ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    ไกรทอง ชาละวันxไกรทอง (yaoi)

    ลำดับตอนที่ #9 : ไกรทอง ตอนที่5 (แก้ไข)

    • เนื้อหานิยายตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 5.38K
      56
      10 มี.ค. 58

     ไกรทองแหงนหน้ามองปากทางเข้าถ้ำด้วยสีหน้าเหยเก...ใครไปจะนึกสถานที่ที่พี่ชายเคยสัญญาไว้ว่าจะพามาเที่ยว มันจะดูลึกลับน่ากลัวถึงเพียงนี้ นี่แค่เขายืนดูจากข้างนอกมันยังดูมืดน่ากลัวขนาดนี้ แล้วถ้าลองได้เดินเข้าไปด้านไหนสงสัยคงจะมืดจนมองไม่เห็นทางแน่ๆเลย

     

    ไม่เห็นจะเข้าใจเลย ไอ้สถานที่น่ากลัววังเวงแบบนี้จะมีเรื่องสนุกๆเกิดขึ้นได้ยังไงกัน  แถมรอบข้างก็มีแต่ต้นไม้สูงใหญ่ทั้งนั้น 

     

    แน่ใจนะว่าใช่ที่นี่

     

    ไกรทองพยายามเกาะแขนของชาละวันแนบชิดให้มากที่สุดเพื่อความอุ่นใจและความปลอดภัย

     

    แค่ถ้ำธรรมดาเท่านั้นเอง อย่านึกกลัวไปเลย

     

    ถึงจะถูกปลอบประโลมด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน แต่สำหรับเด็กตัวเล็กๆแล้ว   ยังไงเสียถ้ำธรรมดาตรงหน้าก็ย่อมจะถูกมองว่าเป็นที่น่าสระพรึงกลัวที่สุดในความคิดอยู่ดี

     

    มากับข้าเจ้าไม่ต้องกลัว...ข้าจะปกป้องเจ้าเอง

     

    ชาละวันจับมือเล็กมากุมไว้มั่น ชูคบไฟเพิ่มความสว่างแล้วรีบจูงไกรทองให้เดินเข้าไปยังด้านในถ้ำ

     

    ด้วยเส้นทางอันแสนคดเคี้ยวของถ้ำ ประกอบกับด้านบนเพดานนั้นเต็มไปด้วยหินงอก หินย้อย รูปร่างแปลกๆมากมายประกอบกับภายในถ้ำยังดูมืดสลัวน่ากลัว  ยิ่งทำให้ไกรทองต้องรีบเกาะแขนของชาละวันไว้แน่น  ราวกับต้องการให้อีกฝ่ายเป็นที่พึ่งพิงและเพื่อข่มความกลัวในใจให้ลดน้อยถอยลง

     

    ในตอนแรกคนถูกกอดไม่ค่อยสนใจอะไรมากนัก นอกจากกระชับมือที่กุมไว้ให้แน่นกว่าเดิมเพื่อประกันความอุ่นใจให้คนขี้กลัว ไม่ต้องขวัญหนีดีฝ่อกับบรรยากาศภายใน

     

    ข้ากลัวจังเลย พี่ชาละวัน

     

    ชาละวันหยุดชะงักเท้าดังกึก เล่ตามองเด็กน้อยอย่างไม่เชื่อหูตัวเอง

     

     “เมื่อครู่นี้เจ้าพูดว่าอย่างไรนะ? พูดใหม่อีกครั้งได้ไหม?

     

     “ไกรทองกลัว

     

    มิใช่ก่อนหน้านี้อีก

     

    พี่ชาละวัน...?”

     

    ไกรทองมองหน้าชาละวันอย่างไม่เข้าใจว่าตัวเขาพูดอะไรผิดอีกฝ่ายถึงต้องทำหน้าตกใจแบบนั้น

     

    เจ้าเรียกข้าว่าพี่ชาละวัน

     

    ตั้งแต่รู้จักกันมา ไม่ยักเคยได้ยินเจ้าตัวเล็กเรียกเราว่าพี่ชาละวันเลยแฮะ ปกติเรียกแต่  พี่ชายหรือไม่ก็เจ้า  สงสัยกลัวถ้ำจนเพี้ยนเลยหลุดพูดออกมา

     

    แล้วมันแปลกตรงไหนในเมื่อท่านแก่กว่า...ข้าเรียกพี่ชาละวันก็ถูกแล้วไม่ใช่เหรอ?

