ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    Miracle Earth พิภพปาฏิหาริย์ : ปฐมบทแห่งราชันย์

    ลำดับตอนที่ #113 : ตอนที่ 111 ยุทธการปล่อยของ

    • เนื้อหานิยายตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 1.7K
      53
      19 เม.ย. 64

    หมายเหตุ : คนๆนั้น{?}  , รีไรท์ตอนที่ 17 เรียบร้อยแล้วครับ =w=b 

     

              

     

                อยู่ๆหมอกควันประหลาดก็ลอยปกคลุมพื้นที่ด้านหน้า ความสูงของมันเกือบจะทัดเทียมเมฆ หมอกเหล่านั้นปรากฏขึ้นทั้งสี่ทิศของกำแพงเมืองไอช่า ดูไปมาดูมาเหมือนกับกำแพงขนาดยักษ์ที่คอยกั้นขวางเมืองหลวงของดินแดนแห่งนี้กับโลกภายนอก สิ่งที่กำลังเกิดขึ้นดูน่าตระหนกก็จริง แต่อะไรบางอย่างที่ออกมาจากหมอกประหลาดกลับดูกระแทกขวัญสะท้านใจกว่ามากนัก

     

                “ม...ไม่จริงน่า!! พวกมันยังมีกำลังเสริมอยู่อีกเหรอ!!...” นิกซ์ร้องเสียงหลง พึมพำไม่เป็นภาษา อมนุษย์มากหน้าหลายตาแห่แหนเดินออกมาจากกลุ่มหมอกควันจนนับได้ไม่หมด มีทั้งชนิดที่บืนได้ และสายพันธ์ที่ใหญ่โตพอๆกับต้นไม้

     

                ถ้าเกิดเจ้าพวกนี้เข้าเมืองไปได้

     

                นรกคงได้จุติขึ้นมาบนดินเป็นแน่แท้

     

                      

    นรกคงได้จุติขึ้นมาบนดินเป็นแน่แท้

     

                “ทีนี้เจ้าก็รู้แล้วใช่ไหมว่าทำไมข้าถึงพาเจ้ามายังนอกกำแพงเมือง” มหาจอมเวทผู้ยิ่งใหญ่ยิ้มเหี้ยม นัยต์ตาสีแดงฉานลุกโชนขึ้นมาอีกครั้ง ราวกับว่าจะย้อนไปเมื่อครั้งอดีตกาล ยุคสมัยที่ชื่อชั้นของเขาเทียบเคียงได้แม้แต่ราชาแห่งทวยเทพ หรือเจ้าปิศาจในขุมนรก

     

                สิ้นประโยค แหวนทั้งสิบวงของโซโลมอนก็ส่องประกายเจิดจ้าขึ้นมาแค่สี่ในสิบ

     

                แต่มันก็เพียงพอที่จะทำให้นิกซ์จดจำเหตุการณ์ครั้งนี้ไปจนวันตาย                  

     

     

     

     

                “ทางนั้นคงเริ่มแล้ว” เจียงไท่กงยิ้มละไม ทอดสายตามองไปยังนอกเมืองในบริเวณที่ไม่ใกล้กับกำแพงเมืองมากนัก ถึงแม้ข่ายมนตร์ที่ปกคลุมอยู่เมืองนอกจากจะทำให้จอมเวทไม่สามารถร่ายเวทได้แล้ว ยังบดบงทัศนวิสัยการมองเห็นในระดับหนึ่ง

     

                แต่ชายตกปลากลับมองเห็นได้ชัดแจ้งราวกับลายฝ่ามือตนเอง

     

                “ดูเหมือนว่ามีแต่ท่านที่ยังคงใจเย็นอยู่ได้...” ยูกิที่ยืนอยู่ข้างหลังพูด ตั้งแต่ข่ายมนตร์ประหลาดปรากฏขึ้น ทหารคนอื่นๆรวมถึงยูกิเองยังตีหน้าเครียดเมื่อได้ยินคำบรรยายสรรพคุณจากปากของจ้าวแห่งศ่าสตร์ฟ้าดิน

     

                ซึ่งแน่นอนว่าบรรยายด้วยสีหน้ารื่นเริงเป็นที่สุด

     

