ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    ไกรทอง ชาละวันxไกรทอง (yaoi)

    ลำดับตอนที่ #25 : ไกรทอง ตอนที่21 (แก้ไข)

    • เนื้อหาตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 3.07K
      40
      8 ต.ค. 56

    (กลอนนี้เอามาจาก http://board.siamha.com/index.php?topic=3115.0)

    “ข้าวออกรวง พวงไสว ลมไล้เติม

    ฤดูเริ่ม ของลมว่าว เข้ามาพัด

    รวงข้าวเบา พราวสดใส ให้เกี่ยวตัด

    ลมหนาวซัด ให้โซเซ ตามเล่ห์ลม

    ยืดกายทรง ทะนงมั่น มิหวั่นไหว

    พร้อมแรงใจ จากลมหนาว ที่เข้าห่ม

    บรรจงเคียว เกี่ยวรวงวาง อย่างชื่นชม

    ตะวันบม ให้ร้อยรื่น ชื่นฤดู

    เกี่ยวข้าวนั่น งานถนัด มิขัดข้อง

    แต่ใจน้อง นั่นยากแค้น แสนอดสู

    เกี่ยวข้าวง่าย เกี่ยวใจยาก ยอดพธู

    แสนอยากรู้ จะเกี่ยวใจ ได้ยังไง”

     (กลอนเกี่ยวข้าว เกี่ยวใจ จากนักกลอนปลายแถว)



    “เอื้อนเอ่ยกลอนรักหวานหยดปานนี้  อยากจะบอกความนัยกับใครรึปล่าวจ๊ะพ่อชาละวันคนงาม”


    ใบหน้างดงามแสร้งทำเป็นไม่สนใจเสียงกระแนะกระแหนข้างหู   หันหน้ามายิ้มอวดฟันสวยให้เพื่อนรักร่างกำยำเสียหวานดั่งน้ำผึ้งเดือนห้า   เพื่อให้ไอ้กุมภีร์ชอบประชดเกิดอาการดีดดิ้นเป็นไส้เดือนคลุกขี้เถ้าเล่นด้วยความสะใจ


    “เออ!ไม่ต้องมาทำยิ้มหน้าเป็นใส่ข้า  ดีใจล่ะสิที่ไม่มีใครบางคนมาคอยเกาะแกะให้รำคาญใจ”


    ชาละวันละมือจากการเกี่ยวข้าวแกล้งทำเป็นยืนลำตัวบิดลำตัวซ้ายทีขวาทีขับไล่อาการเมื่อยตามเนื้อตัว    ก่อนจะทำทีเปลี่ยนไปพูดคุยกันเรื่องอื่นแทน   เนื่องจากตัวเขาไม่อยากจะนึกถึงผู้หญิงคนนั้น  หรือผู้หญิงคนไหนให้เกิดความรู้สึกหงุดหงิดรำคาญใจ....เพราะสำหรับเขาแล้ว  เมื่อขึ้นชื่อว่าอิสตรี  ย่อมหมายถึงเรื่องน่าปวดหัวทุกครั้งไม่ว่าเป็นผู้ใด  เผ่าพันธุ์ไหน   หากหลีกเลี่ยงก็จงเลี่ยงซะ  


    “นันเอ็งดูสิภาพต้นข้าวเหล่านี้ดูสิ ช่างเหลืองเรืองรองดั่งทองทา  งดงามตรึงใจข้าจริงๆ”


    นันเงยหน้ามองรวงข้าวสุกเหลืองอร่ามสุดลูกหูลูกตาด้วยความรู้สึกที่เห็นด้วยกับเพื่อนรัก


    “บนโลกมนุษย์นี้มีสีสันงดงามหลากหลายผิดจากใต้น้ำที่เงียบสงัดและมืดมิดของพวกเรา...น่าอิจฉาเหล่ามนุษย์เสียจริงๆที่ได้เห็นความงามของธรรมชาติเช่นนี้ทุกวัน”


     “แล้วเอ็งละ...ท่านพญากุมภีร์  ไม่คิดจะเปลี่ยนใจแล้วทบทวนดูใหม่อีกสักครั้งเลยรึ   เพราะถ้าหากความงามเหล่านี้ถูกทำลายลง   มันก็คงจะเป็นอะไรที่น่าเสียดายมากทีเดียว” คณัสนันท์ชำเหลืองดูบุรุษเจ้าแผนการที่เอาแต่จับจ้องคนสองคนที่ก้มๆเงยๆอยู่อีกทางนึงของผืนนาอย่างไม่ยอมละสายตา   


    ...ข้าควรจะบอกเอ็งอีกครั้งดีหรือไม่ว่าสายตาที่ชอบใช้ไกรทองมองนะ   สำหรับมุมมองของข้าแล้วมันคือแววตาแห่งความโหยหาที่เต็มไปด้วยความรัก  มิใช่แววตาอาฆาตแค้นศัตรูอย่างที่เอ็งมักชอบเอ่ยบอกข้าอยู่เสมอหรอกนะ...ท่านพญาชาละวัน  


