ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    Miracle Earth พิภพปาฏิหาริย์ : ปฐมบทแห่งราชันย์

    ลำดับตอนที่ #147 : อาจารย์คนใหม่

    • เนื้อหาตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 756
      63
      5 ม.ค. 64

                           เหตุที่เป็นเช่นนี้เพราะมีหลักสำคัญอยู่หลายประการด้วยกัน หนึ่งคือคนผู้นั้นเป็นสตรี ซ้ำยังเป็นสตรีที่ดูเยาว์วัยเกินกว่าจะมายืนตรงจุดนั้นได้ ในขณะเดียวกันหลายๆคนยังคุ้นเคยกับนางดี รวมถึงมีบางคนที่รู้จักชนิดที่เรียกได้ว่าเสี่ยงเป็นเสี่ยงตายกันมาแล้ว

                แน่นอนว่าสตรีที่หลี่เจิ้งหมินเกาะติดไม่ปล่อย ในโลกนี้มีแค่คนเดียวเท่านั้น

                มังกรบรรพกาลที่เกือบจะทำลายอัลเทร่าไปทั้งเมือง...บาฮามุท

                ดวงหน้าใสกระจ่างให้ความรู้สึกเหมือนสาวแรกรุ่น แต่แววตากลับทอประกายคมปลาบราวกับผู้สูงศักดิ์ในยุคเก่า ทำให้ตลอดเวลาที่บาฮามุทปรากฏตัวในโรงเรียนพร้อมกับหลี่เจิ้งหมิน น้อยคนนักที่จะใจกล้าเข้ามาทักทาย หรือต่อให้มี...ถ้าไม่ถูกนัยต์ตาสีแดงเข้มจ้องมองจนเสียผู้เสียคน ที่เหลือล้วนเป็นฝีมือของจอมปราชญ์ทั้งสิ้น

                “เอาเป็นว่าพวกเจ้าบางคนคงคุ้นเคยกันแล้ว ทำไงได้....เด็กคนนี้ห่างจากข้าได้เสียที่ไหน” หลี่เจิ้งหมินยกยิ้มเหมือนจนใจ ไม่ได้สังเกตสังกาเลยซักนิดว่าอุณหภูมิโดยรอบมันเริ่มหนาวเย็นอย่างไม่ทราบสาเหตุเข้าไปทุกทีแล้ว

                คำพูดนี้ไม่มีใครหัวเราะครึกครื้นตามไปกับเขาด้วย โดยเฉพาะคนที่รู้ว่าสองคนนี้เป็นใคร ในทางกลับกันพวกเขาไม่รู้ว่าจะยิ้มหรือร้องไห้ดีเสียด้วยซ้ำ

                “การแนะนำตัวเอาเป็นว่าขอให้จบกันเพียงเท่านี้” หลี่เจิ้งหมินกล่าวตัดบท “ข้ารู้ว่าพวกเจ้าเลือกที่จะเข้าเรียนที่นี่เพราะต้องการขัดเกลาความสามารถทางเวทมนตร์ให้สูงล้ำยิ่งขึ้นไปอีก วิชานอกสายตาเช่นนี้ย่อมไม่เป็นที่สนใจ แต่ลองตรองดูให้ดี...ถ้าเรามีไพ่ใบที่แตกต่างไปจากคู่ต่อสู้แม้เพียงใบเดียว แค่นั้นก็สร้างความได้เปรียบให้เราได้อย่างมหาศาลแล้ว”

                เอาเป็นว่าที่หลี่เจิ้งหมินเกริ่นเสียยืดยาว เพราะต้องการชี้ชัดย้ำจุดถึงความสำคัญของวิชาศาสตร์การต่อสู้เบื้องต้นนี้ให้นักเรียนฟังเท่านั้น

                แต่คนบางคนกลับรู้สึกว่าที่เขาเกริ่นมาแบบนี้เป็นเพราะมีจุดประสงค์บางอย่าง...

