ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    Miracle Earth พิภพปาฏิหาริย์ : ปฐมบทแห่งราชันย์

    ลำดับตอนที่ #101 : ตอนที่ 99 พัฒนาการที่น่ากลัว

    • เนื้อหานิยายตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 1.69K
      50
      11 ธ.ค. 64

             

     

                ในที่สุดโล่เวทก็แตกกระจายเผยให้เห็นคนที่อยู่ภายใน โรสแมรี่ไม่รอช้าทุ่มเทพลังให้เต็มที่กับการลงมีดเพียงคราเดียวเพื่อให้ผลลัพธ์ที่ออกมาเป็นไปตามที่เธอคิด จนละเลยซึ่งการป้องกัน และฉับพลันทันใดนั้นมือสังหารกลับพบว่ามีบางอย่างผิดปกติ เป็นเวลาเดียวกับนิกซ์ที่ถอนหายใจอย่างโล่งอกเมื่อพบว่าทันเวลาพอดิบพอดี

     

                หมาป่าน้ำแข็งสองตัวโผล่มาอยู่ข้างหลังโรสแมรี่เมื่อไหร่ก็ไม่ทราบได้ หญิงสาวตื่นตระหนกถึงขีดสุด แต่เมื่อคิดว่าจะหันไปจัดการสัตว์อัญเชิญสองตัวนั้นเห็นจะป่วยการ จึงหันความสนใจมาที่นิกซ์เหมือนเดิม และนั้นเองที่ทำให้โรสแมรี่ต้องเสียใจในภายหลัง

     

                หมาป่าเวทสองตัวเริ่มพองขนผยองเดชอำนาจ จากแต่เดิมที่เป็นน้ำแข็งทั้งตัว ในตอนนี้เริ่มขยายตัวจนเกาะกุมแผ่นหลังของนักฆ่าผู้เลอโฉมด้วยความรวดเร็ว และเริ่มมาเรื่อยๆจนเกือบจะครอบคลุมไปทั่วทั้งตัว แต่ถึงอย่างไรก็ตาม เธอก็ยังคิดว่าความเร็วของเธอยังเหนือกว่าเทคนิคพิสดารของนิกซ์มากนัก

     

                เวทมนตร์ไร้ธาตุ ระดับ 3 จุดยืนพลิกผัน

     

              เวทมนตร์อันเรียบง่ายบทเดิมถูกนำมาใช้อีกครั้ง ร่างของนิกซ์หายไปพร้อมกับปรากฏโกเล็มหินผายืนแทนที่ แม้ว่าการโจมตีเฮือกสุดท้ายของโรสแมรี่จะทรงพลังจนสามารถทำลายโกเล็มอัญเชิญลงได้ แต่นั้นก็ถือว่าเปล่าประโยชน์ในเมื่อน้ำแข็งเริ่มเกาะกุมตัวเธอจนขยับไปไหนไม่ได้

     

                “เจ้า!!...” เธอได้แต่กัดฟันแน่น ในยามปกติโรสแมรี่ย่อมมีวิธีหลุดจากกรงขังนี้นับร้อยแปดวิธี แต่ในสภาพที่อิดโรยจากการประมือกับโซโลมอน สิ่งที่เธอทำได้ก็มีแค่สาปแช่งคนทั้งสองเอาไว้ในใจ

     

                ก่อนที่ถนนภายในเมืองอัลเทร่าจะมีประติมากรรมน้ำแข็งตั้งเด่นเป็นสง่า

     

                “จะโทษก็โทษตัวคุณเถอะครับ ที่ประมาทน่ะ” นิกซ์ยิ้มแห้งๆหอบตัวโยน การโจมตีผสานเมื่อซักครู่นี้กินมานาเขาไปมากทีเดียว หากการต่อสู้ยืดเยื้อไปนานยิ่งกว่านั้น เขาเองคงยืนไม่ไหวแล้วด้วยซ้ำ

     

                โซโลมอนที่ยืนมองอยู่ตั้งแต่เริ่มหัวเราะในลำคอเบาๆ แม้จะไม่หมดจนเรียบร้อย แต่ก็นับได้ว่ารู้จักหาวิธีเอาตัวรอดในสถานการณ์ที่ตนสู้อีกฝ่ายตรงๆไม่ได้ แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นก็ต้องโทษฝ่ายศัตรูที่เผอเรอประมาทไปเพียงนิดหลังจากนิกซ์เผยช่องโหว่มาให้เห็น ไม่งั้นแล้วฝ่ายที่แพ้พ่ายคงเป็นนักอัญเชิญหนุ่มแทน

     