    “เวลาจระเข้จะล่าเหยื่อ มันต้องเงียบและโหดเหี้ยมห้ามลังเลเด็ดขาด  เพราะไม่เช่นนั้นเหยื่อที่อุตส่าห์หมายตาไว้จะหลุดลอยหนีหายไป....การทำงานใหญ่ก็เช่นเดียวกัน ห้ามใจอ่อน...ห้ามมีหัวใจ ไม่อย่างนั้นทุกสิ่งที่ข้าทุ่มเทลงแรงไปมันจะสูญเปล่าไม่มีค่าใดๆ”


    “ข้ารู้แต่เดี๋ยวนี้ไกรทองเริ่มระวังตัวมากขึ้น  ทำให้เอ็งเข้าใกล้ได้ยากขึ้นทุกที”


    ชาละวันลูบไล้เคียวในมืออย่างไม่นึกกลัวคมมีดของมัน  ทำราวกับว่าเจ้าสิ่งของในมือนี้   มันไม่มีความคมให้ต้องกลัวเลยสักนิด


    “ไม่มีอะไรมากหรอกแค่เจ้าหนูนี่เริ่มเกิดหวาดกลัวต่อเสน่ห์ความงามของข้าจนต้องรีบหนีห่าง...คงนึกล่ะสิว่าถ้าทำแบบนี้แล้วจะสามารถเรียกความเป็นชายของตัวเองกลับมาได้...คิดตื้นจริงๆ”


    คณัสนันท์ส่ายหน้าจนใจให้กับความปากแข็งของเจ้าหมอนี่   เพราะดูท่าพูดอะไรค้านออกไปก็มีแต่จะเถียงเอาชนะ   ปล่อยให้มันคิดได้เองจะดีกว่าขี้เกียจเปลืองน้ำลายอันมีค่า  


    “ถ้างั้นก็เลิกหว่านเสน่ห์เหมือนเหยื่อรายอื่นเถอะ...หากจะจัดการก็ควรรีบลงมือโดยไว”


    ร่างงามขาวผ่องก้มกายลงเกี่ยวข้าว  พร้อมกับส่งแววตาเจ้าเล่ห์ชั่วร้ายให้เพื่อนรักแล้วเอ่ยเสียงแน่วแน่จริงจัง


    “ข้าลงมือจัดการแน่  แต่อย่างที่บอกเวลาจระเข้ล่าเหยื่อมันจะซุ่มตัวอยู่ในน้ำเงียบสนิทค่อยๆเคลื่อนตัวไปใกล้ๆ  มองการเคลื่อนไหวของเหยื่อตลอดเวลาไม่คลาดสายตาและพอเหยื่อเผลอก็.....ผลุ่บ!”


    จู่ๆไกรทองก็เกิดรู้สึกขนคอลุกชัน หนาวสั่นไปทั้งตัว  โดยไม่ทราบสาเหตุ...ถ้าบอกว่าไม่สบายเห็นทีคงจะไม่ใช่


    “เป็นอะไรไปไอ้ไกรเหนื่อยหรือวะ   พักเอาแรงก่อนดีไหม?”


    ไกรทองสั่นหน้าลงมือเกี่ยวข้าวต่อ  ไม่ยอมหยุดพักให้เสียเวลา


    “แปลกคนจริง”


    จนกระทั้งดวงตะวันตั้งตรงเหนือหัว  คนงานทั้งหมดเลยพร้อมใจหยุดทำงานในนา  ไปหาที่นั่งพักผ่อนกินข้าวกินน้ำให้คลายจากอาการเหนื่อยล้า


    “ไอ้ไกรนั่นเอ็งจะไปไหนวะ   พวกพี่เขาอยู่ทางโน้น”


    “เอ่อ...พอดีข้าหิวข้าวมากเลย   เราหานั่งกินแถวๆนี้ดีกว่า”


    พูดจบไกรทองก็รีบทรุดลงนั่งจ้วงข้าวเข้าปากดูแล้วหิวมากอย่างที่พูด  ทองดำเลยต้องนั่งกินเป็นเพื่อนพร้อมส่งกระบอกน้ำให้เผื่อข้าวมันจะติดคอ...ดูจ้วงซะ ไปตายอดตายอยากมาจากไหนวะเนี่ย ....จะกินยังไงก็ช่างเถอะ  อย่ามาตายเพราะเม็ดข้าวติดคอแล้วกัน   เพราะกูขี้เกียจมาจัดงานศพให้มึง


    ส่วนชาละวันกับนันที่เลือกนั่งห่างออกมาจากคนอื่นกำลังนั่งมองนั่งปรึกษากึ่งจริงจังกึ่งขบขัน


