คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #35 : ไกรทอง ตอนที่29
ดูเหมือนว่าช่วงนี้หมู่บ้านดงเศรษฐีจะมีการจัดงานรื่นเริงและงานบุญใหญ่หลายครั้งเหลือเกิน ยิ่งการจัดงานในครั้งนี้ก็นับว่าเป็นงานที่ยิ่งใหญ่กว่างานไหนที่ผ่านมา ด้วยเพราะว่าลูกชายคนเล็กของเศรษฐีขวานกำลังจะแต่งเมีย ชาวบ้านเกือบทุกคนในหมู่บ้านล้วนต่างถูกจ้างมาให้ช่วยทำงาน
การแต่งงานที่มีการจัดวางฤกษ์ยามเร่งด่วน ซึ่งจะมีไม่อีกกี่วันข้างหน้า ทำให้ทุกคนต่างพากันงานล้นมือวิ่งทำงานกันจนหัวปั่น แต่ถึงแม้ว่างานจะยุ่งเพียงใดก็ยังมีชาวบ้านบางส่วนที่ชื่นชอบสอดรู้เรื่องของผู้อื่น วิพากษ์วิจารณ์ถึงเจ้าสาวปริศนาผู้ที่ไม่เคยมีใครเห็นหน้า หรือแม้แต่ชื่อเสียงเรียงนามว่าเป็นคนจากถิ่นฐานใด เนื่องจากเจ้าหล่อนถูกเก็บตัวไว้ในบ้านของเศรษฐีคำที่รับสมอ้างเป็นตัวแทนญาติทางฝ่ายเจ้าสาว
แน่นอนเมื่อมีเรื่องให้พูดถึง ชาวบ้านที่ปากสว่างหลายคนจึงได้แต่กล่าวกันไปต่างๆนาๆ ไม่ว่าจะเป็นไอ้ไม้ไปฉุดคร่าหญิงสาวมาทำเมียเพื่อประชดสาว บางคนก็สันนิษฐานว่าที่นางเอาแต่เก็บตัวเพราะหน้าตาขี้ริ้วจนไม่กล้าเอามาอวดโฉมให้อายคน แต่เห็นที่จะร้ายแรงที่สุดคงเป็นข่าวลือที่ใส่ร้ายให้กลายเป็นหญิงสาวไร้หัวนอนปลายเท้า ที่อยากสุขสบายใช้ความสาวจับผู้ชายร่ำรวย
และเมื่อเรื่องนินทาสุดท้ายรู้ถึงหูคณัสนันท์เข้า ชายหนุ่มร่างโตโกรธเป็นเจ้าเข้า ออกป่าวประกาศเสียงดั่นเตือนพวกปากมากให้ได้ยิน ตั้งแต่หน้าหมู่บ้านยันท้ายหมู่บ้านว่า
“หากไอ้อีหน้าไหน มันกล้าเห่าหอนหาว่าพี่กูจับผู้ชายเพื่อหวังสบายวะ! แน่จริงมึงออกมา! ...ถึงแม้พวกเราสองพี่น้องจะเป็นคนไร้ญาติสนิท แต่ก็มิเคยทำเรื่องบัดสีอย่างที่ถูกกล่าวหา และถ้าใครยังกล้าเอาเรื่องพี่กูมาพูดเสียๆหายๆเพื่อความสนุกปากอีกละก็...ระวังไอ้ปากที่มันอ้ากว้างอยู่แล้ว กูจะฉีกให้กว้างกว่าเดิมจนหุบไม่ลง!!”
ไม่ใช่แค่คณัสนันท์เท่านั้นที่ออกมาเตือน ทางครอบครัวของเศรษฐีขวานและเศรษฐีคำก็ยังช่วยกันออกมาปกป้องหญิงสาว ข่าวลือในทางเสียหายทั้งหมดจึงเงียบสนิท ไม่มีใครกล้าเอ่ยถึง+ออกมาให้ได้ยินแม้แต่ครึ่งคำ....อย่าว่าแต่พูดนินทาเลย ขนาดจะคิดก็ยังไม่กล้า
หลังจากจัดการเรื่องหยุมหยิมเสร็จสิ้น ทั้งสองครอบครัวก็กลับมาตั้งหน้าตั้งตาช่วยกันจัดเตรียมงานแต่งกันอย่างร่วมแรงร่วมใจเช่นเดิม
“บ่ะ! เอ็งสองคนลองดูไอ้ไกรกับไอ้ชาละวันบ้างสิวะ พวกมันไปช่วยกันทำงานงานงกๆ ไม่เหมือนพวกเอ็งที่เอาแต่กัดกันไม่ยอมเลิกรา แล้วอย่างนี้เมื่อไรงานจะเสร็จ!”