                แต่ในตอนนี้มหาจอมเวทผู้ยิ่งยงก็ได้ตระหนักรู้สิ่งๆหนึ่งในบันดล สิ่งที่นิกซ์มีแต่คนอื่นๆในกลุ่มของนิกซ์ไม่มีเห็นจะมีแต่เพียงเรื่องเดียว ความสามารถในการเรียนรู้ที่น่ากลัวและน่าชื่นชมในเวลาเดียวกัน จริงอยู่ว่ายังห่างชั้นกับพัฒนาการของยอดฝีมือ ถึงอย่างนั้นก็ยังนับว่าฝึกได้อีกยาวไกล

     

                หากเทียบกันในด้านพัฒนาการแล้ว

     

                นิกซ์ยังเหนือชั้นกว่าคนต่างโลกผู้นั้นเสียอีก

     

     

     

     

                “ไม่เข่นฆ่าแต่เลือกที่จะจับกุม ถือว่าตัดสินได้ไม่เลว” ชายในชุดคลุมสีดำเอ่ย ชายตามองประติมากรรมน้ำแข็งที่ทำมาจากมนุษย์ ก่อนที่จะสลับไปมองสาเหตุของประติมากรรมนั้นซึ่งตอนนี้เริ่มส่อแววว่าจะไม่ไหวหนักขึ้นทุกวินาที

     

                หากเลือกที่จะฆ่าโรสแมรี่ทิ้ง การสืบสาวไปหาเครือข่ายอื่นๆที่ชักใยอยู่เบื้องหลังย่อมยากกว่าเดิมหลายเท่า แต่ถ้าเลือกที่จะเก็บตัวศัตรูผู้นี้เอาไว้ ด้วยฐานะในกลุ่มที่ดูเหมือนจะมีอันดับสูงไม่เบา ต่อให้พวกเขาไม่ยื่นมือช่วยเหลือ พวกคนรุ่นหลังในอัลเทร่าก็ยังสามารถหาทางออกกันเองได้

     

                “ต้องรีบไปช่วยคุณยูกิ...” นิกซ์พึมพำอย่างเหนื่อยอ่อน ทั้งๆที่สังขารของตนสมควรที่จะนอนพักเป็นอย่างยิ่ง

     

                “หากเป็นนักดาบผู้นั้นล่ะก็ เกรงว่าเจ้าไม่ต้องไปยังมีประโยชน์ซะกว่า” โซโลมอนหัวเราะออกมาเบาๆ

     

                “เพราะคนที่เดินทางมาสมทบกับพวกเจ้า....ไม่ได้มีเพียงข้า และหนึ่งในนั้นก็กำลังไปยังทิศทางนั้นเป็นที่เรียบร้อยแล้ว” คำของมหาจอมเวทผู้ยิ่งใหญ่แห่งยุคสมัยยิ่งทำให้นิกซ์เบิกตากว้าง นั้นก็หมายความบุคคลระดับโซโลมอนไม่ได้มาแค่คนเดียว อีกทั้งยังอยู่ฝั่งเดียวกับพวกเขา แล้วแบบนี้หนทางแห่งชัยชนะจะหนีไปไหนพ้น

     

                เว้นเสียแต่ว่าอีกฝ่ายจะมีไม้เด็ดที่ยังคงเก็บซ่อนไว้อยู่

     

     

                “แล้วพวกเราล่ะครับ” นิกซ์ถามขึ้น จริงอยู่ที่ถ้าหากโซโลมอนยืนยันด้วยตัวเอง ยูกิเองก็ต้องปลอดภัยหายห่วง แต่ที่เขากังวลยังเป็นด้านอื่นๆที่ดูท่าจะหนักหนาไม่แตกต่างไปจากจุดปะทะด้านนี้เลยแม้แต่น้อย

     

                “ขอย้ำคำเดิม คนที่มาสมทบไม่ได้มีเพียงแค่ข้า” โซโลมอนพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงราบเรียบ

     

                “และภายใต้บ่อปลาของคนผู้นั้น ต่อให้เหยื่อเป็นมังกรก็ยังตกตายภายใต้เบ็ดของมัน” ราชาจอมเวทเผยอรอยยิ้มขึ้นเป็นครั้งแรก ก็เพราะเขาอยากจะรู้เหลือเกินว่าบ่อปลาของชายผู้นั้น ในตอนนี้จะกว้างและลึกมากแค่ไหน

     

                จ้าวแห่งเทพปิศาจเริ่มอดรนทนรอนไม่ไหวอยู่มะรอมมะร่อ

     

                ที่จะเห็นนักตกปลาผู้นั้นแสดงฝีมือ

               