                จนพวกเขาก็ไม่รู้เหมือนกันว่าทำไมจอมเวทในตำนานคนนี้ถึงสบายอยู่ได้

     

                “พวกเธอก็ควรจะใจเย็นด้วยเช่นกัน เพราะหลังจากนี้...จะไม่มีเวลาพักให้อีกแล้วนะบอกไว้ก่อน” บุรุษผมสองสีฉีกยิ้มกว้าง หันกลับมามองทหารกล้าแห่งอัลเทร่าที่เหลือครบทุกวันไม่มีขาดไม่มีเกิน และนักดาบเวทมนตร์ที่ตอนนี้ดันใช้เวทมนตร์ไม่ได้ จนต้องมาพึ่งดาบเหล็กที่ทหารคนหนึ่งเสียสละให้ยืมใช้ไปก่อนแทน

     

                “ภายใต้การนำของท่าน พวกเราคงไม่ตายอยู่แล้ว...เพราะงั้นมีอะไรก็ขอให้บอกได้เลย รับรองว่าพวกเราทั้งหน่วยจะขอสู้ตายถวายชีวิต ใช่ไหมพวกเรา!!” ทหารคนหนึ่งตอบกลับมา ท่าทีกระสันอยากจะกระโจนเข้าไปยังเหตุแห่งความวุ่นวายข้างล่างเห็นทีจะมีมากขึ้นเรื่อยๆ พร้อมกับเสียงโห่ร้องจากทหารคนอื่นๆที่เต็มไปด้วยขวัญกำลังใจไม่แพ้ใคร

     

                พวกเขาหลังจากที่พักเหนื่อยและรักษาบาดแผลกันเสร็จ จริงอยู่ที่เรื่องข่ายมนตร์ดังกล่าวจะดูน่าวิตกไปบ้าง แต่ก็ยังคงมีความมั่นใจอยู่ลึกๆว่าถ้าเจียงจื่อหยาเป็นหนึ่งในจ้าวมนตราจริงๆ ต่อให้สถานการณ์มันจะเลวร้ายกว่านี้ก็สามารถพลิกร้ายให้กลายเป็นดีได้อย่างแน่นอน อีกทั้งการที่พวกเขารอดชีวิตมาได้ทั้งหน่วยก็ถือเป็นการรับประกันฝีมือในระดับหนึ่ง และทหารปกติอย่างพวกเขาก็ไม่จำเป็นมาต้องมากังวลเรื่องที่ใช้เวทมนตร์ได้หรือไม่ได้

     

                “ถ้างั้น...” จ้าวแห่งศาสตร์ฟ้าดินยิ้มกว้าง โบกเบ็ดตรงปลาไปทางด้านห้าของตนเอง สายน้ำหยดเล็กๆลอยอยู่กลางอากาศ จนมันเริ่มขยายออกกลายเป็นทางเดินข้ามมิติขนาดย่อมพอที่จะให้คนห้าคนเดินเข้าไปโดยไม่เบียดกัน

     

                “เราจะไปเยี่ยมเยือนสนามรบที่อื่นๆกันด้วยเจ้านี่ เดินไปด้วยเท้าเปล่ามันช้าน่าดูจริงไหม” จอมเวทถือคันเบ็ดกำลังหันมาพูดกับกองทัพขนาดย่อมของตน ในขณะที่ยูกิและทหารทุกได้แต่กระพริบตาปริบๆ บ้างก็ขยี้ตาไปเพื่อเช็คดูว่าพวกตนไม่ได้ตาฝาด

     

                สิ่งที่เกิดขึ้นเบื้องหน้าดูยังไงก็เป็นเวทมนตร์ชัดๆ

     

                ไม่ใช่ข่ายมนตร์ที่ว่าทำให้จอมเวทใช้เวทมนตร์ไม่ได้ไม่ใช่เหรอไง

     

              

           “ถ้าท่านอยู่นอกเหนือขอบเขตของข่ายมนตร์ ก็ควรที่จะหาหนทางแก้ไขถึงจะถูก” ยูกิปรามเสียงเครียด ถ้าเจียงจื่อหยายังสามารถใช้เวทมนตร์ได้ตามปกติ ก็ควรจะแก้ข่ายมนตร์ให้รู้แล้วรู้รอด

     