เสียงร้องตะโกนไม่พอใจของเศรษฐีคำดังลั่นคับบ้าน ดังชนิดที่ชาละวันกับไกรทองกำลังนั่งขัดเครื่องเงินอยู่ในห้องเก็บของยังได้ยิน
ชาละวันขมวดคิ้วนิ่วหน้า ด้วยถึงแม้ตัวเขาจะถูกเรียกไอ้ให้ได้ยินอยู่บ่อยครั้ง เขาก็ยังไม่คุ้นชินหูอยู่ดี
‘ช่างเถอะ....ข้าขี้คราญเอาเรื่องเล็กน้อยพวกนี้มาถือสาหาความให้รำคาญใจ อีกอย่างข้าในตอนนี้ก็อยู่ในฐานะแค่ชาละวันเท่านั้น หาใช่ท้าวชาละวันเสียหน่อย...จะเดือดร้อนไปทำไม’
ส่วนไกรทองนั้นนั่งขัดเครื่องเงินอยู่เงียบๆ ไม่สนใจเสียงทะเลาะของเพลิงกับทองดำที่อยู่ด้านนอก...เพราะช่วงนี้เจอบ่อยเสียจนชินชาละ ใส่ใจไปก็เท่านั้น ปวดหัวตัวเองปล่าวๆ
สงสัยท่าทางทองไม่รู้ร้อนของเด็กหนุ่มจะทำให้ชายหนุ่มเกิดอาการรู้สึกหมั่นไส้อยู่ไม่น้อย ‘นี่ก็อีกคน เดี๋ยวนี้ชอบทำหน้านิ่งไม่หือไม่อือดีนัก ยิ่งโดยเฉพาะเวลาอยู่กับเขาด้วยแล้ว เจ้าเด็กน้อยจะทำตัวแข็งทื่อเป็นท่อนไม้ ยามเมื่อถามไถ่สิ่งใดก็จะมีแต่คำว่า หือ อือ เท่านั้น’
...อย่างนี้ต้องลงแกล้งเสียให้หน่ำใจ ดูสิว่าจะทำเป็นเฉยไปได้สักกี่น้ำ
ชายหนุ่มคนงามปลับเปลี่ยนท่านั่งขับไล่ความเมื่อยขบจากการนั่งท่าเดิมนานๆ จากนั้นก็เอนกาบไปกระซิบข้างหูคนข้างๆด้วยน้ำเสียง...เชิญชวน
“น้องไกรทองจ๋า” ฮ่าๆ...ดูสิสะดุ้งตกใจใหญ่เลย คนหน้านิ่งนี่แกล้งสนุกจริงๆ แต่แค่นี้มันยังไม่พอหรอกนะ
อาจจะเพราะเด็กหนุ่มเกิดอาการตกใจเกินไป เจ้าตัวเลยหัวขวับมามองเสียงคนพูดข้างๆ จนหน้าเกือบจะชนเข้ากับใบหน้างดงามของชายหนุ่มที่ยื่นหน้าเข้ามาใกล้
“เอ่อ...พี่ชาละวัน เรียกน้องทำไมกันเหรอจ้ะ?”
ใบหน้าของทั้งสองคนที่อยู่ในระยะใกล้ จนปลายจมูกแทบจะชนกัน ประกอบกับดวงตาหวานซึ้งปานน้ำผึ้งที่จ้องมองไกรทองไม่ยอมกระพริบ ทำให้คนอ่อนวัยกว่าเริ่มรู้สึกใบหน้าร้อนผ่าว...ไม่รู้จะเอาสายตาไปวางไว้ตรงไหนดี
“อ๋อ...เดี๋ยวนี้ต้องมีธุระก่อนสินะ พี่ถึงสามารถคุยกับน้องไกรทองได้” น้ำเสียงที่ติดฟังดูแง่งอน ช่างสวนทางกับสายตาวิบวับที่จ้องมองเด็กหนุ่มไม่ยอมละไปไหน....ไม่มองเพียงแค่อย่างเดียวเท่านั้น มือของชายหนุ่มก็เริ่มเลื้อยโอบรอบเอวสอบให้เขยิบเข้ามาชิดใกล้ จนปากเกือบจะชนกันอยู่แล้ว
“พี่ชาละวัน...”
“อย่าห่วงเลย ตอนนี้ทุกคนกำลังวุ่นวายอยู่กับการจัดเตรียมงาน ไม่มีเวลาว่างมาสนใจเราสองคนหรอกจ้ะ”
ถึงแม้มีคนเสนอหน้ามาสนใจ แต่เวทย์บังตาของเขานั้นแข่งแกร่งอยู่แล้ว ขนาดแม่ทัพใหญ่อย่างคณัสนันท์จะหาเรื่องเข้ามาสอดแนมก็ยังทำไม่ได้เลย แล้วสำมะหาอะไรกับคนอื่น
ความจริงชาละวันก็ไม่อยากจะทำเช่นนี้หรอกนะ ถ้าไม่ใช่เพราะช่วงนี้มีแต่เรื่องน่ารำคาญวิ่งเข้าหาไม่หยุดหย่อน และที่สำคัญเจ้าเด็กนี่ก็ยังคอยหาทางหลบเลี่ยง ไปแอบซุ่มฝึกฝนร่างกายเพื่อมากดเขาอีก...คงคิดว่าเขารู้ไม่ทันละมั้งซึ่งถ้าหากยังปล่อยให้เป็นเช่นนี้ต่อไปคงไม่ดีแน่
