ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    Miracle Earth พิภพปาฏิหาริย์ : ปฐมบทแห่งราชันย์

    ลำดับตอนที่ #104 : ตอนที่ 101 กองกำลังพิศดาร

    • เนื้อหานิยายตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 1.61K
      45
      2 ส.ค. 65

                หน่วยรบที่ดีที่สุดคือกองกำลังที่ชนะโดยไม่ต้องลงไปสู่สนามรบเอง ซึ่งเป็นทั้งการประหยัดกำลังพลขั้นสูงสุดเพื่อผลลัพธ์ที่มีค่าไม่ยิ่งหย่อนไปกว่านั้น และคุณสมบัติที่ว่าหน่วยของชาร์ล กุฟเนิร์ฟก็มีอยู่เช่นกัน ซึ่งกองกำลังที่ว่าถูกปกปิดเป็นความลับมาเนิ่นนาน แม้แต่ลูกน้องคนสนิทอย่างไรเซลยังไม่รับรู้ถึงการคงอยู่ของหน่วยนี้

     

                จนกระทั่งเมื่อวันที่มีใครบางคนถูกยิงโดยลูกศรดอกหนึ่ง

     

                จากมือธนูคนหนึ่งซึ่งเขานั้นได้เปิดเผยตัวมาตั้งแต่บัดนั้น

     

                “หัวหน้า ศัตรูเคลื่อนที่ในรูปแบบที่ผิดไปจากเดิม จนตอนนี้พวกเรายังหามันไม่เจอ น่าทึ่งจริงๆ” มือธนูคนหนึ่งที่สวมชุดดำไปทั้งตัวรายงานต่อหัวหน้าของตน ซึ่งกำลังยืนกอดอกมองลงไปทางหน้าต่างของตึกสูงที่พวกตนจับจองยุทธภูมิได้เปรียบนี้มาตั้งแต่ทีเรียก

     

                “หรือว่าจะให้พวกส่งคนไปเก็ดกวาดดี ท่านซิกม่า” ลูกน้องอีกคนถามย้ำ เอ่ยชื่อผู้ที่มียศสูงกว่าตนในลักษณะที่รอความคิดเห็น

     

                “ไม่...พวกเจ้าลงไปก็ไม่ใช่คู่มือของผู้หญิงคนนั้น” ซิกม่าตอบ กองพลธนูหน่วยนี้ถนัดการโจมตีระยะไกลไม่ใช่ระยะใกล้ และที่สำคัญนอกจากพวกทหารอัลเทร่าจะหายตัวเข้ากลีบเมฆไปแล้ว หญิงสาวผู้สร้างความยุ่งยากคนนั้นยังหายตัวไปอีก

     

                ชาร์ลได้กำชับซิกมาตั้งแต่แรก ว่าให้เน้นการปะทะแบบโฉบเฉี่ยว ลดทอนกำลังทหารข้าศึกให้ได้มากที่สุด อีกฝ่ายรวนเท่าไหร่ก็ยิ่งดีเท่านั้น แต่ตอนนี้แผนทุกอย่างกลับไม่เป็นแผนเพราะการปรากฏตัวของยูกิ ซึ่งจากข้อมูลที่ซิกม่ามีรู้สึกว่าหญิงสาวคนนั้นจะมีความสัมพันธ์ลึกซึ้งกับคนที่เขาพึ่งทำให้เป็นเจ้าหญิงนิทรา

     

                กองพลธนูของซิกม่าประกอบด้วยจอมขมังธนูห้าสิบคน แต่อาศัยเพียงสิบคนก็สามารถยันข้าศึกร่วมร้อยให้ถอยร่นได้สบายๆ แต่ที่น่ากลัวก็คือซิกม่ายังมีฝีมือในระดับที่สูงไปกว่าลูกน้องอยู่สองถึงสามขั้น สายตาของเขามองเห็นได้ดีกว่าคนทั่วไป และเมื่อรวมกับธนูเวทอาบยาพิษที่มีเกือบทุกตัวยาในไอช่าแล้ว ไม่ว่าใครก็ต้องสิ้นชีพภายใต้ลูกศรของเขา

