ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    ไกรทอง ชาละวันxไกรทอง (yaoi)

    ลำดับตอนที่ #31 : ไกรทอง ตอนที่ 27

    • เนื้อหาตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 2.97K
      30
      17 ต.ค. 58

    ทุกๆวันในช่วงเช้ามืดทองดำจะตื่นขึ้นมาเพื่อจัดเตรียมข้าวของสำคัญในการเดินบิณฑบาตให้พร้อมเป็นประจำโดยมักจะมีไกรทองมาคอยช่วยจัดเตรียมอยู่เสมอ  แม้จะไม่ได้อาศัยอยู่ในวัดเหมือนเมื่อก่อนแต่เด็กหนุ่มก็ไม่เคยละเลยเดินจากบ้านมาช่วยงานที่วัดก่อนใกล้ยามบิณฑบาตอยู่เสมอไม่เคยขาด  จนหลวงตาต้องเอ่ยเตือนว่าอย่ามาช่วยอยู่หลายต่อหลายครั้ง  หากแต่มันก็ยังดื้อดึงมาช่วยงานอย่างแข็งขันและไม่เคยปริปากบ่นว่าเหนื่อยให้ได้ยินเลยสักครั้งเดียว


    จนมีเพียงแค่ช่วงนี้เท่านั้นแหละที่สหายรักหายหน้าไปบ้าง  อาจเป็นเพราะมันต้องมาคอยดูแลพี่ชาละวันที่บาดเจ็บอยู่ที่บ้าน  ทำให้มันมีเวลาว่างปลีกตัวมาช่วยงานที่วัดได้แค่ช่วงกลางวันถึงบ่าย


    หากจะถามว่าโกรธเคืองเพื่อนบ้างไหม?  ทองดำสามารถตอบได้อย่างเต็มปากเต็มคำเลยว่า ไม่!’ ...เขารู้ดีว่าถึงแม้เพื่อนรักจะมาช่วยงานแต่เช้ามืดไม่ได้เหมือนเก่า แต่ถ้าหากวันไหนเป็นวันพระ  วันพระใหญ่  รวมถึงวันสำคัญที่การจัดงานในบริเวณวัด  ไกรทองก็จะรีบแหกขี้ตามาตั้งแต่ไก่ยังไม่ขัน  บางทีอาจจะนอนค้างที่กุฏิกับเขา  เพื่อมาจัดเตรียมสถานที่ให้เรียบร้อยก่อนญาติโยมจะมาทำบุญที่วัด


    เชกเช่นเดียวกันกับเช้ามืดของวันนี้  เนื่องจากวันนี้เป็นวันพระใหญ่ญาติโยมทั้งหลายในหมู่บ้านจะเข้ามาใส่บาตรและฟังเทศน์ฟังธรรมที่วัด  ไกรทองกับทองดำจึงมาช่วยกันปัดกวาด เช็ดถูศาลาฟังธรรมให้สะอาดเรียบร้อย


    แต่วันนี้นอกจากจะมีเด็กหนุ่มทั้งสองคนแล้ว  ก็ยังมีคนมาช่วยทำงานเพิ่มขึ้นมาอีกสามคน  ไม่ใช่คนอื่นคนไกลที่ไหนหรอกนอกจาก  ชาละวัน  คณัสนันท์ และไม้


    ทั้งห้าคนช่วยกันแบ่งหน้าที่กันทำงานการคนละไม้คนละมือ  ไกรทองกับสองหนุ่มช่วยกันลงแรงทำความสะอาดพื้นบนศาลา    ส่วนทองดำกับไม้(ที่ยืนยันจะอยู่กับทองดำ) ช่วยกันทำความสะอาดภาชนะ  ข้าวของเครื่องใช้ทั้งหมดอยู่ที่มุมหนึ่งของศาลา


    จนกระทั่งท้องฟ้าเริ่มเปลี่ยนสีเป็นสีทองอมฟ้าอ่อนๆ  งานทั้งหมดก็เสร็จสรรพเรียบร้อยพอดีพร้อมกับชาละวันที่ตอนนี้หายตัวไปอยู่ไหนก็ไม่มีใครรู้   แม้แต่ชายหนุ่มร่างหนาเองก็ยังไม่รู้ว่าเพื่อนรักของตัวเองหายตัวไปที่ไหนและหายไปตอนไหน?  เพราะตอนที่ช่วยกันทำงานอีกฝ่ายก็ยังอยู่ช่วยงานกันอยู่เลย


    ทองดำแอบมองเห็นไกรทองผู้เป็นสหายเที่ยวแต่ชะเง้อชะแง้คอยืดคอยาวมองหาคนที่หายไป  ใจที่เอาแต่จดจ่อด้วยความเป็นห่วงเลยทันสังเกตเห็นสายตาของเพื่อนที่กำลังมองมา


    แต่ทว่าชายหนุ่มนั้นหายตัวไปไม่นานก็กลับมาพร้อมกับดอกปีบสีขาวเต็มกำมือ  โดยที่คนทั้งสี่ไม่เข้าใจว่าจะเอามาทำไม...หรือจะเอามาวางถวายหน้าองค์พระ