     

    ชาละวันยิ้มเจ้าเล่ห์ ....ไม่ใช่ว่าแปลกอะไรหรอก แต่ฟังดูจั๊กจี้หัวใจพึลึก

     

    ก็ใช่ ...หากแต่ในเมื่อเจ้าเรียกข้าว่าพี่ชาละวัน  เพื่อความเสมอภาคข้าก็จะเรียกเจ้าว่าน้องไกรทอง ดีหรือไม่?...ที่สำคัญเวลาเรียกแทนตัวเองห้ามพูดคำว่าข้าเด็ดขาด  ต้องพูดชื่อหรือไม่ก็คำว่าน้อง ส่วนข้าจะเรียกตัวเองว่าพี่  ตกลงไหม?

     

    ไกรทองเอียงคอ เอียงหน้าขบคิด...พ่อเคยสอนไว้ คนเราถ้าได้มีการนับถือ เรียกพี่ เรียกน้อง ย่อมถือว่ามีความสนิทสนมกัน ถ้างั้นที่พี่ชาละวันจะเรียกเราว่าน้องไกรทอง ก็ถือว่าถูกต้องมีเหตุผล เพราะเราสองคนสนิทกัน

     

    ตกลง...พี่ชาละวัน

     

    พี่ชาละวันของน้องไกรทองยิ้มกว้างออกมาจนแก้มปริด้วยความชอบใจ

     

    ถ้าเช่นนั้นน้องไกรทองช่วยหลับตาเอาไว้จนกว่าพี่ชาละวันจะบอกให้ลืมตา ได้หรือไม่?”

     

    เด็กน้อยยอมหลับตาลง พร้อมกับเอามือเล็กๆมาปิดทับตาเอาไว้อีกชั้นอย่างว่าง่าย

     

    พ่อเคยบอกไว้ คนเป็นพี่สั่งให้ทำอะไร น้องต้องปฏิบัติตาม ห้ามดื้อ...ไกรทองไม่เป็นเด็กดื้อ ไกรทองต้องทำตามที่พี่ชาละวันบอก

     

    ไกรทองยืนปิดตานิ่งอยู่ครู่หนึ่งก็ได้ยินเสียงชาละวันร้องบอกให้ลืมตา

     

    น้องไกรทองลืมตาได้แล้ว

     

    ไกรทองหยีตามองหน้าชาละวัน มองดูรอบๆก็ไม่เห็นว่ามีสิ่งใดที่ดูผิดปกติไปจากเดิม

     

    พี่ชาละวันให้ไกรทองหลับตาทำไม

     

    ปล่าวไม่มีอะไรพี่แค่กำจัดพวกแมลงน่ารำคาญเท่านั้น...รีบไปกันต่อเถอะ

     

    แมลงในนี้มีแมลงด้วยเหรอ? ทำไมข้าไม่เห็นได้ยินเสียงแมลงเลย  มีแต่เสียงหยดน้ำ

     

    การเดินท่ามกลางความมืดและความไม่คุ้นเคยในพื้นที่ ทำให้ชาละวันเลือกจะค่อยๆย่างเท้าด้วยความระมัดระวังถึงสองสามเท่าตัว เพื่อคนตัวเล็กกว่าจะเดินทางได้สะดวกไม่ลำบาก

     

    ทั้งสองคนเดินเท้าลึกเข้าไปเรื่อยๆ จนพบกับโพรงถ้ำขนาดย่อมๆทั้งหมดห้าช่องทาง ชาละวันจูงมือไกรทองเดินไปทางโพรงถ้ำริมขวาสุดอย่างผู้ชำนาญทาง

     

    ตอนพี่อายุได้เพียงสิบขวบ พี่เคยหลงเข้ามาในถ้ำแห่งนี้ ใช้เวลาเกือบหนึ่งปีสำรวจเส้นทางเดินภายในถ้ำ และยังรวมไปถึงโพรงถ้ำทั้งห้า ด้วยเพราะฉะนั้นทางที่พี่พาเดินเข้ามาย่อมถูกทางแน่นอน

     

    แล้วอีกสี่ทางที่เหลือล่ะพี่ชาละวัน

     