     

                แต่มาวันนี้ซิกม่ากลับรู้สึกใจคอไม่ดีเอาเสียเลย

     

                “อ๊ะ! พวกมันออกแล้ว การเคลื่อนไหวดูผิดคาดเล็กน้อย...แต่คงไม่ใช่ปัญหา” ลูกน้องคนหนึ่งเอ่ยทักขึ้นเมื่อเห็นพวกทหารเดินออกมาซึ่งๆหน้า นับรวมแล้วมีไม่ถึงห้าสิบคน

     

                “ว่าไงพี่ใหญ่ จะจัดการพวกมันเลยไหม” ชายในชุดดำอีกคนถาม แต่มือนั้นขึ้นสายพร้อมยิงไปแล้วเรียบร้อย ราวกับว่าเมื่อใดที่เขาได้รับสัญญาณ ลูกศรดอกนี้จะต้องมีเป้าซ้อมยิงอย่างแน่นอน

     

                ไม่มีผู้หญิงคนนั้น ซิกม่าคิดในใจ อีกฝ่ายคงมีการวางแผนเอาไว้ตั้งแต่หลบอยู่ในตัวอาคาร แต่น่าเสียดายที่ฝั่งเขาได้วางกำลังล้อมรอบพื้นที่แห่งนี้ไว้หมดแล้ว ไม่ว่าศัตรูจะใช้แผนไหนก็ไม่มีทางที่จะเล็ดรอดจากฝนธนูของหน่วยเขาได้ ยิ่งเป็นทหารธรรมดาที่ใช้เวทมนตร์ไม่ได้ยิ่งแล้วใหญ่

     

                “หากพวกมันขยับมาอีกสิบก้าว ยิงโดยไม่ต้องไถ่ถาม” เสียงคำสั่งดังออกมาจากปากของซิกม่า ซึ่งคนในหน่วยของเขาทุกคนล้วนได้ยินแจ่มชัดเนื่องจากเวทสื่อสารภายใน ทุกคนเตรียมพาดสายธนูพร้อมยิงได้ทุกเมื่อตามคำสั่งของซิกม่า

     

                มีแต่ซิกม่าเท่านั้นที่ยังคงยืนเฉย สาดส่องสายตาไปมาราวกับมองหาบางสิ่ง

     

                หรือใครบางคนที่เขาเองก็ยังไม่เห็นว่าอยู่ที่ไหน

     

     

                        “นี่เพื่อน มั่นใจจริงๆเหรอว่ามันจะได้ผลน่ะ...” ทหารหนุ่มตีหน้าซีดหันไปหาเพื่อนที่เข้ากองทัพมาพร้อมๆกันอย่างกล้าๆกลัวๆ ก่อนจะพบว่าคนรอบข้างก็ไม่ได้มีสีหน้าแตกต่างไปจากเขาเลยแม้แต่น้อย

     

                แต่ทั้งหมดนี้จะโทษใครก็ไม่ได้นอกจากพวกเขาเอง

     

                ที่ดันไปเชื่อเจ้าคนที่บอกว่าตัวเองจ้าวแห่งศาสตร์ฟ้าดิน

     

                ทั้งๆที่ยังไม่มีหลักฐานยืนยันตัวตนเลยซักนิดเดียว ถ้าไม่นับบรรยากาศแปลกๆนั่นล่ะก็

     

                “เอาเป็นว่าทำหน้าที่ให้ดีที่สุด พวกนายทุกคนรู้อยู่แล้วว่าต้องทำอะไร เดี๋ยวที่เหลือฉันกับสาวน้อยคนสวยจะจัดการเรื่องทุกอย่างให้เอง” นี่คือคำพูดสุดท้ายของเจียงจื่อหยา หลังจากนั้นพวกเขาก็ถูกผลักไสไล่ส่งออกมา ทั้งๆที่หน้าตาก็บอกบุญไม่รับเป็นอย่างยิ่ง