ฉะนั้นวันนี้ข้าจะไม่ยอมอดทนอีกต่อไป...รีบฉวยโอกาสที่ได้อยู่กันแค่สองคน จัดการสอนสั่งเจ้าเด็กนี่สักรอบ เพื่อให้รู้สักทีว่าควรอยู่ในสถานะเมีย มิใช่ผัว
“หมู่นี้น้องไกรทองเอาแต่หลบหน้าพี่ ไม่ยอมพูดคุยกับพี่เหมือนแต่ก่อน...จนพี่อดคิดมากไม่ได้ว่า น้องคงคิดจะเปลี่ยนใจไม่รับรักพี่ จน...จนต้องหาทางตีจากพี่ไป”
เมื่อเห็นว่าเหยื่อเริ่มสนใจเบ็ด ชาละวันจึงงัดมารยาพันเล่มเกวียนออกมาใช้ ด้วยการให้ใบหน้างดงามแสร้งทำเป็นตีหน้าเศร้าสลด แววตาก็ทำให้ดูน้อยใจแลเก็บกดกับพฤติกรรมที่ผ่านมาของอีกฝ่าย
นับว่ามารยาของชายหนุ่มยังได้ผล ที่เด็กหนุ่มเกิดอาการร้อนรน รีบออกปากแก้ตัวเป็นพัลวันด้วยเกรงว่าเขาจะเข้าใจผิดไป “ปล่าวนะจ้ะ น้องไม่เคยคิดเปลี่ยนใจจากพี่ชาละวัน เพียงแต่...เดี๋ยวนี้น้องค่อนข้างยุ่งๆ...เลยไม่ค่อยมีเวลาให้พี่ชาละวันก็เท่านั้นเอง”
ชายหนุ่มแอบยิ้มสมใจเมื่อเหยื่อกินเบ็ด “พี่ไม่เชื่อหรอก บุรุษล้วนมักเป็นเช่นนี้ ทำทีเป็นอ้างว่าไม่มีเวลาให้ แต่แท้ที่จริงแล้ว...กำลัง...กำลังเบื่อพี่ใช่หรือไม่?” น้ำเสียงที่ฟังดูสั่นเครือนิดๆ แล้วยังเบือนหน้าหนีไปอีกทางราวกับกำลังแอบซ่อนความเสียใจเอาไว้
ทำให้ไกรทองรู้สึกสำนักผิดที่ปล่อยให้ชายหนุ่มเศร้าใจอยู่คนเดียว...เขาไม่เคยคิดเบื่อพี่ชาละวันเลยนะ แต่ถ้าให้บอกว่าแอบไปทำอะไรไว้ เขาก็อับอายเกินกว่าจะบอกอีกฝ่ายให้เข้าใจ ‘นี่มันเป็นเรื่องศักดิ์ศรีของลูกผู้ชายเลยนะ ใครที่ไหนจะกล้าบอกได้’
แต่ถ้าหากปล่อยให้เข้าใจผิดต่อไปก็คงไม่ดี ไกรทองเลยรีบดึงมือขาวนวลขึ้นมากุมเอาไว้ พร้อมเอ่ยออกมาน้ำเสียงหนักแน่นว่า “พี่ชาละวันอย่าได้เข้าใจน้องผิดไปเลยนะจ้ะ ช่วงนี้น้องธุระปะปังเยอะแยะจริงๆ จะให้น้องไปสาบานที่ไหนก็ได้...ขอเพียงแค่ให้พี่หายขุ่นเคืองใจ”
คนแกล้งโศกเศร้าแอบหันมาชำเลืองมองคนง้องอน แม้จะทำเป็นหายน้อยใจลงหลายส่วน แต่ชายหนุ่มก็ยังคงแสดงสีหน้าว่าไม่เชื่อในคำพูด เพื่อให้อีกฝ่ายลำบากใจเล่นและตกหลุมพรางเขาจนปฏิเสธไม่ได้
“ทำเป็นว่าจะสาบาน ยังไงพี่ก็ไม่เชื่ออยู่ดี”
“แล้วน้องต้องทำเช่นไร พี่ชาละวันถึงจะเชื่อในสิ่งที่น้องพูด”
ชาละวันก้มกระซิบข้างหูเบาๆ...และเมื่อฟังจบไกรทองถึงกับส่ายหัวพั่บๆด้วยใบหน้าขึ้นสี...จะบ้าเรอะ นี่มันบนบ้านลุงคำนะพี่ชาละวัน ถึงห้องเก็บของนี้จะลับตาคนแต่เขาคงไม่อาจหาญ ทำเรื่องเช่นนี้ในบ้านผู้อื่นหรอกนะ
...ถ้าเป็นบ้านตัวเองก็ว่าไปอย่าง
“นั่นไง เห็นไหมล่ะ” ชาละวันสะบัดหน้าหนีเด็กหนุ่มอีกรอบ แถมครั้งนี้ยังลงทุนคลายมือจากเอวสอบ กระเถิบตัวหนีห่างออกมา...ไม่รู้ว่าแกล้งทำ หรือน้อยใจจริงๆ
แม้ใจอยากจะง้ออีกฝ่ายเสียใจจะขาด แต่หากพอนึกถึงคำกระซิบข้างหูนั่น เด็กหนุ่มเลยลังเลไม่รู้จะทำเช่นไร
...ก็...ก็...ข้อพิสูจน์ของพี่ชาละวันนะมัน..........
ชาละวันเห็นว่าไกรทองยังคงสับสน ชายหนุ่มจึงทำท่าทางจะลุกหนีไปจากตรงนี้ แต่ก่อนจะจากไปยังแกล้งทำเป็นแอบปาดน้ำหน้าให้อีกฝ่ายเห็น...