    เส้นทางแรกริมซ้ายสุดพี่เรียกเส้นทางอสรพิษ ในนั้นล้วนแต่มีสัตว์มีพิษมากมายเช่น แมงม่อง ตะขาบ งูพิษ แมงมุมพิษ หรือแม้แต่มดก็ยังมีพิษชนิดที่กัดแล้วตาย...เส้นทางที่สองในนั้นจะมีบ่อน้ำ ซึ่งดูเผินๆอาจจะดูเหมือนบ่อน้ำร้อนธรรมดา แต่ความจริงแล้วมันเป็นน้ำกรด สิ่งใดตกลงไปจะละลายเพียงชั่วพริบตา หรือแม้กระทั่งยามเมื่อสิ่งมีชีวิตเฉียดเข้าไปใกล้  น้ำในบ่อจะผุดเน้นฟองปล่อยไอน้ำพิษออกมาครอบคลุมพื้นที่ หากเผลอสูดดมไอน้ำชนิดนี้เข้าไปจะขาดใจตายเฉียบพลัน...เส้นทางที่สามเป็นแหล่งที่อยู่ของเหล่าพืชกินสัตว์ขนาดใหญ่จำนวนมาก สิ่งมีชีวิตใดหลงเข้าไปไม่เคยรอดกลับมาซักราย...เส้นทางที่สี่อีกฟากหนึ่งจะเป็นป่าดงดิบมีแต่สัตว์ขนาดใหญ่และดุร้ายชุกชุม

     

    ชาละวันหยุดอธิบายเพียงแค่นี้เมื่อเห็นว่าคนข้างกายนั้นไม่ยอมก้าวเท้าเดินตามมา เด็กหนุ่มจึงสังเกตเห็นว่าใบหน้าของไกรทองซีดเผือดจนแทบไม่มีสีเลือด

     

    อย่ากลัวไปเลยน้องไกรทองถ้าเราไม่เดินเข้าไปในอาณาเขตของมันเราก็จะไม่มีอันตราย

     

    ตะ...แต่ว่า

     

    น้ำตาคลอเอ่อในดวงตาช่างดูน่าสงสารนัก...ชาละวันกัดปากแน่นอย่างสำนึกผิด...ไม่น่าปากเปราะเผลอเล่าเรื่องเส้นทางที่เหลือออกไปเลย  เพราะถึงยังไงน้องไกรทองก็ยังเด็กนักไม่สมควรจะมาได้ยินเรื่องน่าสะพรึงกลัวเช่นนี้

     

    ความหวาดกลัวเข้ามามีอำนาจครอบงำจิตใจของเด็กน้อยจนทำอะไรไม่ได้นอกจากยืนหน้าซีดตัวสั่นไปทั้งตัว  ในหัวจินตนาการถึงภาพสัตว์น่ากลัว และสิ่งน่ากลัวในแบบต่างๆ  ถ้าตัวเองหลงทางเข้าไปในที่แบบนั้น

     

    น้องไกรทองมองหน้าพี่นะ พี่จะเป็นผู้ปกป้องน้องไกรทองเอง ไม่มีสิ่งใดมาทำอันตรายน้องได้เด็ดขาด!

     

    ไกรทองประสานสายตาเข้ากับดวงตาที่มั่นคง เข้มแข็ง เด็ดเดี่ยว ส่งผลให้ความอบอุ่นและเชื่อใจผุดขึ้นมา

     

    ไกรทองเชื่อพี่ชาละวัน

     

    เก่งมากเด็กดี

     

    เสียงเอ่ยชมของชาละวันและมืออันอบอุ่นที่ลูบหัวอยู่นั้น ทำให้ไกรทองถึงกับยิ้มกว้างน่ารัก เล่นเอาคนมองทนอดใจไม่ไหวฉวยโอกาสย่อตัวลงมาขโมยหอมแก้มนิ่ม

     

    ถือว่าเป็นรางวัลที่น้องไกรทองทำตัวเข้มแข็ง

     

    หือ???...”

     

    ใช่!รางวัลและยังเป็นเครื่องลางขจัดความกลัวด้วย

     

    ไกรทองลูบแก้มตรงที่ถูกหอม สีหน้าครุ่นคิด

     

    จริงเหรอพี่ชาละวัน

     

    จริงสิ 

     

    ...อย่ามาทำตาใสกับพี่จะได้ไหม  แค่เห็นก็อยากจะจูบปากเล็กๆ  หอมแก้มยุ้ยๆอีกสักทีสองทีให้ชื่นใจ

     

    ถ้างั้นไกรทองให้รางวัลแบบนี้กับคนอื่นได้งั้นสิ?”