    “ดูท่าน้องไกรทองของท่านพญาชาละวันจะกลัวใครบางคนมากเลยนะ ดูสิเอาข้าวใส่ปากใหญ่เลยไม่มีแม้แต่จะชำเลืองมองมาทางนี้ด้วยซ้ำ”


    “หึ หึ” ชาละวันหยิบข้าวเข้าปากทำเสียงเหมือนเป็นเรื่องตลกน่าขำขันแต่กับความรู้สึกในใจนั้น เขากลับรู้สึกขัดเคืองใจไม่น้อยกับอาการหลบหน้าหลบตาของไกรทอง  เจ้าเด็กคนนี้คอยเอาแต่หลบเลี่ยงเขาตลอดเวลา ไม่ว่าจะอยู่ที่นี้หรือที่บ้าน


    ...เป็นเช่นนี้ต่อไปย่อมไม่ดีแน่...เพราะแผนการที่พี่ชายคนนี้อุตส่าห์ตระเตรียมการมาเป็นอย่างดีทั้งหลายอาจจะพังทลายลงได้    เท่ากับตำน้ำพริกละลายแม่น้ำ...ข้าไม่ยอมหรอก


    “นันเจ้าต้องร่วมมือกับข้า”


    “หือ?”


    ข้าด้วยเรอะ?


    ชาละวันกระซิบกระซาบวางแผนการกับคณัสนันท์กันสองคนกับอยู่พักใหญ่ๆ   ทั้งถามและทบทวนกันหลายครั้งจนมั่นใจว่าจะต้องดึงความสนใจจากเด็กหนุ่มมาได้อย่างแน่นอน


    “จะเอาแบบนี้จริงๆเรอะ?”


    “…”


    “มันไม่ดีมั้ง”


    “…..”


    “หาวิธีอื่นที่ดีกว่านี้ไหม? ข้าว่า....”


    ชาละวันทนนั่งฟังต่อไปไม่ไหวยกมือขึ้นปราม...“ข้าว่านี้เป็นวิธีที่ดีและเห็นผลเร็วที่สุด...สรุปเอาตามนี้แหละ”


    เมื่อนายใหญ่สั่งการเด็ดขาดลงมา  ลูกน้องเลยจำต้องนั่งหุบปากไม่โต้แย้งโน้มน้าวใจอีกต่อไป  ทั้งๆที่ในใจอยากตะโกนกู่ร้องให้ก้องท้องนา...ถ้าเกิดเรื่องนี้ไปถึงหูสองสาวข้างล่างเข้า...ข้าผู้นามว่าคณัสนันท์เห็นที่คงจะถูกรุมเล่นงานจนยับเยินเป็นแม่นมั่น...รู้ยังงี้ข้าให้เจ้านั่นมาทำหน้าที่ตรงนี้แทนเสียยังจะดีกว่า


    “มัวทำอะไรอยู่รีบเริ่มตามแผนได้แล้ว”


    ร่างสูงใหญ่กลอกตาขึ้นฟ้าไว้อาลัยให้กับชีวิตตัวเองในใจ...ข้าตายแน่


    หลังจากกินข้าวพักผ่อนคลายร้อน คลายเหนื่อยจนพอใจแล้ว   คนงานทุกคนก็ต่างพากันเริ่มลงมือทำงานเกี่ยวข้าว เอาหลังสู้ฟ้าหน้าสู้ดินกันต่อไปอย่างขยันขันแข็งไม่มีใครหยุดพัก


    ไกรทองก็เช่นกันเทียวแต่ก้มหน้าเกี่ยวข้าวไปเรื่อยๆไม่ยอมเหน็ดเหนื่อย   เพื่อป้องกันไม่ให้สมาธิหลุดลอยไปหาใครบางคนที่เกี่ยวข้าวอยู่ทางด้านโน้นให้หัวใจสับสนขึ้นมาอีก 


    นับตั้งแต่ที่ข้างกายเขามีคนๆนั้นเข้ามาอยู่ใกล้ๆ   หัวใจดวงนี้ก็เฝ้าแต่คิดถึงคะนึงหา ที่นับวันก็ยิ่งจะมีมากขึ้น ทุกวัน ทุกวัน   จนแทบไม่เป็นอันทำงานทำการ  

      

    แม้ใจจะสุขที่ได้อยู่ชิดใกล้ตลอดเวลาแต่ไม่รู้ทำไมอีกด้านหนึ่งของหัวใจกับบอกให้ระวังผู้ชายคนนี้เอาไว้ให้มาก อาจเป็นเพราะความงามนั่นกระมัง...ที่ได้เป็นสิ่งเตือนให้เขาเริ่มต้องระวังตัว  อย่าถลำลึกลงไปดั่งภมรถูกล่อด้วยความงามของดอกไม้แปลกตา

