( 禠星 ) เป็นข้าเอง...องค์หญิงซือซิง
-
นิยาย-เรื่องยาว :
ฟรีสไตล์/ อดีต ปัจจุบัน อนาคต Tags : เกิดใหม่, วรยุทธ์, ท่านแม่ทัพ, องค์หญิง, อักขระ, โอสถ
ผู้แต่ง : Moress (โมเรส)
My.iD :
https://my.dek-d.com/yolanda_adeline/writer/
ตอนที่ 9 : [ องค์หญิงซือซิง ที่ 8 ] ออกเดินทาง
ออกเดินทาง
เขาใช้เวลาอยู่ในตำหนักตรงบริเวณห้องที่ใช้ปรุงโอสถนานเกือบจะสองอาทิตย์ มีเหล่านางกำนัลคอยส่งข้าวปลาอาหาร ทุกคนต่างลือว่าองค์หญิงสิบสี่พยายามปรุงโอสถให้ผ่านการสอบรอบที่สองของสำนักศึกษาหลวง แม้จะจริงที่เขาต้องการเข้าไปในสำนักศึกษาหลวง แต่เขาไม่ได้พยายามปรุงโอสถ เพราะในช่วงเช้ามืดนั้นเขาต้องฝึกพลังรักษาให้คงตัว แม้มันจะเลื่อนระดับเร็วจนเขาอดตกใจไม่ได้ แต่มันก็ยังอยู่ในขั้นต้นระดับห้าเท่านั้น ยังไม่เพียงพอสำหรับการใช้พลังรักษาร่างกายหากเกิดการบาดเจ็บสาหัส
ส่วนในช่วงสายเขาใช้เวลาทั้งหมดในการเรียนรู้ชื่อสมุนไพรและคุณประโยชน์ของมัน บางทีเขาเองก็จำเป็นต้องผสมชิ้นส่วนสมุนไพรเข้ากับพลังรักษา เพื่อจะทำให้มันกลายเป็นยาที่ทรงพลังที่สุด
และในช่วงกลางดึกเขาจะใช้เวลาในการฝึกพลังยุทธ์ในแต่กระบวนท่า และนอกจากนั้นเขายังต้องเพิ่มบททดสอบการเรียนรู้ในช่วงเที่ยงคืนสำหรับการใช้อักขระ อย่างน้อยเขาจะต้องสร้างวงแหวนอักขระสำหรับเคลื่อนย้ายร่างกายให้ได้เสียก่อน มิฉะนั้นแล้วเขาจะต้องคอยอึดอัดจากสายตาของเหล่านางกำนัลและคนอื่นๆที่คิดจะจ้องแต่จะจับผิดเขาและคิดร้ายกับเขา เหมือนที่องค์หญิงสิบสี่คนก่อนจะต้องมาตกตายเพราะยาพิษชนิดร้ายแรงที่อยู่ในขนม
“องค์หญิงเพคะ รถม้าเตรียมพร้อมแล้วเพคะ”เป็นนางกำนัลคนที่เล่าเรื่องสำนักศึกษาหลวงให้เขาฟังนั่นเอง
“อืม”ท่านแม่ทัพส่งเสียงในลำคอ พร้อมกับก้าวเดินออกมาจากตำหนักด้วยชุดสีฟ้าสลับขาว มองดูสบายตา คล้ายกับเทพเซียนแห่งสายน้ำกำลังย่ำเดินไปบนพื้นดิน
ทั้งรูปโฉมและท่วงท่านั้นงดงาม ออนช้อย อ่อนโยนยิ่งนัก(?)