    “มอง...มองอยู่นั้นแหละ  อยากจะรู้กันนักใช่ไหมว่าเอามาทำไม  ถ้าอยากรู้ก็ไปตักน้ำสะอาดมาสักขันสิ  เร็วๆอย่ามัวแต่ชักช้าเดี๋ยวดอกไม้จะเหี่ยวเฉาซะก่อน”


    ชาละวันไม่พูดพร่ำทำเพลงนั่งคัดเลือกดอกปีบแยกออกเป็นสองกองระหว่างรอไม้ไปตักน้ำมาให้  จนเมื่อได้น้ำมาแล้ว  ชายหนุ่มก็ทยอยเอาดอกปีบที่คัดไว้ลงไปล้างน้ำให้สะอาด  จากนั้นจึงค่อยสะเด็ดน้ำเบาๆเพื่อให้หายหยด  แล้วจึงลงมือจับก้านดอกปีบมาถักร้อยเข้าด้วยกันอย่างคนชำนาญมือ  ใช้เวลาไม่นานจากดอกปีบธรรมดาก็กลับกลายเป็นพวงมาลัยดอกปีบน่ารักขนาดเท่าฝ่ามือหนึ่งพวง


    ซึ่งชายหนุ่มตั้งใจเอาไว้แล้วว่าจะนำพวงมาลัยดอกปีบที่ทำขึ้นมาพวงนี้  จะนำไปถวายหน้าองค์พระ  ส่วนดอกปีบที่เหลือเจ้าตัวก็นำมาถักเป็นพวงใหญ่กว่าเล็กน้อย  จากนั้นจึงนำเอาไปแขวนไว้ที่ใต้ต้นโพธิ์ที่อยู่ในวัดเพื่อบูชาเทวดาประจำต้นไม้


    เจ้าดอกปีบสีขาวบริสุทธิ์ล้อมกันเป็นวงดูน่ารัก  ถึงแม้จะเป็นสีขาวดูเรียบๆ  ไม่ดูสวยงามและอยู่ทนนานเหมือนพวงมาลัยดอกไม้ชนิดอื่น  แต่ความงามของพวงมาลัยดอกปีบก็นับว่าดูมีเสน่ห์ให้น่าหลงใหลไม่แพ้กัน


    “ไม่ยักรู้ว่ามือฝีมือทางด้านนี้”  คณัสนันท์ยืนกอดอกมองดูพวงมาลัยดอกปีบในมีเพื่อนรักด้วยสายตาประหลาดใจ


    ...รู้จักกันมาเป็นสิบปีเห็นแต่จับดาบต่อสู้  ไม่เคยเห็นเจ้าหมอนี่จับดอกไม้มาร้อยเป็นพวงให้เห็นเลยสักครั้ง สงสัยกูจะมีบุญได้ชมเป็นบุญตาก็วันนี้นี่แหละวะ


    “พ่อเคยสอนไว้ตอนเป็นเด็ก  เลยยังพอจำวิธีถักได้อยู่บ้าง”


    “หา! พ่อเอ็งเนี่ยนะ!?”  ท่านท้าวโคจรนะรึ!?


    ชาละวันมองค้อนเจ้าเพื่อนรักด้วยความเอือมระอานิดๆ...อยากจะผ่ากะโหลกมันออกมาดูจริงๆ  ไม่รู้จะเข้าใจยากอะไรนักหนาวะ


    “ย่าของข้าท่านชอบดอกปีบมาก  เลยชอบเอาดอกปีบมาถักเป็นพวงมาลัยถวายบูชาพระอยู่บ่อยๆ  แต่เพราะมีพ่อข้าเป็นลูกคนเดียว  ย่าเลยสอนพ่อเอาไว้  แล้วพ่อก็มาสอนข้าอีกทอดหนึ่ง”


    “อ๋อ”  มิน่าล่ะ....


    ขนาดไม้ที่ยืนเงียบมานานยังเอ่ยปากชมว่าสวย  ทองดำขออนุญาตชายหนุ่มคนงามหยิบเจ้าพวงมาลัยพวงน้อยขึ้นมาชื่นชมความใกล้ๆ  ก่อนจะส่งต่อให้ไกรทองดูบ้าง


    “สวยใช่เล่นเลยเนอะ เอ็งว่างั้นไหม?”


    “อืม”


    พวงมาลัยดอกปีบงั้นรึ...ช่างดูคลับคล้ายคลับคลาเหมือนเคยเห็นที่ไหน....เคยเห็นที่ไหนน้า  ต้องเคยเห็นแน่ๆแต่กลับนึกไม่ออกว่าเคยเห็นที่ไหน  ไม่ใช่จากคนในหมู่บ้านนี้แน่ๆเพราะขนาดป้าทองมาที่เก่งงานฝีมือก็ยังทำพวงมาลัยจากดอกปีบไม่เป็นคนที่เหลือในหมู่บ้านก็คงไม่ต้องพูดถึง


    เมื่อเห็นว่าเพื่อนรักนิ่งเงียบไม่พูดอะไรเอาแต่จ้องเจ้าพวงมาลัยไม่ยอมกระพริบตา  ทองดำเลยเอาศอกถองเข้าให้จนเจ้าตัวฟื้นสติด้วยความจุก