     

                ในขณะที่ชายผมสองสีได้แต่ยิ้มแฉ่งอย่างน่าสงสัยเป็นที่สุด

     

                “เดินไปอีกห้าก้าว แยกออกเป็นสองกอง จำนวนเท่าไหร่ก็ตามแต่พวกนายเลย” เสียงอันคุ้นเคยดังขึ้นในหัวทหารทุกนายอีกครั้ง พวกเขาเลิกคิ้วสงสัยว่าคราวนี้จะเกิดเรื่องบ้าอะไรขึ้นอีก แต่ในเมื่อมายืนอยู่ตรงจะตายแหล่ไม่ตายแหล่อยู่มะรอมมะร่อ ลองเชื่อดูอีกครั้งจะเป็นอะไรไป

     

                “คนที่มีโล่ยืนอยู่หน้า ล้อมกรอบพวกทำโล่หายหรือลืมเอาโล่มาไว้ข้างใน แต่ไม่ต้องยกขึ้นตรงๆ ให้ปัดป่ายไปมาเหมือนบอกธง อ้อ! คนที่ว่างงานก็เอาดาบมาเคาะกันด้วยล่ะ” ยิ่งพูดยิ่งแปลกไปทุกที จากเป็นเลิกคิ้วปกติกลับกลายเป็นขมวดคิ้วจนเกือบจะชนกัน ว่าตกลงเจียงจื่อหยาจะเอายังไงกับพวกเขากันแน่

     

                “เตรียมตัว แยกได้” คำสั่งดังขึ้นอีกครั้ง ทหารทุกนายที่รู้ตัวดีว่าถึงก้าวที่ห้าตามคำของบุรุษผมสองสีพลันแบ่งแยกออกเป็นสองกองในทันที แต่ละคนมีจำนวนคนเท่ากันพอดิบพอดีไม่ขาดไม่เกิน

     

                หลังจากนั้นพวกเขาก็ได้เริ่มแผนการก้าวที่หนึ่ง

     

                “หัวหน้า...พวกนั้นทำท่าทางแปลกๆ จะเอายังไงดี” พลธนูในชุดดำยิ้มเจื่อนๆ เบือนหน้าไปทางเบื้องล่างที่มีทหารสองกลุ่มกำลังทำสิ่งที่แปลกประหลาดที่สุดในสนามรบ

     

                พวกนั้นทำตัวเหมือนเต่าในกระดอง คนที่ถือโล่อยู่รายล้อมทหารที่มีแค่ดาบ แต่สิ่งที่แปลกคือลักษณะท่าทางหลังจากนั้น คนถือโล่กลับหมุนโยกไปมาเหมือนกับงานเทศกาล ในขณะที่พวกมีแต่ดาบกลับเอาอาวุธเพียงหนึ่งเดียวในมือเคาะกันไปมา ดูเผินๆเหมือนคณะตลกแต่งกายเลียนแบบทหารมากกว่าทหารจริงๆ

     

                ซิกม่าเองก็ได้แต่หรี่ตามองเล็กน้อย คาดไม่ถึงว่าความจนมุมจะทำให้คนเป็นบ้าได้ถึงขนาดนั้น

     

                “ลงมือ” ก่อนที่หัวหน้าพลธนูจะเอ่ยคำสั่งออกมา เขาเองก็อยากรู้เหมือนกันว่าพวกนั้นจะมาไม้ไหน

     