    ถึงจะเฝ้าย้ำเตือนตัวเองเสมอไม่ให้ประมาท   แต่ทุกครั้งที่เขาได้ยินเสียงหวาน  นุ่มนวลอันเป็นเอกลักษณ์   ผสานกับรอยยิ้มอบอุ่นดั่งแสงอาทิตย์ยามเช้าครั้งใด    เขาก็มักจะเกิดความคุ้นเคย  คล้ายกับเคยเห็นเคยได้ยิน...พยายามนึกอยู่หลายครั้งแต่สุดท้ายเขาก็ยังนึกไม่ออกอยู่ดี    ไม่รู้เป็นเพราะทำไม 


     ขณะที่กำลังหมกมุ่นอยู่กับตัวเอง   บังเอิ๊ญ  บังเอิญสายตาของไกรทองดันเหลือบมองเห็นแขนขาวผ่องแสนคุ้นตาอยู่ด้านข้าง   ด้วยตอนแรกคิดในใจว่าแขนไอ้เกลอมันขาวถึงเพียงนี้เชียวรึวะ   เพราะลักษณะแขนแบบนี้ทั้งหมู่บ้านมีอยู่คนเดียวเท่านั้น.............


    “เฮ้ย!?  พี่ชาละวัน!” ไกรทองตกใจจนร้องเสียงหลง “ทะ...ทำไม”


    “พี่ขอสลับที่เกี่ยวข้าวกับทองดำเองแหละ”


    ไกรทองมองใบหน้าซื่อตาใสของอีกฝ่ายอย่างระแวดระวัง   ก่อนจะหันไปมองอีกทางก็เห็นทองดำกับพี่นันกำลังยืนโบกไม้โบกมือมาให้พวกเขา   ด้วยท่าทางร่าเริงจนน่าเอาเคียวปาดคอทิ้งเรียงตัวเสียจริง


    เล่นกวนทั้งพี่ทั้งน้องแบบนี้มันน่าฆ่าให้ตายนัก


    “พี่ชาละวันกับไอ้ทองดำเปลี่ยนที่กันตอนไหนทำไมน้องไม่เห็นรู้เรื่องเลยจ๊ะ”


    “สักพักแล้วล่ะ... อย่าทำหน้าแบบนั้นสิ  มาเรามาเกี่ยวข้าวกันต่อดีกว่าเกี่ยวแปลงนี้เสร็จพวกเราก็จะได้กลับบ้านกันเนอะ”

    แม้ชาละวันจะพูดเสียงออดอ้อนน่าฟังเพียงไร   ไกรทองก็เลือกไม่โต้ตอบและก้มหน้าลงมือทำงานต่อไปเหมือนกับว่าไม่มีใครอื่นยืนอยู่ตรงนี้นอกจากตัวเขาเอง


    หึ...ทำเป็นเฉยเดี๋ยวได้รู้กันว่าจะนิ่งไปได้สักกี่น้ำ


    ทองดำที่ชะเง้อคอยืนมองเหตุการณ์อยู่ถึงกับออกอาการกระสับกระส่ายเป็นห่วง “พี่นัน...ฉันว่ามันจะไม่ไหวนา...”


    “เถอะน่า...เดี๋ยวเพื่อนข้าก็หาทางได้เองแหละ…ป่ะ เกี่ยวข้าวกันต่อดีกว่า  ปล่อยให้เพื่อนข้าคนนี้จัดการเอง  รับรองทุกอย่างเรียบร้อย”


    คณัสนันท์เองก็รู้สึกผิดต่อทั้งไกรทองและทองดำอยู่ไม่น้อย   ด้วยเพราะนึกเอ็นดูเหมือนน้องเหมือนนุ่งแท้ๆแต่ชายชาติทหารหน้าที่ก็คือหน้าที่  ส่วนอารมณ์ความรู้สึกคือเรื่องรองลงมา...


    เมื่อพี่ชายที่นับถือมั่นอกมั่นใจถึงเพียงนี้ ทองดำเลยจำใจต้องเชื่อตามนั้นถึงแม้เขาจะยังรู้สึกห่วงทั้งสองอยู่มากก็ตามเถอะ...อย่างว่าล่ะนะไอ้เรามันคนนอกไม่รู้หรอกว่าสองคนนั้นมีมึนตึง...ไม่ใช่สิ ไอ้ไกรมันตึงใส่พี่ชาละวันคนเดียวนี่หว่า   แม้จะไม่รู้ว่าเรื่องอะไรแต่การที่คนสองคนหมางเมินใส่กันแบบนี้   จนทำให้เขาที่เป็นคนกลางรู้สึกอึดอัดใจอยู่ทุกเมื่อเชื่อวันกับบรรยากาศแบบนี้ 


    “พิโธ่เอ้ย!  ตั้งแต่พี่ทั้งสองมาทำงานอยู่ในหมู่บ้านเรา   ฉันนึกว่าไอ้ไกรจะมีอาการดีขึ้นเสียอีกหรือไม่ก็จำอะไรได้มากขึ้นกว่า  ไม่ต้องจำได้ทั้งหมดหรอกเอาแค่นิดหน่อยก็พอใจแล้ว”