ท่านแม่ทัพก้าวเท้าเดินไปตามเส้นทางที่นางกำนัลเดินนำ เขาจำเป็นต้องออกเดินทางเร็วกว่าคนอื่นเพื่อให้ทันการลงชื่อสอบเข้าสำนักศึกษาหลวงรอบสอง แม้ว่าจะให้คนออกเดินทางไปล่วงหน้าแล้วก็ตาม เขาก็ยังไม่มั่นใจว่าตนเองจะมีสิทธิ์สอบเข้าไหม? ถึงจะเป็นองค์หญิงก็ตาม แต่ทางสำนักศึกษาหลวงมักไม่สนใจในเชื้อพระวงศ์ เพราะว่าเหล่าอาจารย์ในสำนักก็มีเชื้อพระวงศ์เกือบจะครึ่งสำนัก หนึ่งในนั้นคือพี่ชายขององค์หญิงสิบสี่เอง
องค์ชายสี่ หมิงซือเป่า!
เขาเป็นแพทย์โอสถขั้นสูงระดับสอง และยังดำรงตำแหน่งรองอาจารย์สายแพทย์โอสถอีกด้วย ใครที่เรียนสายนี้จำเป็นต้องเจอองค์ชายสี่อย่างแน่นอน เขาเปรียบเสมือนอัจฉริยะอีกคนในราชวงศ์หมิงซือ ที่ผู้คนต่างให้ความเคารพยำเกรง เพราะด้วยวัยเพียง 23 ปี เขาก็สามารถก้าวมาสู่ขั้นนี้ได้ มีเพียงน้อยคนเท่านั้นถึงจะสามารถทำได้แบบนี้จริงๆ
“การสอบรอบสองนี้ เขาจะจัดขึ้นที่ลานประลองของสำนักศึกษาหลวงเพคะ ลานประลองนี้จะเปิดให้คนเข้าชมเป็นการเฉพาะ แต่ในบริเวณสำนักศึกษาหลวงจะไม่มีใครเข้าไปได้หากยังไม่ได้รับการบรรจุลงเป็นลูกศิษย์เพคะ”
“แล้วอะไรที่เรียกว่าบรรจุลงเป็นลูกศิษย์”ท่านแม่ทัพถามสีหน้าสงสัย
“ต้องมีอาจารย์ที่จะรับเข้าไว้เป็นลูกศิษย์สายตรงของอาจารย์คนนั้นเพคะ”นางกำนัลคนนั้นอธิบายต่ออย่างใจเย็น ในขณะที่รถม้าก็เคลื่อนตัวไปอย่างเรียบง่าย แม้ไม่ได้หรูหราแต่ตราสัญลักษณ์แห่งราชวงศ์หมิงนั้นทำเอาชาวเมืองต่างมอบกราบอยู่ที่พื้น
“แล้วทำยังไงอาจารย์ในสำนักศึกษาหลวงถึงจะรับเป็นลูกศิษย์”
“ทำการสอบให้ได้ดีที่สุดเพคะ ถ้าเกิดโอสถที่องค์หญิงสิบสี่ปรุงเสร็จออกมาในระดับที่ดีและใช้การได้ทุกอย่างก็ผ่านเพคะ”
“ข้าหวังว่าจะผ่านนะ”
เพราะถ้าเกิดไม่ผ่าน เป้าหมายในอนาคตของเขาก็อาจจะเลื่อนไป ไม่แน่ว่าหากพวกนางออกจากสำนักศึกษาหลวงไปแต่งงาน เขาอาจจะยิ่งไม่มีสิทธิ์หลอกกินเต้าหู้พวกนางก็เป็นไปได้ ซึ่งสิ่งนี้ทำให้เขายิ่งร้อนใจกับการสอบครั้งนี้ยิ่งนัก คิดในใจว่าทำไมองค์หญิงสิบสี่คนก่อนถึงได้สอบไม่ผ่านด้วยนะ เขาอยากจะเกิดลืมตาขึ้นมาแล้วมีคนคอยให้เขากินเต้าหู้เยอะๆคงจะดี
ท่านแม่ทัพใหญ่ผู้เกรียงไกรได้แต่คาดเดาความคิดไว้ในใจเท่านั้น