                ลูกน้องในหน่วยทั้งหมดปล่อยคันศรที่ขึ้นสายออกไปทันที แต่แล้วแทนที่ลูกธนูที่เคยได้ผลมานักต่อนักจะคร่าชีวิตกองทหารผู้โง่เขลาให้ตายหมดสิ้นทั้งทัพ กลับเป็นภาพชวนขำเมื่อลูกธนูพวกนั้นกลับถูกแรงกระแทกของโล่ที่หมุนวนไปมาเบี่ยงบ่ายทิศทางออกไป อันที่จริงแต่เดิมมันควรจะได้ผลถ้าโล่นั้นตั้งรับอยู่เฉยๆ เพราะกำลังแขนของกองพลธนูหน่วยนี้ไม่ใช่ธรรมดา ยิ่งเมื่อรวมกับหัวลูกศรที่ถูกทำมาเป็นพิเศษแล้ว มองไปทางไหนก็ไม่น่าจะรอด

     

                “ไอ้บ้าเอ้ย!! เรารอดเฉยเลย!!” ทหารนายหนึ่งกู่ร้องออกมาด้วยความยินดี เมื่อไม่เห็นลูกธนูพุ่งผ่านทะลุโล่เหมือนอย่างที่ผ่านมา ซึ่งแค่นี้ก็นับว่าประสบความสำเร็จอย่างล้นพ้นแล้ว

     

                “คนที่เคาะดาบก็เคาะกันต่อไป ถ้าจะให้ดีขอเสียงดังๆ” เสียงในหัวพวกเขาเริ่มมีเค้าของความยินดีมากขึ้นเรื่อยๆ และถ้าได้ยินไม่ผิดเหมือนจะได้ยินเสียงกลั้นหัวเราะอยู่รำไร

     

                จบงานนี้ทหารทุกนายต่างเห็นพ้องต้องกันเป็นเสียงเดียว

     

                ว่าจ้าวมนตราที่พวกเขาเทิดทูนนักหนา ในความเป็นจริงนั้นกลับดูอันตรายกว่าที่คิด

     

                อันตรายในลักษณะที่พูดออกมาเป็นประโยคได้ยากเหลือเกิน

     

                “ระลอกต่อไปกำลังจะมา ตอนนี้พวกมันคงยืนนิ่งไปซักพักเพราะตั้งตัวไม่ถูก คราวนี้แบ่งกองกำลังออกเป็นสี่กอง ปีกซ้ายให้วิ่งไปทางขวา ปีกขวาให้วิ่งไปทางซ้าย พอไปได้ซักห้าก้าวให้เดินหน้าอีกห้าก้าว จากนั้นทำวนซ้ำไป รวมถึงเคาะดาบก็เคาะต่อไป พวกที่ยกโล่ก็ทำแบบนั้นไปเรื่อยๆอย่าหยุด” เจียงจื่อหยาพูดอยู่ในหัวของทหารกล้าแห่งอัลเทร่าที่กลายสภาพเป็นคนบ้าแห่งนครมนตรา แต่ในตอนนี้พวกเขาแทบจะไม่สนใจอะไรอื่นใดอีกต่อไป ถ้าหากการทำแบบนั้นมันช่วยให้พวกเขารอดและแก้แค้นให้พวกผ้องที่ตายไปได้ ต่อให้มันน่าตลกยิ่งกว่านี้พวกเขาก็จะทำ

     

                และเป็นอีกครั้งที่ลูกศรของฝั่งศัตรูไม่อาจทำอันตรายพวกเขาได้แม้แต่น้อย หนำซ้ำยังเป็นครั้งแรกที่พวกเขาเห็นลูกธนูที่ยิงมานั้นพลาดเป้า ถึงจะเป็นระยะที่ไม่ห่างไปจากจุดที่พวกเขายืนอยู่มากนัก แต่พลาดก็ยังต้องนับว่าพลาด และนั้นเองที่เริ่มจุดชนวนสัญญาณดิบออกมา ในคราวนี้พวกที่ยกโล่ก็เร่งความเร็วพร้อมกับความซับซ้อนไปอีกระดับ ทั้งๆที่จริงก็แค่ทำเป็นเล่นสนุกไปอย่างนั้น ส่วนพวกที่เคาะดาบคราวนี้ก็ร้องเพลงพร้อมกับเร่งประสานเสียงอย่างครื้นเครง