                “ไม่ใช่ไม่อยากทำ แต่ก็คือมันทำไม่ได้” คำพูดของเจียงจื่อหยาไม่เพียงทำให้ยูกิงง คนอื่นก็งงเหมือนกันไม่แตกต่างแต่อย่างใด

     

                “ในสภาวะเช่นนี้ ขอถามสั้นๆหน่อยเถอะว่าฝั่งไหนกันที่จะได้เปรียบ และปกติฝ่ายที่ได้เปรียบมักจะมีอาการอะไรเด่นชัด ทหารอย่างพวกนายน่าจะรู้กันดี” เขายิ้มบาง ก่อนที่จะมีใครบางคนฉุกคิดก่อนจะพูดขึ้นมาเบาๆ แต่ก็ดังพอจะให้คนอื่นๆได้ยิน

     

                “ความประมาท...”

     

                ไม่ว่าจะเป็นการต่อสู้รูปแบบไหน ยุคสมัยใดๆ การประมาทย่อมเป็นพิษภัยแก่ฝ่ายที่สร้างมันขึ้นมามากกว่าจะเป็นคุณ และในตอนนี้ฝ่ายศัตรูที่ตีตนไปว่าพวกตนมีจำนวนมากกว่า พร้อมกับขวัญกำลังใจอย่างมหาศาลที่เกิดจากข่ายมนตร์ดังกล่าว และเมื่อคิดไปคิดมาดูดีๆแล้ว ถ้าทำให้ข่ายมนตร์หายไป จริงอยู่ที่ฝั่งอัลเทร่าจะเริ่มกลับมาตีโต้ได้ แต่พวกศัตรูก็ยังได้เปรียบในเรื่องของจำนวนที่มีมากกว่าอยู่ดี

               

                ถ้าให้จอมเวทกลับมาใช้เวทมนตร์ได้ กำลังใจพวกเขาจะเพิ่ม แต่อีกฝั่งก็ไม่ลดละ ในขณะเดียวกัน ถ้าเกิดมีกองกำลังทหารหน่วยหนึ่งที่เคลื่อนที่ไปตามจุดต่างๆ พลิกสภาวะการณ์ที่เสียเปรียบให้กลายเป็นได้เปรียบ นอกจากจะทำให้พวกเดียวกันมีแรงใจต่อสู้ขึ้นมาบ้างแล้ว พวกศัตรูยังต้องเกิดความสงสัยว่าเหตุใดถึงเกิดเหตุการณ์เช่นนี้

     

                การคงอยู่ของข่ายมนตร์เป็นผลดีกับฝ่ายศัตรูก็จริง

     

                แต่มันก็มีประโยชน์สำหรับแผนการของชายตกปลาด้วยเช่นกัน

     

                “เอาเป็นว่าถือว่าพวกนายรู้แล้วเลยล่ะกันนะ ถ้าพร้อมแล้วก็ตามมา” ชายตกปลาเกาหัวแกรกๆ ยิ้มแห้งๆเมื่อเห็นว่าแต่ละคนเริ่มทำหน้าเหมือนนึกอะไรอยู่ ก่อนที่จะหันหลังกลับไปเตรียมเดินเข้าสู่ประตูมิติที่สร้างขึ้นด้วยตัวเอง

     

                “ไปสั่งสอนให้พวกมันได้รู้สำนึก ว่าใครกันแน่ที่จะได้ลงหม้อไฟคืนนี้!!” คำตะโกนให้กำลังใจดังออกมาจากปากของจ้าวแห่งศาสตร๋ฟ้าดิน แม้จะฟังดูเลอะเลือน แต่เสียงตอบรับจากทหารที่ยืนอยู่ด้านหลังของเขาก็ยังคงกู่ก้องไม่แปรเปลี่ยน ยูกิเองก็ได้แต่ยิ้มขำ

     

                แต่เธอเองก็ได้แต่เดินตามเจียงจื่อหยาไปด้วยแรงดึงดูดบางอย่าง

     

                แรงดึงดูดที่ทุกคนต่างพากันเห็นพ้องต้องกันเป็นเป็นเสียงเดียว...