    ทองดำบ่นงึมงำกับตัวเองเหมือนคนบ้า   โดยที่หารู้ไม่ว่า   ไอ้เสียงเบาปานยุงบินของมันกลับฟังชัดเจนเต็มสองรูหูคณัสนันท์อย่างชัดเจนทุกคำไม่มีตกหล่น


    ข้อมูลใหม่ที่ได้รู้มาสดๆร้อนๆ   ทำให้ชายร่างหนาตกใจมากจนเผลอถามเด็กหนุ่มข้างกายด้วยเสียงทุ้มสูง   ขาดความสุขุมของตัวเองไปชั่วขณะ


    “ไกรทองความจำเสื่อมงั้นรึ?  ไม่เห็นเคยมีใครบอกข้าให้รู้เลยสักคน”


    “ก็เพราะไม่มีใครรู้นะสิ  พี่นันกับพี่ชาละวันถึงไม่รู้ว่าไอ้ไกรนะความจำเสื่อม”


    แม้จะฟังไม่ค่อยเข้าใจเท่าไร  แต่คณัสนันท์ก็พอที่จะเดาอะไรบางอย่างได้ลางๆ  “ความทรงจำของไกรทองหายไปเพียงแค่บางส่วนใช่หรือไม่”  


    คำสันนิษฐานแบบเดาสุ่มจากชายหนุ่มร่างหนา  ทำเอาเด็กหนุ่มผิวถ่านอ้าปากค้างพะงาบๆพูดไม่ถูกเลยทีเดียว


    ‘จะเก่งเกินไปแล้วนะพี่นัน  ข้าพูดแค่นี้พี่ดันมองออกเสียทะลุปรุโปร่ง  โดยไม่ต้องเอ่ยอธิบายให้มากความ’


    อาการอ้าปากค้างของทองดำเป็นตัวชี้นำแก่เขาได้เป็นอย่างดีว่า   สิ่งที่เขาคิดนั้นถูกต้องทุกอย่าง.....ไกรทองความจำเสื่อม  แต่หายไปเพียงแค่บางส่วนเท่านั้น   มันช่างบังเอิญเกินไปแล้วกับสิ่งที่เกิดขึ้น


    “หายไปช่วงไหน?”


    “อะไรหาย?”


    คณัสนันท์มองดูคนทั้งสองที่เกี่ยวข้าวอยู่อีกฟากนึงของนาข้าว   ด้วยสายตาขึงขังผิดจากภาพลักษณ์ร่าเริงที่เห็นกันจนชิดตา


    “ช่วงเวลาที่ความทรงจำของไกรทองหายไป...ขอร้องล่ะช่วยบอกข้าที”


    “ประมาณเมื่อห้าปีก่อนจ๊ะ   ตอนนั้นพวกเราอายุครบสิบสองขวบปี   ฉันจำได้ว่าวันนั้นเป็นวันที่ฝนตกทั้งวันท้องฟ้ามืดครึ้มไปหมด  ที่วัดมีแค่ฉันกับไอ้ไกรที่อยู่เฝ้า  ส่วนหลวงตารับกิจนิมนต์ที่หมู่บ้านอื่น”


    “เกิดอะไรขึ้นกับไกรทอง”


    ทองดำหลุบตามองพื้นดินเบื้องล่าง “ไอ้ไกรจมน้ำเกือบตายดีที่มีคนไปพบเข้าเสียก่อน  ถึงจะบอกว่ามันจมน้ำก็เถอะ แต้บนใบหน้าของมันกับมีรอยฟกช้ำเหมือนคนถูกเล่นงาน  ยิ่งบริเวณรอบคอดำม่วงดูก็รู้ว่ามีคนบีบคอมันกะให้ตายคามือชัดๆ”


    ยิ่งคิดสองมือก็ยิ่งกำแน่นด้วยอารมณ์แค้นแสนแค้นเหลือคณานับ....เพราะถ้าวันนั้นเขาไม่ชล่าใจปล่อยให้เพื่อนไปหาปลาคนเดียว   เหตุการณ์เลวร้ายก็คงจะไม่เกิดขึ้น


    “จับตัวคนร้ายได้หรือไม่?”


    เด็กหนุ่มสั่นหน้าเป็นคำตอบ “ชาวบ้านทุกคนช่วยกันปิดหมู่บ้าน  ระดมตามหาคนร้ายสุดท้ายก็ไม่พบแม้แต่เงา...หลังจากที่ฟื้นไอ้ไกรก็ลืมคนในความทรงจำไปหมด  แม้แต่คำสัญญาว่าจะรอคนสำคัญอยู่ที่นี่มันก็จำได้แค่ลางๆเท่านั้นจ๊ะ   และที่ฉันรู้ก็เพราะมันเคยเล่าให้ฟังอยู่บ้างแต่ไม่บอกว่าเป็นใคร  ชื่ออะไร...”