     

    คนฉวยโอกาสถึงกับยิ้มค้างเมื่อเจอคำถามพาซื่อแบบนี้จากเจ้าตัวเล็ก

     

    ไม่ได้!รางวัลนี้ใช้ได้แค่พี่กับไกรทองเท่านั้น แม้คำพูดจะฟังดูเรียบเฉยแต่ทว่าน้ำเสียงกับแฝงไปด้วยอารมณ์ขุ่นมัว

     

    เพียงแค่นึกภาพไกรทองจะไปหอมแก้มใครหรือมีผู้ใดมาสัมผัสแก้มนิ่มนอกจากเขา หัวใจก็เต้นรัวด้วยอารมณ์โกรธจนแทบระงับไว้ไม่อยู่จะแสดงออกมาก็ไม่สมควร ชาละวันจึงทำได้เพียงเอ่ยห้าม

     

    น้องไกรทองฟังคำของพี่นะ พี่ขอห้ามให้น้องไปให้รางวัลแบบนี้กับใครนอกจากพี่ชาละวันคนเดียว ตกลงไหม?”

     

    ถึงจะไม่เข้าใจในคำพูดเท่าไร แต่ไกรทองก็เลือกพยักหน้าตกลง เพราะถือคติน้องต้องเชื่อฟังพี่

     

    ไกรทองสัญญาว่า จะไม่ให้รางวัลแบบนี้กับใครนอกจากพี่ชาละวันคนเดียว

     

    เมื่อได้คำสัญญาแล้วชาละวันถึงกลับมาอารมณ์แจ่มใสยิ้มหน้าบานเป็นจานเชิง จูงมือไกรทองออกทางเดินอีกครั้ง

     

    ชาละวันและไกรทอง ค่อยๆเดินเลียบข้างผนังถ้ำไปอย่างเชื่องช้า ระมัดระวัง เพราะบริเวณนี้มีตะไคร้น้ำขึ้นเต็มไปหมด ทำให้ทางเดินแถวนี้จะลื่นมากเป็นพิเศษ ถึงแม้จะเดินลำบากแต่ทว่าเจ้าตัวเล็กกลับสู้ไม่ถอย ยอมเดินไปถึงไหนถึงกัน

     

    เด็กชายแทบไม่อยากเชื่อสายตาตัวเอง ว่าเด็กตัวเล็กอายุเพียงแค่หก เจ็ดขวบปี จะมีจิตใจอันแข็งแกร่งและทรหดบึกบึน เทียบเท่ากับผู้ใหญ่ตัวโตๆหรืออาจจะมากกว่าด้วยซ้ำ

     

    เดี๋ยวก่อนน้องไกรทอง น้องช่วยอมว่านนี้ไว้ใต้ลิ้นทีนะ เพราะเรายังต้องผ่านด่านสำคัญอีกหนึ่งด่าน พวกเราถึงจะเข้าไปถึงยังจุดหมายได้อย่างปลอดภัย

     

    ไกรทองยืนมองว่านชิ้นบางในมือ และชาละวันที่เอาว่านอมไว้ใต้ลิ้นเป็นตัวอย่างให้ดู เด็กน้อยจึงทำตามบ้าง รสชาติขมปนฝาดแล่นริ้วขึ้นมาจนถึงขนาดต้องหลับตาปี๋ แต่พอผ่านไปสักพักเมื่อลิ้นเริ่มคุ้นชินความขมและฝาดจึงหายไปรวมถึงดวงตาเริ่มสว่างกระจ่างชัดเจน ความอ่อนเพลียหายไปเป็นปลิดทิ้ง

     

    ทันใดนั้นเองเส้นทางที่มืดทึมในถ้ำลึก ก็บังเกิดสายหมอกปกคลุมไปทั่วบริเวณจนขาวโพลน หมอกนี้หนาทึบมากจนมองไม่เห็นสิ่งใดนอกจากแสงคบไฟ   เด็กหนุ่มกระตุกมือเตือนให้ผู้ร่วมทางเดินตามมา

     