     

                           อัลเทร่าขึ้นชื่อเรื่องความซับซ้อนในของผังเมืองมาแต่ไหนแต่ไร ทั้งนี้ต้องยกคุณงามความดีให้คนผู้หนึ่งที่ช่วยวางแปลนในสมัยก่อตั้งราชวงศ์ บ้างมีตึกสูง ถัดไปอีกนิดมีอาคารชั้นเดียว สลับกันไปมาดูละลานตาและสับสนยิ่งนัก

     

                ในตอนนี้นักดาบสาวก็กำลังผจญกับอุปสรรคที่ว่า

     

                พร้อมกับอีกหนึ่งปัญหาที่ดูท่าจะสร้างปัญหามากกว่าความซับซ้อนของเมือง

     

                ในตอนนี้ยูกิหลบอยู่ตรงบริเวณมุมตึกแห่งหนึ่ง ทั้งสองด้านล้วนเป็นไปด้วยทหารแห่งอัลเทร่าหลายสิบคนที่หลบอยู่ในมุมเหมือนเธอ ทั้งหมดนี้มีไว้เพื่อจุดประสงค์เพียงหนึ่งเดียว นั้นก็หาที่กำบังจากลูกธนูปริศนาของฝั่งศัตรู

     

                ฝั่งศัตรูที่มีหัวหน้าเป็นคนที่ยูกิรอคอยมานานแสนนาน

     

                “ดูทรงว่าเราจะขยับไปไหนไม่ได้แล้วล่ะแม่หนู” ทหารสูงวัยปลอบหญิงสาวด้วยรอยยิ้มแห้งๆ ยกมือปาดเหงื่อเหลือบมองไปยังพื้นถนนที่เต็มไปด้วยซากศพและเศษซากลูกธนูจำนวนมาก โดยที่ศพทั้งหมดล้วนเป็นพวกเดียวกับเขา

     

                “มันต้องมีซักวิธี...” ยูกิพึมพำเสียงเครียด ตั้งแต่เกิดมาไม่เคยประสบพบเจอเหตุการณ์ทำนองนี้มาก่อน เพราะแต่เดิมเธอทำกับซายากะมักจะอยู่ด้วยกันเสมอๆ ยามเจอปัญหานายหญิงของเธอจะเป็นคนออกหน้า ส่วนเธอคนเก็บกวาดเศษซากที่เหลือ รวมถึงปกป้องซายากะด้วยชีวิต

     

                ชีวิตที่เธอรักษาเอาไว้ไม่ได้

     

                “เปล่าประโยชน์น่า เธอก็เห็นไม่ใช่เหรอว่าพวกนั้นร้ายกาจแค่ไหน ตอนมาก็น่าจะรู้แล้วไม่ใช่หรือไง” ทหารหนุ่มอายุไม่ถึงสามสิบเอ่ยขัด พยายามให้ยูกิยึดหลักความเป็นจริงมากกว่าที่จะออกไปตาย

     

                ด้านยูกิเองก็ได้นิ่งเงียบไม่มีอะไรจะพูด

     

                เพราะนั้นคือความจริงทุกประการ

     

                ตอนแรกที่ยูกิเหยียบย่ำเข้ามายังบริเวณนี้นั้น สภาพที่เธอเห็นไม่แตกต่างไปจากตอนนี้ซักเท่าไหร่ ศพทหารนอนเรียงรายอยู่ตามพื้นถนน ในขณะที่สองฟากฝั่งตามมุมตึกเต็มไปด้วยทหารของไอช่าที่ยืนเหมือนกำลังหลบอะไรซักอย่าง ทันทีที่เธอมาถึงเสียงแรกที่ได้ยินก็คือคำเตือนจากทหารเหล่านั้น ก่อนจะตามมาด้วยเสียงลูกธนูแหวกอากาศ ประเด็นสำคัญคือมีมากกว่าหนึ่ง

     

                วินาทีนั้นประสาทสัมผัสของยูกิพลันตื่นตัวถึงขีดสุด ความเฉียบคมเพิ่มขึ้นไปอีกเท่าทวี ดาบคาตะนะเวทในมือกวัดแกว่งไปมาปัดป้องฝนธนูสุดชีวิต เคลื่อนไหวร่างกายทุกส่วนให้เกิดประโยชน์สูงสุด และนั้นเองก็ถึงกับทำให้ทหารที่ยืนหลบมุมพากันอ้าปากค้าง แต่นั้นก็ยังไม่สามารถทำให้หญิงสาวหนีความจริงข้อหนึ่งพ้น

     