เอาเถอะ ถึงเขาจะไม่ได้อย่างที่คิดในตอนนี้แต่ในอนาคตเขาจะทำให้ได้ อย่างน้อยเขาจะต้องมีหญิงสาวล้อมหน้าล้อมหลัง จะเป็นผีเสื้อดูดน้ำหวานจากดอกไม้เพียงแค่ตัวเดียวแน่นอน
เขาเดินทางมาได้สักพัก พอแหวกผ้าม่านชมตลอดทางจึงพบว่าบริเวณรอบนอกมีขบวนหลายร้อยขบวนเดินตรงไปตามเส้นทางที่เขากำลังไปอยู่ บริเวณส่วนใหญ่นั้นเป็นท้องทุ่งเขียวขจีตลอดเส้นทางต่างถูกตกแต่งไปด้วยร้านค้ามากมายที่มาตั้งร้านขายของด้วยเกวียนหรือไม่ก็ขบวนรถม้าเช่นกัน
“ไข่สัตว์อสูรไหมเจ้าคะ ไข่ใบนี้อยู่ในสัตว์อสูรขั้นต้นระดับสอง มีสิทธิ์พัฒนาได้ตามตัวผู้สร้างพันธะนะเจ้าคะ”
“นี่มันไข่นกกระทา ใครซื้อไปเลี้ยงก็บ้าแล้ว พลังการโจมตีน้อยนิดจะตาย”เสียงของลูกค้าที่เข้าไปชม พลิกดูสองสามครั้งก็พูดออกไปจนแม่ค้าถึงกับหน้าถอดสี
“ดูดีๆสิเจ้าคะนายท่าน นี่ไข่นกกระเรียน นกกระทาที่ไหนกันเจ้าคะ”
“อย่ามาหลอกข้าเลยนางแม่ค้าโง่เง่า แบบนี้มันหลอกต้มตุ๋นลูกค้าชัดๆ”เสียงของบุรุษผู้มาซื้อไข่ดังลั่น จนท่านแม่ทัพที่อยู่บนรถถึงกับขมวดคิ้วแน่น
“บอกให้ทหารหยุดก่อน”
“เพคะ”นางกำนัลตอบรับก่อนจะหันไปสั่งทหารที่ติดตามมาหยุดรถม้า
“พาข้าลงไปดูร้านค้าร้านนั้นหน่อยได้ไหม?”
เขาไม่ได้สนใจเสียงเถียงกันระหว่างแม่ค้าและคนมาซื้อขายไข่สัตว์อสูร ซึ่งส่วนใหญ่เป็นพวกไม่มีปัญญาหาสัตว์อสูรให้เป็นของตัวเองทั้งนั้น แต่สิ่งที่เขาสนใจนั่นก็คือไข่ที่บุรุษคนนั้นกำลังว่ากล่าวอยู่ต่างหาก จำได้เช่นกันว่าเขาก็เคยเถียงแบบนี้ตอนเจอกับไข่ที่มีลักษณะคล้ายกับไข่ของนกกระทา มันมีใบขนาดปานกลาง ที่สังเกตได้ง่ายคือ บริเวณไข่จะมีจุดสีดำ ไข่นกกระเรียนจะเป็นจุดสีน้ำตาล และไข่อีกชนิดหนึ่งจะเป็นจุดสีเกือบดำแต่ไม่ดำมาก
“ข้าจะซื้อไข่ใบนั้นเอง”เสียงหนึ่งดังขึ้นมา ทำให้เขาที่กำลังลงจากรถม้าต้องหยุดชะงักทันที
คนที่ตะโกนจะซื้อไข่ใบนั้นเป็นใครเขาไม่ทราบ แต่รูปร่างสูงใหญ่ราวบรุษ ปกปิดใบหน้าด้วยหมวกผ้าคลุมเอาไว้ ถึงต่อให้เขาจะเห็นใบหน้า แต่ก็ใช่ว่าเขาจะรู้ว่าเป็นใคร
เพราะการออกจากวังหลวงของเขาถือว่าเป็นครั้งแรกนับจากที่เขาถือกำเนิดขึ้นมาในร่างใหม่ร่างนี้
“นี่คุณชายท่านนี้ ไข่ใบนั้นเป็นเพียงไข่นกกระทาเท่านั้น ต่อให้ทำพันธะสัญญาไปก็เปลืองพื้นที่เสียเปล่าๆ พลังยุทธ์ขั้นต้นระดับต่ำกว่าสาม ส่วนใหญ่จะมีสัตว์อสูรในครอบครองได้เพียงสามตัวไม่ใช่หรือไง”
ใช่แล้ว!
