ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    ไกรทอง ชาละวันxไกรทอง (yaoi)

    ลำดับตอนที่ #35 : ไกรทอง ตอนที่29

    • เนื้อหานิยายตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 2.63K
      33
      15 ม.ค. 59

    ดูเหมือนว่าช่วงนี้หมู่บ้านดงเศรษฐีจะมีการจัดงานรื่นเริงและงานบุญใหญ่หลายครั้งเหลือเกิน  ยิ่งการจัดงานในครั้งนี้ก็นับว่าเป็นงานที่ยิ่งใหญ่กว่างานไหนที่ผ่านมา  ด้วยเพราะว่าลูกชายคนเล็กของเศรษฐีขวานกำลังจะแต่งเมีย  ชาวบ้านเกือบทุกคนในหมู่บ้านล้วนต่างถูกจ้างมาให้ช่วยทำงาน


    การแต่งงานที่มีการจัดวางฤกษ์ยามเร่งด่วน  ซึ่งจะมีไม่อีกกี่วันข้างหน้า  ทำให้ทุกคนต่างพากันงานล้นมือวิ่งทำงานกันจนหัวปั่น  แต่ถึงแม้ว่างานจะยุ่งเพียงใดก็ยังมีชาวบ้านบางส่วนที่ชื่นชอบสอดรู้เรื่องของผู้อื่น  วิพากษ์วิจารณ์ถึงเจ้าสาวปริศนาผู้ที่ไม่เคยมีใครเห็นหน้า  หรือแม้แต่ชื่อเสียงเรียงนามว่าเป็นคนจากถิ่นฐานใด  เนื่องจากเจ้าหล่อนถูกเก็บตัวไว้ในบ้านของเศรษฐีคำที่รับสมอ้างเป็นตัวแทนญาติทางฝ่ายเจ้าสาว


    แน่นอนเมื่อมีเรื่องให้พูดถึง  ชาวบ้านที่ปากสว่างหลายคนจึงได้แต่กล่าวกันไปต่างๆนาๆ   ไม่ว่าจะเป็นไอ้ไม้ไปฉุดคร่าหญิงสาวมาทำเมียเพื่อประชดสาว   บางคนก็สันนิษฐานว่าที่นางเอาแต่เก็บตัวเพราะหน้าตาขี้ริ้วจนไม่กล้าเอามาอวดโฉมให้อายคน  แต่เห็นที่จะร้ายแรงที่สุดคงเป็นข่าวลือที่ใส่ร้ายให้กลายเป็นหญิงสาวไร้หัวนอนปลายเท้า  ที่อยากสุขสบายใช้ความสาวจับผู้ชายร่ำรวย


    และเมื่อเรื่องนินทาสุดท้ายรู้ถึงหูคณัสนันท์เข้า  ชายหนุ่มร่างโตโกรธเป็นเจ้าเข้า  ออกป่าวประกาศเสียงดั่นเตือนพวกปากมากให้ได้ยิน  ตั้งแต่หน้าหมู่บ้านยันท้ายหมู่บ้านว่า


    “หากไอ้อีหน้าไหน  มันกล้าเห่าหอนหาว่าพี่กูจับผู้ชายเพื่อหวังสบายวะ! แน่จริงมึงออกมา! ...ถึงแม้พวกเราสองพี่น้องจะเป็นคนไร้ญาติสนิท  แต่ก็มิเคยทำเรื่องบัดสีอย่างที่ถูกกล่าวหา  และถ้าใครยังกล้าเอาเรื่องพี่กูมาพูดเสียๆหายๆเพื่อความสนุกปากอีกละก็...ระวังไอ้ปากที่มันอ้ากว้างอยู่แล้ว  กูจะฉีกให้กว้างกว่าเดิมจนหุบไม่ลง!!


    ไม่ใช่แค่คณัสนันท์เท่านั้นที่ออกมาเตือน  ทางครอบครัวของเศรษฐีขวานและเศรษฐีคำก็ยังช่วยกันออกมาปกป้องหญิงสาว   ข่าวลือในทางเสียหายทั้งหมดจึงเงียบสนิท  ไม่มีใครกล้าเอ่ยถึง+ออกมาให้ได้ยินแม้แต่ครึ่งคำ....อย่าว่าแต่พูดนินทาเลย  ขนาดจะคิดก็ยังไม่กล้า


    หลังจากจัดการเรื่องหยุมหยิมเสร็จสิ้น  ทั้งสองครอบครัวก็กลับมาตั้งหน้าตั้งตาช่วยกันจัดเตรียมงานแต่งกันอย่างร่วมแรงร่วมใจเช่นเดิม


    “บ่ะเอ็งสองคนลองดูไอ้ไกรกับไอ้ชาละวันบ้างสิวะ  พวกมันไปช่วยกันทำงานงานงกๆ  ไม่เหมือนพวกเอ็งที่เอาแต่กัดกันไม่ยอมเลิกรา  แล้วอย่างนี้เมื่อไรงานจะเสร็จ!