    ชิชะ  เพื่อนสะกิดนิดสะกิดหน่อยทำเป็นเจ็บ  เดี๋ยวนี้เอ็งชักจะสำออยบอบบางเยอะขึ้นนะเจ้าไกร


    “อูย...ขอโทษทีนะ  พอดีฉันเห็นว่ามันสวยดีเลยมองเพลินไปหน่อย.....แหม  พี่ชาละวันเนี่ยนอกจากจะหน้าตาดีแล้ว  ยังมีฝีมือทำพวงมาลัยสวยๆเป็นอีก  บอกตรงๆนะถ้าพี่เป็นผู้หญิงสงสัยหัวกะไดบ้านคงจะไม่แห้ง  ผู้ชายเดินขึ้นไม้จนไม้สึกแน่ๆเลยจ๊ะ”


    หลังจากที่ฟังเด็กหนุ่มพูดจบ  คณัสนันท์ถึงกับสำลักน้ำลายเกือบหลุดหัวเราะออกมาเลยทำได้เพียงแค่กระแอมไอเบาๆเพื่อไล่ลมในลำคอให้หายไป  ...อย่าหลุดออกมาเชียวนะเว้ย ไม่งั้นท่านท้าวชาละวันมาคิดบัญชีกูย้อนหลังแน่ๆ


    ไม่ต้องกลายเป็นสตรีหร๊อก  แค่เจ้าหมอนี่เป็นบุรุษผู้หญิงหลายนางก็พากันมาเทียวไล้เทียวขื่อ  แย่งกันทอดเสน่ห์ให้กันอย่างเอาเป็นเอาตายกันจนน่ากลัวเหลือเกิน


    แล้วก็ไม่ผิดจากที่คณัสนันท์ได้กล่าวเอาไว้    เพราะเมื่อผู้คนเริ่มก้าวเข้ามาในบริเวณวัด  สิ่งแรกที่สะดุดก็ย่อมเป็นเจ้าพวงมาลัยขาวสวยงามแปลกตาที่แขวนอยู่บนต้นโพธิ์ใกล้ศาลาวัดและวางไว้หน้าองค์พระ


    ด้วยความสวยและแปลกตาไม่เคยเห็นทำให้ชาวบ้านต่างพากันมุงล้อมดูความชื่นชม  ยิ่งเมื่อรู้ว่าชาละวันเป็นผู้ทำขึ้นมา  นอกเหนือจากผู้เฒ่าผู้แก่แล้ว  บรรดาสาวน้อยสาวใหญ่ที่มาทำบุญที่วัด  ทั้งที่มีผัวแล้วกับที่ยังไม่มีต่างพากันถือโอกาสรีบแย่งกรูเข้ามาหาบทสนทนาพูดคุยกับชายหนุ่มคนงามจนเสียงดังเซ่งแซ่  และมีทีท่าว่าจะมีเพิ่มจำนวนมากขึ้นเรื่อยๆ   จากที่มีแค่สี่ห้าคนตอนนี้กลายเป็นสิบกว่าคนแล้ว


    ชาละวันเลยหันไปขอความช่วยเหลือจากเพื่อนรัก แต่ก็กลับพบว่าเจ้าเพื่อนคนเดียวก็กำลังลำบากจากการถูกรุมล้อมด้วยหญิงสาวเหมือนกันกับเขา


    จะไล่ไปก็ไม่ได้  จะหาทางลุกหนีก็ดันไม่มีช่องทางให้หนีสมดังใจ  พอจะหันไปพึ่งเด็กหนุ่มทั้งสามคนเห็นที่คงจะไม่ได้  เพราะเจ้าพวกนั้นดันถูกเหล่าหญิงสาวผลักกระเด็นให้ไปนั่งสังเกตการณ์กันตาปริบๆอยู่อีกมุมหนึ่งของศาลาไม่กล้าฝ่าวงล้อมเข้ามาช่วย


    จนสุดท้ายเมื่อทำอะไรไม่ได้   สองสหายเลยจำใจต้องแสแสร้งปั้นหน้ายิ้มแย้มพูดคุยกับทุกคนไปเรื่อยๆ  ทั้งๆที่ในใจอยากจะลุกหนีออกไปจากตรงนี้ใจจะขาด


    สาวๆพวกนี้มันจะอะไรกันนักกันหนา  อยากมีผัวขนาดนี้เลยรึไงวะถึงได้ชอบมาวุ่นวายกับพวกเขานัก...โอ๊ย! รำคาญจะตายอยู่แล้ว  เมื่อใดจะลุกไปให้พ้นๆกันสักทีนะ


    อย่าว่าแต่ชาละวันเลยที่รู้สึกหงุดหงิด  ไกรทองเองก็เกิดอาการหงุดหงิดในหัวใจยิบๆไม่แพ้กัน  ยิ่งโดยเฉพาะสองตาดันเห็นพี่ชายคนงามยิ้มแย้มแจ่มใสคุยกับสาวๆด้วยแล้ว....บอกได้เลยว่าโกรธมาก