     

                โดยรวมแล้วเหมือนไปเที่ยวเล่นมากกว่ามารบ

     

                น่าเสียดายที่บริเวณไม่มีคนอื่นอยู่อีก ไม่งั้นคงได้สนุกยิ่งกว่านี้มากนัก

     

                “แปลก...แปลกมาก” ซิกม่าที่ยืนมองอยู่พึมพำขึ้นมาเบาๆ ดวงตาสีฟ้าที่พาดไปด้วยรอยแผลเป็นเริ่มสั่นระริกไปมา เพราะนี่นับว่าเป็นครั้งแรกในรอบหลายปี ที่มีหน่วยทัพซึ่งสามารถต้านการโจมตีของพวกตนได้ยาวนานขนาดนี้

     

                โดยที่ยังไม่ตายเลยซักคนเดียว

     

                “ใช่น่ะสิลูกพี่ ไอ้การเคลื่อนไหวพิลึกพวกนั้นมันเอาอะไรมาป้องกันพวกเราได้ล่ะเนี่ย” ลูกน้องคนหนึ่งบ่นอุบ ก่อนจะพาดสายเตรียมยิงประสานพร้อมกับคนอื่นๆในหน่วยเหมือนพวกเขา และผลลัพธ์ที่ได้ก็เหมือนเดิมเช่นทุกครั้ง ไม่มีทหารคนใดเลยที่ล้มลงไปนอนเพราะถูกพวกเขายิงใส่

     

              นอกจากนั้นยังมีเสียงรบกวนต่างๆนาๆจากการกระทำของพวกทหารอัลเทร่า มาเขย่าสติหวังให้พวกเขาเป็นบ้าตาย แต่ยังนับว่าโชคดีที่มันไม่ได้ผล อย่างไรก็ตามพวกเขาก็ยังเป็นคน มีอารมณ์ความรู้สึกเฉกเช่นมนุษย์ทุกประการ พอพลาดเป้าไปเรื่อยๆจากแต่เดิมไม่เคยพลาดก็พาลให้อารมณ์เสียได้ไม่น้อย

     

                “ไม่ใช่ เรื่องที่แปลกไม่ใช่เรื่องนั้น” ซิกมีสีหน้าเครียดเป็นครั้งแรกจนคนในหน่วยที่อยู่ด้วยกันมานานยังรู้สึกขนลุกตาม สองมือหยิบคันธนูที่ไม่คิดว่าได้ใช้อีกครั้งหลังจากยิงใส่ยูกินัดแรกตั้งแต่เธอมาถึง มือข้างที่ว่ายื่นออกไปด้านข้าง ลูกธนูเวทอาบยาพิษก็ปรากฏขึ้นมาให้เห็น

     

                “เหมือนกับว่ามีใครบางคนคอยชักใยพวกนั้นอยู่ข้างหลัง ใครบางคนที่รอบรู้เจนศาสตร์พิชัยสงครามดุจดั่งลายฝ่ามือตนเอง” หัวหน้าหน่วยพลธนูที่แข็งแกร่งที่สุดของชาร์ลเอ่ย พลางขึ้นสายเตรียมยิงเป้าหมายที่เดินเรียงรายอยู่ข้างล่าง

     

                และลายฝ่ามือของคนผู้นั้นจะไปจรดอยู่ที่จุดไหนนั้น

     

                ข้อนี้ซิกม่าคิดว่าแม้แต่ชาร์ลเองก็ให้คำตอบเขาไม่ได้

     

     

     

     