    เสียงร้องตะโกนไม่พอใจของเศรษฐีคำดังลั่นคับบ้าน  ดังชนิดที่ชาละวันกับไกรทองกำลังนั่งขัดเครื่องเงินอยู่ในห้องเก็บของยังได้ยิน 

    ชาละวันขมวดคิ้วนิ่วหน้า   ด้วยถึงแม้ตัวเขาจะถูกเรียกไอ้ให้ได้ยินอยู่บ่อยครั้ง   เขาก็ยังไม่คุ้นชินหูอยู่ดี


     ‘ช่างเถอะ....ข้าขี้คราญเอาเรื่องเล็กน้อยพวกนี้มาถือสาหาความให้รำคาญใจ  อีกอย่างข้าในตอนนี้ก็อยู่ในฐานะแค่ชาละวันเท่านั้น  หาใช่ท้าวชาละวันเสียหน่อย...จะเดือดร้อนไปทำไม


    ส่วนไกรทองนั้นนั่งขัดเครื่องเงินอยู่เงียบๆ  ไม่สนใจเสียงทะเลาะของเพลิงกับทองดำที่อยู่ด้านนอก...เพราะช่วงนี้เจอบ่อยเสียจนชินชาละ  ใส่ใจไปก็เท่านั้น  ปวดหัวตัวเองปล่าวๆ


    สงสัยท่าทางทองไม่รู้ร้อนของเด็กหนุ่มจะทำให้ชายหนุ่มเกิดอาการรู้สึกหมั่นไส้อยู่ไม่น้อย นี่ก็อีกคน  เดี๋ยวนี้ชอบทำหน้านิ่งไม่หือไม่อือดีนัก  ยิ่งโดยเฉพาะเวลาอยู่กับเขาด้วยแล้ว  เจ้าเด็กน้อยจะทำตัวแข็งทื่อเป็นท่อนไม้  ยามเมื่อถามไถ่สิ่งใดก็จะมีแต่คำว่า  หือ อือ เท่านั้น


    ...อย่างนี้ต้องลงแกล้งเสียให้หน่ำใจ  ดูสิว่าจะทำเป็นเฉยไปได้สักกี่น้ำ


    ชายหนุ่มคนงามปลับเปลี่ยนท่านั่งขับไล่ความเมื่อยขบจากการนั่งท่าเดิมนานๆ  จากนั้นก็เอนกาบไปกระซิบข้างหูคนข้างๆด้วยน้ำเสียง...เชิญชวน


    “น้องไกรทองจ๋า”  ฮ่าๆ...ดูสิสะดุ้งตกใจใหญ่เลย  คนหน้านิ่งนี่แกล้งสนุกจริงๆ  แต่แค่นี้มันยังไม่พอหรอกนะ


    อาจจะเพราะเด็กหนุ่มเกิดอาการตกใจเกินไป  เจ้าตัวเลยหัวขวับมามองเสียงคนพูดข้างๆ  จนหน้าเกือบจะชนเข้ากับใบหน้างดงามของชายหนุ่มที่ยื่นหน้าเข้ามาใกล้


    “เอ่อ...พี่ชาละวัน  เรียกน้องทำไมกันเหรอจ้ะ?”


    ใบหน้าของทั้งสองคนที่อยู่ในระยะใกล้  จนปลายจมูกแทบจะชนกัน  ประกอบกับดวงตาหวานซึ้งปานน้ำผึ้งที่จ้องมองไกรทองไม่ยอมกระพริบ  ทำให้คนอ่อนวัยกว่าเริ่มรู้สึกใบหน้าร้อนผ่าว...ไม่รู้จะเอาสายตาไปวางไว้ตรงไหนดี


     “อ๋อ...เดี๋ยวนี้ต้องมีธุระก่อนสินะ  พี่ถึงสามารถคุยกับน้องไกรทองได้”  น้ำเสียงที่ติดฟังดูแง่งอน  ช่างสวนทางกับสายตาวิบวับที่จ้องมองเด็กหนุ่มไม่ยอมละไปไหน....ไม่มองเพียงแค่อย่างเดียวเท่านั้น มือของชายหนุ่มก็เริ่มเลื้อยโอบรอบเอวสอบให้เขยิบเข้ามาชิดใกล้   จนปากเกือบจะชนกันอยู่แล้ว


    “พี่ชาละวัน...”


    “อย่าห่วงเลย  ตอนนี้ทุกคนกำลังวุ่นวายอยู่กับการจัดเตรียมงาน  ไม่มีเวลาว่างมาสนใจเราสองคนหรอกจ้ะ”


    ถึงแม้มีคนเสนอหน้ามาสนใจ  แต่เวทย์บังตาของเขานั้นแข่งแกร่งอยู่แล้ว  ขนาดแม่ทัพใหญ่อย่างคณัสนันท์จะหาเรื่องเข้ามาสอดแนมก็ยังทำไม่ได้เลย  แล้วสำมะหาอะไรกับคนอื่น


    ความจริงชาละวันก็ไม่อยากจะทำเช่นนี้หรอกนะ  ถ้าไม่ใช่เพราะช่วงนี้มีแต่เรื่องน่ารำคาญวิ่งเข้าหาไม่หยุดหย่อน  และที่สำคัญเจ้าเด็กนี่ก็ยังคอยหาทางหลบเลี่ยง  ไปแอบซุ่มฝึกฝนร่างกายเพื่อมากดเขาอีก...คงคิดว่าเขารู้ไม่ทันละมั้งซึ่งถ้าหากยังปล่อยให้เป็นเช่นนี้ต่อไปคงไม่ดีแน่


    ฉะนั้นวันนี้ข้าจะไม่ยอมอดทนอีกต่อไป...รีบฉวยโอกาสที่ได้อยู่กันแค่สองคน  จัดการสอนสั่งเจ้าเด็กนี่สักรอบ  เพื่อให้รู้สักทีว่าควรอยู่ในสถานะเมีย  มิใช่ผัว