    เวลาผ่านไปสักพักใหญ่ ชาละวันกับไกรทองก็สามารถเดินฝ่าสายหมอกหนาทึบ ออกมาได้อย่างปลอดภัย และเมื่อผ่านพ้นมาได้ สิ่งที่ปรากฎในสายตาของเด็กน้อย ณ ตอนนี้ คือถ้ำที่มีลักษณะเหมือนห้องเล็กๆหนึ่งห้อง ประดับประดาไปด้วยหินงอกหินย้อยและโขดหินตามผนังประปราย

    มองเช่นไรมันก็แค่ห้องหนึ่งห้อง ไม่เห็นมีอะไรแปลกประหลาด

     

    เรามาถึงแล้วเหรอพี่ชาละวัน?

     

    ชาละวันไม่ตอบอะไร นอกจากยิ้มและก้าวเดินไปใกล้ผนังถ้ำด้านในสุด จากนั้นมือข้างหนึ่งเอื้อมไปจับก้อนหินขนาดเท่าฝ่ามือบนผนัง ออกแรงดึงจับหมุนบิดไปทางซ้ายสามรอบและทางขวาอีกสองรอบ ก่อนจะดันก้อนหินกลับเข้าไปที่ตำแหน่งเดิม

     

    จากนั้นผนังถ้ำธรรมดาก็เริ่มมีเคลื่อนย้ายแยกออกเป็นประตูทางเข้าขนาดย่อมๆ สามารถให้คนเดินผ่านเข้าไปได้สร้างความตกตะลึงให้แก่ไกรทองที่กำลังยืนอ้าปากค้าง

     

    ลองเข้าไปข้างในดูสิ รับรองน้องไกรทองจะต้องชอบแน่ๆ

     

    ไกรทองชะโงกหน้าเมียงมองประตูทางเข้าอย่างกล้าๆกลัวๆ ครั้นพอแอบเหลือบตาไปมองคนข้างตัว  พี่ชาละวันของน้องไกรทองก็แค่พยักหน้ายิ้มๆให้เดินเข้าไปโดยไม่ต้องกลัว  เจ้าตัวเล็กสูดลมหายใจเข้าเฮือกใหญ่เพื่อรวบรวมความกล้า

     

    แต่เท้าเล็กๆที่กำลังจะก้าวเดินเข้าไปกับหยุดชะงักนิ่ง เหลียวหน้าเหลียวหลังมองรอบตัว

     

    มองหาอะไรรึน้องไกรทอง?”

     

    ไกรทองเหมือนได้ยินเสียงคนร้องแว่วๆ

     

    ชาละวันเลิกคิ้วขึ้นเล็กน้อย...หูไวดีจริงๆ

     

    ภายในถ้ำแห่งนี้นอกจากพี่แล้วไม่เคยมีใครย่ำกรายเข้ามาแม้ซักคนเดียว สงสัยน้องไกรทองคงจะหูฝาด...อย่ารอช้าเลยรีบเดินเข้าไปด้านในเถอะ

     

    ไกรทองมองรอยยิ้มอ่อนโยนตรงหน้า หันหลังกลับเข้าไปด้านใน โดยไม่ทันได้เห็นแววตาที่ซ่อนความลับอะไรบางอย่างเอาไว้ของชาละวัน

     

    เมื่อทั้งคู่เดินเข้ามาถึงข้างใน ไกรทองก็ยิ่งเบิกตากว้างด้วยความตกตะลึงอีกครั้งกับความน่าตื่นตะลึง  ที่เขาแทบไม่อยากจะเชื่อว่าสถานที่แห่งนี้นั้นจะมีอยู่จริง  ไม่ใช่แค่ในนิทานที่พ่อเคยเล่าให้ฟัง

     

    ชาละวันที่เดินมาตามหลังชี้ชวนให้ดูสถานที่แห่งนี้โดยรอบ ทั้งสระน้ำขนาดใหญ่  โดยพื้นสระเป็นแผ่นดินกายสิทธิ์บ ริเวณดินก็เป็นดินกายสิทธิ์สามารถใช้ถูตัวได้  ส่วนตัวสระนั้นมีความกว้างลึกรอบเท่ากัน กว้าง432,000 วา  ลึกประมาณ 432,000วา  น้ำในสระใสสะอาดประดุจผลึกแก้ว

     