คนซื่อที่ไม่รู้ทันมารยารีบคว้ามือเอาไว้ “น้อง...น้องตกลงทำตามที่พี่ชาละวันขอ”
ทันทีที่ได้ยินประโยคนี้ประโยคเดียว จากอารมณ์ที่เคยโศกเศร้าก็กลับมายิ้มกว้างดีอกดีใจ รีบถลาเข้ามาโอบกอดเด็กหนุ่ม แต่ถึงจะยอมตกลง ไกรทองก็ยังคงละอายขอเอ่ยปากต่อรองชายหนุ่ม “คนเยอะแยะ เอาแค่จูบก่อนได้หรือไม่? ไว้เรากลับถึงบ้านค่อยทำ...”
ชาละวันไม่สนใจคำต่อรอง ก้มหน้าลงจูบปิดปากเพื่อยุติการเจรจา...เมื่อกามรมณ์ถูกกระตุ้นจากที่เคยขัดขืนก็กลับกลายเป็นฝ่ายเบียดชิด ลิ้นกระหวัดพันหยอกเย้าไม่ลดละ
ทางชาละวันก็ไม่ยอมแพ้ ใช้มือว่างข้างหนึ่งลูบไล้เลื้อยต่ำลงไป มือผลุบหายเข้าไปในโจงกระเบนของเด็กหนุ่ม
...กลิ่นกายน้องไกรทองช่างหอมเหลือเกิน
...ข้าอยากทำมากกว่านี้
...อยากเหลือเกิน
ชาละวันตัดสินใจดึงกายเด็กหนุ่มมานั่งซ้อนบนตักโดยหันหน้าเข้าหากัน คลายโจงกระเบนของพวกเขาออก เพื่อให้ส่วนนั้นได้สัมผัสแนบชิดกัน
ไกรทองซุกหน้าลงบนบ่ากว้างไม่กล้าเงยหน้าขึ้นมามอง...ถึงจะบอกว่าเป็นห้องเก็บของที่ปิดประตูมิดชิดก็เถอะ แต่ถ้าเกิดมีผู้ใดทะเล่อทะล่าเปิดเข้ามาเห็นว่าบุรุษสองคนกำลังทำเรื่องบัดสีกันอยู่...เขาไม่กล้าคิดต่อไปอีกเลย ว่าจะเกิดเรื่องร้ายแรงสิ่งใดตามมา
รู้ว่าไม่ควรทำเช่นนี้ หากจะให้เขาถอยกลับตอนนี้คงจะไม่ทันการเสียแล้ว เพราะแก่นกายที่ถูกกระตุ้นเริ่มมีการปวดหนึบอยากปลดปล่อยออกมาเสียเต็มแก่ ฉะนั้นสิ่งที่ทำได้ตอนนี้คือเชื่อใจคนรักและภาวนาอย่าให้มีใครเข้ามาในนี้ก็พอ
“พี่จะขยับแล้วนะ อย่าส่งเสียงร้องดังละเดี๋ยวคนข้างนอกเขาจะรู้ว่าเราทำอะไรอยู่”
ไม่ต้องบอกไกรทองก็ไม่กล้าส่งเสียงออกมาอยู่แล้ว...พี่ชาละวันคิดว่าที่นี่เป็นบ้านเราหรือไง
ชาละวันใช้มือข้างหนึ่งโอบเอวสอบเอาไว้กันตก ส่วนมืออีกข้างก็กำแก่นกายของทั้งสองแล้วรูดรั้งไปพร้อมกัน ด้วยชั้นเชิงที่เหนือกว่าประกอบกับความร้อนที่ได้แนบชิดกัน ทำให้ไกรทองเกิดอาการเสียวซ่านจนแทบกลั้นเสียงร้องไว้ไม่อยู่ ปลายเท้าจิกแน่นกับพื้นจนขาวซีด
ชาละวันจับใบหน้าอ่อนเยาว์หันหน้ามาจูบปิดปาก ช่วยเด็กหนุ่มกลั้นเสียงอีกทางหนึ่ง จนเมื่อร่างกายเริ่มร้อนเต็มที่และปรับตัวได้ ไกรทองจึงขยับเอวเสียดสีให้เข้ากับจังหวะมืออีกฝ่ายที่เร่งเร็วขึ้น แรงขึ้น
“อือ...พี่...พี่ชา...ละวัน...อือ”
“ทนหน่อยนะ”
ชายหนุ่มเร่งมือขึ้นอีกนิด เมื่อเด็กหนุ่มใกล้จะถึงฝั่งฝัน
“น้อง...อือ...ไม่...ไม่ไหวแล้ว...อ๊ะ”
....ในที่สุดพวกเขาก็ปลดปล่อยน้ำขาวขุ่นออกมาพร้อมกัน
ไกรทองหมดแรงฟุบหน้าลงบนบ่ากว้าง พยามปรับลมหายใจหอบหนักให้คงที่... ‘เหนื่อย...เหนื่อยเป็นบ้า แม้จะเคยมีอะไรกับผู้หญิงมาก่อน แต่ก็ไม่มีการร่วมรักครั้งไหนที่เหนื่อยและใช้เรี่ยวแรงมากเท่ากับที่เขาร่วมรักกับพี่ชาละวันเลย’
