คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #31 : ไกรทอง ตอนที่ 27
ทุกๆวันในช่วงเช้ามืดทองดำจะตื่นขึ้นมาเพื่อจัดเตรียมข้าวของสำคัญในการเดินบิณฑบาตให้พร้อมเป็นประจำโดยมักจะมีไกรทองมาคอยช่วยจัดเตรียมอยู่เสมอ แม้จะไม่ได้อาศัยอยู่ในวัดเหมือนเมื่อก่อนแต่เด็กหนุ่มก็ไม่เคยละเลยเดินจากบ้านมาช่วยงานที่วัดก่อนใกล้ยามบิณฑบาตอยู่เสมอไม่เคยขาด จนหลวงตาต้องเอ่ยเตือนว่าอย่ามาช่วยอยู่หลายต่อหลายครั้ง
หากแต่มันก็ยังดื้อดึงมาช่วยงานอย่างแข็งขันและไม่เคยปริปากบ่นว่าเหนื่อยให้ได้ยินเลยสักครั้งเดียว
จนมีเพียงแค่ช่วงนี้เท่านั้นแหละที่สหายรักหายหน้าไปบ้าง
อาจเป็นเพราะมันต้องมาคอยดูแลพี่ชาละวันที่บาดเจ็บอยู่ที่บ้าน
ทำให้มันมีเวลาว่างปลีกตัวมาช่วยงานที่วัดได้แค่ช่วงกลางวันถึงบ่าย
หากจะถามว่าโกรธเคืองเพื่อนบ้างไหม? ทองดำสามารถตอบได้อย่างเต็มปากเต็มคำเลยว่า ‘ไม่!’ ...เขารู้ดีว่าถึงแม้เพื่อนรักจะมาช่วยงานแต่เช้ามืดไม่ได้เหมือนเก่า
แต่ถ้าหากวันไหนเป็นวันพระ
วันพระใหญ่
รวมถึงวันสำคัญที่การจัดงานในบริเวณวัด
ไกรทองก็จะรีบแหกขี้ตามาตั้งแต่ไก่ยังไม่ขัน บางทีอาจจะนอนค้างที่กุฏิกับเขา เพื่อมาจัดเตรียมสถานที่ให้เรียบร้อยก่อนญาติโยมจะมาทำบุญที่วัด
เชกเช่นเดียวกันกับเช้ามืดของวันนี้
เนื่องจากวันนี้เป็นวันพระใหญ่ญาติโยมทั้งหลายในหมู่บ้านจะเข้ามาใส่บาตรและฟังเทศน์ฟังธรรมที่วัด ไกรทองกับทองดำจึงมาช่วยกันปัดกวาด
เช็ดถูศาลาฟังธรรมให้สะอาดเรียบร้อย
แต่วันนี้นอกจากจะมีเด็กหนุ่มทั้งสองคนแล้ว ก็ยังมีคนมาช่วยทำงานเพิ่มขึ้นมาอีกสามคน ไม่ใช่คนอื่นคนไกลที่ไหนหรอกนอกจาก ชาละวัน
คณัสนันท์ และไม้
ทั้งห้าคนช่วยกันแบ่งหน้าที่กันทำงานการคนละไม้คนละมือ
ไกรทองกับสองหนุ่มช่วยกันลงแรงทำความสะอาดพื้นบนศาลา ส่วนทองดำกับไม้(ที่ยืนยันจะอยู่กับทองดำ)
ช่วยกันทำความสะอาดภาชนะ
ข้าวของเครื่องใช้ทั้งหมดอยู่ที่มุมหนึ่งของศาลา
จนกระทั่งท้องฟ้าเริ่มเปลี่ยนสีเป็นสีทองอมฟ้าอ่อนๆ งานทั้งหมดก็เสร็จสรรพเรียบร้อยพอดีพร้อมกับชาละวันที่ตอนนี้หายตัวไปอยู่ไหนก็ไม่มีใครรู้ แม้แต่ชายหนุ่มร่างหนาเองก็ยังไม่รู้ว่าเพื่อนรักของตัวเองหายตัวไปที่ไหนและหายไปตอนไหน?