                ความจริงที่ว่าเธอไม่อาจขยับเข้าไปกองพลธนูของฝ่ายศัตรูได้เลย

     

                ทุกการโจมตีไม่ได้เล็งสะเปะสะปะ แต่มีความเป็นระเบียบชี้ชัดเจาะจงว่าเป้าหมายคืออะไร ลูกธนูที่ปักอยู่อกของศพทหารยืนยันได้เป็นอย่างดีว่ากองพลธนูกองนี้ร้ายกาจแค่ไหน ซ้ำยังไม่มีแม้เพียงซักดอกที่พลาดเป้า จนเมื่อถึงตอนที่ยูกิได้เดินทางมาถึง

     

                แต่นับว่าโชคดีที่แม้จะเคลื่อนตัวไปด้านหน้าไม่ได้ ยูกิก็ยังขยับไปด้านข้างเพื่อหาที่หลบมุมได้ เชิงดาบของเธอไม่ได้ถูกออกแบบมาเพื่อต่อสู้กับศัตรูระยะไกล แต่มีเพื่อการต่อสู้ระยะประชิด ถ้าเป็นยามปกติซายากะจะรับหน้าที่สนับสนุนเธอจากระยะไกล และยูกิพุ่งเข้าประชิดศัตรูในระยะใกล้ สอดประสานกันไปมาจนเกิดเป็นค่ายกลสองประสานไร้พ่ายที่ทรงพลังอย่างคาดไม่ถึง

     

                อย่างไรก็ตาม ในตอนนี้เธอก็ไม่สามารถทำเช่นนั้นได้อีกแล้ว

     

                ยูกิคิดดังนั้นก็ได้แต่กำหมัดแน่น สำนึกโทษก็แต่ความอ่อนแอของตนที่มีมากเกินไป

     

                “อั๊ก!!...” ทหารคนหนึ่งร้องลั่น ทุกคนพากันหันไปมองอย่างพร้อมเพรียงว่าเกิดอะไรขึ้น ก่อนที่ทหารทั้งหลายรวมต้องตาเบิกกว้าง เพราะเห็นลูกธนูสีดำทมิฬปักทะลุหน้าอกของทหารผู้โชคร้าย

     

                “ระวัง! พวกมันเคลื่อนตัวมาด้านข้างแล้ว!!” เสียงๆหนึ่งตะโกนขึ้น แต่ก็ยังนับว่าสายเกินไป เพราะเสียงที่ตามมาก็คือเสียงร้องของทหารผู้ที่โดนลูกธนูจากด้านข้างของตึกปลิดชีพไปในทันตา ผ่านไปเพียงชั่วครู่จำนวนคนของพวกเขาก็ลดลงไปถึงหนึ่งในสี่

     

                มุมตึกมีด้วยกันสองด้าน แต่ยูกิทำได้แค่ปกป้องด้านใดด้านหนึ่ง หญิงสาวกัดฟันแน่นก่อนจะพุ่งเข้าไปยืนอยู่ด้านหน้าสุด ขอเพียงรักษาจำนวนคนไว้ได้ก็ยังไม่นับว่าพ่ายแพ้ อีกทั้งถ้ากำลังทหารด้านนี้ตายสิ้นไม่มีเหลือ กองกำลังน่าปวดหัวนี่ต้องไปสร้างความวุ่นวายให้กับส่วนอื่นๆไม่รู้จักจบสิ้น การที่กักพวกมันเอาไว้ได้ที่นี้นับว่าเป็นสิ่งที่ยูกิพอจะทำและนึกออกได้ในเวลาแบบนี้

     

                แต่กำลังของเธอเพียงคนเดียวก็ยากที่จะต้านทานอำนาจที่มีจำนวนมากกว่า สมาธิทั้งหมดถูกนำมาใช้จดจ่อกับการป้องกันลูกธนูจนไม่อาจมองกลับไปด้านหลังได้ว่าพวกทหารเป็นตายร้ายดียังไง แต่ถ้าฟังจากเสียงร้องโหยหวนที่เงียบลงเรื่อยๆ คิดในแง่ร้ายที่สุดก็คือพวกเขาล้วนพากันตกตามกันไปจนหมดสิ้นแล้ว

     

                แต่ตราบใดที่เธอยังจัดการเจ้าของลูกศรดอกนั้นไม่ได้

     

                ก็อย่าหวังว่าพวกมันจะจัดการเธอได้

     