    รู้อยู่เต็มอกว่าคนหน้าตาดีมักจะเนื้อหอม มีแต่คนมารุมล้อมเอาใจ  แต่อย่างนั้นพี่ชาละวันก็ไม่เห็นจำเป็นต้องเที่ยวใจดีแจกยิ้มหวาน  โปรยเสน่ห์ให้กับบรรดาหญิงสาวถึงขนาดนั้นเลย  เฮอะ! คนเจ้าชู้


    ทางชาละวันเองก็ใช่ว่าจะไม่รู้ถึงสายตาไม่พอใจของเจ้าเด็กน้อยที่จ้องเขม็งมองมาทางที่เขา.....ใจนะอยากจะเดินเข้าไปหยอกล้อ  ไปพูดคุยให้เจ้าตัวดีหายแง่งอนเสียใจแทบขาด  หากจะแต่ก็ติดขัดอยู่กับพวกสตรีน่ารำคาญพวกนี้เท่านั้น  ....ไม่รู้จะแย่งพูดจ้ออะไรกันหนักหนา  พวกผู้เฒ่าผู้แก่ก็เช่นกันรู้ทั้งรู้ว่าสตรีไม่สมควรวิ่งโลดเข้าหาบุรุษก่อนแทนที่จะเข้ามาปรามหรือตักเตือนก็ไม่มี  ....หึ!


    แม้ใจของพญากุมภีร์นั้นจะทั้งด่าและดูถูกเหน็บแหนมกับการกระทำอันด้อยราคาของหญิงสาวเหล่านี้มากแค่ไหน  ใบหน้างดงามก็ยังคงส่งยิ้มหวานหยดย้อยไม่เปลี่ยน   ต่างจากเพื่อนรักที่ตอนนี้เริ่มเมื่อยหน้า  เมื่อยปากจนแทบจะเป็นตะคริวทั้งหน้าอยู่แล้ว


    ไม่นึกเลยว่าการเสแสร้งยิ้มและพูดคุยมันจะเหนื่อยขนาดนี้  เหนื่อยยิ่งกว่าถืออาวุธสู้รบกับศัตรูในสนามสู้รบเสียอีก....ข้าขอยอมแพ้ให้แก่ชาละวันจากใจเลย


    “พวกเอ็งอยู่ที่นี่กันเองเรอะ  ปล่อยให้ข้าตามหาอยู่ได้ตั้งนาน... ไหนๆพวกเอ็งก็นั่งว่างๆอยู่  มาช่วยกันเอาลูกมะพร้าวพวกนี้ไปเฉาะกรองน้ำใส่ขันสะอาดเตรียมไว้ให้หลวงตาท่านฉันหน่อย  ส่วนไอ้พวกส้มโอกับพวกผลไม้ที่มีเปลือกหนาๆก็ไปจัดการปลอกเสียให้เรียบร้อย...เร็วๆอย่ามัวแต่ชักช้าเดี๋ยวหลวงตาท่านจะขึ้นเทศนาเสียก่อน”


    เสียงเข้มที่ออกไปทางดุดันเอ่ยปากสั่งงานดังขึ้นท่ามกลางเสียงจ้อกแจ้กจอแจ  จนทำให้บรรดาเหล่านางกระจิบกระจอกทั้งหลายพากันแตกฮือบินหนีจากไปคนละทิศละทาง  ท่ามกลางความโล่งอกของคณัสนันท์  ชาละวัน และไกรทอง


    ไปกันได้เสียที


    ไม่ต้องรอให้เศรษฐีคำพูดซ้ำอีกเป็นครั้งที่สอง  ทั้งห้าคนรีบช่วยกันคนละไม้คนละมือยกเหล่าผลหมากรากไม้ทั้งหมดเผ่นแผล็วลงจากศาลาฟังธรรมไปกันอย่างรวดเร็ว  โดยมีสายตาเสียดายโอกาสของหญิงสาวทั้งหลายมองตามหลังไปจนลับสายตา  รวมถึงสายตาของหญิงสาวคนงามนามตระเภาทองด้วยเช่นกัน


    เนื่องจากตอนนี้นางนั้นอยู่นอกบ้าน  อีกทั้งยังอยู่ในสายตาของพ่อกับแม่  ตระเภาทองจึงจำใจต้องเก็บกิริยา  สำรวมมารยาทและระมัดระวังคำพูดให้เรียบร้อยอย่างผู้ได้รับการอบรม  ขัดแย้งกับในใจของเจ้าหล่อนที่ร้อนเร่าๆอยากเดินตามไปพูดคุยกับชายในดวงใจเสียเต็มประดา


    ทุกวันนี้ตระเภาทองนั้นทำได้เพียงแค่มองชายหนุ่มในฝันอยู่จากบนบ้านหรือสถานที่ไกลๆเท่านั้น  ไม่สามารถเข้าไปชิดใกล้พูดคุยได้เหมือนแต่ก่อน  ขนาดจะแค่เอ่ยปากทักทายก็ยังไม่มีโอกาสได้เอ่ย  จนใจเริ่มร้อนเดือดเหมือนดั่งมีไฟกองใหญ่มาสุมอยู่ในอกให้รุ่มร้อนก็ไม่ปาน