    “หมู่นี้น้องไกรทองเอาแต่หลบหน้าพี่  ไม่ยอมพูดคุยกับพี่เหมือนแต่ก่อน...จนพี่อดคิดมากไม่ได้ว่า  น้องคงคิดจะเปลี่ยนใจไม่รับรักพี่  จน...จนต้องหาทางตีจากพี่ไป”


    เมื่อเห็นว่าเหยื่อเริ่มสนใจเบ็ด  ชาละวันจึงงัดมารยาพันเล่มเกวียนออกมาใช้  ด้วยการให้ใบหน้างดงามแสร้งทำเป็นตีหน้าเศร้าสลด  แววตาก็ทำให้ดูน้อยใจแลเก็บกดกับพฤติกรรมที่ผ่านมาของอีกฝ่าย


    นับว่ามารยาของชายหนุ่มยังได้ผล  ที่เด็กหนุ่มเกิดอาการร้อนรน  รีบออกปากแก้ตัวเป็นพัลวันด้วยเกรงว่าเขาจะเข้าใจผิดไป “ปล่าวนะจ้ะ  น้องไม่เคยคิดเปลี่ยนใจจากพี่ชาละวัน  เพียงแต่...เดี๋ยวนี้น้องค่อนข้างยุ่งๆ...เลยไม่ค่อยมีเวลาให้พี่ชาละวันก็เท่านั้นเอง”


    ชายหนุ่มแอบยิ้มสมใจเมื่อเหยื่อกินเบ็ด “พี่ไม่เชื่อหรอก  บุรุษล้วนมักเป็นเช่นนี้  ทำทีเป็นอ้างว่าไม่มีเวลาให้  แต่แท้ที่จริงแล้ว...กำลัง...กำลังเบื่อพี่ใช่หรือไม่?” น้ำเสียงที่ฟังดูสั่นเครือนิดๆ  แล้วยังเบือนหน้าหนีไปอีกทางราวกับกำลังแอบซ่อนความเสียใจเอาไว้


    ทำให้ไกรทองรู้สึกสำนักผิดที่ปล่อยให้ชายหนุ่มเศร้าใจอยู่คนเดียว...เขาไม่เคยคิดเบื่อพี่ชาละวันเลยนะ  แต่ถ้าให้บอกว่าแอบไปทำอะไรไว้   เขาก็อับอายเกินกว่าจะบอกอีกฝ่ายให้เข้าใจ นี่มันเป็นเรื่องศักดิ์ศรีของลูกผู้ชายเลยนะ  ใครที่ไหนจะกล้าบอกได้


    แต่ถ้าหากปล่อยให้เข้าใจผิดต่อไปก็คงไม่ดี  ไกรทองเลยรีบดึงมือขาวนวลขึ้นมากุมเอาไว้  พร้อมเอ่ยออกมาน้ำเสียงหนักแน่นว่า “พี่ชาละวันอย่าได้เข้าใจน้องผิดไปเลยนะจ้ะ  ช่วงนี้น้องธุระปะปังเยอะแยะจริงๆ  จะให้น้องไปสาบานที่ไหนก็ได้...ขอเพียงแค่ให้พี่หายขุ่นเคืองใจ”


    คนแกล้งโศกเศร้าแอบหันมาชำเลืองมองคนง้องอน  แม้จะทำเป็นหายน้อยใจลงหลายส่วน  แต่ชายหนุ่มก็ยังคงแสดงสีหน้าว่าไม่เชื่อในคำพูด  เพื่อให้อีกฝ่ายลำบากใจเล่นและตกหลุมพรางเขาจนปฏิเสธไม่ได้


    “ทำเป็นว่าจะสาบาน  ยังไงพี่ก็ไม่เชื่ออยู่ดี”


    “แล้วน้องต้องทำเช่นไร  พี่ชาละวันถึงจะเชื่อในสิ่งที่น้องพูด”


    ชาละวันก้มกระซิบข้างหูเบาๆ...และเมื่อฟังจบไกรทองถึงกับส่ายหัวพั่บๆด้วยใบหน้าขึ้นสี...จะบ้าเรอะ  นี่มันบนบ้านลุงคำนะพี่ชาละวัน  ถึงห้องเก็บของนี้จะลับตาคนแต่เขาคงไม่อาจหาญ  ทำเรื่องเช่นนี้ในบ้านผู้อื่นหรอกนะ


    ...ถ้าเป็นบ้านตัวเองก็ว่าไปอย่าง


    “นั่นไง  เห็นไหมล่ะ”  ชาละวันสะบัดหน้าหนีเด็กหนุ่มอีกรอบ  แถมครั้งนี้ยังลงทุนคลายมือจากเอวสอบ  กระเถิบตัวหนีห่างออกมา...ไม่รู้ว่าแกล้งทำ  หรือน้อยใจจริงๆ


    แม้ใจอยากจะง้ออีกฝ่ายเสียใจจะขาด  แต่หากพอนึกถึงคำกระซิบข้างหูนั่น  เด็กหนุ่มเลยลังเลไม่รู้จะทำเช่นไร


    ...ก็...ก็...ข้อพิสูจน์ของพี่ชาละวันนะมัน..........