เพราะตอนที่ช่วยกันทำงานอีกฝ่ายก็ยังอยู่ช่วยงานกันอยู่เลย
ทองดำแอบมองเห็นไกรทองผู้เป็นสหายเที่ยวแต่ชะเง้อชะแง้คอยืดคอยาวมองหาคนที่หายไป
ใจที่เอาแต่จดจ่อด้วยความเป็นห่วงเลยทันสังเกตเห็นสายตาของเพื่อนที่กำลังมองมา
แต่ทว่าชายหนุ่มนั้นหายตัวไปไม่นานก็กลับมาพร้อมกับดอกปีบสีขาวเต็มกำมือ
โดยที่คนทั้งสี่ไม่เข้าใจว่าจะเอามาทำไม...หรือจะเอามาวางถวายหน้าองค์พระ
“มอง...มองอยู่นั้นแหละ อยากจะรู้กันนักใช่ไหมว่าเอามาทำไม ถ้าอยากรู้ก็ไปตักน้ำสะอาดมาสักขันสิ
เร็วๆอย่ามัวแต่ชักช้าเดี๋ยวดอกไม้จะเหี่ยวเฉาซะก่อน”
ชาละวันไม่พูดพร่ำทำเพลงนั่งคัดเลือกดอกปีบแยกออกเป็นสองกองระหว่างรอไม้ไปตักน้ำมาให้ จนเมื่อได้น้ำมาแล้ว
ชายหนุ่มก็ทยอยเอาดอกปีบที่คัดไว้ลงไปล้างน้ำให้สะอาด จากนั้นจึงค่อยสะเด็ดน้ำเบาๆเพื่อให้หายหยด
แล้วจึงลงมือจับก้านดอกปีบมาถักร้อยเข้าด้วยกันอย่างคนชำนาญมือ
ใช้เวลาไม่นานจากดอกปีบธรรมดาก็กลับกลายเป็นพวงมาลัยดอกปีบน่ารักขนาดเท่าฝ่ามือหนึ่งพวง
ซึ่งชายหนุ่มตั้งใจเอาไว้แล้วว่าจะนำพวงมาลัยดอกปีบที่ทำขึ้นมาพวงนี้ จะนำไปถวายหน้าองค์พระ ส่วนดอกปีบที่เหลือเจ้าตัวก็นำมาถักเป็นพวงใหญ่กว่าเล็กน้อย
จากนั้นจึงนำเอาไปแขวนไว้ที่ใต้ต้นโพธิ์ที่อยู่ในวัดเพื่อบูชาเทวดาประจำต้นไม้
เจ้าดอกปีบสีขาวบริสุทธิ์ล้อมกันเป็นวงดูน่ารัก ถึงแม้จะเป็นสีขาวดูเรียบๆ ไม่ดูสวยงามและอยู่ทนนานเหมือนพวงมาลัยดอกไม้ชนิดอื่น แต่ความงามของพวงมาลัยดอกปีบก็นับว่าดูมีเสน่ห์ให้น่าหลงใหลไม่แพ้กัน
“ไม่ยักรู้ว่ามือฝีมือทางด้านนี้”
คณัสนันท์ยืนกอดอกมองดูพวงมาลัยดอกปีบในมีเพื่อนรักด้วยสายตาประหลาดใจ
...รู้จักกันมาเป็นสิบปีเห็นแต่จับดาบต่อสู้
ไม่เคยเห็นเจ้าหมอนี่จับดอกไม้มาร้อยเป็นพวงให้เห็นเลยสักครั้ง ‘สงสัยกูจะมีบุญได้ชมเป็นบุญตาก็วันนี้นี่แหละวะ’
“พ่อเคยสอนไว้ตอนเป็นเด็ก เลยยังพอจำวิธีถักได้อยู่บ้าง”
“หา! พ่อเอ็งเนี่ยนะ!?” ท่านท้าวโคจรนะรึ!?
ชาละวันมองค้อนเจ้าเพื่อนรักด้วยความเอือมระอานิดๆ...อยากจะผ่ากะโหลกมันออกมาดูจริงๆ ไม่รู้จะเข้าใจยากอะไรนักหนาวะ
“ย่าของข้าท่านชอบดอกปีบมาก
เลยชอบเอาดอกปีบมาถักเป็นพวงมาลัยถวายบูชาพระอยู่บ่อยๆ แต่เพราะมีพ่อข้าเป็นลูกคนเดียว ย่าเลยสอนพ่อเอาไว้ แล้วพ่อก็มาสอนข้าอีกทอดหนึ่ง”
“อ๋อ” มิน่าล่ะ....
ขนาดไม้ที่ยืนเงียบมานานยังเอ่ยปากชมว่าสวย ทองดำขออนุญาตชายหนุ่มคนงามหยิบเจ้าพวงมาลัยพวงน้อยขึ้นมาชื่นชมความใกล้ๆ ก่อนจะส่งต่อให้ไกรทองดูบ้าง
“สวยใช่เล่นเลยเนอะ
เอ็งว่างั้นไหม?”