    ข้าอยากคุย  อยากเดินเข้าไปชิดใกล้เพื่อแสดงให้อีนางพวกนี้ทั้งหลายได้รู้ว่าผู้ชายที่พวกหล่อนพยายามโปรยเสน่ห์ใส่อยู่นั้นนะเป็นของใคร  ไม่ใช่ของส่วนรวมที่ใครก็จะมาใช้ร่วมกันได้


    สายตาที่ร้อนแรงเปี่ยมไปด้วยความโกธาแกมริษยา  ทำให้ตระเภาแก้วผู้เป็นแฝดพี่ต้องรีบเอ่ยปากชี้ชวนให้ดูพวงมาลัยสีขาวแปลกตาที่วางอยู่หน้าองค์พระ   เพื่อเบี่ยงเบนความสนใจและดับไฟที่ร้อนอยู่ด้านในของน้องสาวฝาแฝดให้ดับมอดลง


    “ดูสิจ๊ะน้องทองมาลัยพวงนั้นช่างดูงามแปลกตาเสียจริงเชียว”


    ตระเภาทองมองตามคำชี้ชวนของพี่สาว  แต่ก็เป็นการมองแบบผ่านๆไม่ได้สนใจความงามของมันเลยสักนิด...จะสนใจไปทำไมกะอีแค่ดอกไม้ที่ไม่ใช่ดอกมะลิเอามาทำเป็นพวงมาลัยถวายพระ  แปลกตรงไหน


    หญิงวัยกลางคนที่นั่งอยู่ใกล้สองสาวรีบกระเถิบเข้ามาใกล้ๆ  “เป็นเช่นไรแม่แก้ว  มาลัยดอกปีบสวยมากเลยใช่ไหมจ๊ะ  ป้าจะบอกให้เจ้าของมาลัยพวงนี้นะพ่อวันเขาถักเองกับมือเลยนะจ๊ะ”


    “จริงหรือจ๊ะป้า”


    “อูย  จริงแท้แน่นอน  ไอ้ทองดำบอกกับป้าเองเลยนะ  ว่าพ่อวันไปเก็บดอกปีบมาและเอาก้านถักร้อยเข้าด้วยกันจนกลายมาเป็นพวงมาลัย   ป้าไม่เคยรู้เลยนะว่าดอกปีบนะสามารถเอาก้านของมันมาถักร้อยเป็นพวงมาลัยได้แบบไม่ต้องเอามาร้อยใส่เข็มเหมือนมะลิหรือดอกไม้อื่น”


    สองสาวฝาแฝดต่างพากันนั่งฟังหญิงวัยกลางคนเอ่ยปากชื่นชมฝีมือของชายหนุ่มรูปงามไม่ขาดปาก  นับตั้งแต่รูปร่างหน้าตา  ผิวพรรณ  กิริยาท่าทาง  รวมทั้งงานฝีมือที่ได้เห็นในวันนี้ด้วย  ชนิดที่ว่าถ้าหากเจ้าตัวมาได้ยินคำเยินยอเหล่านี้เข้า  ก็คงจะตัวลอยล่องไปถึงสวรรค์เพราะคำชมของทุกคนเป็นแน่แท้


    ยิ่งนั่งฟังมากเข้าใจของตระเภาทองก็ยิ่งเชื่อฝังใจว่าตนเองนั้นเลือกคู่ครองไม่ผิด  เพราะชายหนุ่มที่เพียบพร้อมด้วยรูปโฉมและความสามารถย่อมต้องคู่ควรกับหญิงสาวที่ดีพร้อมเช่นเจ้าหล่อนหาใช่ใครอื่นไม่ 


    “ไอ้ไม้ไปไหนวะ?  ปกติเห็นตามเอ็งแจยังกะแมลงวันตอม_


    ทองดำที่นั่งผ่ามะพร้าวโป๊กๆอยู่ข้างๆ  แทบนึกอยากจะเปลี่ยนเอามีดอีโต้เฉาะมะพร้าวในมือเป็นหัวเพื่อนรักยิ่งนัก...โถ่  เปรียบกูดีๆหน่อยก็ได้


    แม้จะคันตีน  คิ้วกระตุกที่ถูกเปรียบเป็นของสกปรก  แต่ทองดำก็ขี้คร้านจะเอามาถือสาเลยทำหน้าพยักเพยิดไปทางเสาศาลาที่อยู่ไม่ไกลจากจุดนี้เท่าไรนัก  “มันไปยืนคุยกับพ่อกับพี่มันอยู่ทางโน้นไง  ก็นะ...ไอ้ไม้มาอาศัยอยู่ที่วัดตั้งหลายวันแล้ว  ถ้าขืนมันไม่ยอมไปคุยกับครอบครัวมั้งมีหวังไอ้เพลิงอาละวาดจนวัดพังแน่ๆ”


    “เศรษฐีขวานเกลียดชังข้าเข้ากระดูกดำ  แล้วแกยอมให้ไอ้ไม้มาอยู่ใกล้กับพวกเราแบบนี้จริงๆเหรอวะ ”