    ชาละวันเห็นว่าไกรทองยังคงสับสน   ชายหนุ่มจึงทำท่าทางจะลุกหนีไปจากตรงนี้   แต่ก่อนจะจากไปยังแกล้งทำเป็นแอบปาดน้ำหน้าให้อีกฝ่ายเห็น...


    คนซื่อที่ไม่รู้ทันมารยารีบคว้ามือเอาไว้   “น้อง...น้องตกลงทำตามที่พี่ชาละวันขอ”


    ทันทีที่ได้ยินประโยคนี้ประโยคเดียว  จากอารมณ์ที่เคยโศกเศร้าก็กลับมายิ้มกว้างดีอกดีใจ  รีบถลาเข้ามาโอบกอดเด็กหนุ่ม  แต่ถึงจะยอมตกลง  ไกรทองก็ยังคงละอายขอเอ่ยปากต่อรองชายหนุ่ม  “คนเยอะแยะ  เอาแค่จูบก่อนได้หรือไม่?  ไว้เรากลับถึงบ้านค่อยทำ...”


    ชาละวันไม่สนใจคำต่อรอง  ก้มหน้าลงจูบปิดปากเพื่อยุติการเจรจา...เมื่อกามรมณ์ถูกกระตุ้นจากที่เคยขัดขืนก็กลับกลายเป็นฝ่ายเบียดชิด  ลิ้นกระหวัดพันหยอกเย้าไม่ลดละ


    ทางชาละวันก็ไม่ยอมแพ้  ใช้มือว่างข้างหนึ่งลูบไล้เลื้อยต่ำลงไป  มือผลุบหายเข้าไปในโจงกระเบนของเด็กหนุ่ม


    ...กลิ่นกายน้องไกรทองช่างหอมเหลือเกิน


    ...ข้าอยากทำมากกว่านี้


    ...อยากเหลือเกิน


    ชาละวันตัดสินใจดึงกายเด็กหนุ่มมานั่งซ้อนบนตักโดยหันหน้าเข้าหากัน  คลายโจงกระเบนของพวกเขาออก  เพื่อให้ส่วนนั้นได้สัมผัสแนบชิดกัน 


    ไกรทองซุกหน้าลงบนบ่ากว้างไม่กล้าเงยหน้าขึ้นมามอง...ถึงจะบอกว่าเป็นห้องเก็บของที่ปิดประตูมิดชิดก็เถอะ  แต่ถ้าเกิดมีผู้ใดทะเล่อทะล่าเปิดเข้ามาเห็นว่าบุรุษสองคนกำลังทำเรื่องบัดสีกันอยู่...เขาไม่กล้าคิดต่อไปอีกเลย  ว่าจะเกิดเรื่องร้ายแรงสิ่งใดตามมา


    รู้ว่าไม่ควรทำเช่นนี้  หากจะให้เขาถอยกลับตอนนี้คงจะไม่ทันการเสียแล้ว  เพราะแก่นกายที่ถูกกระตุ้นเริ่มมีการปวดหนึบอยากปลดปล่อยออกมาเสียเต็มแก่   ฉะนั้นสิ่งที่ทำได้ตอนนี้คือเชื่อใจคนรักและภาวนาอย่าให้มีใครเข้ามาในนี้ก็พอ


    “พี่จะขยับแล้วนะ  อย่าส่งเสียงร้องดังละเดี๋ยวคนข้างนอกเขาจะรู้ว่าเราทำอะไรอยู่” 


    ไม่ต้องบอกไกรทองก็ไม่กล้าส่งเสียงออกมาอยู่แล้ว...พี่ชาละวันคิดว่าที่นี่เป็นบ้านเราหรือไง


    ชาละวันใช้มือข้างหนึ่งโอบเอวสอบเอาไว้กันตก  ส่วนมืออีกข้างก็กำแก่นกายของทั้งสองแล้วรูดรั้งไปพร้อมกัน  ด้วยชั้นเชิงที่เหนือกว่าประกอบกับความร้อนที่ได้แนบชิดกัน  ทำให้ไกรทองเกิดอาการเสียวซ่านจนแทบกลั้นเสียงร้องไว้ไม่อยู่  ปลายเท้าจิกแน่นกับพื้นจนขาวซีด


    ชาละวันจับใบหน้าอ่อนเยาว์หันหน้ามาจูบปิดปาก  ช่วยเด็กหนุ่มกลั้นเสียงอีกทางหนึ่ง  จนเมื่อร่างกายเริ่มร้อนเต็มที่และปรับตัวได้  ไกรทองจึงขยับเอวเสียดสีให้เข้ากับจังหวะมืออีกฝ่ายที่เร่งเร็วขึ้น แรงขึ้น


    “อือ...พี่...พี่ชา...ละวัน...อือ”


    “ทนหน่อยนะ”


    ชายหนุ่มเร่งมือขึ้นอีกนิด  เมื่อเด็กหนุ่มใกล้จะถึงฝั่งฝัน


    “น้อง...อือ...ไม่...ไม่ไหวแล้ว...อ๊ะ”


    ....ในที่สุดพวกเขาก็ปลดปล่อยน้ำขาวขุ่นออกมาพร้อมกัน 


    ไกรทองหมดแรงฟุบหน้าลงบนบ่ากว้าง  พยามปรับลมหายใจหอบหนักให้คงที่... เหนื่อย...เหนื่อยเป็นบ้า แม้จะเคยมีอะไรกับผู้หญิงมาก่อน  แต่ก็ไม่มีการร่วมรักครั้งไหนที่เหนื่อยและใช้เรี่ยวแรงมากเท่ากับที่เขาร่วมรักกับพี่ชาละวันเลย