     

     

     

                ในขณะที่อีกฟากฝั่งกำลังเกิดวิกฤตจนอาจถึงขั้นสิ้นชาติ ในสถานที่ซึ่งไกลออกไป บริเวณชายป่าแห่งหนึ่ง ซึ่งว่ากันว่าเป็นป่าเดียวกันกับที่ยอดยุทธ์ผู้หนึ่งได้เข้าต่อสู้กับคนของสกุลหลางร่วมสิบคน แต่ก็ไม่มีใครรู้เลยว่าหลังจากเหตุการณ์ครั้งนั้น ทำไมยอดฝีมือคนนั้นถึงได้หายตัวไปอย่างไร้ร่องรอย ในขณะที่สกุลหลางกลับมีชื่อเสียงเพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ

     

                แต่นั้นมันก็แค่เรื่องที่ผ่านมานานแล้ว

     

                ชายผู้หนึ่งยืนอยู่กลางป่าด้วยสีหน้าที่คาดเดาอารมณ์ได้ ส่วนหนึ่งเป็นเพราะหมวกปีกกว้างสานจากไม้ไผ่คอยปิดบังเอาไว้ ในมือกำคัมภีร์ไม้ไผ่แน่น มองภายนอกอาจจะเห็นว่ามันเป็นแค่ของธรรมดาไม่มีอะไรสลักสำคัญ แต่มีเพียงน้อยคนเท่านั้นที่จะรู้ว่าข้างในผ้าขี้ริ้วผืนนี้มีอะไรซ่อนอยู่

     

                ยอดวิชาโด่งดังอันดับต้นๆในใต้หล้าที่สูญหายไปพร้อมยอดฝีมือคนนั้น

     

                วิชาวณิพกพเนจร

     

                ทันใดนั้นเองคนปริศนาพลันโยนม้วนคัมภีร์ที่ว่าไปบนฟ้า ท้องฟ้าเกิดการปั่นป่วนขึ้นมาในทันทีทันใด เมฆสีดำทมิฬลอยเข้ามาปกคลุมจนแสงอาทิตย์ไม่อาจส่องผ่าน สายลมกรรโชกแรงจนกิ่งไม้ยังสั่นไหว แต่ชายผู้นั้นก็ยังคงยืนอยู่กับที่ไม่เกิดอาการสะทกสะท้านแต่อย่างใด

     

                มีเพียงแค่หมวกของเท่านั้นที่ลอยปลิวออกไป

     

                เผยให้เห็นใบหน้าของใครบางคนที่คุ้นหน้าคุ้นตาเป็นอย่างดี

     

                ทั้งดินแดนแห่งนี้และดินแดนแห่งมนตรา

     

                ชายผมดำยาวประบ่า ตาสีดำคมกริบ รูปร่างสมส่วนไม่ผอมเกินไปหรือไม่บึกบึนมากเกินไป ท่วงท่าการยืนสมกับเป็นยอดฝีมือ ทั้งๆที่อายุของชายคนนี้มีไม่ถึงยี่สิบ สีหน้าที่คงรอยยิ้มได้ตลอดเวลาแม้กระทั่งในสถานการณ์ตอนนี้เป็นเอกลักษณ์อย่างที่จะหาใครมาเทียบเคียงได้ เขาผู้นั้นเงยหน้าขึ้นมองคัมภีร์วณิพกพเนจรที่ส่องแสงสีทองจนเกิดเป็นรอยแยกบิดเบี้ยวกลางอากาศ ตามมาด้วยการฉีกขาดของพื้นที่ว่างเปล่า ก่อเกิดเป็นประตูประหลาดที่พร้อมจะชักนำพาเขากลับไปยังสถานที่แห่งนั้นแล้ว

     

                “รอก่อนเถอะ...รออีกนิดเดียว” ชายผู้นั้นพูดขึ้น ก่อนจะพุ่งกระโจนเข้าไปยังประตูมิติที่เกิดจากคัมภีร์วณิพกพเนจรด้วยวิชาตัวเบา แต่เมื่อมองให้ดีจะพบว่ามีเงาๆหนึ่งลอยตัดหน้าเขาไปก่อนเสียแล้ว

     

                พร้อมกับเงาอีกห้าแห่งที่ตามหลังเขามาอยู่ไม่ห่าง

     

                “ฉันกำลังจะไปหาแล้ว!!” คนผู้นั้นเอ่ยปิดท้าย ซึ่งก็ถือง่าเป็นประโยคสุดท้ายของเขาในแผ่นดินแห่งนี้