ชาละวันใช้ผ้าผืนเล็กติดกายเช็ดทำความสะอาดคราบบนกายของเขาและของเด็กหนุ่มอย่างไม่นึกรังเกียจ เท่านั้นยังไม่พอชายหนุ่มคนงามยังใจดีช่วยนุ่งโจงกระเบนให้ด้วยความอ่อนโยน ใบหน้าคมสันเกิดอาการร้อนวาบ กับการกระทำที่แสดงถึงความใส่ใจอย่างเช่นคนรักพึงปฏิบัติให้กัน
“ขอบใจจ้ะ” ไกรทองรีบลุกหนีจากตักของชาละวัน แล้วหยิบเครื่องเงินมานั่งขัดถูไม่ยอมเงยหน้ามาสบตาคนบ้างคนแถวนี้
แทนที่ท้าวพญากุมภีร์จะรู้สึกขุ่นเคืองกับสิ่งที่เด็กหนุ่มทำ ตรงกันข้ามชายหนุ่มคนงามกลับคิดว่าการแสร้งทำสีหน้านิ่งเฉยเพื่อกลบเกลื่อนความอาย นั้นช่างน่าเอ็นดูจนอยากจะลงมือกลั่นแกล้งอีกครั้ง
“คงจะเป็นเพราะพี่ลงมือหนักไปหน่อย น้องไกรทองถึงได้ดูหน้าแดง ปากแดงถึงขนาดนี้ พี่ละกลัวเหลือเกินว่าน้องจะป่วยไข้...”
ยังไม่ทันจะพูดหยอกเย้าให้จบประโยค ก็มีอันต้องหยุดลงเมื่อถูกสายตาตวัดค้อนมองมา ราวกับจะบอกว่าถ้าพี่ยังไม่หยุดพูดก็อย่าหวังว่าจะมีครั้งหน้าอีกเลย
เลิกก็ได้
“น้องไกรทองจ๋า พี่ขอเตือนด้วยความหวังดีเลยนะว่า...อย่าได้ไปทำกิริยาน่ารัก หรือส่งสายตาเช่นนี้ให้กับใครอีกนะ ยกเว้นพี่เท่านั้นที่เห็นได้”
“กิริยาน่ารัก? สายตา? ...น้องจำไม่ได้ว่าเคยทำ?” ทำตอนไหนวะ?
“บอกแล้วนะว่าอย่าทำ”
ยังไม่ทันที่ไกรทองจะได้ทักท้วง ชาละวันก็จัดการจูบปิดปากเจ้าคนซื่อบื้ออีกรอบด้วยความหมั่นเขี้ยว
‘สงสัยน้องไกรทองคงจะไม่รู้ตัวว่าตนเองนั้นมีเสน่ห์ให้ผู้คนหลงใหลมากเพียงใด ลำพังเพียงแค่มีใบหน้าคมสัน เรือนร่างแข็งแรงสมชายชาตรี แม้อายุจะยังเยาว์แต่เพราะนิสัยสุขุมเหมือนผู้ใหญ่ สาวใดบ้างจะไม่ชมชอบ...อย่างน้อยก็ข้าคนหนึ่งละ’
ทุกครั้งที่ได้อยู่ใกล้ชิดกันมีครั้งไหนบ้างที่จะไม่คอยจ้องหาโอกาสจูบ กอด หอม และลูบคลำ ฉกฉวยหาความสุขจากร่างกายนี้ จนแทบจะพกเข้าเอวผูกติดไว้ข้างกายไม่ยอมให้ห่างสายตา...รวมทั้งไม่ยินดีให้ใครมาสนิทชิดเชื้อกับคนของเขามากกว่าตัวเขาเอง...จนดูคล้ายภรรยาขี้หึง ไม่ยอมใช้สามีร่วมกับใคร
‘ชักจะเข้าความรู้สึกขี้หึงของวิมาลากับเลื่อมลายวรรณขึ้นมานิดๆ’
เฮ้อ! ใครจะไปคาดคิดกันละว่า ท่านท้าวชาละวันผู้ที่ถูกขนามว่าไร้หัวใจ นั้นจะพลาดท่ามาตกหลุมรักมนุษย์เพศผู้ธรรมดาๆผู้นี้ได้ มิหนำซ้ำยังเป็นอีกฝ่ายยังลูกของศัตรูที่ฆ่าพ่ออีกด้วย
...ช่างน่าขำจริงๆ
ถึงแม้นบุพเพสันนิวาทจะเล่นตลก แต่เขาก็สุขใจที่ได้รัก เจ้าตัวจะรู้ไหมหนอ...ว่าสำหรับข้าแล้วเจ้าคือคนที่พิเศษและสำคัญยิ่งกว่าผู้ใด
...น้องไกรทอง...
“ไอ้ไกรโว้ย!! พี่ชาละวัน!! ขัดเครื่องเงินกันเสร็จแล้วหรือยัง!?”
...ตัวมาร...
โลกส่วนตัวที่มีเพียงแค่เราสองคนต้องถูกพังทลายลงเพียงเพราะเสียงร้องเรียกของเด็กหนุ่มผิวสีถ่านด้านนอก
ไกรทองรีบผลักหน้าของชาละวันให้ออกห่าง ก่อนจะตะโกนตอบออกไป “เหลืออีกสองสามชิ้นก็เสร็จแล้ว!!”