    อาจเป็นเพราะมีเขาสี่เขาล้อมรอบ รูปทรงโค้งตามแนวสระ  ปลายยอดมีสันฐานโค้งงุ้มดังปากกา  โอบปิดด้านบนสระไว้  ทำให้แสงอาทิตย์ แสงจันทร์  ไม่สามารถส่องให้โดนน้ำได้ตรงๆ  และไม่ต้องกลัวว่าน้ำในสระจะแห้งเหือดไปเพราะมีธารน้ำทุกสารทิศจากเขาเหล่านี้ไหลรวมลงสู่สระนี้ตลอด

     

    จากนั้นชาละวันก็จูงมือพาไกรทองเข้าไปใกล้ต้นไม้ชนิดหนึ่ง ซึ่งพอมองดีๆแล้วมันก็คือต้นหว้าขนาดใหญ่ประมาณ 10 คนโอบ ตั้งแต่พื้นดินไปถึงคาคบสูงได้ 50 โยชน์ ตั้งแต่คาคบขึ้นไปถึงยอดได้ 50 โยชน์ คาคบตะวันตะวันออกถึงตะวันตกมีระยะไกล 1,000 โยชน์ คาคบเหนือจรดใต้ไกลถึง 800,000 วา ปริมาณคาคบโดยรอบปริมณฑลได้ 2,400,000 วา ดอกของต้นหว้าที่หล่นกระจายตามพื้นมีลักษณะงาม กลิ่นหอมยิ่งนัก

     

    ชาละวันก้มหยิบผลหว้าขนาดใหญ่ ที่หล่นอยู่บนพื้นมาให้ไกรทองได้ลองชิม ปรากฎว่ามีรสหวานอร่อยเหมือนน้ำผึ้ง ถูกใจเจ้าตัวเล็กไม่น้อย เท่านั้นยังไม่พอชาละวันชี้ชวนให้มองดูตรงจุดนี้โดยรอบ

     

    ในพื้นที่แห่งนี้ ทุกอย่างล้วนอุดมไปด้วยไม้หอมนานาพันธุ์ ทั้งรากไม้หอม ไม้แก่นหอม ไม้กระพี้หอม ไม้เปลือกหอม ไม้สะเก็ดหอม ไม้รสหอม ไม้ใบหอม ไม้ดอกหอม ไม้ผลหอม ไม้ลำต้นหอม ...ตรงนั้นเป็นต้นมะขามป้อมรสอร่อย   ถัดไปจากตรงนั้นก็มีไม้สมอ รสหวานปานน้ำผึ้ง ...รวมถึงพรรณไม้แปลกๆมากมาย กินหวานอร่อยทุกอย่าง ที่สำคัญกว่านั้นนะ... น้องมองไปรอบๆสิ  ป่าแห่งนี้เต็มไปด้วยนกสีสวยนานาชนิดที่ล้วนแต่แปลกประหลาดไม่เคยพบเห็นจากข้างนอกเลยใช่ไหม?

     

    จริงดังชาละวันว่าไว้  นกน้อยที่เกาะอยู่บริเวณใกล้ๆกันล้วนมีต่างก็ลักษณะแปลกตา   อย่างเช่นเจ้านกน้อยตัวนั้น ถึงรูปร่างจะคล้ายกับนกขมิ้นแต่กับมีสีสันแปลกตา  ปากและหน้าท้องของมันเป็นสีดั่งทองคำ ช่วงหัวตลอดทั้งตัวเป็นสีเงินดูสวยงาม ...นกบางชนิดก็เป็นสีแดงไล่สลับกับเหลืองออกเป็นสีส้มจัด

     

    ในป่าแห่งนี้มีดอกไม้บานสะพรั่งทั้งในน้ำและบนบก  มีสายลมคอยพัดเอาดอกไม้ลอยไปทั่วบริเวณ  ทุกอย่างช่างดูสวยงามราวกับอยู่บนสรวงสวรรค์ก็ไม่ปาน

     

    ทั้งคู่ต่างพากันเดินและห้อยโหนเก็บผลไม้ชิม เก็บดอกไม้ทั่วทั้งป่า ว่ายน้ำเล่นในสระ นั่งชี้ชวนดูนก ชมปลาแปลกๆที่แหวกว่ายในสระน้ำใสสะอาด   หัวเราะสนุกสนานเพลิดเพลินกันจนลืมเวลา