     

                ดินแดนที่เขามีชื่อเรียกที่ใครต่อใครก็ต้องรู้จักไม่มากก็น้อย

     

                ชิวที่แปลว่าฤดูใบไม้ผลิ หลงที่แปลว่ามังกร

     

                ชื่อชั้นที่ใครต่อใครยังคงจดจำได้ดีเสมอมา

     

     

     

      “ท่านไม่คิดว่าเรื่องพวกนี้จะเกินมือพวกเขาไปหน่อยหรือ” ชายชราที่ยังดูแข็งแรงครบถ้วนทุกประการ เอ่ยถามคนที่ยืนอยู่ข้างๆซึ่งสวมฮู้ดสีขาวปกปิดใบหน้า เห็นแต่เพียงเส้นผมสีขาวที่เล็ดรอดออกมาเท่านั้น

     

                คนสวมฮู้ดไม่ตอบ กลับทอดสายตามองไปยังเบื้องล่าง สัตว์วิเศษตลอดจนอมนุษย์นานาพันธ์เริ่มมีมากขึ้นจนฝั่งมนุษย์เริ่มเป็นรอง ที่ยังยืนอยู่ได้จนป่านนี้อาจจะเป็นเพราะกำลังใจและแรงผลักดันซึ่งฝังไว้ในหัวว่าต้องยืนอยู่ได้ให้นานที่สุด เพราะถ้าเกิดพวกมัดหลุดเล็ดรอดไปยังด้านหลังได้เพียงหนึ่ง สองและสามย่อมตามมาไม่มีจบสิ้น ยิ่งโดยเฉพาะสถานที่ที่พวกตนต้องปกป้องเป็นถึงหัวใจของเมืองนี้ด้วยแล้ว

     

                พระราชวังคัลเดีย

     

                “แต่ก็ต้องขอยอมรับในตัวท่านจริงๆ ไม่นึกเลยว่าจะเล่นตามน้ำมาได้ถึงขนาดนี้” ชายสวมฮู้ดยิ้มขำ เบือนหน้าไปทางคนที่เรียกได้เต็มปากเต็มว่าเป็นเจ้าของเคหะสถานที่เขายืนอยู่

     

                “ข้าก็แค่ทำในส่วนที่ตัวเองพอทำได้ก็เท่านั้น อีกอย่าง...สายตาของเด็กคนนั้นไม่ได้มีตวามลังเลอยู่เลยแม้แต่น้อย ราวกับว่าคิดเอาไว้ตั้งแต่แรกว่าทุกอย่างจะต้องเป็นแบบนี้” ผู้สูงวันส่ายหน้าน้อยๆ นึกถึงเหตุการณ์ในวันนั้นที่ตนได้พบกับเด็กเจ้าปัญหาเป็นครั้งแรก คนที่ใครต่อใครต่างให้ค่ามากนักหนา พอได้มองด้วยตาตัวเองถึงได้รู้แจ้งเห็นจริง

     

                ว่าคำกล่าวที่ว่ายังเทียบไม่ได้แม้สามในสิบ

     

                “นึกแล้วก็น่าขัน บ้านเมืองกำลังตกอยู่ในสภาวะที่เสี่ยงต่อการถูกกลืนกิน แต่พระราชากลับมายืนชมวิวกับพ่อมดไร้ความสามารถอย่างข้า” ชายสวมฮู้ดยิ้ม ในขณะที่คนที่เขากำลังกล่าวถึงก็ดันหัวเราะผสมโรงเข้าไปด้วย

     

                บทสนทนาใครบางคนอาจจะมองว่าเป็นเรื่องธรรมดา

     

                แต่บุคคลในวงสนทนากลับไม่ธรรมดาตามไปด้วยเลยแม้แต่น้อย

     