เด็กหนุ่มยัดเครื่องเงินที่ยังไม่ได้ทำความสะอาดใส่มือชายหนุ่ม เร่งลงมือขัดถูให้เสร็จโดยไว ...
คนหนึ่งรีบเร่งทำงานให้เสร็จ...เพราะกลัวคนสงสัยที่หายไปนาน
คนหนึ่งรีบเร่งทำงานให้เสร็จ...เพราะโกรธเคืองที่มีคนกล้าขัดจังหวะการพลอดรักของตน
‘สักวันกูจะเอาพวกมันไปถ่วงน้ำ’
จากนั้นไม่นานทั้งสองคนก็พากันหอบเครื่องเงินทั้งหมดมาให้เศรษฐีคำตรวจสอบดูความเรียบร้อย “เอ็งสองคนนี่ไว้ใจได้จริงๆ ข้าใช้บ่าวไพร่ขัดเครื่องเงินทีไร ไม่เห็นจะแวววาวได้ถึงขนาดนี้เลย...ว่าแต่ไอ้ไกรเห็นทีเอ็งคงจะออกแรงขัดมากเลยสินะ หน้าถึงดูแดงๆเหนื่อยๆขนาดนี้”
“กะ...ก็นิดหน่อยนะจ้ะ”
คณัสนันท์หันไปสบตากับเพื่อนรักพร้อมกับโต้ตอบกันทางกระแสจิตใส่ว่า ...ท่านท้าวชาละวันขอรับ ช่วยเก็บรอยยิ้มเจ้าเล่ห์ที่มุมปากด้วยนะขอรับ กรุณาอย่าแสดงออกให้มันมากนัก ประเดี๋ยวหน้ากากที่ใส่เอาไว้มันจะหลุดเอา...
...เฮอะ! ทำเป็นพูดมากน่า ที่เจ้าพูดเตือนข้าเนี่ยไม่ใช่เพราะแอบอิจฉาข้าหรอกนะ...
ชายร่างหนาถลึงตาใส่ผู้เป็นนายเหนือหัว ที่กล้าพูดแทงใจดำดังฉึก
...เออ! กูมันตัวคนเดียว นอนคนเดียว ใครจะเหมือนเอ็งกับพี่ข้าล่ะ...คนหนึ่งใช้เล่ห์เหลี่ยมจับเด็กกลืนกลิ่นลงท้อง ส่วนอีกคนใช้ใบหน้างดงามหลอกล่อให้เด็กมาติดกับ...คนรอบข้างกูมีแต่คนน่ากลัวจริงๆ....
...อิจฉาว่างั้น ยอมรับมาเถอะน่าข้าไม่ถือสาหรอก ออกจะเวทนาเสียด้วยซ้ำ...
...เออ! ยอมรับก็ได้ว่ากูอิจฉา อย่าให้ถึงทีกูนะ....
ชาละวันแอบหัวเราะสะใจเบาๆ ‘พิโธ่เอ๋ย! ทำเป็นท่ามาก สุดท้ายก็แค่เหงาที่ตัวไร้คู่’
สุดท้ายเมื่อเถียงไม่ชนะ คณัสนันท์จึงหันเหความสนใจกลับมาทางสองเด็กหนุ่มที่ยังคงเปิดฉากสงครามน้ำลายใส่กันไม่หยุด...นี่พวกเอ็งสองตัวไม่คิดจะหยุดพักหายใจหายคอบ้างหรือไงวะ? เอาแต่ทะเลาะกันไม่หยุดจนหูเขาชาหมดแล้ว
ส่วนทางด้านไกรทองนั้นเอาแต่นั่งมองนิ่งๆไม่ยอมลุกเข้าไปห้าม ...ขี้เกียจเข้าไปให้มันด่า อารมณ์ไอ้เพลิงเป็นเช่นไรก็รู้กันดีอยู่ ปล่อยให้ด่ากับทองดำไปนั่นแหละดีแล้ว
“พี่ชาละวันมองหน้าฉันทำไมรึ?” แนะแค่ถามดูเฉยๆ ไม่เห็นต้องทำสายตาหวานเยิ้มใส่ก็ได้
“ปล่าวจ้ะ พี่แค่คิดว่าน้องไกรทองช่างรู้จักเอาตัวรอดเก่งเสียจริง”
ยังมาทำตาเจ้าชู้ใส่อีก...ไม่รู้ทำไมวันนี้เขาถึงอยากให้น้องตระเภาทองละมือจากการช่วยงานในครัว มาช่วยอยู่แถวนี้เสียจริง อยากจะรู้นักว่าพี่ชาละวันยังโอกาสมาเจ้าชู้ไก่แจ้ใส่เขาอีกหรือไม่?