“อืม”
พวงมาลัยดอกปีบงั้นรึ...ช่างดูคลับคล้ายคลับคลาเหมือนเคยเห็นที่ไหน....เคยเห็นที่ไหนน้า
ต้องเคยเห็นแน่ๆแต่กลับนึกไม่ออกว่าเคยเห็นที่ไหน ไม่ใช่จากคนในหมู่บ้านนี้แน่ๆเพราะขนาดป้าทองมาที่เก่งงานฝีมือก็ยังทำพวงมาลัยจากดอกปีบไม่เป็นคนที่เหลือในหมู่บ้านก็คงไม่ต้องพูดถึง
เมื่อเห็นว่าเพื่อนรักนิ่งเงียบไม่พูดอะไรเอาแต่จ้องเจ้าพวงมาลัยไม่ยอมกระพริบตา
ทองดำเลยเอาศอกถองเข้าให้จนเจ้าตัวฟื้นสติด้วยความจุก
ชิชะ เพื่อนสะกิดนิดสะกิดหน่อยทำเป็นเจ็บ
เดี๋ยวนี้เอ็งชักจะสำออยบอบบางเยอะขึ้นนะเจ้าไกร
“อูย...ขอโทษทีนะ
พอดีฉันเห็นว่ามันสวยดีเลยมองเพลินไปหน่อย.....แหม พี่ชาละวันเนี่ยนอกจากจะหน้าตาดีแล้ว ยังมีฝีมือทำพวงมาลัยสวยๆเป็นอีก บอกตรงๆนะถ้าพี่เป็นผู้หญิงสงสัยหัวกะไดบ้านคงจะไม่แห้ง ผู้ชายเดินขึ้นไม้จนไม้สึกแน่ๆเลยจ๊ะ”
หลังจากที่ฟังเด็กหนุ่มพูดจบ
คณัสนันท์ถึงกับสำลักน้ำลายเกือบหลุดหัวเราะออกมาเลยทำได้เพียงแค่กระแอมไอเบาๆเพื่อไล่ลมในลำคอให้หายไป ...อย่าหลุดออกมาเชียวนะเว้ย
ไม่งั้นท่านท้าวชาละวันมาคิดบัญชีกูย้อนหลังแน่ๆ
‘ไม่ต้องกลายเป็นสตรีหร๊อก
แค่เจ้าหมอนี่เป็นบุรุษผู้หญิงหลายนางก็พากันมาเทียวไล้เทียวขื่อ
แย่งกันทอดเสน่ห์ให้กันอย่างเอาเป็นเอาตายกันจนน่ากลัวเหลือเกิน’
แล้วก็ไม่ผิดจากที่คณัสนันท์ได้กล่าวเอาไว้
เพราะเมื่อผู้คนเริ่มก้าวเข้ามาในบริเวณวัด สิ่งแรกที่สะดุดก็ย่อมเป็นเจ้าพวงมาลัยขาวสวยงามแปลกตาที่แขวนอยู่บนต้นโพธิ์ใกล้ศาลาวัดและวางไว้หน้าองค์พระ
ด้วยความสวยและแปลกตาไม่เคยเห็นทำให้ชาวบ้านต่างพากันมุงล้อมดูความชื่นชม ยิ่งเมื่อรู้ว่าชาละวันเป็นผู้ทำขึ้นมา นอกเหนือจากผู้เฒ่าผู้แก่แล้ว บรรดาสาวน้อยสาวใหญ่ที่มาทำบุญที่วัด
ทั้งที่มีผัวแล้วกับที่ยังไม่มีต่างพากันถือโอกาสรีบแย่งกรูเข้ามาหาบทสนทนาพูดคุยกับชายหนุ่มคนงามจนเสียงดังเซ่งแซ่
และมีทีท่าว่าจะมีเพิ่มจำนวนมากขึ้นเรื่อยๆ
จากที่มีแค่สี่ห้าคนตอนนี้กลายเป็นสิบกว่าคนแล้ว
ชาละวันเลยหันไปขอความช่วยเหลือจากเพื่อนรัก
แต่ก็กลับพบว่าเจ้าเพื่อนคนเดียวก็กำลังลำบากจากการถูกรุมล้อมด้วยหญิงสาวเหมือนกันกับเขา
จะไล่ไปก็ไม่ได้
จะหาทางลุกหนีก็ดันไม่มีช่องทางให้หนีสมดังใจ
พอจะหันไปพึ่งเด็กหนุ่มทั้งสามคนเห็นที่คงจะไม่ได้ เพราะเจ้าพวกนั้นดันถูกเหล่าหญิงสาวผลักกระเด็นให้ไปนั่งสังเกตการณ์กันตาปริบๆอยู่อีกมุมหนึ่งของศาลาไม่กล้าฝ่าวงล้อมเข้ามาช่วย
จนสุดท้ายเมื่อทำอะไรไม่ได้
สองสหายเลยจำใจต้องแสแสร้งปั้นหน้ายิ้มแย้มพูดคุยกับทุกคนไปเรื่อยๆ ทั้งๆที่ในใจอยากจะลุกหนีออกไปจากตรงนี้ใจจะขาด
สาวๆพวกนี้มันจะอะไรกันนักกันหนา อยากมีผัวขนาดนี้เลยรึไงวะถึงได้ชอบมาวุ่นวายกับพวกเขานัก...โอ๊ย! รำคาญจะตายอยู่แล้ว เมื่อใดจะลุกไปให้พ้นๆกันสักทีนะ
อย่าว่าแต่ชาละวันเลยที่รู้สึกหงุดหงิด
ไกรทองเองก็เกิดอาการหงุดหงิดในหัวใจยิบๆไม่แพ้กัน
ยิ่งโดยเฉพาะสองตาดันเห็นพี่ชายคนงามยิ้มแย้มแจ่มใสคุยกับสาวๆด้วยแล้ว....บอกได้เลยว่าโกรธมาก
รู้อยู่เต็มอกว่าคนหน้าตาดีมักจะเนื้อหอม
มีแต่คนมารุมล้อมเอาใจ
แต่อย่างนั้นพี่ชาละวันก็ไม่เห็นจำเป็นต้องเที่ยวใจดีแจกยิ้มหวาน โปรยเสน่ห์ให้กับบรรดาหญิงสาวถึงขนาดนั้นเลย ‘เฮอะ! คนเจ้าชู้’
ทางชาละวันเองก็ใช่ว่าจะไม่รู้ถึงสายตาไม่พอใจของเจ้าเด็กน้อยที่จ้องเขม็งมองมาทางที่เขา.....ใจนะอยากจะเดินเข้าไปหยอกล้อ
ไปพูดคุยให้เจ้าตัวดีหายแง่งอนเสียใจแทบขาด
หากจะแต่ก็ติดขัดอยู่กับพวกสตรีน่ารำคาญพวกนี้เท่านั้น ....ไม่รู้จะแย่งพูดจ้ออะไรกันหนักหนา พวกผู้เฒ่าผู้แก่ก็เช่นกันรู้ทั้งรู้ว่าสตรีไม่สมควรวิ่งโลดเข้าหาบุรุษก่อนแทนที่จะเข้ามาปรามหรือตักเตือนก็ไม่มี ....หึ!