                “นั้นก็เพราะพวกท่านคิดอ่านเอาไว้ตั้งแต่แรก....ข้าเองก็ยังนึกไม่ออกจนเมื่อไม่กี่วันที่ผ่านมา การที่พวกศัตรูสามารถเยียบเข้ามาเมืองได้ก็เพราะพวกท่านย่อมปล่อยให้มันมา บทละครตบตาครั้งใหญ่ที่ชวนให้ผู้คนทุกฝ่ายหลงเชื่อได้อย่างไม่ยากเย็น และข้ายังคิดอีกว่าข่ายมนตร์ที่กำลังลอยอยู่เหนือเมืองก็ไม่พ้นขอบเขตความคิดของพวกท่านอยู่ดี ใช่หรือไม่ท่านเมอร์ลิน” ชายชราเอ่ยถึงความในใจ คนที่ถูกเอ่ยถึงได้แต่หัวเราะเบาๆไม่ตอบคำถาม และชายชราเองก็จนปัญญาที่จะเค้นมากไปกว่านี้

     

                ไม่เคยมีใครสามารถบุกเข้ามาถึงตัวเมืองอัลเทร่าได้ยังคงเป็นเรื่องจริง เพราะที่ผ่านพวกศัตรูสามารถกรีฑาทัพได้ก็เนื่องจากมีใครบางคนปล่อยผ่าน วิกฤตที่ผ่านมาก็เหมือนละครหน้าฉากที่มีไว้ปกปิดจุดประสงค์ที่ซ่อนอยู่

     

                “ซึ่งข้ากลัวว่าทุกอย่างมันจะไม่อยู่ในการควบคุม...” บุรุษสูงสัยยังคงกล่าวต่อ ภาพเบื้องล่างยิ่งสะท้อนคำพูดของเขาให้ดูสมจริงขึ้นไปอีก ในสภาพที่ไม่มีแม่ทัพเปี่ยมด้วยความสามารถ และเวทมนตร์ไม่สามารถใช้การได้ เมื่อถึงตอนนั้นอาวุธที่ไอช่าเชิดชูนักหนาก็เป็นเพียงตัวหนังไร้ค่าบนแผ่นกระดาษเท่านั้น

     

                “ข้อนี้ท่านอัลเครอซคงกังวลมากเกินไป ด้านนอกเมืองยังมีสหายของข้ารับหน้าที่อยู่ คนผู้นั้นเป็นอย่างไรข้าว่าในฐานะที่ท่านเป็นชนชั้นราชาเหมือนกันก็คงจะเข้าใจ” เมอร์ลินพูดด้วยน้ำเสียงสบายๆ ก่อนจะเบือนหน้าไปอีกทางหนึ่ง

     

                “ในเมืองก็ยังมีหน่วยรบพิสดารที่สหายของข้าอีกคนนำทัพด้วยตนเอง ต่อให้ศัตรูเก่งกาจไปกว่านี้อีกร้อยเท่าก็ไม่ใช่คู่มือของพวกเขา” อาจารย์ใหญ่แห่งอวาลอนเผยรอยยิ้มละไม อันที่จริงถ้านับแค่เรื่องการมองในภาพรวม คนผู้นั้นยังร้ายกาจกว่าเขาเสียอีก

     

                “และตอนนี้เหตุการณ์ทางเหนือได้คลี่คลายลงเรียบร้อยแล้ว สหายของข้าคงกำลังนำกองทัพหลักมุ่งหน้ากลับมาที่เมืองหลวงในอีกไม่นาน” ประโยคสุดท้ายของพ่อมดในตำนาน ถึงกับทำให้ราชาแห่งดินแดนเวทมนตร์ถอนหายใจพลางยิ้มขำ ดูเหมือนว่าข่าวคราวทางการจะช้ากว่าสายตาของคนผู้นี้เสียอีก

     

                “แต่ท่านก็คงรู้ดี เมืองมีขนาดใหญ่เกินไป อีกทั้งการสูญเสียยังคงเกิดขึ้นเรื่อยๆ...แต่ข้าว่า ไพ่ตายใบสุดท้ายคงไม่ได้ขึ้นอยู่กับพวกท่าน” อัลเครอซตอบกลับ

     

                “เพราะแบบนี้ข้าถึงได้วางเดิมพันกับเด็กพวกนั้นเอาไว้มากยังไงล่ะ” มหาจอมเวทผู้ยิ่งใหญ่แห่งยุคสมัยได้เงียบเสียงลง ก่อนที่จะเอ่ยประโยคถัดไป

     

                เพราะเขารู้ดีว่า ทุกสิ่งอย่างที่กำลังจะเกิดขึ้นต่อจากนี้นั้น

     

                ภาพที่เขาเห็นมันช่างเลือนรางเสียเหลือเกิน....