การมีสัตว์อสูรในครอบครองจะต้องมีพลังยุทธ์ที่ใช้ควบคุมสัตว์ และนั่นยังไม่นับรวมกับการวัดขั้นพลังยุทธ์ด้วย
คนที่มีพลังยุทธ์ขั้นต้นระดับต่ำกว่าสาม จะมีสัตว์อสูรที่ทำพันธะสัญญาได้เพียง 3 ตัวเท่านั้น พวกมันจะถูกกักเก็บเป็นสายรัดข้อมือตามแบบและรวดลายของตัวสัตว์อสูร
คนที่มีพลังยุทธ์ขั้นต้นระดับสูงกว่าสาม คือตั้งแต่ 3-6 จะสามารถมีสัตว์อสูรในครอบครองได้ทั้งหมด 6 ตัว เท่านั้น หากเกินกว่าหกตัวจะเป็นขั้นกลางขึ้นไป ถึงจะมีสัตว์อสูรได้ตามที่ต้องการ แล้วแต่ว่าใครจะมีพลังยุทธ์ไว้ควบคุมสัตว์อสูรเหล่านั้นได้ดีขนาดไหน ส่วนใครที่ฝ่าฝืน ร่างกายก็จะอ่อนแอเพราะพลังของสัตว์อสูรจะกลืนกินสุขภาพร่างกายจนแทบไม่เหลือเรี่ยวแรงและพลังยุทธ์ให้ใช้งานอีกต่อไป
“ขายให้ข้า แล้วเงินทั้งหมดนี่จะเป็นของเจ้า”
ตุ๊บ!
เป็นการซื้อขายที่ทำให้ท่านแม่ทัพนึกชอบใจ บุรุษผู้นั้นโยนห่อเงินจำนวนหนึ่งลงไปที่โต๊ะวางไข่จำนวนหลายใบ ใบหน้าของแม่ค้าจากซีดเผือดก็กลายเป็นดีใจอย่างบอกไม่ถูก
“ขะ...ขายสิ”แม่ค้ารีบไปหยิบถุงเงินโดยไม่หันไปสนใจลูกค้าชายคนแรกที่มาโวยวาย นางไปหยิบไข่ใบนั้นใส่หีบยื่นให้กับบุรุษผู้นั้นทันที ท่ามกลางสายตาของบรรดาคนที่มามุงดู
“นี่เจ้าค่ะ นายท่าน”
ไข่กล่องนั้นถูกส่งมอบให้กับบุรุษผู้สวมหมวกปิดบังใบหน้าเอาไว้ สักพักใหญ่ๆร่างนั้นก็ตวัดมองมายังเขาที่กำลังจ้องมองอยู่เหมือนกัน น่าแปลกใจที่เขายังไม่ทันจะได้คิดอะไรกับการหันมามองผ่านผ้าปิดหน้านั้นเพียงเสี้ยวนาที ร่างของบุรุษผู้นั้นก็หายวับไปเสียแล้ว
ผู้ใช้อักขระ!