                “แต่บางทีไพ่ในมือที่อาจารย์ว่า มันอาจจะเปลี่ยนแปลงผลลัพธ์ไม่ได้เลยด้วยซ้ำนี่ครับ” เดรคที่เลือดร้อนเป็นทุนเดิมยกมือกล่าวแย้งในทันที

                หลี่เจิ้งหมินพยักหน้าน้อยๆ ไม่ได้แสดงท่าทีไม่พอใจที่ถูกมีคนเห็นต่าง หากมองดีๆจะพบว่าสีหน้าของเขาเหมือนจะกำลังพอใจอยู่ด้วยซ้ำ “แน่นอนว่าคำพูดปากเปล่าไม่มีทางก่อให้เกิดผลอันใด ดังนั้น...ข้าจึงจะมาสาธิตตัวอย่างให้พวกเจ้าได้เห็น”

                สิ้นคำพูด รอยยิ้มของหลี่เจิ้งหมินก็ยิ่งเจ้าเล่ห์มากขึ้นทุกที ทำเอาหลายๆคนรู้สึกใจไม่สู้ดีเท่าใดนัก นัยต์ตาคมกริบทอประกายวิบวับประดุจดวงดารา ด้วยรูปลักษณ์ที่ดูดีถึงเพียงนี้ทำให้ตัวเขาในตอนนี้ยิ่งดูโดดเด่นมากยิ่งขึ้น คาดว่าถ้าเป็นสตรีทั่วไปคงยากที่จะทานทนไหวไปตั้งนานแล้ว

                โนอาห์ขมวดคิ้วน้อยๆ ลอบกระซิบกับนิกซ์ที่อยู่ด้านข้างเสียง “ถ้าฉันหายไป บอกคนอื่นทีว่ามีไปเข้าห้องน้ำ”

                “อะไรนะครับ...?” นิกซ์รู้สึกลมวันนี้แรงผิดปกติ ฟังไม่ค่อยชัดว่าโนอาห์พูดอะไรออกมา แน่นอนว่าเขารู้สึกเช่นนั้นจริงๆไม่ได้เสแสร้ง ทว่าก่อนที่โนอาห์จะได้เริ่มกระทำการในสิ่งที่ตนได้พูดไป ผู้เป็นอาจารย์คนใหม่ก็พูดขึ้นด้วยน้ำเสียงฉะฉาน

                “ใครที่มั่นใจในกำลังฝีมือตัวเอง จงเร่งก้าวเท้าขึ้นมาบนเวทีโดยเร็วเถิด!!” สำเนียงและลักษณะการพูดดูเหมือนคนโบราณก็จริง แต่ไม่มีใครไม่รู้สึกขัดหูเลยซักคน

                เพื่อนของเดรคคนอื่นๆก็รู้ดีว่าฝีมือของเขาอยู่ในระดับไหน ถึงเจ้าตัวจะถนัดเวทมนตร์ธาตุไฟอยู่อย่างเดียวก็ไม่ได้หมายความว่าจะไร้ซึ่งฝีมือ อีกทั้งพื้นฐานของเดรคก็ไม่ได้ด้อย แต่นี่ยังแพ้หลี่เจิ้งหมินในชั่วพริบตาทั้งๆที่อีกฝ่ายก็ไม่ได้ร่ายเวทแต่อย่างใด เพียงแค่ยืนอยู่กับที่ ก็ทำให้จอมเวทมากด้วยฝีมือคนหนึ่งกระเด็นตกออกเวทีไปได้แล้ว

                โนอาห์หรี่ตาลงเล็กน้อย มองสิ่งที่เกิดขึ้นตรงหน้าด้วยแววตาทอประกายวาบ

               ถัดจากเดรคใช่ว่าในชั้นปีสองจะไม่มีผู้กล้าคนอื่นอีก แต่อนิจจา ระดับของหลี่เจิ้งหมินห่างชั้นกับพวกเขามากเกินไป ผลลัพธ์จึงไม่ได้ดีไปกว่าเดรคเท่าไหร่นัก มีแค่ไอล์ที่เคยชิงตำแหน่งหัวหน้าชั้นปีกับอารันพอจะยืนอยู่ได้นานกว่าคนอื่นหน่อย ผ่านไปซักพักต่อให้สมองช้าก็ต้องคิดตามทัน หลี่เจิ้งหมินไม่ได้ร่ายเวทซักบทเลยก็จริง อีกทั้งรูปแบบยังไม่คล้ายปราณจิตของซูหมิง ภาพลักษณ์ของจอมปราชญ์ในใจทุกคนจึงเริ่มขยายใหญ่โตขึ้นเรื่อยๆ เว้นแต่คนที่รู้จักมักคุ้นเขาดีอยู่แล้ว