แม้ใจของพญากุมภีร์นั้นจะทั้งด่าและดูถูกเหน็บแหนมกับการกระทำอันด้อยราคาของหญิงสาวเหล่านี้มากแค่ไหน ใบหน้างดงามก็ยังคงส่งยิ้มหวานหยดย้อยไม่เปลี่ยน ต่างจากเพื่อนรักที่ตอนนี้เริ่มเมื่อยหน้า เมื่อยปากจนแทบจะเป็นตะคริวทั้งหน้าอยู่แล้ว
‘ไม่นึกเลยว่าการเสแสร้งยิ้มและพูดคุยมันจะเหนื่อยขนาดนี้
เหนื่อยยิ่งกว่าถืออาวุธสู้รบกับศัตรูในสนามสู้รบเสียอีก....ข้าขอยอมแพ้ให้แก่ชาละวันจากใจเลย’
“พวกเอ็งอยู่ที่นี่กันเองเรอะ ปล่อยให้ข้าตามหาอยู่ได้ตั้งนาน... ไหนๆพวกเอ็งก็นั่งว่างๆอยู่ มาช่วยกันเอาลูกมะพร้าวพวกนี้ไปเฉาะกรองน้ำใส่ขันสะอาดเตรียมไว้ให้หลวงตาท่านฉันหน่อย ส่วนไอ้พวกส้มโอกับพวกผลไม้ที่มีเปลือกหนาๆก็ไปจัดการปลอกเสียให้เรียบร้อย...เร็วๆอย่ามัวแต่ชักช้าเดี๋ยวหลวงตาท่านจะขึ้นเทศนาเสียก่อน”
เสียงเข้มที่ออกไปทางดุดันเอ่ยปากสั่งงานดังขึ้นท่ามกลางเสียงจ้อกแจ้กจอแจ จนทำให้บรรดาเหล่านางกระจิบกระจอกทั้งหลายพากันแตกฮือบินหนีจากไปคนละทิศละทาง ท่ามกลางความโล่งอกของคณัสนันท์ ชาละวัน และไกรทอง
‘ไปกันได้เสียที’
ไม่ต้องรอให้เศรษฐีคำพูดซ้ำอีกเป็นครั้งที่สอง ทั้งห้าคนรีบช่วยกันคนละไม้คนละมือยกเหล่าผลหมากรากไม้ทั้งหมดเผ่นแผล็วลงจากศาลาฟังธรรมไปกันอย่างรวดเร็ว
โดยมีสายตาเสียดายโอกาสของหญิงสาวทั้งหลายมองตามหลังไปจนลับสายตา รวมถึงสายตาของหญิงสาวคนงามนามตระเภาทองด้วยเช่นกัน
เนื่องจากตอนนี้นางนั้นอยู่นอกบ้าน อีกทั้งยังอยู่ในสายตาของพ่อกับแม่ ตระเภาทองจึงจำใจต้องเก็บกิริยา
สำรวมมารยาทและระมัดระวังคำพูดให้เรียบร้อยอย่างผู้ได้รับการอบรม ขัดแย้งกับในใจของเจ้าหล่อนที่ร้อนเร่าๆอยากเดินตามไปพูดคุยกับชายในดวงใจเสียเต็มประดา
ทุกวันนี้ตระเภาทองนั้นทำได้เพียงแค่มองชายหนุ่มในฝันอยู่จากบนบ้านหรือสถานที่ไกลๆเท่านั้น ไม่สามารถเข้าไปชิดใกล้พูดคุยได้เหมือนแต่ก่อน ขนาดจะแค่เอ่ยปากทักทายก็ยังไม่มีโอกาสได้เอ่ย จนใจเริ่มร้อนเดือดเหมือนดั่งมีไฟกองใหญ่มาสุมอยู่ในอกให้รุ่มร้อนก็ไม่ปาน
‘ข้าอยากคุย
อยากเดินเข้าไปชิดใกล้เพื่อแสดงให้อีนางพวกนี้ทั้งหลายได้รู้ว่าผู้ชายที่พวกหล่อนพยายามโปรยเสน่ห์ใส่อยู่นั้นนะเป็นของใคร ไม่ใช่ของส่วนรวมที่ใครก็จะมาใช้ร่วมกันได้’
สายตาที่ร้อนแรงเปี่ยมไปด้วยความโกธาแกมริษยา
ทำให้ตระเภาแก้วผู้เป็นแฝดพี่ต้องรีบเอ่ยปากชี้ชวนให้ดูพวงมาลัยสีขาวแปลกตาที่วางอยู่หน้าองค์พระ เพื่อเบี่ยงเบนความสนใจและดับไฟที่ร้อนอยู่ด้านในของน้องสาวฝาแฝดให้ดับมอดลง
“ดูสิจ๊ะน้องทองมาลัยพวงนั้นช่างดูงามแปลกตาเสียจริงเชียว”
ตระเภาทองมองตามคำชี้ชวนของพี่สาว