    ชาละวันใช้ผ้าผืนเล็กติดกายเช็ดทำความสะอาดคราบบนกายของเขาและของเด็กหนุ่มอย่างไม่นึกรังเกียจ  เท่านั้นยังไม่พอชายหนุ่มคนงามยังใจดีช่วยนุ่งโจงกระเบนให้ด้วยความอ่อนโยน  ใบหน้าคมสันเกิดอาการร้อนวาบ  กับการกระทำที่แสดงถึงความใส่ใจอย่างเช่นคนรักพึงปฏิบัติให้กัน 


    “ขอบใจจ้ะ” ไกรทองรีบลุกหนีจากตักของชาละวัน  แล้วหยิบเครื่องเงินมานั่งขัดถูไม่ยอมเงยหน้ามาสบตาคนบ้างคนแถวนี้


    แทนที่ท้าวพญากุมภีร์จะรู้สึกขุ่นเคืองกับสิ่งที่เด็กหนุ่มทำ  ตรงกันข้ามชายหนุ่มคนงามกลับคิดว่าการแสร้งทำสีหน้านิ่งเฉยเพื่อกลบเกลื่อนความอาย  นั้นช่างน่าเอ็นดูจนอยากจะลงมือกลั่นแกล้งอีกครั้ง


    “คงจะเป็นเพราะพี่ลงมือหนักไปหน่อย  น้องไกรทองถึงได้ดูหน้าแดง  ปากแดงถึงขนาดนี้  พี่ละกลัวเหลือเกินว่าน้องจะป่วยไข้...”


    ยังไม่ทันจะพูดหยอกเย้าให้จบประโยค  ก็มีอันต้องหยุดลงเมื่อถูกสายตาตวัดค้อนมองมา  ราวกับจะบอกว่าถ้าพี่ยังไม่หยุดพูดก็อย่าหวังว่าจะมีครั้งหน้าอีกเลย


    เลิกก็ได้


    “น้องไกรทองจ๋า  พี่ขอเตือนด้วยความหวังดีเลยนะว่า...อย่าได้ไปทำกิริยาน่ารัก  หรือส่งสายตาเช่นนี้ให้กับใครอีกนะ  ยกเว้นพี่เท่านั้นที่เห็นได้”


    “กิริยาน่ารัก?  สายตา? ...น้องจำไม่ได้ว่าเคยทำ?”  ทำตอนไหนวะ?  


    “บอกแล้วนะว่าอย่าทำ”


    ยังไม่ทันที่ไกรทองจะได้ทักท้วง  ชาละวันก็จัดการจูบปิดปากเจ้าคนซื่อบื้ออีกรอบด้วยความหมั่นเขี้ยว


    สงสัยน้องไกรทองคงจะไม่รู้ตัวว่าตนเองนั้นมีเสน่ห์ให้ผู้คนหลงใหลมากเพียงใด  ลำพังเพียงแค่มีใบหน้าคมสัน  เรือนร่างแข็งแรงสมชายชาตรี   แม้อายุจะยังเยาว์แต่เพราะนิสัยสุขุมเหมือนผู้ใหญ่  สาวใดบ้างจะไม่ชมชอบ...อย่างน้อยก็ข้าคนหนึ่งละ


    ทุกครั้งที่ได้อยู่ใกล้ชิดกันมีครั้งไหนบ้างที่จะไม่คอยจ้องหาโอกาสจูบ  กอด  หอม  และลูบคลำ  ฉกฉวยหาความสุขจากร่างกายนี้   จนแทบจะพกเข้าเอวผูกติดไว้ข้างกายไม่ยอมให้ห่างสายตา...รวมทั้งไม่ยินดีให้ใครมาสนิทชิดเชื้อกับคนของเขามากกว่าตัวเขาเอง...จนดูคล้ายภรรยาขี้หึง  ไม่ยอมใช้สามีร่วมกับใคร


    ชักจะเข้าความรู้สึกขี้หึงของวิมาลากับเลื่อมลายวรรณขึ้นมานิดๆ


    เฮ้อใครจะไปคาดคิดกันละว่า  ท่านท้าวชาละวันผู้ที่ถูกขนามว่าไร้หัวใจ  นั้นจะพลาดท่ามาตกหลุมรักมนุษย์เพศผู้ธรรมดาๆผู้นี้ได้   มิหนำซ้ำยังเป็นอีกฝ่ายยังลูกของศัตรูที่ฆ่าพ่ออีกด้วย


    ...ช่างน่าขำจริงๆ


    ถึงแม้นบุพเพสันนิวาทจะเล่นตลก  แต่เขาก็สุขใจที่ได้รัก  เจ้าตัวจะรู้ไหมหนอ...ว่าสำหรับข้าแล้วเจ้าคือคนที่พิเศษและสำคัญยิ่งกว่าผู้ใด


    ...น้องไกรทอง...


    “ไอ้ไกรโว้ย!! พี่ชาละวัน!! ขัดเครื่องเงินกันเสร็จแล้วหรือยัง!?”


    ...ตัวมาร...