                “นับว่ามีความพยายาม เด็กสมัยนี้เก่งไม่เบาแฮะ’ เสียงปริศนาดังขึ้นในหัวของยูกิ เธอได้แต่เลิกคิ้วงุนงงว่ากำลังเกิดเรื่องบ้าอะไรขึ้น แต่สมองก็ยังไม่ว่างพอที่จะสรรหาคำถาม ได้แต่ปัดป้องฝนธนูพลางหาช่องโหว่ทุกทางที่จะทำให้เธอฝ่าดงธนูไปหาตัวคนยิงได้

     

                “ถ้ามองหาช่องโหว่ล่ะก็...ฉันขอแนะนำเลี้ยวไปทางซ้ายตรงหัวมุม” เสียงปริศนายังคงดังขึ้นอีกครั้ง แต่หญิงสาวก็ไม่ทีท่าจะสนใจน้ำเสียงไร้ที่มานั้นแต่อย่างใด

     

                “หรือว่าไม่อยากล้างแค้นให้กับเพื่อนของเธอแล้ว น่าเสียดายจังน้า...” เท่านั้นแหละเริ่มได้ผล ยูกิชะงักไปชั่วครู่ก่อนจะตัดสินใจเคลื่อนตัวไปตามทิศทางที่เสียงปริศานั้นบอก น่าแปลกที่นอกจากปริมาณฝนธนูจะลดน้อยลงแล้ว เธอยังเคลื่อนไหวได้ง่ายขึ้นอย่างผิดสังเกต อาศัยการสะบัดคมดาบพร้อมๆกับเคลื่อนที่ไม่กี่ครั้งก็สามารถปัดลูกธนูที่พุ่งมาหาได้หมด จากแต่เดิมที่ทำได้แต่ยืนปักหลักอยู่กับที่เท่านั้น

     

                “แบบนั้นแหละดีมาก จากนั้นก็เลี้ยวในทิศสามนาฬิกาอีกสามเมตรที่กำลังจะถึง ถ้าเห็นหน้าต่างล่ะก็ให้โดดไปได้เลย” น้ำเสียงปริศนายังคงทำหน้าที่บอกทางได้เป็นอย่างดี ผลงานเมื่อซักครู่ทำให้ยูกิเลือกที่จะไปตามทางที่เสียวในหัวบอก ลูกธนูเริ่มลดน้อยถอยลงเรื่อยๆ จนในที่สุดเธอก็พบหน้าต่างบานแรก

     

                หญิงสาวไม่รอช้ากระโดดเข้าหาช่องว่างสี่เหลี่ยมเล็กๆอย่างไม่ลังเล

     

                ก่อนจะพบกับภาพที่ทำให้เธอต้องตาค้าง

     

                “พวกท่าน...” ยูกิเผยอปากราวกับไม่อยากจะเชื่อในสิ่งที่ตนเห็น เหล่าทหารอัลเทร่าที่เมื่อซักครู่เธอคิดว่าน่าจะตายกันหมดแล้วกลับอยู่กันหน้าสลอน อาคารหลังนี้แต่เดิมเป็นร้านอาหารทำให้มีขนาดที่กว้างเป็นทุนเดิม ทำให้รองรับปริมาณกองทหารที่ตอนนี้เหลือไม่ถึงสี่สิบได้อย่างสบายๆ

     

                “แม่หนูปลอดภัยสินะ ลุงก็นึกว่าจะเป็นอะไรไปซะแล้ว” ทหารสูงวัยคนเดิมเอ่ยทักหญิงสาวด้วยใบหน้าดีใจสุดขีด “คือเมื่อกี้อยู่ๆก็มีเสียงขึ้นมาในหัว พวกเราก็เชื่อครึ่งไม่เชื่อครึ่ง มาตามที่เสียงนั้นบอกจนมาหลบอยู่ในนี้นั้นแหละ” เขาเริ่มอธิบายด้วยข้อความที่ฟังดูเข้าใจยาก แต่สำหรับยูกิที่พึ่งเจอเรื่องเดียวกันกับที่ทหารคนนั้นเล่า เป็นตายยังไงก็ไม่ใช่เรื่องที่จะมองข้ามได้แล้ว

     

                อันที่จริงความคิดที่จะหลบเข้ามาในอาคารก็เป็นสิ่งที่ทหารกลุ่มนี้จะทำตั้งแต่ต้น ติดที่ว่าตึกที่รายล้อมพวกเขาดันเป็นอาคารด้านที่ไม่มีหน้าต่าง ทำให้ได้แต่ติดแหงกอยู่ตรงบริเวณมุมตึกขยับไปไหนไม่ได้ ราวกับว่าอีกฝ่ายได้วางแผนไว้ตั้งแต่ต้นว่าจุดไหนที่จะเป็นจุดกักตายสำหรับพวกเขาได้ดีที่สุด

     

             

     

                

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×