    ห้าปีก่อน....ไกรทองถูกทำร้าย   ความทรงจำบางส่วนหายไปซึ่งเป็นช่วงเวลาเดียวกันกับที่ความทรงจำของชาละวันถูกสับเปลี่ยนพอดิบพอดี....


    “ไม่มีคนอื่นรู้เรื่องนี้ใช่ไหม?”


    “ไม่มีจ๊ะ...ไอ้ไกรขอร้องว่าห้ามบอกใคร   ทั้งฉันและมันเลยพยายามสืบหากันเอาเอง  แต่ก็ไม่คืบหน้าเลยสักนิด”


    “อย่ากังวลเลยไอ้น้องชาย   เดี๋ยวข้าจะช่วยด้วยอีกแรงรับรองว่าเพื่อนเอ็งจะต้องตามหาคนสำคัญ  คนนั้นเจอแน่นอน  เชื่อฝีมือข้าได้เลย....ส่วนเรื่องของสองคนนั้นก็อย่างที่บอก  ว่าเดี๋ยวเพื่อนข้าจะจัดการปรับความเข้าใจกับไอ้ไกรเอง  ฉะนั้นอย่าวิตกกังวลไป”


    ทางด้านชาละวันที่คอยเฝ้าสังเกตเหยื่ออยู่เป็นพักๆ    พอสบโอกาสเห็นช่องใช้แผนเรียกร้องความสนใจ   ชายหนุ่มแสนเจ้าเล่ห์จงใจใช้คมเคียวเกี่ยวข้าวปาดเข้าไปที่กลางฝ่ามือแล้วแกล้งส่งเสียงเรียกให้อีกฝ่ายหันมาสนใจ “โอ้ย!”


    และมันก็ได้ผลไกรทองหันหน้ามามองตามเสียงร้องก็พบว่าชายหนุ่มยืนกุมมือเลือดไหลเป็นทางดูน่ากลัว  เด็กหนุ่มเลยผละจากงานรีบวิ่งเข้ามาดูบาดแผลด้วยความเป็นห่วง  แต่ชาละวันนั้นกลับแสแสร้งทำมารยาเบี่ยงตัวหนีไม่ให้อีกฝ่ายมองเห็นแผลถนัด


    “พี่ไม่เป็นอะไรมากหรอกแค่แผลเล็กน้อยเอง”


    ไกรทองมองค้อนใส่คนงามตาแทบหลุดออกจากเบ้า...นี่เรอะแผลเล็กน้อยลึกจนเห็นเนื้อขาวยังมีหน้ามาบอกว่าเล็กน้อย   เดี๋ยวก็ปล่อยให้เลือดไหลหมดตัวเสียจริงๆหรอกจะได้ไม่ต้องมาอวดเก่งเช่นนี้อีก


    เด็กหนุ่มไม่สนใจอาการขัดขืนของอีกฝ่าย   รีบเอาผ้าขาวม้าที่คาดเอวอยู่เอามากดปากแผลห้ามเลือดเอาไว้    จากนั้นค่อยๆพาคนเจ็บไปนั่งตรงพุ่มไม้ด้านหนึ่งเพื่อให้ห่างจากสายตาอยากรู้อยากเห็นของคนงานคนอื่น


    “เอาผ้านี่กดไว้ก่อนนะเดี๋ยวน้องมา”


    ไกรทองลุกเดินหนีจากไปทิ้งให้ชาละวันนั่งกดแผลห้ามเลือดอยู่คนเดียว  เด็กหนุ่มหายไปนานพอสมควรจนนึกชายหนุ่มเริ่มรู้สึกหงุดหงิดใจ  เนื่องจากคิดว่าแผนเรียกร้องความสนใจของเขาคงไม่ได้ผล   จนเวลาผ่านอีกสักพักหนึ่งเหยื่อที่เขาหมายตาจึงได้กลับมาพร้อมกับใบไม้เต็มกำมือ


    ไกรทองทรุดตัวลงนั่งประจันหน้ากับคนเจ็บ  แล้วยกฝ่ามือที่มีแผลขึ้นมาดูครั้นพอเห็นว่าเลือดเริ่มไหลน้อยลงพอสมควร 


    “ทนรังเกียจเอาหน่อยนะพี่ชาละวัน” พูดจบเด็กหนุ่มก็เอาใบไม้ในมือเข้าปากเคี้ยวพอแหลก  แล้วจึงคายออกมาโปะลงที่แผลสดบนมืออีกฝ่าย   เขาทำเช่นนี้อยู่สองถึงสามครั้ง  จากนั้นค่อยใช้ผ้าขาวม้าส่วนที่สะอาดมาฉีกพันทับบนแผลที่พอกไว้อีกทบนึง


    “นี่คือสาปเสือเป็นพืชสมุนไพรที่ช่วยรักษาแผลสด   แต่ต้องตำให้ละเอียดก่อนพอกถึงจะได้ผลดี  หวังว่าพี่ชาละวันคงจะไม่รังเกียจน้ำลายของน้องหรอกนะ”