    โลกส่วนตัวที่มีเพียงแค่เราสองคนต้องถูกพังทลายลงเพียงเพราะเสียงร้องเรียกของเด็กหนุ่มผิวสีถ่านด้านนอก


    ไกรทองรีบผลักหน้าของชาละวันให้ออกห่าง  ก่อนจะตะโกนตอบออกไป “เหลืออีกสองสามชิ้นก็เสร็จแล้ว!!


    เด็กหนุ่มยัดเครื่องเงินที่ยังไม่ได้ทำความสะอาดใส่มือชายหนุ่ม  เร่งลงมือขัดถูให้เสร็จโดยไว  ...


    คนหนึ่งรีบเร่งทำงานให้เสร็จ...เพราะกลัวคนสงสัยที่หายไปนาน


    คนหนึ่งรีบเร่งทำงานให้เสร็จ...เพราะโกรธเคืองที่มีคนกล้าขัดจังหวะการพลอดรักของตน


    สักวันกูจะเอาพวกมันไปถ่วงน้ำ


    จากนั้นไม่นานทั้งสองคนก็พากันหอบเครื่องเงินทั้งหมดมาให้เศรษฐีคำตรวจสอบดูความเรียบร้อย  “เอ็งสองคนนี่ไว้ใจได้จริงๆ  ข้าใช้บ่าวไพร่ขัดเครื่องเงินทีไร  ไม่เห็นจะแวววาวได้ถึงขนาดนี้เลย...ว่าแต่ไอ้ไกรเห็นทีเอ็งคงจะออกแรงขัดมากเลยสินะ  หน้าถึงดูแดงๆเหนื่อยๆขนาดนี้”


    “กะ...ก็นิดหน่อยนะจ้ะ” 


    คณัสนันท์หันไปสบตากับเพื่อนรักพร้อมกับโต้ตอบกันทางกระแสจิตใส่ว่า ...ท่านท้าวชาละวันขอรับ  ช่วยเก็บรอยยิ้มเจ้าเล่ห์ที่มุมปากด้วยนะขอรับ  กรุณาอย่าแสดงออกให้มันมากนัก  ประเดี๋ยวหน้ากากที่ใส่เอาไว้มันจะหลุดเอา...


    ...เฮอะ! ทำเป็นพูดมากน่า  ที่เจ้าพูดเตือนข้าเนี่ยไม่ใช่เพราะแอบอิจฉาข้าหรอกนะ...


    ชายร่างหนาถลึงตาใส่ผู้เป็นนายเหนือหัว  ที่กล้าพูดแทงใจดำดังฉึก


    ...เออ! กูมันตัวคนเดียว  นอนคนเดียว  ใครจะเหมือนเอ็งกับพี่ข้าล่ะ...คนหนึ่งใช้เล่ห์เหลี่ยมจับเด็กกลืนกลิ่นลงท้อง  ส่วนอีกคนใช้ใบหน้างดงามหลอกล่อให้เด็กมาติดกับ...คนรอบข้างกูมีแต่คนน่ากลัวจริงๆ....


    ...อิจฉาว่างั้น  ยอมรับมาเถอะน่าข้าไม่ถือสาหรอก  ออกจะเวทนาเสียด้วยซ้ำ...


    ...เออ! ยอมรับก็ได้ว่ากูอิจฉา   อย่าให้ถึงทีกูนะ....


    ชาละวันแอบหัวเราะสะใจเบาๆ  พิโธ่เอ๋ย! ทำเป็นท่ามาก สุดท้ายก็แค่เหงาที่ตัวไร้คู่


    สุดท้ายเมื่อเถียงไม่ชนะ  คณัสนันท์จึงหันเหความสนใจกลับมาทางสองเด็กหนุ่มที่ยังคงเปิดฉากสงครามน้ำลายใส่กันไม่หยุด...นี่พวกเอ็งสองตัวไม่คิดจะหยุดพักหายใจหายคอบ้างหรือไงวะ?  เอาแต่ทะเลาะกันไม่หยุดจนหูเขาชาหมดแล้ว


    ส่วนทางด้านไกรทองนั้นเอาแต่นั่งมองนิ่งๆไม่ยอมลุกเข้าไปห้าม ...ขี้เกียจเข้าไปให้มันด่า  อารมณ์ไอ้เพลิงเป็นเช่นไรก็รู้กันดีอยู่  ปล่อยให้ด่ากับทองดำไปนั่นแหละดีแล้ว 


    “พี่ชาละวันมองหน้าฉันทำไมรึ?”  แนะแค่ถามดูเฉยๆ  ไม่เห็นต้องทำสายตาหวานเยิ้มใส่ก็ได้


    “ปล่าวจ้ะ  พี่แค่คิดว่าน้องไกรทองช่างรู้จักเอาตัวรอดเก่งเสียจริง”


    ยังมาทำตาเจ้าชู้ใส่อีก...ไม่รู้ทำไมวันนี้เขาถึงอยากให้น้องตระเภาทองละมือจากการช่วยงานในครัว  มาช่วยอยู่แถวนี้เสียจริง  อยากจะรู้นักว่าพี่ชาละวันยังโอกาสมาเจ้าชู้ไก่แจ้ใส่เขาอีกหรือไม่?