     

    จากแสงแดดอ่อนในช่วงเช้าตรู่กลายเป็นสีแดงจัด  ถึงได้ปรากฎร่างเด็กหนุ่มพายเรือเทียบเข้าฝั่งตรงต้นดอกบีป

     

    เป็นเช่นไรบ้างน้องไกรทองสนุกหรือปล่าววันนี้

     

    อื้อ!สนุกที่สุดเลยพี่ชาละวัน

     

    รอยยิ้มกว้างอวดฟันขาวเป็นระเบียบ แก้มทั้งสองแดงระเรื่อ ดวงตาเป็นประกายบ่งบอกถึงความสุขและความสนุก ทำให้ชาละวันพอใจมากไม่เสียแรงที่พาไปสถานที่ลับของเขา

     

    ถ้าเช่นนั้นวันหลังพี่จะพาไปอีกดีมั้ย?”

     

    จริงนะ พี่ชาละวันห้ามโกหกไกรทองนะ?”  ไกรทองเขย่าแขนชาละวันด้วยความดีใจ  เมื่อได้ยินว่าจะได้ไปที่แสนวิเศษนั้นอีกครั้ง

     

    จริงสิพี่ไม่โกหกหรอก

     

    ยิ่งได้ยินคำรับปากจากเด็กชาย  เจ้าตัวเล็กยิ่งกระตือรือล้นอยากจะไปเสียเดี๋ยวนี้เลย

     

    ถ้างั้นพรุ่งนี้ไกรทองจะมาเล่นกับพี่ชาละวันอีกนะ?”

     

    ชาละวันชะงักนิ่ง สีหน้าแสดงความยุ่งยากใจ

     

    เห็นทีจะไม่ได้หรอกน้องไกรทอง

     

    ทำไม?”

     

    ไกรทองถามอย่างฉงนสงสัย

     

    พี่มีธุระสำคัญมากที่จะต้องทำในวันพรุ่งนี้ คงมาเล่นกับน้องไม่ได้

     

    งั้นรึ

     

    ท่าทางเหงาหงอยของไกรทอง ทำเอาหัวใจของชาละวันรู้สึกปวดหนึบ

     

    แต่ถ้าเป็นอีกสองวันข้างหน้า พี่พอจะเล่นเป็นเพื่อนน้องได้ ดีมั้ย?”

     

    ได้เหรอ?”

     

    ได้สิเพื่อน้องไกรทองซะอย่าง

     

     ชาละวันหยิกแก้มนิ่มเบาๆอย่างนึกหมั่นเขี้ยว

     

    สัญญานะพี่ชาละวัน

     

    ชาละวันมองนิ้วก้อยเล็กๆที่ชูขึ้นมาเพื่อรอคำตอบก่อนจะเกี่ยวก้อยตอบเป็นการตกลง

     

    นิ้วเล็กๆสองนิ้วไขว้เกี่ยวกัน เหมือนกับหัวใจของทั้งคู่ที่เริ่มผูกพันกันโดยไม่รู้ตัว

     

    ณ อีกสถานที่แห่งหนึ่ง

     

    ขณะนี้อาการบาดเจ็บของท้าวโคจรมีอาการสาหัสมาก  คงเป็นเพราะอาวุธของท้าวพันตาและท้าวพันวัง  นั้นมีอาคมกำกับไว้จึงทำให้ลดพลังการฟื้นตัวของอีกฝ่ายลง

     

    เจ้าของร่างกำยำ สูงใหญ่ แววตาเจ้าเล่ห์  ที่กำลังรับฟังรายงานอยู่มิใช่ใครอื่น  เขาคือด่างเกยชัย หนึ่งในอดีตราชองค์รักษ์ของราชวงศ์คุ้งใต้   ด้านข้างกันนั้นคือ พ่อมดจระเข้ดำผู้มีอาคมไสยศาสตร์เก่งกล้า

     