แต่ก็เป็นการมองแบบผ่านๆไม่ได้สนใจความงามของมันเลยสักนิด...จะสนใจไปทำไมกะอีแค่ดอกไม้ที่ไม่ใช่ดอกมะลิเอามาทำเป็นพวงมาลัยถวายพระ แปลกตรงไหน
หญิงวัยกลางคนที่นั่งอยู่ใกล้สองสาวรีบกระเถิบเข้ามาใกล้ๆ “เป็นเช่นไรแม่แก้ว มาลัยดอกปีบสวยมากเลยใช่ไหมจ๊ะ ป้าจะบอกให้เจ้าของมาลัยพวงนี้นะพ่อวันเขาถักเองกับมือเลยนะจ๊ะ”
“จริงหรือจ๊ะป้า”
“อูย จริงแท้แน่นอน
ไอ้ทองดำบอกกับป้าเองเลยนะ
ว่าพ่อวันไปเก็บดอกปีบมาและเอาก้านถักร้อยเข้าด้วยกันจนกลายมาเป็นพวงมาลัย
ป้าไม่เคยรู้เลยนะว่าดอกปีบนะสามารถเอาก้านของมันมาถักร้อยเป็นพวงมาลัยได้แบบไม่ต้องเอามาร้อยใส่เข็มเหมือนมะลิหรือดอกไม้อื่น”
สองสาวฝาแฝดต่างพากันนั่งฟังหญิงวัยกลางคนเอ่ยปากชื่นชมฝีมือของชายหนุ่มรูปงามไม่ขาดปาก นับตั้งแต่รูปร่างหน้าตา ผิวพรรณ
กิริยาท่าทาง รวมทั้งงานฝีมือที่ได้เห็นในวันนี้ด้วย
ชนิดที่ว่าถ้าหากเจ้าตัวมาได้ยินคำเยินยอเหล่านี้เข้า
ก็คงจะตัวลอยล่องไปถึงสวรรค์เพราะคำชมของทุกคนเป็นแน่แท้
ยิ่งนั่งฟังมากเข้าใจของตระเภาทองก็ยิ่งเชื่อฝังใจว่าตนเองนั้นเลือกคู่ครองไม่ผิด
เพราะชายหนุ่มที่เพียบพร้อมด้วยรูปโฉมและความสามารถย่อมต้องคู่ควรกับหญิงสาวที่ดีพร้อมเช่นเจ้าหล่อนหาใช่ใครอื่นไม่
“ไอ้ไม้ไปไหนวะ? ปกติเห็นตามเอ็งแจยังกะแมลงวันตอม_”
ทองดำที่นั่งผ่ามะพร้าวโป๊กๆอยู่ข้างๆ
แทบนึกอยากจะเปลี่ยนเอามีดอีโต้เฉาะมะพร้าวในมือเป็นหัวเพื่อนรักยิ่งนัก...โถ่ เปรียบกูดีๆหน่อยก็ได้
แม้จะคันตีน คิ้วกระตุกที่ถูกเปรียบเป็นของสกปรก แต่ทองดำก็ขี้คร้านจะเอามาถือสาเลยทำหน้าพยักเพยิดไปทางเสาศาลาที่อยู่ไม่ไกลจากจุดนี้เท่าไรนัก “มันไปยืนคุยกับพ่อกับพี่มันอยู่ทางโน้นไง
ก็นะ...ไอ้ไม้มาอาศัยอยู่ที่วัดตั้งหลายวันแล้ว
ถ้าขืนมันไม่ยอมไปคุยกับครอบครัวมั้งมีหวังไอ้เพลิงอาละวาดจนวัดพังแน่ๆ”
“เศรษฐีขวานเกลียดชังข้าเข้ากระดูกดำ แล้วแกยอมให้ไอ้ไม้มาอยู่ใกล้กับพวกเราแบบนี้จริงๆเหรอวะ
”
“ตอนแรกแกก็ไม่ยอมเหมือนไอ้เพลิงนั่นแหละ
...เชื่อเถอะว่าถ้าไอ้ไม้หายดีเมื่อไหร่
เราสองคนเตรียมตัวรับแรงโกรธจากแกเหมือนเดิมแน่”
...จริงอย่างที่ทองดำว่า
ที่คนบ้านนั้นอยู่อย่างสงบไม่มาหาเรื่องก็เป็นเพราะลูกชายคนเล็ก....เศรษฐีขวานเลยทำเป็นมองข้ามไม่กล้าเข้ามาหาเรื่อง
และหาทางหลบเลี่ยงเพื่อข่มใจไม่ให้มีเรื่องมีราวกับพวกเรา
แม้จะนั่งห่างไกลกันคนละฟากฝั่งแต่สำหรับสองกุมภีร์ผู้ยิ่งใหญ่ที่แสนหูทิพย์เหลือคณา ก็ต่างพากันแอบฟังกันหน้าสลอน โดยชาละวันเลือกจะฟังไกรทองสนทนากับทองดำ คณัสนันท์เลยต้องรับหน้าที่ฟังไม้คุยกับพ่อและพี่ชาย
“ได้เรื่องอะไรเพิ่มขึ้นไหม?”