    “พี่ไม่มีทางรังเกียจอยู่แล้วถ้าเป็นน้องไกรทอง...ของพี่”  ยิ่งถ้าเอาเป็นแบบปากต่อปาก   พี่ย่อมไม่มีรังเกียจอยู่แล้วออกจะรู้สึกดีเสียด้วยซ้ำไป


    สายตาหวานเยิ้มกับคำพูดนุ่มนวลที่ส่งมาให้ทำเอาไกรทองเริ่มรู้เขินอายจนหน้าแดง หูแดงวางไว้วางมือไม่ถูก 


    “ฉะ...ฉัน...เอ่อ...น้องขอลงไปเกี่ยวข้าวต่อก่อนนะ พี่ชาละวันนั่งพักอยู่แถวนี้แหละ”


    แต่ก่อนที่เหยื่อจะหนีไปจระเข้เจ้าเล่ห์รีบคว้าแขนเอาไว้  พร้อมกับมอบรอยยิ้มหวานหยดย้อย  เอ่ยเสียงนุ่มทุ้มหูออดอ้อนกระแทกใจคนให้ละลายอ่อนยวบพอเป็นพิธี 


    “จ๊ะ พี่จะรอน้องไกรทองอยู่ตรงนี้ไม่หนีไปไหน  เกี่ยวข้าวเสร็จแล้วรีบมาหาพี่นะจ๊ะ”


    ความใจแข็งที่หมั่นเพียรท่องอยู่ทุกเมื่อเชื่อวัน  พลันอ่อนยวบกลายเป็นขี้ผึ้งลนไฟทันทีที่ได้สบตากับดวงตาออดอ้อนมีน้ำตาคลอเล็กน้อยให้ใจเขาเริ่มสั่นไหว   และรู้สึกผิดที่เคยทำเมินเฉยกับพี่ชายคนนี้หลายต่อหลายครั้ง 


    ด้วยอารมณ์สงสารประกอบกับที่เขามักจะชอบพ่ายแพ้ให้กับชายหนุ่มเป็นประจำ   ไกรทองจึงใจอ่อนเผลอพยักหน้ารับคำ  “พี่ชาละวันพักผ่อนให้สบายใจเถอะนะจ๊ะ  น้องไปเกี่ยวข้าวเสร็จเดี๋ยวก็มา ”


    ทั้งคำพูดและหน้าตาที่อ่อนโยนของไกรทอง    ทำให้ชาละวันเกิดอารมณ์เสียดายเล็กน้อย    เพราะถ้าได้อยู่กันสองต่อสองอาจจะไม่มีแค่คว้าแขนเอาไว้    ไม่มีแค่เอ่ยเสียงอ้อนให้อีกฝ่ายใจอ่อน....เพราะระดับท่านพญากุมภีร์เช่นเขา   อาจจะมีการดึงเด็กหนุ่มเข้ามากอด...อาจจะมีดึงเข้ามาจับ....อาจจะมีดึงเข้ามาหอม..เข้ามาจูบ...เข้ามากัดเสียให้ทั่วตัว...ว่าแล้วก็นึกเปรี้ยวปาก   ไม่น่าเล่นแผนนี้ตอนที่อยู่ตรงกลางแจ้งคนเยอะแยะเลย   ช่างเถอะเอาไว้โอกาสหน้าก็แล้วกัน   วันพระมันไม่ได้มีแค่หนเดียวหรอกนะ...จริงไหม?


    แต่ครั้นพอเด็กหนุ่มจากไป  ใบหน้าที่เคยงดงามราวเทวดาปั้นแต่งชอบยิ้มแย้มอารมณ์ดีคอยหยอดคำวาน  กลับมาเป็นท่านท้าวพญาชาละวันหน้านิ่ง  ไร้หัวใจ   เจ้าเล่ห์   และปากร้ายเหมือนอย่างเดิม


    “จะแอบดูอีกนานไหมข้าจะได้แกล้งทำเป็นมองไม่เห็นต่อไป”


    “โถ่ๆอย่าเพิ่งนึกเคืองไปเลยท่านท้าวชาละวัน   เกล้ากระหม่อมเพียงแค่เห็นว่าท่านกำลังเกี้ยวพา...”


    “อะแฮ่ม!”


    “แหะๆกำลังติดพัน...เอ๊ย  ยุ่งอยู่เลยไม่กล้าเสนอเสียงรายงานข่าวออกมานะขอรับ..”