    ความฉงนเริ่มปรากฏอยู่ในใจของจอมขมังธนูทุกผู้อย่างช้าๆ แม้ซิกม่าจะลงมือด้วยตัวเองก็ไม่ทำให้สถานการณ์ดีขึ้นมากกว่าเดิมซักเท่าไหร่ ฝั่งศัตรูที่ควรจะล้มตายกันหมดกลับมีอาการบาดเจ็บแค่สี่ ในขณะที่ยอดผู้เสียชีวิตยังอยู่คงอยู่เท่าเดิมไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลง

     

                เท่าเดิมที่ว่าก็คือศูนย์คน

     

                “ลูกพี่ ข้าว่ามันเริ่มชักจะแปลกๆแล้วนา...” มือธนูที่อยู่ใกล้ซิกม่าที่สุดเอ่ยเสียงเครียด ตั้งแต่เข้าหน่วยนี้เขาไม่เคยกับเหตุการณ์แบบนี้มาก่อน จนตอนนี้เริ่มรู้สึกว่าตัวเองกำลังหลงทางเข้าไปทุกที

     

                “นั้นสิ หรือว่าจะเราจะปล่อยเจ้าพวกนี้ไปก่อนดี” เสียงอีกเสียงเริ่มสนับสนุน คำกล่าวที่ฟังดูดีแต่แท้จริงแล้วก็แค่ข้ออ้างหลีกเลี่ยงความเป็นจริงที่รับได้ยาก

     

                ความจริงที่ว่าพวกเขาควรจะถอยไปบริเวณอื่น

     

                หรือเรียกง่ายๆว่าหนี

     

                ซิกม่านิ่งเงียบครุ่นคิดในใจ ทุกการโจมตีในหน่วยของตนเริ่มเปล่าประโยชน์ จะมีแค่ลูกดอกเวทของตนเท่านั้นที่พอจะทำอะไรได้บ้าง แต่กระนั้นก็ยังไม่มีผู้ใดเสียชีวิตจากบาดแผล และยิ่งผ่านไปเรื่อยๆขวัญกำลังใจของพวกทหารแห่งอัลเทร่าก็ยิ่งสูงเข้าไปทุกขณะ เสียงร้องโห่เห่ดังขึ้นเป็นเท่าทวี อีกทั้งการแปรขนวนทัพยังหลากหลายจนเขาเองยังเดาทางไม่ถูกว่าก้าวต่อไปของพวกมันคืออะไร

     

                “พวกเรา...” ซิกม่าใช้ความกล้าอย่างยิ่งที่จะเอ่ยประโยคนี้ออกมา

     

                แต่ฉับพลันทันใดแววตาสีดำของซิกม่าพลันเบิกกว้างสุดขีด สีหน้าถึงคราวขั้นตื่นตัวถึงขีดสุด เพราะเขาพึ่งจับสังเกตได้ว่าอะไรเป็นอะไร ห่าฝนลูกธนูเริ่มมีจำนวนน้อยลงอย่างมีนัยยะสำคัญ ดังนั้นถ้าจะให้คิดก็ย่อมคิดได้แค่หนทางเดียว หากตาของเขาฝาดซึ่งนั้นเป็นเป็นเรื่องที่เป็นไปไม่ได้ ก็คงจะเกิดเรื่องอะไรบางอย่างกับหน่วยของเขาที่กระจายกำลังอยู่แถวนี้คอยล้อมกรอบพวกทหารเอาไว้เสียแล้ว

     

                “มารู้ตัวได้เอาซะป่านนี้ นับว่าไม่เลวทีเดียว” เสียงปริศนาดังขึ้นที่ข้างหลัง ชายชุดดำถือธนูทั้งหมดหันหลังกลับไปมองผู้มาใหม่ด้วยความรวดเร็ว แทบจะไม่อยากเชื่อว่าจะมีใครลอบเข้ามาที่แห่งนี้ได้โดยพวกเขาจับความผิดปกติไม่ได้เลยแม้แต่น้อย

     

                ในขณะที่ซิกม่านั้นเริ่มเหงื่อตกทั้งที่อยู่ในตัวอาคาร

     