    “ตอนแรกแกก็ไม่ยอมเหมือนไอ้เพลิงนั่นแหละ ...เชื่อเถอะว่าถ้าไอ้ไม้หายดีเมื่อไหร่  เราสองคนเตรียมตัวรับแรงโกรธจากแกเหมือนเดิมแน่”


    ...จริงอย่างที่ทองดำว่า  ที่คนบ้านนั้นอยู่อย่างสงบไม่มาหาเรื่องก็เป็นเพราะลูกชายคนเล็ก....เศรษฐีขวานเลยทำเป็นมองข้ามไม่กล้าเข้ามาหาเรื่อง  และหาทางหลบเลี่ยงเพื่อข่มใจไม่ให้มีเรื่องมีราวกับพวกเรา


    แม้จะนั่งห่างไกลกันคนละฟากฝั่งแต่สำหรับสองกุมภีร์ผู้ยิ่งใหญ่ที่แสนหูทิพย์เหลือคณา  ก็ต่างพากันแอบฟังกันหน้าสลอน  โดยชาละวันเลือกจะฟังไกรทองสนทนากับทองดำ  คณัสนันท์เลยต้องรับหน้าที่ฟังไม้คุยกับพ่อและพี่ชาย


    “ได้เรื่องอะไรเพิ่มขึ้นไหม?”


    คณัสนันท์ละมือจากการปอกเปลือกส้มโอ  หันหน้ามาหาคนถาม “จะเอาเรื่องไหนละ?  ระหว่างเรื่องแรกที่พี่ชายเอาแต่แหกปากโวยวายอยากให้น้องกลับบ้าน   เรื่องที่สองพี่ชายพูดเสียงอ่อนเอ่ยกล่อมน้องชายให้กลับบ้าน  และเรื่องสุดท้ายพี่ชายทำเสียงร้องให้ฟูมฟายจะเป็นจะตายอยากให้น้องกลับบ้าน...มา!....เลือกเอาไหนบอกข้ามาได้เลย  เดี๋ยวจะเล่าเจียระไนให้เป็นฉากๆเลย”


    น้ำเสียงที่เอ่ยออกมาอย่างเคร่งขรึมจริงจังช่างดูขัดกลับใบหน้าเปื้อนยิ้มทะเล้นของเพื่อนรักและขัดตาชายหนุ่มยิ่งนัก  จนต้องเอามือที่เปียกน้ำมาสะบัดใส่หน้าอีกฝ่ายไปหนึ่งที  “สรุปแล้วที่ได้ยินมาทั้งหมดก็มีแค่เรื่องพี่ชายอยากให้น้องชายกลับบ้านสินะ”


    คณัสนันท์เอาหน้าที่เปียกน้ำเช็ดกลับแขนเสื้อให้แห้งพร้อมกับส่งเสียงตอบกลับไปสั้นๆว่า เออ


    ...ไอ้เพื่อนบ้าเอ้ย! สะบัดน้ำใส่มาได้  ดูสิเข้าตากูหมดแล้ว   แค่หยอกนิดหยอกหน่อยไม่เห็นต้องลงมือทำร้ายกันเลย


    “แล้วฝั่งนั้นล่ะ  มีเรื่องอะไรน่าสนใจบ้างไหม? ”


    ชาละวันก้มหน้าล้างผลไม้ในมือ “นิดหน่อย”


    “จริงเรอะ? เรื่องอะไร?  เล่าให้ฟังหน่อยสิ”


    ชาละวันถอนหายใจออกมาเบาๆ “.......ทำไมเอ็งถึงไม่ไปช่วยงานทองดำทางด้านโน้นแล้วให้น้องไกรทองมาช่วยงานข้าทางด้านนี้แทน...เฮ้อ! พอมานั่งทำงานกับเอ็งแบบนี้  ใจข้าเหี่ยวเฉาไปหมดเลย  อย่างน้อยๆก็อยากมีอะไรมากระตุ้นให้หัวใจรู้สึกกระชุ่มกระชวยขึ้นมาบ้าง”


    สองหูที่อุตส่าห์ตั้งอกตั้งใจฟังเริ่มกระดิกยิกๆไปพร้อมๆกับเท้าและมือที่มีอาการสั่นกระตุกเป็นระยะๆ  ด้วยเกิดจากน้ำเสียงและสีหน้ากวนอารมณ์ของเพื่อนรักข้างกาย


    “โธ่ๆ  ท่านชาละวันของไอ้นันช่างน่าสงสารเสียนี่กระไร  นึกอยากอยู่ใกล้พลอดรักกับ หญ้าอ่อนแต่น่าเสียด๊าย  เสียดาย  หญ้าอ่อนเนื้อหวานๆกลับกลัวจระเข้ อายุไม่ใช่น้อยเคี้ยวเอา  เลยต้องรีบเผ่นหนีให้พ้นจากปาก”


    คนัสนันท์เสแสร้งทำเสียงโศกเศร้าให้ฟังดูเห็นอกเห็นใจ  แต่ทั้งสายตาและคำพูดกลับเต็มไปด้วยคำเหน็บเหนมใส่เพื่อนรักให้เจ็บแสบเล่น