     

     

              ยงคอมองไปยังสัตว์ร้ายที่พร้อมจะกระชากทุกสิ่งมีชีวิตที่มาขวางตายให้แดดิ้น ในขณะที่เซเร่เองกำลังตะลึงงันว่าเหตุใดชายหนุ่มถึงเรียกกระบี่เวทมนตร์ขึ้นมาได้ เจ้าตัวก็พลันฉีกรอยยิ้มสยองให้กับไวเวิร์นสองตัวจนพวกมันเบรกแทบไม่ทัน

     

                ท่าเท้าล่องนภา เท้าที่ 1 หมู่ดาวเรียงราย

     

              ทันใดนั้นเรื่องน่าอัศจรรรย์ใจดันบังเกิดขึ้นอีกหน กระบี่เวทมนตร์ลอยไปมาเป็นภาพติดตาชวนฉงน ก่อนที่จะหายไปจากจุดเดิมที่มันลอยอยู่ โผล่อีกทีก็บริเวณข้างหลังไวเวิร์นทั้งสองตัวในระยะห่างที่เรียกว่าไกลลิบ ก่อนที่มันจะบินไปบินมาจนเกิดเป็นภาพติดตาตรงดิ่งไปยังผืนนภาที่มีไวเวิร์นตัวอื่นๆรอคอยมันอยู่

     

                ทิ้งไว้เพียงซากศพสัตว์อสูรรูปพันธ์คล้ายมังกรที่ลำตัวขาดครึ่งไว้กลางอากาศ สร้างความแตกต่างให้กับสนามรบด้านล่างอยู่ไม่น้อยว่าเหตุใดมีศพไวเวิร์ตกลงมาจากท้องฟ้า

     

                “เมื่อกี้นี้มัน...” เซเรน่าแถมจะไม่อยากจะเชื่อในสิ่งที่ตัวเองเห็น กระบี่เวทมนตร์ของโนอาห์เป็นยังไงเธอย่อมรู้ดีในระดับหนึ่ง อย่างน้อยๆมันก็ไม่สามารถเคลื่อนที่ในลักษณะนั้น ซ้ำยังอยู่ห่างตัวเจ้าของได้มากขนาดนี้

     

                “เหมือนกับว่าเวลาที่นี้กับโลกเดิมของฉันจะไม่เหมือนกันนั้นแหละนะ ก็เลยมีเวลาให้ทำอะไรเยอะพอตัว คิดว่าจะมาไม่ทันแล้วด้วยซ้ำ แต่ยังดีที่ว่ายังทันฉิวเฉียด...อ๊ะ!” ชายหนุ่มที่เหมือนจะระลึกขึ้นได้ว่าเผลอพูดอะไรออกไป แต่ปฏิกิริยาจากเซเรน่ากลับดูสงบนิ่งกว่าที่เขาคิดเอาไว้

     

                ก็เพราะเธอรู้อยู่แล้วว่าโนอาห์ไปที่ไหนกันแน่

     

                “มุขแบบนั้นน่ะ หลอกได้แต่เด็กเท่านั้นแหละย่ะ แต่ก็ยังดีล่ะนะที่ยังกลับมา นึกว่าจะตายรังอยู่ที่โลกเดิมแล้วซะอีก” เธอพูดอย่างถือดี ทั้งในความเป็นจริงดันหลงเชื่อไปซะเต็มอก จนเมื่อมีเวลามาได้นั่งคิดถึงรู้ว่าคัมภีร์วณิพกพเนจรมีไว้เพื่อสิ่งใด

     

                “คนเธอมองออกแบบนี้ รู้สึกเสียหน้าอยู่นิดๆแฮะ” โนอาห์เกาหัวแกรกๆ ยิ้มกวนประสาทไปอย่าง ก่อนจะเปลี่ยนเรื่องในทันควันเนื่องจากรู้ตัวเองดีว่าขืนทำเล่นไปนานๆ ถ้าเขาไม่โดนสายตาแปลกๆนั้นก็คงมีแววได้ปีนขึ้นมาบนนี้อีกรอบ

     