ไม่ผิดแน่ เขาคือคนที่เคยใช้อักขระมาก่อน ตลอดหลายวันที่ผ่านมานี้ เขายังไม่สามารถฝึกการใช้อักขระได้ และตลอดห้าร้อยปีที่ผ่านมาในดินแดนหลิ่งซานไม่หลงเหลือผู้ใช้อักขระตั้งแต่สงครามเมื่อห้าร้อยปีก่อน มันจึงกลายเป็นตำนานไปแล้ว แต่เขาก็คิดว่าอ่านตำราและฟังจากนางกำนัลมามาก ในยุคสมัยนี้ยังไม่ปรากฏผู้ใช้อักขระ แล้วบุรุษผู้นั้นเป็นใครถึงสามารถใช้อักขระเคลื่อนย้ายได้อย่างคล่องแคล่วเช่นนี้
ท่านแม่ทัพตกอยู่ในห้วงความคิดนานพอๆกับคนในร้านค้าขายไข่อสูรกำลังโต้เถียงกัน เรื่องไข่อสูรที่บุรุษคลุมหน้าซื้อไปแล้ว
“บุรุษผู้นั้นช่างโง่เง่าจริงแท้ ให้เงินซื้อไข่นกกระทากับแม่ค้านักต้มตุ๋นตั้งมากมาย”บุรุษที่พูดว่าไข่ใบนั้นเป็นไข่นกกระทารีบพูดขึ้นทันที เหมือนจะเหน็บแหนม จนท่านแม่ทัพหนวดกระตุก
ถึงแม้เวลานี้จะไม่มีหนวดก็ตามที
“นายท่าน เรื่องไข่ใบนั้นท่านยังจะติดใจอะไรอีก ขายไปก็ขายไปแล้ว”แม่ค้าคนที่ถูกกล่าวหาว่าเป็นนักต้มตุ๋นถอนหายใจ นางจำได้ว่าได้ไข่ใบนั้นที่ชายป่าทางทิศตะวันตกของแคว้น มันเป็นป่าที่ติดกับแคว้นอื่นอีกสองแคว้น ตอนที่นางเห็นไข่ใบนั้นมันดูแวววาวสวยงาม แต่พอนางเข้าไปสัมผัสไข่ใบนั้นก็แปรเปลี่ยนไปราวกับเจอภาพลวงตา พอสังเกตเห็นจุดสีดำจึงคิดว่าเป็นไข่ของนกกระเรียน เลยนำมาขายรวมกับไข่ใบอื่นๆ
“ไม่ติดใจไม่ได้หรอก เพราะเจ้าดันขายไข่เศษสวะใบนั้นไปด้วยราคาถึงหนึ่งถุงเงิน ราคาค่างวดเทียบกับเหรียญทองสองเหรียญเลยนะ ไม่ขูดรีดกันไปหน่อยเหรอไง”
“ขออภัยนะ เปิ่นกงขอพูดอะไรสักอย่างได้หรือไม่”เสียงหวานขององค์หญิงสิบสี่เอ่ยขึ้นมา เสียงนั้นไม่ได้ดังมากแต่กลับดูทรงพลังจากน้ำเสียง เป็นแรงดึงดูดที่ใครหลายๆคนต้องเหม่อมองอย่างเลื่อนลอย แต่เพราะเป็นการเสียมารยาทที่จ้องมองเชื้อพระวงศ์จึงรีบก้มหัวลงทันที พวกเขาสังเกตจากธงของราชวงศ์หมิงที่โบกสะบัดอยู่ติดกับรถม้านั่นเอง
“หากไม่เป็นการเสียมารยาทไป เปิ่นกงคิดว่าไข่ใบนั้นไม่ใช่ไข่นกกระทาอย่างที่คุณชายผู้นี้กล่าวอ้าง แต่มันคือไข่อสรพิษน้ำจืดที่อนาคตสามารถเลื่อนขั้นไปเป็นถึงจ้าวสัตว์อสูรเลยเชียวละ คุณชายที่มาจึงตัดสินใจซื้อในราคางาม แต่ก็ถือว่ายังกดราคาแม่ค้าไปสักนิด ไม่ได้แพงไปเกินราคาแต่อย่างใด”