                ชายผมดำแซมขาว ใบหน้าคมคายมีรอยยิ้มคงไว้จนดูแปลกตา ลักษณะการแต่งกายดูผิดแผกจากเสื้อผ้าของชาวไอช่ามากนัก อาจจะนับรวมไปถึงคันเบ็ดด้ามตรงที่เจ้าตัวพาดไหล่เอาไว้ด้วยทีท่าสบายๆไม่ได้สนใจเลยซักนิดว่าตัวเองกำลังเผชิญหน้ากับสถานการณ์แบบไหน คนๆเดียวกับที่อยู่เบื้องหลังการรอดชีวิตของทหารแห่งอัลเทร่าร่วมห้าสิบชีวิต และที่มาของความสำเร็จในการป้องกันโจมตีจากหน่วยพลธนูชื่อก้องหล้า

     

          

                ชายผมดำแซมขาว ใบหน้าคมคายมีรอยยิ้มคงไว้จนดูแปลกตา ลักษณะการแต่งกายดูผิดแผกจากเสื้อผ้าของชาวไอช่ามากนัก อาจจะนับรวมไปถึงคันเบ็ดด้ามตรงที่เจ้าตัวพาดไหล่เอาไว้ด้วยทีท่าสบายๆไม่ได้สนใจเลยซักนิดว่าตัวเองกำลังเผชิญหน้ากับสถานการณ์แบบไหน คนๆเดียวกับที่อยู่เบื้องหลังการรอดชีวิตของทหารแห่งอัลเทร่าร่วมห้าสิบชีวิต และที่มาของความสำเร็จในการป้องกันโจมตีจากหน่วยพลธนูชื่อก้องหล้า

     

                ชายที่อ้างนามว่าเจียงจื่อหยา

     

                “แจ้งนามมา!!” พลธนูผู้หนึ่งประกาศเสียงกร้าว พวกเขายังไม่กล้าลงมือผลีผลาม เพราะถ้าหากชายที่ยืนอยู่ตรงหน้าพวกเขาไม่ใช่ภาพลวงตา ความต่างชั้นของฝีมือก็ไม่ใช่เรื่องเล็กน้อยที่จะมองข้ามได้อีกแล้ว

     

                “ถ้าข้าเป็นพวกเจ้า ข้าจะยิงก่อนไต่ถาม” ชายผมสองสีพูดกลั้วหัวเราะเล็กน้อย และนั้นก็ถือเป็นการตัดฟางเส้นสุดท้ายออกในทันที

     

                พลธนูห้าคนพร้อมใจกันแผลงศรไปที่จุดทั้งห้า โดยเล็งไปที่อวัยวะส่วนสำคัญของชายปริศนา แต่แทนที่ลูกศรจะปักเข้าร่างของเจียงจื่อหยาอย่างที่มันควรเป็น กลับมีม่านพลังคล้ายผืนน้ำปรากฏออกมาเบื้องหน้าบุรุษถือคันเบ็ด ลูกธนูทั้งหมดเลือนหายเข้าไปกลางอากาศราวกับอยู่คนละมิติ ก่อนที่จะมีผืนน้ำในลักษณะเดียวกันโผล่บริเวณใต้เท้าของจอมขมังธนูทั้งห้า ลูกศรที่พุ่งออกมาในระยะประชิดรวดเร็วเกินกว่าที่ใครจะหลบพ้น จนท้ายที่นักธนูก็พากันตายด้วยลูกธนูของตนเอง

     

                เหลือเพียงคนสองคนเท่านั้นที่ยังยืนอยู่ในห้องนี้

     

                “ดูเหมือนว่าทุกอย่างจะตกอยู่ภายใต้การคำนวณของท่านตั้งแต่แรก” ซิกม่าพูดเหมือนคนหมดแรง เพราะรู้ตัวดีว่าสถานการณ์ในตอนนี้มันยากที่จะกู้คืนกลับมาแล้ว และถ้าผู้ชายคนนั้นเป็นคนๆเดียวกับที่เขาคิด รวมถึงหากเขาตระหนักได้ตั้งแต่แรกว่ากำลังเผชิญหน้าอยู่กับผู้ใด ในฐานะของหัวหน้าคงสั่งการให้ทั้งหน่วยถอยร่นไปตั้งแต่แรก