คณัสนันท์ละมือจากการปอกเปลือกส้มโอ หันหน้ามาหาคนถาม “จะเอาเรื่องไหนละ?
ระหว่างเรื่องแรกที่พี่ชายเอาแต่แหกปากโวยวายอยากให้น้องกลับบ้าน เรื่องที่สองพี่ชายพูดเสียงอ่อนเอ่ยกล่อมน้องชายให้กลับบ้าน และเรื่องสุดท้ายพี่ชายทำเสียงร้องให้ฟูมฟายจะเป็นจะตายอยากให้น้องกลับบ้าน...มา!....เลือกเอาไหนบอกข้ามาได้เลย
เดี๋ยวจะเล่าเจียระไนให้เป็นฉากๆเลย”
น้ำเสียงที่เอ่ยออกมาอย่างเคร่งขรึมจริงจังช่างดูขัดกลับใบหน้าเปื้อนยิ้มทะเล้นของเพื่อนรักและขัดตาชายหนุ่มยิ่งนัก จนต้องเอามือที่เปียกน้ำมาสะบัดใส่หน้าอีกฝ่ายไปหนึ่งที “สรุปแล้วที่ได้ยินมาทั้งหมดก็มีแค่เรื่องพี่ชายอยากให้น้องชายกลับบ้านสินะ”
คณัสนันท์เอาหน้าที่เปียกน้ำเช็ดกลับแขนเสื้อให้แห้งพร้อมกับส่งเสียงตอบกลับไปสั้นๆว่า
‘เออ’
...ไอ้เพื่อนบ้าเอ้ย! สะบัดน้ำใส่มาได้ ดูสิเข้าตากูหมดแล้ว
แค่หยอกนิดหยอกหน่อยไม่เห็นต้องลงมือทำร้ายกันเลย
“แล้วฝั่งนั้นล่ะ มีเรื่องอะไรน่าสนใจบ้างไหม? ”
ชาละวันก้มหน้าล้างผลไม้ในมือ
“นิดหน่อย”
“จริงเรอะ?
เรื่องอะไร? เล่าให้ฟังหน่อยสิ”
ชาละวันถอนหายใจออกมาเบาๆ
“.......ทำไมเอ็งถึงไม่ไปช่วยงานทองดำทางด้านโน้นแล้วให้น้องไกรทองมาช่วยงานข้าทางด้านนี้แทน...เฮ้อ! พอมานั่งทำงานกับเอ็งแบบนี้ ใจข้าเหี่ยวเฉาไปหมดเลย
อย่างน้อยๆก็อยากมีอะไรมากระตุ้นให้หัวใจรู้สึกกระชุ่มกระชวยขึ้นมาบ้าง”
สองหูที่อุตส่าห์ตั้งอกตั้งใจฟังเริ่มกระดิกยิกๆไปพร้อมๆกับเท้าและมือที่มีอาการสั่นกระตุกเป็นระยะๆ
ด้วยเกิดจากน้ำเสียงและสีหน้ากวนอารมณ์ของเพื่อนรักข้างกาย
“โธ่ๆ ท่านชาละวันของไอ้นันช่างน่าสงสารเสียนี่กระไร นึกอยากอยู่ใกล้พลอดรักกับ ‘หญ้าอ่อน’ แต่น่าเสียด๊าย เสียดาย ‘หญ้าอ่อน’ เนื้อหวานๆกลับกลัวจระเข้ ‘อายุไม่ใช่น้อย’ เคี้ยวเอา เลยต้องรีบเผ่นหนีให้พ้นจากปาก”
คนัสนันท์เสแสร้งทำเสียงโศกเศร้าให้ฟังดูเห็นอกเห็นใจ แต่ทั้งสายตาและคำพูดกลับเต็มไปด้วยคำเหน็บเหนมใส่เพื่อนรักให้เจ็บแสบเล่น
ชาละวันที่ถูกกัดดัง ‘หงับ’ ก็เริ่มมีอาการเท้ากระตุก เพราะทุกประโยคที่กล่าวออกมาแทงลึกเข้าไปกลางใจดัง ‘ฉึก’ จนอยากจะบีบคอไอ้เพื่อนรักให้หายแค้น...นี่ถ้าไม่กลัวว่าภาพลักษณ์พี่ชายแสนดีจะฟังทลายต่อหน้า ‘หญ้าอ่อน’.... ‘เจ้าโดนข้าเอาคืนหนักแน่ไอ้เพื่อนเกลอ’
ชายหนุ่มคนงามยิ้มหวานสดใสแล้วกัดหงับคืนเพื่อนรักให้หนักกว่าเดิมเป็นเท่าตัว
“เจ้าเลือกเอานะ
ระหว่างนั่งอยู่เฉยๆเลิกหงับ
เลิกกัดข้า
หรือจะให้ข้าส่งเจ้าไปทำงานกับ ‘พี่’ ของเจ้า...นี่ข้าใจดีมากแล้วนะที่มีข้อเสนอให้เลือก ว่ายังไง? จะเลือกทางไหน? ทางที่หนึ่งหรือทางที่สอง?”