    ว่าไปแล้วก็นึกสงสารน้องตระเภาทอง  เพราะกิริยาที่เกินงามในคราวนั้นประกอบข่าวลือในเรื่องชู้สาวดังไปทั่วหมู่บ้าน  ทำให้เดี๋ยวนี้น้องสาวทั้งสองต้องถูกบังคับให้เข้าไปช่วยเหลืองานอยู่ในครัว  ไม่ก็ถูกบังคับให้ต้องหลบหน้าเข้าห้อง  ไม่สามารถมาหยอกล้อเล่นหัวกับพวกเขาได้เหมือนแต่ก่อน


    แต่เหตุที่ทำให้ไกรทองต้องห่างเหินจากสองสาว  ส่วนย่อมเพราะชายหนุ่มที่เอาแต่ยิ้มข้างกาย  อีกส่วนก็คือตัวเขาเอง...เด็กหนุ่มมิใช่คนโง่ที่จะมองไม่ออกว่าน้องสาวที่เล่หัวกันมาแต่เด็กกำลังคิดอะไรอยู่


    น้องสาวคนหนึ่งนั้นรักตนมิใช่พี่ชาย  ส่วนน้องสาวอีกคนรักผู้ชายคนเดียวกันกับตน...เฮ้อ!...


     “พอๆพวกเอ็งสองคนเลิกเห่าใส่กันได้แล้ว  ข้ารำคาญ!”  เศรษฐีคำทนนั่งฟังเด็กหนุ่มสองคนกัดกันอยู่นานแล้วจนชักทนไม่ไหว  ตะโกนปรามพวกมันให้เงียบ  หยุดพูด  หยุดเถียงกัน


    “ในเมื่อพวกเอ็งสองคนนิสัยสามัคคีกันดีนัก.....ไอ้เพลิง  ไอ้ทองดำ  พวกเอ็งต้องไปช่วยกันปีนเอาลูกมะพร้าวอ่อนมาให้ข้าสองลูก  หมากผลสองแง้  และจำไว้ให้ดีนะโว้ย  ว่าหมากผลแต่ละแง้ต้องมีลูกหมากเป็นเลขคู่  จะมีหกผล  แปดผล  หรือจำนวนเท่าใดก็ได้  แต่ต้องให้มีครบเป็นคู่...เกินได้แต่ห้ามขาด”


    “ถ้ามันขาดเราเอามาต่อใส่กันได้หรือปล่าวจ๊ะ?”  ดู...ดูมัน  ขนาดกูสั่งมันไปทำงานยังมีหน้าทำทะเล้นใส่กูอีก  ประเดี๋ยวก็ฟาดด้วยไม้ตะพดหรอก


    “เอาไว้งานแต่งลูกมึงเถอะไอ้ทองดำ...ไป ไป  อย่ามัวแต่พิรี้พิไร  ไอ้เพลิงมาลากมันไปที่สวนหลังบ้านข้าที”


    เพลิงรับคำผู้ใหญ่ไม่มีอิดออดเพราะเห็นว่าเป็นงานสำคัญของน้องชาย  เด็กหนุ่มรีบลากคอศัตรูคู่อาฆาตลงเรือนไปที่สวนท้ายบ้านด้วยกัน  ท่ามกลางเสียงด่าทอและตะโกนเห่าใส่กันไปตลอดทาง


    แต่ถึงแม้ชายกลางคนจะกำชับสั่งงานไว้เป็นอย่างดี  ไกรทองนั้นยังมิวายอดเป็นห่วงไม่ได้  “หวังว่าพวกมันจะไม่ลงมือฆ่ากันตายกลางสวน  ก่อนจะได้ของกลับมาหรอกนะลุงคำ”


    เมื่อได้ฟังความคิดเห็นของหลานชาย  เศรษฐีคำถึงคิดได้  “เออจริงด้วย  ไอ้นันข้าวานเอ็งให้ไปคอยปรามพวกมันทีนะ  ถ้าห้ามด้วยปากแล้วไม่ฟัง  ข้าอนุญาตให้ปางตายได้แต่ห้ามตาย  เพราะเดี๋ยวจะขาดคนช่วยงาน”


    ...เอาไอ้นันไปนี่แหละข้าถึงจะวางใจ  แถมมือตีนมันก็หนักดีด้วย  เตะทีเดียวเจ้าสองนั่นคงหงอไม่กล้ากัดกันต่อแน่ๆ


    “ได้จ้ะ  ปางตายได้ใช่ไหม?  ประเดี๋ยวฉันจัดการให้” 


    ...พวกมึงเสร็จกู...


    เด็กน้อยตีกัน หาเรื่องกันไม่พ้นกู  เอะอะอะไรก็ไอ้นัน  ไอ้นัน ... สรุปว่านี่เห็นกูเป็นพี่เลี้ยงเด็กกันใช่ไหมเนี่ย?


    “แล้วทางฉันกับพี่ชาละวันละจ๊ะ?”


    เศรษฐีคำครุ่นคิดว่ายังงานส่วนไหนบ้างที่ยังไม่ได้จัดเตรียม  “ไอ้เจิมไอ้เจิมโว้ย!!


    “อยู่นี่ขอรับ”


    “พวกข้าวของเครื่องใช้ที่จะใช้ในวันแต่งงาน  จัดเตรียมไปถึงไหนแล้ววะ?”