     

                “ต้องขอบคุณทหารกล้ากลุ่มนั้นที่เล่นได้สมบทบาท จนแผนคู่ขนานของข้าประสบความสำเร็จอย่างงดงาม” เจียงจื่อหยายิ้มละไม

     

                “ป่านนี้คนที่หายไปคงจะจัดการลูกน้องของข้าจนหมดสิ้นแล้ว เสียงนั้นก็มีเพื่อกลบเสียงกรีดร้องพวกนั้นล่ะสิ” ซิกม่าพูด ความจริงเขาน่าจะเอะใจได้ตั้งแต่แรกว่าจำนวนลูกธนูเริ่มลดน้อยถอยลงเรื่อยๆ แต่ว่าเสียงที่มาจากทหารกลับเบนความสนใจไปเสียหมด รวมถึงค่ายกลประหลาดที่ปัดป้องการโจมตีจากฝั่งเขาได้ทุกรูปแบบ

     

                จ้าวแห่งศาสตร์ฟ้าดินยืนอยู่เฉยไม่ได้พูดอะไร ในบรรดาจ้าวมนตราทั้งเจ็ด ใครต่อใครต่างบอกว่าเขานั้นมีลักษณะนิสัยที่แปลกประหลาดในหมู่จอมเวท ซึ่งนั้นจะโทษใครไม่ได้นอกจากตัวเขาเองที่ไม่ใช่จอมเวทขนานมาตั้งแต่เดิม ความเป็นของมาชายตกปลามีความคล้ายคลึงกับโซโลมอนอยู่ไม่น้อย ต่างกันแค่อีกฝ่ายเป็นราชา ในขณะที่ตนนั้นเป็นเพียงแค่คนวางแผนตัวจ้อยที่ช่วยให้ยุคสมัยแห่งนี้คงอยู่ร่วมพันปี

     

                รวมทั้งคนที่เป็นคนออกแบบแผนผังอาคารบ้านเรือนก็คือเขา ทุกซอกตรอกมุมเจียงจื่อหยาล้วนรู้ดีดั่งลายฝ่ามือตน และนั้นก็ช่วยทำให้การบอกทางหลบหนีเป็นไปได้อย่างสะดวกโยธิน อีกทั้งวิถีการโจมตีจาพวกซิกม่า แค่มองปราดเดียวก็รู้แล้วว่าฝั่งศัตรูยืนอยู่ตำแหน่งไหนกันบ้าง การวางค่ายกลก็ถูกออกแบบมาสำหรับการป้องกันการโจมตีในจุดนั้นๆ เพียงแต่ว่าแค่นั้นย่อมทำได้แค่ป้อง ไม่อาจที่จะคว้าชัยชนะเอาไว้ได้

     

                ดังนั้นเมื่อมีฝ่ายตั้งรับ ก็ต้องมีฝ่ายโจมตีที่คอยเก็บกวาดเศษซากที่เหลือ

     

         

     

     

    ประกาศ

     

    รีไรท์ตอนที่ศูนย์ หรืออารัมภบทเรียบร้อยแล้วครับ ทั้งนี้เพื่อปูทางไปสู่เรื่องราวที่มันขยายใหญ่ขึ้นกว่าเดิม และปูพื้นให้ดูดียิ่งขึ้นมากกว่าแต่ก่อน หวังว่าจะชอบกว่าของเดิมนะครับ เพราะไม่งั้นก็ถือว่าผมทำพลาดแล้วล่ะ(ฮา)

     

               

     

               

     

               

     

               

     

               

     

               

     

     

               

               

     

                

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×