                “แต่นายคนเดียว...ฉันว่าคงยังไม่พอ” เซเรน่าเริ่มตีหน้าเครียดกลับเหมือนดังเดิม ถึงแม้กระบี่เวทมนตร์เพียงเล่มเดียวของโนอาห์ จะสามารถรับมือไวเวิร์นฝูงหนึ่งได้อย่างสบายๆกลางอากาศ ซึ่งยังเป็นที่กังขาสำหรับเธออยู่ไม่น้อยถึงที่มาของกระบี่เวทเล่มนั้น พลางเหลือบมองขึ้นไปบนฟ้าจนสบตาเข้ากับข่ายมนตร์ประหลาดเข้าอย่างจัง

     

                “อันที่จริงฉันกับอารันก็ไม่ได้คิดซับซ้อนอะไรหรอก ก็แค่อยากจะกันฉันเอาไว้เผื่อเหตุไม่คาดฝันเท่านั้นเอง ไม่คิดเลยว่าจะได้ผลแบบนี้” ชายต่างโลกยักไหล่วืด

     

                “นั้นไม่ใช่เวทมนตร์...” โนอาห์พูด “แต่เป็นลมปราณ รู้เลยล่ะว่าพวกมันต้องการกำจัดฉันไปทำไม ก้ในเมื่อสิ่งที่ฉันมีมันไม่ใช่เวทมนตร์นี้นะ ตอนแรกก็กลัวๆอยู่ว่าข่ายมนตร์นี้มันทำอะไรได้ แต่พอเข้าเมืองมาถึงได้รู้ นับว่าโชคดีจริงๆ”

     

                เซเรน่าร้องอ้อขึ้นมาในใจ ข่ายมนตร์นี้คอยกักจอมเวทไม่ให้จับกระแสมานาจนเป็นเหตุให้ร่ายเวทมนตร์ไม่ได้ แต่ถ้าไม่ได้ร่ายเวทมนตร์ก็นับว่าเป็นคนละเรื่องกันเลย ถ้าเป็นลมปราณของโนอาห์ถึงแม้ข่ายมนตร์ที่ว่าจะทรงมากกว่านี้ ก็ไม่อาจยับยั้งฝีมือของคนผู้นี้ได้แม้แต่น้อย

     

                จึงอาจกล่าวได้ว่าในตอนนี้สิ่งที่พอจะพลิกเหตุร้ายให้กลายเป็นดี

     

                ก็เห็นแต่จะมีบุรุษต่างโลกที่ถูกกล่าวหาว่าเป็นคนในคำทำนายเพียงคนเดียวเท่านั้น

     

                “ถึงจะพูดอย่างนั้นก็เถอะ.. นายคนเดียวเอาอยู่ซะที่ไหน ระหว่างทางก็น่าจะเห็นแล้วไม่ใช่หรือไง” หญิงสาวยิ้มแห้งๆ ความวินาศสันตะโรที่เกิดขึ้นในตอนนี้มันไม่ได้อยู่ขอบเขตที่จะหยุดได้ด้วยคนเพียงคนเดียวอีกต่อไปแล้ว  ข้อนี้โนอาห์เองก็น่าจะรู้ตัวดีเป็นที่สุด

     

                เขาถึงได้ลงมือกระทำการบางอย่างนอกเหนือแผนการไปตั้งแต่แรก

     

                “ฉันก็คิดแบบนั้นเหมือนกัน” ชายหนุ่มยิ้มกว้าง “และใครบอกกันล่ะว่าคนที่กลับมามีแค่ฉันคนเดียว ขอบอกไว้เลยว่าต่อจากนี้รับรองสนุกแน่” คำพูดทิ้งท้ายชวนฉงนของชายหนุ่มที่ดูจริงจังกว่าปกติ เซเรน่าเองในตอนแรกก็คิดว่ามันเป็นเพียงคำปลอบขวัญ จนได้มารู้ความจริงเอาก็เมื่อหลังผ่านพ้นเหตุการณ์ครั้งนี้ว่าโนอาห์กำลังพูดความจริง

     

                นับต่อจากนี้บันทึกประวัติศาสตร์ของไอช่าจะลงท้ายด้วยประโยคสั้นๆไม่กี่ประโยค

     

                วิกฤตในคราครั้งนั้นถูกพลิกจากร้ายกลายเป็นดี

     

                ด้วยการลงมือของคนต่างถิ่นแปดคน
     


     


     

               

     

     

     

               

     

               

     

               

     

                

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×