    ชาละวันที่ถูกกัดดัง หงับก็เริ่มมีอาการเท้ากระตุก  เพราะทุกประโยคที่กล่าวออกมาแทงลึกเข้าไปกลางใจดัง ฉึก จนอยากจะบีบคอไอ้เพื่อนรักให้หายแค้น...นี่ถ้าไม่กลัวว่าภาพลักษณ์พี่ชายแสนดีจะฟังทลายต่อหน้า หญ้าอ่อน.... เจ้าโดนข้าเอาคืนหนักแน่ไอ้เพื่อนเกลอ    

                         

    ชายหนุ่มคนงามยิ้มหวานสดใสแล้วกัดหงับคืนเพื่อนรักให้หนักกว่าเดิมเป็นเท่าตัว “เจ้าเลือกเอานะ  ระหว่างนั่งอยู่เฉยๆเลิกหงับ  เลิกกัดข้า  หรือจะให้ข้าส่งเจ้าไปทำงานกับ พี่ของเจ้า...นี่ข้าใจดีมากแล้วนะที่มีข้อเสนอให้เลือก  ว่ายังไง? จะเลือกทางไหน?  ทางที่หนึ่งหรือทางที่สอง?”   


    กุมภีร์ร่างหนาส่งค้อนให้นายเหนือหัวตาเขียวปั๊ด  ก่อนจะก้มหน้ายอมรับความพ่ายแพ้อย่างหมดท่า “สองทางที่เจ้าให้ข้าเลือก  ข้าคงไม่โง่ไปทำงานกับ พี่ข้าหรอก...ปวดหัวเปล่าๆ”           


    “ข้าว่าก็ไม่แน่”  ชาละวันพูดขึ้นมาลอยๆ  ซึ่งใครเลยจะรู้ว่าไอ้คำพูดไม่สลักสำคัญประโยคนี้  มันจะย่ำกลายเข้ามาใกล้จนทำให้คณัสนันท์ต้องปวดเศียรเวียนเกล้ายกใหญ่


    ตลอดเช้าในวันนี้สำหรับชาละวันแล้วนับว่ามีแต่เรื่องดีๆเข้ามากมาย  อาจคงเป็นเพราะไม่มีสตรีหน้าไหนมาคอยเที่ยวทอกสะพานให้รำคาญใจ  เว้นแต่เหล่าผู้เฒ่าผู้แก่ที่ส่วนใหญ่ล้วนเข้ามาเอ่ยชื่นชมฝีมือในการทำพวงมาลัยดอกปีบ  ครั้นจะให้เขาทำหน้าบูดบึ้งใส่เห็นทีคงจะไม่เหมาะเลยต้องยิ้มรับคำชมมากมายจนปากเริ่มเมื่อย


    “ไว้ว่างๆก็สอนป้าถักบ้างนะพ่อชาละวัน”  ขนาดนางทองมาเมียของเศรษฐีคำยังชื่นชมกลวิธีการทำมาลัยดอกไม้ที่แสนจะเรียบง่ายเช่นนี้  จนต้องออกปากขอให้ช่วยสอนถัก


    “ได้สิจ๊ะ  แต่คงต้องขอให้ผ่านพ้นช่วงเกี่ยวข้าวไปก่อนนะจ๊ะ  อยู่กินๆนอนๆที่บ้านตั้งหลายวันเลยอยากออกไปช่วยคนอื่นทำงานบ้าง”


    ข้ออ้างที่ชายหนุ่มอ้างออกมานับว่าไม่เลว  เพราะทุกคนที่ได้ยินคำอ้างนี้ล้วนชมชอบในความขยันขันแข็ง  แม้มือจะยังเจ็บอยู่ก็อยากไปช่วยทำงาน ช่างงามทั้งรูปกายและจิตใจเสียจริง


    สวนทางกับคณัสนันท์ที่รู้ทันความนึกคิดภายในใจจริงๆของชาละวัน พิโธ่เอ๋ย! วาจาสาลิกาลิ้นทองหาใครเปรียบ  คำพูดจาช่างคดเคี้ยวเลี้ยวลื่นเชกเช่นปลาไหล  ปากบอกอยากออกไปทำงานแต่แท้ที่จริงแล้วก็หาทางเลี่ยงหนีหน้าไม่อยากเจอหน้าแม่สาวแฝดผู้น้องให้รำคาญตา  รำคาญใจ


    “มือพี่ชาละวันหายเจ็บแล้วหรือจ๊ะ  ถึงจะไปทำงานเกี่ยวข้าว  ถ้าหากมือยังไม่หายเจ็บดีก็อย่าเพิ่งฝืนไปทำงานเลยนะจ๊ะ”  ตระเภาแก้วที่นั่งฟังอยู่ข้างหลังมารดา  อดไม่ได้ที่จะเอ่ยปากถามออกมาด้วยความหวังดีและต้องการเอ่ยถามตัดหน้าน้องสาวของตนเพื่อป้องกันคำนินทา