    ลุงเจิมนิ่งคิดเล็กน้อย  “ถ้าพวกสุรา  หมูหมากาไก่  กับสินสอดทองหมั้น ทางเศรษฐีขวานส่งคนมาบอกว่าจะเป็นฝ่ายจัดหามาให้  ส่วนพวกขนมมงคลและอาหารคาวหวาน  ของใช้ส่วนตัวที่เจ้าสาวต้องมีติดตัวออกเรือน  นายแม่บอกว่าทุกอย่างเรียบร้อยดีมิมีปัญหาสิ่งใดเลยขอรับ...ยังขาดแต่พวกผลหมากรากไม้ที่จะใช้ในวันงาน  อ๋อ...แล้วก็พวกต้นอ้อย  ต้นกล้วย  ถั่ว  งา  และข้าวเปลือกขอรับ”


    เศรษฐีคำเอามือลูบหนวด “งั้นเอ็งช่วยไปบอกไอ้ทองดำที่ท้ายสวนทีนะว่า  ข้าต้องการต้นอ่อนมะพร้าวที่เพิ่งงอกออกมาจากผลแก่  มาเพิ่มให้ข้าสักสองต้นนะ”


    ลุงเจิมรับคำสั่งรีบเร่งลงเรือนไป  เมื่อสั่งลูกน้องเสร็จชายกลางคนหันหน้ามาสั่งงานสองหนุ่มต่อ “หน้าที่เลือกต้นกล้วยกับต้นอ้อย  ข้ายกให้ไอ้ไกรเป็นผู้จัดหาแล้วกัน   เอ็งลองไปดูในสวนบ้านข้ากับบ้านไอ้ขวานสิว่า  มีหน่อต้นกล้วยกับต้นอ้อยงามๆบ้างหรือไม่   ถ้ามีก็จับจองเอาไว้ก่อนอย่างละคู่  ไว้ถึงวันงานค่อยให้คนไปขุดขึ้นมา....ส่วนไอ้ชาละวัน....”


    เศรษฐีหยุดชะงักไปครู่หนึ่งเหมือนเพิ่งคิดได้  “เปลี่ยนใหม่ๆ  หน้าที่หาหน่อต้นกล้วยกับต้นอ้อย  ข้าวานให้ไอ้ชาละวันรับหน้าที่นี้ไป  ส่วนไอ้ไกรจงไปที่ยุ้งฉางและเรือนครัว  คัดเลือกเอาจำพวกข้าวเปลือก  ถั่วและงาดีๆ  มาให้ข้าอย่างละกระจาด”


    “เหตุใดถึงเปลี่ยนงานพวกเราสองคนด้วยละจ้ะลุงคำ?”


    “สงสัยหมู่เอ็งคงไม่ได้มีเรื่องเจ็บตัวมานานแล้วนะ  ถึงได้ลืมไปว่าสำหรับเอ็งแล้ว  บ้านไอ้ขวานนะมันเป็นถ้ำเสือ  ขืนทะเล่อทะล่าเดินเข้าไปมีหวังโดนเสือกัดตายกันพอดี....จะว่าไปไหนๆก็ต้องไปที่นั่นอยู่แล้ว  ไอ้ชาละวันช่วยสอบถามแทนข้าทีนะว่าพวกสินสอดทองหมั้นและเรือนหอมีการจัดเตรียมไปถึงไหนกันแล้ว  ส่วนพวกขันหมากเอกกับขันหมากโท  ทางเราจะเอาไปส่งให้ก่อนวันแต่งหนึ่งวัน  หากต้องการอะไรเพิ่มให้บอกมาได้เลยไม่ต้องเกรงใจ”


    หลังจากรับหน้าที่ไปเป็นที่เรียบร้อยแล้ว  ทั้งสองก็พากันแยกย้ายไปทำงานหน้าที่ใครหน้าที่มัน  แต่ก่อนจะไปชาละวันนั้นเกิดเป็นห่วงความรู้สึกของไกรทอง  ด้วยเกรงว่าจะคิดมากกับคำกล่าวของญาติผู้ใหญ่


    “เรื่องที่เศรษฐีคำพูด  น้องไกรทองคงจะไม่เก็บมาคิดมากใช่ไหม?”


    “ก็มีบ้าง  น้องชินแล้ว  ไม่ต้องเป็นห่วงไปหรอกจ้ะ”  แม้ปากบอกไม่เป็นไร  แต่ลึกๆเขานั้นรู้สึกแย่ที่ต้องถูกใครต่อเกลียดชังทั้งๆที่ไม่เคยทำอะไรให้  และต่อทำความดีมากแค่ไหนอีกฝ่ายก็มิเคยมองเห็น  เอาแต่กล่าวว่าให้เขานั้นเจ็บช้ำใจอยู่ร่ำไป


    “แล้วพี่ชาละวันละจ๊ะ  ได้ไปถึงถ้ำเสือทั้งทีพี่ไม่กลัวว่าจะโดนเสือตะปบเอาบ้างรึ?”


    “ขนาดจระเข้พี่ยังไม่กลัวมันจะกัด  แล้วกะอีแค่เสือพี่จะไปกลัวทำไม”


    ชาละวันกล่าวคำหยอกเอินทิ้งท้ายไว้เพียงเท่านี้  ไม่ใช่แค่จะทำให้เด็กหนุ่มสบายใจ  แต่ยังถือเป็นการบอกใบ้ให้รู้ว่า  เขาไม่เกรง  ไม่กลัวใครหน้าไหนทั้งนั้น  ไม่ว่าจะมนุษย์และจระเข้...หากแม้นผู้ใดกล้าริอาจเป็นศัตรูกับเขาหรือเป็นศัตรูกับคนของเขาแล้วละก็....


    ...อย่าหาว่าข้าไม่เตือนแล้วกัน...หึ หึ...

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×