‘ว่าไปแล้วก็นึกสงสารน้องตระเภาทอง เพราะกิริยาที่เกินงามในคราวนั้นประกอบข่าวลือในเรื่องชู้สาวดังไปทั่วหมู่บ้าน ทำให้เดี๋ยวนี้น้องสาวทั้งสองต้องถูกบังคับให้เข้าไปช่วยเหลืองานอยู่ในครัว ไม่ก็ถูกบังคับให้ต้องหลบหน้าเข้าห้อง ไม่สามารถมาหยอกล้อเล่นหัวกับพวกเขาได้เหมือนแต่ก่อน’
แต่เหตุที่ทำให้ไกรทองต้องห่างเหินจากสองสาว ส่วนย่อมเพราะชายหนุ่มที่เอาแต่ยิ้มข้างกาย อีกส่วนก็คือตัวเขาเอง...เด็กหนุ่มมิใช่คนโง่ที่จะมองไม่ออกว่าน้องสาวที่เล่หัวกันมาแต่เด็กกำลังคิดอะไรอยู่
น้องสาวคนหนึ่งนั้นรักตนมิใช่พี่ชาย ส่วนน้องสาวอีกคนรักผู้ชายคนเดียวกันกับตน...เฮ้อ!...
“พอๆพวกเอ็งสองคนเลิกเห่าใส่กันได้แล้ว ข้ารำคาญ!” เศรษฐีคำทนนั่งฟังเด็กหนุ่มสองคนกัดกันอยู่นานแล้วจนชักทนไม่ไหว ตะโกนปรามพวกมันให้เงียบ หยุดพูด หยุดเถียงกัน
“ในเมื่อพวกเอ็งสองคนนิสัยสามัคคีกันดีนัก.....ไอ้เพลิง ไอ้ทองดำ พวกเอ็งต้องไปช่วยกันปีนเอาลูกมะพร้าวอ่อนมาให้ข้าสองลูก หมากผลสองแง้ และจำไว้ให้ดีนะโว้ย ว่าหมากผลแต่ละแง้ต้องมีลูกหมากเป็นเลขคู่ จะมีหกผล แปดผล หรือจำนวนเท่าใดก็ได้ แต่ต้องให้มีครบเป็นคู่...เกินได้แต่ห้ามขาด”
“ถ้ามันขาดเราเอามาต่อใส่กันได้หรือปล่าวจ๊ะ?” ดู...ดูมัน ขนาดกูสั่งมันไปทำงานยังมีหน้าทำทะเล้นใส่กูอีก ประเดี๋ยวก็ฟาดด้วยไม้ตะพดหรอก
“เอาไว้งานแต่งลูกมึงเถอะไอ้ทองดำ...ไป ไป อย่ามัวแต่พิรี้พิไร ไอ้เพลิงมาลากมันไปที่สวนหลังบ้านข้าที”
เพลิงรับคำผู้ใหญ่ไม่มีอิดออดเพราะเห็นว่าเป็นงานสำคัญของน้องชาย เด็กหนุ่มรีบลากคอศัตรูคู่อาฆาตลงเรือนไปที่สวนท้ายบ้านด้วยกัน ท่ามกลางเสียงด่าทอและตะโกนเห่าใส่กันไปตลอดทาง
แต่ถึงแม้ชายกลางคนจะกำชับสั่งงานไว้เป็นอย่างดี ไกรทองนั้นยังมิวายอดเป็นห่วงไม่ได้ “หวังว่าพวกมันจะไม่ลงมือฆ่ากันตายกลางสวน ก่อนจะได้ของกลับมาหรอกนะลุงคำ”
เมื่อได้ฟังความคิดเห็นของหลานชาย เศรษฐีคำถึงคิดได้ “เออจริงด้วย ไอ้นันข้าวานเอ็งให้ไปคอยปรามพวกมันทีนะ ถ้าห้ามด้วยปากแล้วไม่ฟัง ข้าอนุญาตให้ปางตายได้แต่ห้ามตาย เพราะเดี๋ยวจะขาดคนช่วยงาน”
...เอาไอ้นันไปนี่แหละข้าถึงจะวางใจ แถมมือตีนมันก็หนักดีด้วย เตะทีเดียวเจ้าสองนั่นคงหงอไม่กล้ากัดกันต่อแน่ๆ
“ได้จ้ะ ปางตายได้ใช่ไหม? ประเดี๋ยวฉันจัดการให้”
...พวกมึงเสร็จกู...
เด็กน้อยตีกัน หาเรื่องกันไม่พ้นกู เอะอะอะไรก็ไอ้นัน ไอ้นัน ... สรุปว่านี่เห็นกูเป็นพี่เลี้ยงเด็กกันใช่ไหมเนี่ย?
“แล้วทางฉันกับพี่ชาละวันละจ๊ะ?”
เศรษฐีคำครุ่นคิดว่ายังงานส่วนไหนบ้างที่ยังไม่ได้จัดเตรียม “ไอ้เจิม! ไอ้เจิมโว้ย!!”
“อยู่นี่ขอรับ”
“พวกข้าวของเครื่องใช้ที่จะใช้ในวันแต่งงาน จัดเตรียมไปถึงไหนแล้ววะ?”