    ทางฝ่ายชาละวันเองก็รู้ทันจึงนอบรับคำห่วงใยที่นางมอบให้มา “แผลที่มือสมานตัวกันดีแล้วไม่ต้องห่วงหรอกนะจ๊ะ  คงเป็นเพราะได้คนดูแลดี  เอาใจใส่  มือข้างที่เจ็บเลยหายสนิท”


    ไกรทองที่นั่งฟังมานานทำเป็นยิ้มหัวเราะเบาๆกับทองดำ  โดยพยายามสะกดใจไม่ให้หน้าเห่อร้อนตามคำหยอดหวานๆทีเล่นทีจริงของชายหนุ่ม......พี่ชาละวัน! ขนาดอยู่ต่อหน้าคนเยอะแยะยังหน้าหนากล้าพูดจาเช่นนี้อีกนะ  สงสัยคงจะแค้นที่แกล้งทำเป็นเมินเฉยไม่เข้าไปช่วยตอนถูกสาวๆรุมล้อม  เลยถือโอกาสแกล้งล้อให้อายเพื่อเป็นการเอาคืน


    จอมเจ้าเล่ห์เอ้ย!’


    “อะแฮ่ม! ก็เอ็งมันเป็นเพื่อนรักของข้าเลยต้องดูแลกันดีๆหน่อย  เดี๋ยวเอ็งหาเรื่องอ้างว่ามือเจ็บไม่ยอมมาช่วยแบ่งเบางานข้ากันพอดี”  คณัสนันท์รีบกระโจนเข้ารับสมอ้าง  คล้องคอเพื่อนรักเอาไว้ก่อนจะแอบกระซิบเบาๆข้างหูให้ได้ยินกันแค่สองคน


    เพลาๆลงหน่อยท่านชาละวัน  รู้ว่ารัก เด็กหลง เด็กมาก แต่ช่วยเกรงใจคนอื่นเขาบ้าง  นี่มันในเขตวัดนะเว้ย


    เออๆ  ก็แค่อยากแกล้งหยอกเล่นหน่อยเดียวเอง


    ท่าทางแกล้งหยอกเย้าของสองสหายล้วนทำให้ผู้คนรอบข้างหัวเราะร่วน 


    ฝ่ายตระเภาทองที่รอโอกาสกำลังจะอ้าปากเอ่ยสนทนากับชายในดวงใจ  ก็ถูกเศรษฐีคำผู้เป็นพ่อที่สนทนาธรรมกับหลวงตาเสร็จแล้วออกปากขอลากลับบ้านตัดหน้า  หญิงสาวเลยจำใจต้องสงบปาก  เก็บอารมณ์ขุ่นเคืองใจ  แสร้งส่งยิ้มหวานลาจากทุกคนบนศาลาแล้วเดินตามหลังคนในครอบครัวลงศาลาไป


    เจ็บใจ  เจ็บใจที่สุดเลย  ทำไมนะ  ทั้งพ่อ  แม่  และพี่แก้ว  ถึงกีดกันความรักของฉันกับพี่ชาละวันกันได้ลงคอ


    ทางด้านเจ้าไม้เองหลังจากครอบครัวของเศรษฐีคำกลับไปได้ไม่นาน  เด็กหนุ่มก็เดินมานั่งรวมกลุ่มกับพวกทองดำเหมือนเดิม  โดยไร้วี่แววคนในครอบครัวของมัน 


    “พ่อกับพี่เอ็งกลับไปแล้วหรือว่ะ?”


    “กลับกันไปหมดแล้ว  พ่อบอกว่าสบายใจแล้วค่อยกลับไปอยู่บ้าน”


    ทองดำพยักหน้าเข้าใจแล้วไม่ถามเซ้าซี้ต่อ  แต่ไม่รู้คิดไปเองหรือปล่าวนะว่าไม้จะดูเกรงๆกลัวๆพี่ชาละวันกับพี่นันทุกครั้งที่ต้องมาอยู่ใกล้ๆ  ถึงจะเคยมีเรื่องมีราวกันมาก่อนแต่มันก็ไม่น่าจะแสดงอาการเช่นนี้...หรือจะคิดมากไปเอง


    ...สงสัยคงเพราะช่วงนี้มันดูหวาดกลัวทุกอย่างรอบกายจนทำให้กลายเป็นขี้คนระแวง...อืม...คงเป็นเช่นนั้นแน่ๆ...


    *******************************************


    ตอนนี้อาจจะดูเรียบๆไปหน่อย  ก็ถือว่าเป็นการพักเบรกแล้วกันเนอะ  เพราะไรเตอร์คิดว่าอีกสักสามสี่ตอนข้างหน้าจะกลายเป็นจุดพีคของไกรทองกับชาละวัน   เลยต้องมีอะไรเบาๆมาให้รองท้องก่อนจะมีเรื่องหนักๆตามมา



    นี่เป็นรูปดอกปีบที่ไรเตอร์ถักเองค่ะ  อาจจะไม่ค่อยสวยเท่าไหร่  วิธีถักดอกปีบก็มีอีกรูปแบบหนึ่งแต่ไรเตอร์ถักไม่เป็นคงต้องกลับบ้านตอนปีใหม่ให้ป้าๆสอนถัก  







    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×