว่ามีส่วนช่วยเทวีไอซิ สชุบชีวิตเทพเจ้าโอซิริสขึ้นมาอีกครั้งหนึ่ง กระบวนการทำมัมมีต้องใช้เวลาหลายวัน เนื่องจากแต่ละขั้นตอนต้องดำเนินไปให้ถูกต้องตามพิธีกรรมมากที่สุด หลังจากพันผ้าศพมัมมีเสร็จแล้ว เจ้าหน้าที่ก็จะนำไปวางไว้บนแท่นหรือเตียงรูปสิงโต จากนั้นนักบวชก็จะประกาศว่า "บัดนี้ท่านได้เกิดใหม่แล้ว ท่านจะมีชีวิตเป็นอมตะ จะคงความเป็นหนุ่มต่อไปชั่วกาลนาน" ต่อมาก็เป็นการนำขบวนแห่มัมมีศพไปยังสุสานฝังศพ หรือที่ชาวไอยคุปต์เรียกว่า นีโครโปลิส ครั้นถึงสุสานก็จะนำศพไปตั้งไว้ในโรงพิธี จากนั้นก็นำศพบรรจุลงในโลงศพ นำไปยังโรงพิธีชำระศพให้บริสุทธิ์อีกครั้งหนึ่ง แล้วกระทำ เปิดปากศพต่อไป พีธีเปิดปากศพนี้ในยุคแรก ๆ ใช้กับรูปปั้นเทพเจ้า เทวี หรือฟาโรห์ที่เสด็จสวรรคตเท่านั้น โดยถือว่าเป็นผู้รับวัญญาณอันศักดิ์สิทธิ์ผ่าน ทางปาก ต่อมาในภายหลังได้ใช้กับบรรดาขุนนางชั้นสูง ข้าราชบริพาร ตลอดจนไพร่ฟ้าประชาราษฎร์ทั่วไป จุดมุ่งหมายของพิธีเปิดปากศพมัมมีก็คือเพื่อเรียกพลังแห่งชีวิต ซึ่งออกจากร่างเดิมกลับมาใหม่ อีกทั้งยังทำให้คนตายสามารถใช้ปาก ได้เช่นเคย สามารถรับประทานอาหาร ดื่มน้ำ พูดและหายใจได้อีกครั้ง นักบวชซึ่งแต่งกายด้วยเสือคลุมหนังเสือลาย สวมหัวสุนัขจิ้งจอกใช้วัตถุคล้ายจอบแตะที่ปากมัมมีศพ ช่วงที่ทำพิธีเปิดปากศพ ต้อง เผากำยานเป็นระยะ ๆ เพื่อเป็นการบูชาเทพเจ้า รวมทั้งต้องเซ่นด้วยหัวใจ ลำตัว หรือขาหลังของสัตว์สี่เท้าชนิดใดชนิดหนึ่ง นักบวชที่ทำพิธีเซ่นวิญญาณคนตายด้วยเครื่องเซ่นและเหล้าองุ่นพร้อมทั้งโบกพัดขนนกเป็นการเอาใจ จนแน่ใจว่าวิญญาณของคนตาย ได้เกิดแล้วก้จะหยุด ต่อมาก็กระทำพิธีเปิดปากศพซ้ำอีกครั้ง โดยเริ่มจากการเผากำยาน ประพรมน้ำบนร่างมัมมี และเชิญวิญญาณมาเสพเครื่องเซ่น ปิด ท้ายด้วยการแตะปากศพอีกครั้งหนึ่งด้วยวัตถุคล้ายจอบหรือผึ่งถากไม้ เป็นอันเสร็จพีธี ที่สำคัญก็คือตลอดระยะเวลาทำพิธีเปิดปากสวด ต้องมีนัก บวชอีกหลายองค์ร่วมสวดมนตร์ตามคัมภีร์ของผู้วายชนม์ จากแผ่นม้วนปาปิรุส เพื่อช่วยปลุกวิญญาณคนตายให้หลับมาโดยเร็ว ขั้นตอนสุดท้ายก็คือนำมัมมีศพบรรจะในโลงไม้แล้วนำไปยังห้องเก็บศพที่เตรียมไว้ โลงบรรจุมัมมีศพต้องตกแต่ง ประดับ แกะสลัก ลวดลายหรือเขียนภาพสีเป็นรูปเทวีไอซิสลเนปทิส ทางด้านหัวและด้านท้ายโลงศพ โลงศพของมัมมีศพบางรายนิยมเขียนภาพระบายสีเป็นสัญลักษณ์ดวงตาทั้งสองข้าง ถือเป็นการแสดงให้เห็นว่าวิญญาณที่บรรจุอยู่ภาย ในโลงไม่ได้ตัดขาดจากโลกภายนอก
เก็บเข้าคอลเล็กชัน
ความคิดเห็น