กุมภีร์ร่างหนาส่งค้อนให้นายเหนือหัวตาเขียวปั๊ด ก่อนจะก้มหน้ายอมรับความพ่ายแพ้อย่างหมดท่า “สองทางที่เจ้าให้ข้าเลือก ข้าคงไม่โง่ไปทำงานกับ ‘พี่’ ข้าหรอก...ปวดหัวเปล่าๆ”
“ข้าว่าก็ไม่แน่” ชาละวันพูดขึ้นมาลอยๆ
ซึ่งใครเลยจะรู้ว่าไอ้คำพูดไม่สลักสำคัญประโยคนี้
มันจะย่ำกลายเข้ามาใกล้จนทำให้คณัสนันท์ต้องปวดเศียรเวียนเกล้ายกใหญ่
ตลอดเช้าในวันนี้สำหรับชาละวันแล้วนับว่ามีแต่เรื่องดีๆเข้ามากมาย
อาจคงเป็นเพราะไม่มีสตรีหน้าไหนมาคอยเที่ยวทอกสะพานให้รำคาญใจ
เว้นแต่เหล่าผู้เฒ่าผู้แก่ที่ส่วนใหญ่ล้วนเข้ามาเอ่ยชื่นชมฝีมือในการทำพวงมาลัยดอกปีบ ครั้นจะให้เขาทำหน้าบูดบึ้งใส่เห็นทีคงจะไม่เหมาะเลยต้องยิ้มรับคำชมมากมายจนปากเริ่มเมื่อย
“ไว้ว่างๆก็สอนป้าถักบ้างนะพ่อชาละวัน” ขนาดนางทองมาเมียของเศรษฐีคำยังชื่นชมกลวิธีการทำมาลัยดอกไม้ที่แสนจะเรียบง่ายเช่นนี้ จนต้องออกปากขอให้ช่วยสอนถัก
“ได้สิจ๊ะ
แต่คงต้องขอให้ผ่านพ้นช่วงเกี่ยวข้าวไปก่อนนะจ๊ะ
อยู่กินๆนอนๆที่บ้านตั้งหลายวันเลยอยากออกไปช่วยคนอื่นทำงานบ้าง”
ข้ออ้างที่ชายหนุ่มอ้างออกมานับว่าไม่เลว
เพราะทุกคนที่ได้ยินคำอ้างนี้ล้วนชมชอบในความขยันขันแข็ง แม้มือจะยังเจ็บอยู่ก็อยากไปช่วยทำงาน ‘ช่างงามทั้งรูปกายและจิตใจเสียจริง’
สวนทางกับคณัสนันท์ที่รู้ทันความนึกคิดภายในใจจริงๆของชาละวัน
‘พิโธ่เอ๋ย! วาจาสาลิกาลิ้นทองหาใครเปรียบ
คำพูดจาช่างคดเคี้ยวเลี้ยวลื่นเชกเช่นปลาไหล ปากบอกอยากออกไปทำงานแต่แท้ที่จริงแล้วก็หาทางเลี่ยงหนีหน้าไม่อยากเจอหน้าแม่สาวแฝดผู้น้องให้รำคาญตา รำคาญใจ’
“มือพี่ชาละวันหายเจ็บแล้วหรือจ๊ะ ถึงจะไปทำงานเกี่ยวข้าว ถ้าหากมือยังไม่หายเจ็บดีก็อย่าเพิ่งฝืนไปทำงานเลยนะจ๊ะ” ตระเภาแก้วที่นั่งฟังอยู่ข้างหลังมารดา
อดไม่ได้ที่จะเอ่ยปากถามออกมาด้วยความหวังดีและต้องการเอ่ยถามตัดหน้าน้องสาวของตนเพื่อป้องกันคำนินทา
ทางฝ่ายชาละวันเองก็รู้ทันจึงนอบรับคำห่วงใยที่นางมอบให้มา
“แผลที่มือสมานตัวกันดีแล้วไม่ต้องห่วงหรอกนะจ๊ะ
คงเป็นเพราะได้คนดูแลดี
เอาใจใส่ มือข้างที่เจ็บเลยหายสนิท”
ไกรทองที่นั่งฟังมานานทำเป็นยิ้มหัวเราะเบาๆกับทองดำ
โดยพยายามสะกดใจไม่ให้หน้าเห่อร้อนตามคำหยอดหวานๆทีเล่นทีจริงของชายหนุ่ม......พี่ชาละวัน! ขนาดอยู่ต่อหน้าคนเยอะแยะยังหน้าหนากล้าพูดจาเช่นนี้อีกนะ
สงสัยคงจะแค้นที่แกล้งทำเป็นเมินเฉยไม่เข้าไปช่วยตอนถูกสาวๆรุมล้อม เลยถือโอกาสแกล้งล้อให้อายเพื่อเป็นการเอาคืน
‘จอมเจ้าเล่ห์เอ้ย!’