ลุงเจิมนิ่งคิดเล็กน้อย “ถ้าพวกสุรา หมูหมากาไก่ กับสินสอดทองหมั้น ทางเศรษฐีขวานส่งคนมาบอกว่าจะเป็นฝ่ายจัดหามาให้ ส่วนพวกขนมมงคลและอาหารคาวหวาน ของใช้ส่วนตัวที่เจ้าสาวต้องมีติดตัวออกเรือน นายแม่บอกว่าทุกอย่างเรียบร้อยดีมิมีปัญหาสิ่งใดเลยขอรับ...ยังขาดแต่พวกผลหมากรากไม้ที่จะใช้ในวันงาน อ๋อ...แล้วก็พวกต้นอ้อย ต้นกล้วย ถั่ว งา และข้าวเปลือกขอรับ”
เศรษฐีคำเอามือลูบหนวด “งั้นเอ็งช่วยไปบอกไอ้ทองดำที่ท้ายสวนทีนะว่า ข้าต้องการต้นอ่อนมะพร้าวที่เพิ่งงอกออกมาจากผลแก่ มาเพิ่มให้ข้าสักสองต้นนะ”
ลุงเจิมรับคำสั่งรีบเร่งลงเรือนไป เมื่อสั่งลูกน้องเสร็จชายกลางคนหันหน้ามาสั่งงานสองหนุ่มต่อ “หน้าที่เลือกต้นกล้วยกับต้นอ้อย ข้ายกให้ไอ้ไกรเป็นผู้จัดหาแล้วกัน เอ็งลองไปดูในสวนบ้านข้ากับบ้านไอ้ขวานสิว่า มีหน่อต้นกล้วยกับต้นอ้อยงามๆบ้างหรือไม่ ถ้ามีก็จับจองเอาไว้ก่อนอย่างละคู่ ไว้ถึงวันงานค่อยให้คนไปขุดขึ้นมา....ส่วนไอ้ชาละวัน....”
เศรษฐีหยุดชะงักไปครู่หนึ่งเหมือนเพิ่งคิดได้ “เปลี่ยนใหม่ๆ หน้าที่หาหน่อต้นกล้วยกับต้นอ้อย ข้าวานให้ไอ้ชาละวันรับหน้าที่นี้ไป ส่วนไอ้ไกรจงไปที่ยุ้งฉางและเรือนครัว คัดเลือกเอาจำพวกข้าวเปลือก ถั่วและงาดีๆ มาให้ข้าอย่างละกระจาด”
“เหตุใดถึงเปลี่ยนงานพวกเราสองคนด้วยละจ้ะลุงคำ?”
“สงสัยหมู่เอ็งคงไม่ได้มีเรื่องเจ็บตัวมานานแล้วนะ ถึงได้ลืมไปว่าสำหรับเอ็งแล้ว บ้านไอ้ขวานนะมันเป็นถ้ำเสือ ขืนทะเล่อทะล่าเดินเข้าไปมีหวังโดนเสือกัดตายกันพอดี....จะว่าไปไหนๆก็ต้องไปที่นั่นอยู่แล้ว ไอ้ชาละวันช่วยสอบถามแทนข้าทีนะว่าพวกสินสอดทองหมั้นและเรือนหอมีการจัดเตรียมไปถึงไหนกันแล้ว ส่วนพวกขันหมากเอกกับขันหมากโท ทางเราจะเอาไปส่งให้ก่อนวันแต่งหนึ่งวัน หากต้องการอะไรเพิ่มให้บอกมาได้เลยไม่ต้องเกรงใจ”
หลังจากรับหน้าที่ไปเป็นที่เรียบร้อยแล้ว ทั้งสองก็พากันแยกย้ายไปทำงานหน้าที่ใครหน้าที่มัน แต่ก่อนจะไปชาละวันนั้นเกิดเป็นห่วงความรู้สึกของไกรทอง ด้วยเกรงว่าจะคิดมากกับคำกล่าวของญาติผู้ใหญ่
“เรื่องที่เศรษฐีคำพูด น้องไกรทองคงจะไม่เก็บมาคิดมากใช่ไหม?”
“ก็มีบ้าง น้องชินแล้ว ไม่ต้องเป็นห่วงไปหรอกจ้ะ” แม้ปากบอกไม่เป็นไร แต่ลึกๆเขานั้นรู้สึกแย่ที่ต้องถูกใครต่อเกลียดชังทั้งๆที่ไม่เคยทำอะไรให้ และต่อทำความดีมากแค่ไหนอีกฝ่ายก็มิเคยมองเห็น เอาแต่กล่าวว่าให้เขานั้นเจ็บช้ำใจอยู่ร่ำไป
“แล้วพี่ชาละวันละจ๊ะ ได้ไปถึงถ้ำเสือทั้งทีพี่ไม่กลัวว่าจะโดนเสือตะปบเอาบ้างรึ?”
“ขนาดจระเข้พี่ยังไม่กลัวมันจะกัด แล้วกะอีแค่เสือพี่จะไปกลัวทำไม”
ชาละวันกล่าวคำหยอกเอินทิ้งท้ายไว้เพียงเท่านี้ ไม่ใช่แค่จะทำให้เด็กหนุ่มสบายใจ แต่ยังถือเป็นการบอกใบ้ให้รู้ว่า เขาไม่เกรง ไม่กลัวใครหน้าไหนทั้งนั้น ไม่ว่าจะมนุษย์และจระเข้...หากแม้นผู้ใดกล้าริอาจเป็นศัตรูกับเขาหรือเป็นศัตรูกับคนของเขาแล้วละก็....
...อย่าหาว่าข้าไม่เตือนแล้วกัน...หึ หึ...
ความคิดเห็น