สิ้นเสียงองค์หญิงสิบสี่ทุกคนในที่นั่นถึงกับอึ้งงัน จ้าวสัตว์อสูรที่สามารถแปลงกลายเป็นมนุษย์ได้ มันมีแต่ในตำนานเท่านั้น และไข่ใบนั้นก็สูงค่ามากกว่าถุงเงินใบเดียวเสียด้วยซ้ำ
แม่ค้าขายไข่ได้แต่ซอกซ้ำระกำใจ ส่วนองค์หญิงสิบสี่นั่นคิดว่าตัวเองตีราคาได้ถูกต้อง แต่ตัวเขาก็ลืมไปว่าสมัยนี้กับสมัยก่อนนั้นค่าครองชีพต่างยุคมันก็ช่างแตกต่างกันจริงๆ ราคาแค่หนึ่งถุงเงินพอแค่อาหารในโรงเตี๊ยมระดับกลางแค่มื้อเดียวเท่านั้น
“องค์หญิงเพคะ ใกล้จะถึงแล้วละเพคะ”เสียงของนางกำนัลเอ่ยบอก ดวงตาเรียวหงส์จึงตวัดมองออกไปจากผ้าม่านอีกครั้งด้วยอาการตื่นเต้น โดยไม่ทราบเลยว่ามีสายตาของใครบางคนจดจ้องอยู่
“องค์หญิงเสด็จมาแล้วเจ้าค่ะคุณหนู”
“ปล่อยนางไป เพราะต่อให้นางเข้าศึกษาในสำนักศึกษาหลวงได้ ข้าก็จะพยายามเหยียบย่ำนางให้จมลงดินทีละนิดๆเอง”ดวงตาคนพูดทอประกายแห่งความเคียดแค้นอย่างเต็มล้นหัวใจ
องค์หญิงน้อยที่ใครๆนึกว่านางใสซื่อนั้น ไม่ได้เป็นจริงอย่างที่คิดเลยสักนิด และนางเองจะเป็นผู้กระชากหน้ากากนั้นออกมาเอง
ความคิดของผู้ประสงค์ร้ายนั้นเด่นชัด แต่พวกเขาต่างไม่ทราบเลยว่า ณ เวลานี้ องค์หญิงน้อยนั้นแตกต่างไปจากเดิมมากแล้ว ไม่ได้ร้ายกาจธรรมดาๆเช่นเด็กหญิงผู้ถูกตามใจ แต่เป็นความร้ายกาจชนิดใหม่ที่ใครหลายคนยังนึกสยดสยอง
“ไปยาโถว ข้าอยากจะเห็นบุปผางามทั้งสี่เต็มแก่แล้ว”เขาพูดยิ้มๆ ในใจหมายมั่นว่าวันนี้ไม่เพียงแต่ได้มองจะต้องได้จับต้องด้วยถึงจะดีต่อใจ
'ข้าอยากจะกินเต้าหู้ยิ่งนัก'
...
โบว์หายไปไหน?
ขอตอบว่า 2 วันนี้ ทำงานคะ ต้องตื่นแต่เช้าเลยสลบไสลพอกลับถึงห้อง รถติดจนไม่คิดว่าจะไปทำงานทันทุกวันๆ ขนาดตื่นมาตั้งแต่ตีห้านะคะ ให้ตายเถอะ แบบนี้จะสั่งท่านแม่ทัพลงอาละวาดรถติดสักครั้งคอยดู (มีความมโนขั้นสูงระดับหก 5555+) ปล. แล้วจะมาตามแก้คำผิดใหม่นะคะ ตอนนี้โบว์จะขอตัวไปนอนเสียก่อน พรุ่งนี้หยุด มีความสบายสักนิดหนึ่ง
22/01/2560
อยากเห็นแล้ว ว่าท่านแม่ทัพจะจัดการผู้หญิงที่มาร้ายๆยังไง
พี่ๆก็หลงขนาดนี้
มานี้พี่เป็นอาจารย์คงตามติดไม่มีโอกาสไปกินเต้าหู้
สับหลีกพี่ๆและคนริษยาก็ไม่เหลือเวลาแล้ว
ยิ่งหากมีพวกโลลิค่อนรักเด็ก กลัวเป็นน้ำเต้าหู้ให้เขาซดเอาซดเอาสิ
จำเป็นต้องเป็นแค่ตัวประกอบฉาก ฮะฮ๋า