“อะแฮ่ม! ก็เอ็งมันเป็นเพื่อนรักของข้าเลยต้องดูแลกันดีๆหน่อย เดี๋ยวเอ็งหาเรื่องอ้างว่ามือเจ็บไม่ยอมมาช่วยแบ่งเบางานข้ากันพอดี” คณัสนันท์รีบกระโจนเข้ารับสมอ้าง คล้องคอเพื่อนรักเอาไว้ก่อนจะแอบกระซิบเบาๆข้างหูให้ได้ยินกันแค่สองคน
‘เพลาๆลงหน่อยท่านชาละวัน
รู้ว่ารัก ‘เด็ก’ หลง ‘เด็ก’มาก แต่ช่วยเกรงใจคนอื่นเขาบ้าง นี่มันในเขตวัดนะเว้ย’
‘เออๆ ก็แค่อยากแกล้งหยอกเล่นหน่อยเดียวเอง’
ท่าทางแกล้งหยอกเย้าของสองสหายล้วนทำให้ผู้คนรอบข้างหัวเราะร่วน
ฝ่ายตระเภาทองที่รอโอกาสกำลังจะอ้าปากเอ่ยสนทนากับชายในดวงใจ
ก็ถูกเศรษฐีคำผู้เป็นพ่อที่สนทนาธรรมกับหลวงตาเสร็จแล้วออกปากขอลากลับบ้านตัดหน้า หญิงสาวเลยจำใจต้องสงบปาก เก็บอารมณ์ขุ่นเคืองใจ
แสร้งส่งยิ้มหวานลาจากทุกคนบนศาลาแล้วเดินตามหลังคนในครอบครัวลงศาลาไป
‘เจ็บใจ เจ็บใจที่สุดเลย ทำไมนะ
ทั้งพ่อ แม่ และพี่แก้ว
ถึงกีดกันความรักของฉันกับพี่ชาละวันกันได้ลงคอ’
ทางด้านเจ้าไม้เองหลังจากครอบครัวของเศรษฐีคำกลับไปได้ไม่นาน เด็กหนุ่มก็เดินมานั่งรวมกลุ่มกับพวกทองดำเหมือนเดิม โดยไร้วี่แววคนในครอบครัวของมัน
“พ่อกับพี่เอ็งกลับไปแล้วหรือว่ะ?”
“กลับกันไปหมดแล้ว พ่อบอกว่าสบายใจแล้วค่อยกลับไปอยู่บ้าน”
ทองดำพยักหน้าเข้าใจแล้วไม่ถามเซ้าซี้ต่อ แต่ไม่รู้คิดไปเองหรือปล่าวนะว่าไม้จะดูเกรงๆกลัวๆพี่ชาละวันกับพี่นันทุกครั้งที่ต้องมาอยู่ใกล้ๆ
ถึงจะเคยมีเรื่องมีราวกันมาก่อนแต่มันก็ไม่น่าจะแสดงอาการเช่นนี้...หรือจะคิดมากไปเอง
...สงสัยคงเพราะช่วงนี้มันดูหวาดกลัวทุกอย่างรอบกายจนทำให้กลายเป็นขี้คนระแวง...อืม...คงเป็นเช่นนั้นแน่ๆ...
*******************************************
ตอนนี้อาจจะดูเรียบๆไปหน่อย ก็ถือว่าเป็นการพักเบรกแล้วกันเนอะ เพราะไรเตอร์คิดว่าอีกสักสามสี่ตอนข้างหน้าจะกลายเป็นจุดพีคของไกรทองกับชาละวัน เลยต้องมีอะไรเบาๆมาให้รองท้องก่อนจะมีเรื่องหนักๆตามมา
นี่เป็นรูปดอกปีบที่ไรเตอร์ถักเองค่ะ อาจจะไม่ค่อยสวยเท่าไหร่ วิธีถักดอกปีบก็มีอีกรูปแบบหนึ่งแต่ไรเตอร์ถักไม่เป็นคงต้องกลับบ้านตอนปีใหม่ให้ป้าๆสอนถัก
ความคิดเห็น