    แกไม่อยากเสนอเสียงเพราะเกรงใจข้าหรือว่ากำลังเพลินที่เห็นข้ากำลังเกี้ยว.........กำลังยุ่งอยู่กันแน่ว่ะ...ไอ้เจ้านี่นับวันยิ่งทะเล้นจนจะไม่มีเงาหัวให้เห็นอยู่แล้ว  นิสัยพอกันเลยทั้งเจ้านาย  ทั้งลูกน้อง  ‘พูดถึงก็โผล่มาพอดี  ตายยากจริงๆเลย’


     “ทำไมถึงมานั่งอยู่ตรงนี้ชาละวัน แอบอู้งานเรอะ”


    “ข้าไม่ใช่เอ็งจะได้ชอบอู้งาน.....ดูที่มือข้านี่พันเสียใหญ่ขนาดนี้ยังมองไม่เห็น  ถ้าเป็นงูเอ็งคงโดนฉกตายไปนานแล้ว”


    คณัสนันท์ฟังคำเหน็บเพื่อนชนิดเข้าหูซ้ายทะลุหูขวา  แล้วทรุดตัวนั่งลงข้างๆเพื่อนรักเพื่อจะขอดูแผลในมือ   แต่นั่นไม่ใช่จุดประสงค์ที่แท้จริงในการมาของเขา  “ใครอยู่ข้างใน”


    “ข้าน้อยเองขอรับท่านแม่ทัพ...มีข่าวเคลื่อนไหวจากฝั่งศัตรูจะมารายงานแต่ดันได้มาเห็นอะไรดีๆเลยเพลินจนลืมรายงานขอรับ หุหุ”


    น้ำเสียงหยอกเย้านายเหนือหัว  ช่างฟังดูน่าหมั่นไส้ชนิดอยากลากคอออกมาลงโทษให้เข็ดหลาบ  ดูสิว่าต่อไปจะกล้าปีนหัวเขาอีกหรือไม่?


    “ใจเย็นชาละวันรอเสร็จงานก่อนค่อยจัดการเต็มที่เลย  ฝากเผื่อข้าด้วยนะหมั่นไส้มานานแล้วแต่ไม่มีโอกาส”


    คนปริศนาในพุ่มไม้ร้อง ‘อ้าว’ เบาๆก่อนจะทำหน้ารายงานข่าวต่อไปตามหน้าที่...เสร็จงานใหญ่คราวนี้สงสัยต้องเตรียมแผ่นหนีไปอยู่อื่นสักระยะดีกว่า   ไม่งั้นเขาคงต้องโดนนายเหนือหัวผู้นี้เล่นงานจนหลังอานแน่ๆ


     “หลังจากที่สายสืบที่แฝงตัวเข้าไปได้มีการแจ้งถึงจำนวนกำลังไพร่พลที่มีมากผิดปกติของฝ่ายตรงข้าม   ซึ่งน่าจะเป็นไปได้ว่าเกยชัยกับเฒ่าภามเริ่มคิดทำสงครามกับฝั่งคุ้งเหนือและคุ้งใต้  หลังจากที่พวกมันแอบเก็บตัวอยู่เงียบๆมานานหลายสิบปี   แต่ถึงอย่างนั้นพวกนั้นก็ยังไม่มีทีท่าจะเคลื่อนกำลังพลแต่อย่างใดขอรับ”


    คณัสนันท์ทำทีเป็นห่วงพลิกดูมือชาละวันสองสามรอบ “นอกจากนั้นล่ะ”


    “ได้แค่นี้ขอรับเพราะสายผู้นั้นถูกสังหารทิ้งไปแล้วหลังจากส่งข่าวให้ทางเรา”


    “ไม่ต้องส่งสายสืบเข้าไปอีกแล้ว   แต่ให้เพิ่มการฝึกซ้อมรบแทน   จัดแบ่งกำลังรักษาการณ์ให้เข้มงวดกว่าเดิมด้วย...ไปได้แล้ว ”


    “ขอรับท่านชาละวัน”


    ร่างหนาลุกขึ้นยืนบิดตัวแกล้งเอ่ยเสียงดังๆกลบเกลื่อน “สมน้ำหน้าอยากไม่ระวังดีนัก...เอาเถอะเอ็งนั่งพักอยู่ตรงนี้ไปก่อนเสร็จงานแล้วเดี๋ยวข้ามาตาม”


    “เออๆ ทำงานให้ดีล่ะ”


    รอพวกเอ็งมานานเป็นสิบปีไม่มีเคลื่อนไหว แต่พอจะสะสางอะไรบางอย่างก็ดันเสือกมีการเคลื่อนไหวเหมือนนกรู้มันต้องไม่ใช่เรื่องบังเอิญแน่...งานนี้มีเกลือเป็นหนอน


    คำถามก็คือ   ใคร?   


    ชาละวันมองดูเพื่อนรักลงไปทำงานเกี่ยวข้าวต่อ ส่วนทางฟากไกรทองก็กำลังพูดคุยอยู่กับทองดำซึ่งคงไม่พ้นเรื่องแผลบนมือ...ส่วนเรื่องเจ้าหนูนี่คงต้องรีบลงมือจัดการเร็วๆเพราะถ้าขืนชักช้าพวกมันต้องชิงลงมือตัดหน้าแน่ๆ

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×