    กุมภีร์ทั้งสองมีความใฝ่ฝันอยากรวมสองน่านน้ำเหนือใต้ให้เป็นหนึ่งเดียวเพื่อความยิ่งใหญ่เหนือจระเข้ทั้งปวง แต่เพราะมีท้าวรำไพและท้าวโคจร พญากุมภีร์แห่งคุ้งเหนือเป็นกว้างขวางคอชิ้นใหญ่ ด่างเกยชัยจึงแอบยุยงให้ท้าวพันตาและท้าวพันวังสองพี่น้องประกาศสงคราม  ถึงกระนั้นก็ยังไม่สามารถกำจัดพญากุมภีร์คุ้งเหนือได้ หนำซ้ำยังมาถูกฆ่าตายทั้งคู่เสียอีก สร้างความผิดหวัง อาฆาตแค้นแก่ด่างเกยชัยเป็นอย่างมาก

     

    ฮึ!แล้วไอ้สายสืบที่ข้าให้คอยสะกดรอยตามไอ้ชาละวันมันส่งข่าวมารึยัง?”

     

    ยิ่งคิดยิ่งแค้นใจ  เหตุฉไนพวกมันถึงได้แข็งแกร่งเช่นนี้  ขนาดไอ้สองพี่น้องโง่นั้นก็ยังปราบไอ้โคจรไม่ได้...เจ็บใจจริงๆ 

     

     “เอ่อ...มันถูกเก็บไปแล้วขอรับ

     

    ห๊า!ถูกเก็บไปแล้ว

     

    อะไรนะ!นั้นมันทหารที่ฝีมือดีที่สุดของข้าเชียวนะ...ไอ้เด็กนั้นมันเก่งกล้าจนสามารถโค่นล้มลูกน้องข้าได้เชียวรึ

     

    ขอรับ...ไม่รู้ว่าทำได้เช่นไร  แต่เพราะไม่สามารถติดต่อทางจิตได้ย่อมแสดงว่า สายที่ส่งไปได้ตายลงแล้วขอรับ

     

    อะไรกันวะเนี่ย!!!  แล้วพวกเราจะทำเช่นไรกันดีพ่อหมอ

     

    ชายชราอายุประมาณแปดสิบ  ผมหงอกขาวทั้งหัว นุ่งห่มแบบพราหมณ์แต่เป็นสีดำ ดวงหน้าแหลมยาว ไว้เครายาวถึงอก ดวงตารียาวเจ้าเล่ห์

     

    ไอ้สายที่ส่งไป  มันถูกไอ้ชาละวันลวงไปตายที่บ่อน้ำพิษ  ปานนี้คงโดนกัดกร่อนจนไม่เหลือแม้กระดูก

     

    มันฉลาดเป็นกรดถึงขนาดนี้เลยรึ!?  เห็นทีต่อไปคงต้องระวังเจ้าลูกจระเข้ตัวนี้ให้ดีกว่านี้ซะแล้ว

     

    แต่เรื่องไอ้ลูกจระเข้น้อยเอาไว้ก่อน  ตอนนี้เราต้องอาศัยช่วงเวลาไอ้โคจรมันบาดเจ็บ  รีบลงอาคมสะกดใจใส่มันทีละน้อย  แค่สามวันอาคมที่ลงไว้จะครอบคลุมจิตของมันให้ทำตามคำสั่งโดยไม่สามารถขัดขืนได้

     

    แล้วจะเริ่มลงมือได้เมื่อใดกันพ่อหมอ  ด่างเกยชัยเอ่ยถามอย่างร้อนใจ

     

    ข้าจะเริ่มลงนี้ในวันนี้  เพราะคืนนี้เป็นคืนเดือนมืดเหมาะจะร่ายคาถาที่สุด แต่จงจำเอาไว้ระหว่างกำลังทำพิธีขอข้าอยู่คนเดียวห้ามไม่ให้ใครหน้าไหนเข้ามายุ่มย่ามเด็ดขาด

     

    พ่อมดเฒ่าเอ่ยกำชับด่างเกยชัย  ด้วยน้ำเสียงหนักแน่น...โอกาสอันแสนหายากมาอยู่ในมือทั้งที  ข้าย่อมไม่ปล่อยไปง่ายๆเด็ดขาด

     

    ข้าเข้าใจแล้ว...ส่วนเจ้ารับกลับไปคุ้งเหนือและคอยรายงานมาให้ข้าฟังเป็นระยะ

     

    ขอรับท่านเกยชัย

     

    หึหึ...ทีนี้ล่ะไอ้โคจรมันก็จะกลายเป็นแค่ลูกไก่ในกำมือ จะบีบก็ตายจะคลายก็รอด...ฮ่าฮ่าฮ่า

           

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×