                “ว่ายังไง มีใครต้องการขึ้นมาขอคำชี้แนะอีกหรือไม่” หลี่เจิ้งหมินมีสีหน้าปลอดโปร่งเป็นที่สุด ไม่แสดงอาการเหน็ดเหนื่อยหลังจากผ่านการศึกษามาหลายครั้งเลยซักนิด

               แม้จะรู้สึกทึ่งและชื่นชมในตัวอาจารย์ใหม่มากแค่ไหน แต่ศักดิ์ศรีของพวกเขาดีร้ายก็ยังมีอยู่ ที่สำคัญยอดฝีมือของห้องยังไม่ได้ออกโรงเลยด้วยซ้ำ แต่ว่าถ้าถามว่าคนเหล่านั้นจะต้านทานหลี่เจิ้งหมินได้หรือไม่นั้น...พวกเขาไม่หวัง

                ทว่าอย่างน้อยก็ต้องอยู่บนเวทีนานกว่าแน่ๆล่ะ!!

                “โนอาห์! อาจารย์หลี่เป็นญาติห่างๆของนายไม่ใช่หรือไง ไม่คิดจะทำอะไรซักอย่างเลยเหรอ!” ไม่รู้ว่าคนพูดเป็นใคร แต่พอมีคนเปิดย่อมมีคนถาม บรรดาก๊วนพลพรรคเสเพลเริ่มส่งเสียงเย้วๆให้โนอาห์ออกไปประลองบ้าง โนอาห์เห็นว่าในที่สุดก็หลีกหนีผลลัพธ์นี้ไม่พ้นก็ได้แต่ยิ้มบาง ถึงเขาจะไม่รู้ว่าหลี่เจิ้งหมินมีจุดประสงค์อะไรซ่อนอยู่อีกหรือไม่ ทางเลือกของเขาก็มีอยู่ไม่มากแล้ว

                โนอาห์พยักหน้าเหมือนจนใจ แต่แววตาของเขาไม่ได้สื่อออกมาแบบนั้น “ก็ได้ๆ ในเมื่อมีคนไว้ใจตั้งมากมายขนาดนี้ ฉันจะลองดูซักตั้งก็แล้วกัน แต่ไม่รับประกันหรอกนะว่าผลลัพธ์จะออกมาเป็นยังไง” สิ้นเสียงโนอาห์ก็เดินขึ้นลานประลองขนาดใหญ่ไม่รีรอในทันที ระหว่างทางมองเห็นใครบางคนที่ยืนอยู่กับเพื่อนของเธอ เจ้าตัวพลันยักคิ้วเป็นนัยอะไรบางอย่าง

                ส่วนเรื่องที่ว่าความหมายจะเป็นอะไรนั้น แม้กระทั่งคนถูกยักคิ้วใส่ยังไม่รู้ด้วยซ้ำ

                “เมื่อกี้นี้หมอนั่น...” ยูกิขมวดคิ้วพึมพำอย่างไม่เข้าใจ ตอนนี้อคติระหว่างเธอกับชายคนนั้นจะลดลงไปมากแล้วก็ตาม แต่ท่าทีอ้อยอิ่งไม่สนใจกฏเกณฑ์เห็นทีไรเป็นต้องรู้สึกขัดหูขัดตา ถึงอย่างนั้นก็ปฏิเสธไม่ได้ว่าก็โนอาห์คนนี้นี่แหละที่ช่วยซายากะเอาไว้ แต่ใช่ว่าเธอจะทำเป็นไม่สนใจการกระทำเมื่อครู่ของโนอาห์

                ซายากะที่อยู่ใกล้กันย่อมต้องสังเกตเห็น แต่เธอแทบจะรู้ได้ในทันทีว่าทำไมโนอาห์ถึงหันมาทางนี้ หรือถ้าบอกให้ถูกคือตั้งใจบอกเซเรน่าที่กำลังยืนกระพริบตาปริบๆอยู่ข้างเธอ

                เห็นเพื่อนคนดีของเธอยังไม่เข้าใจ ซายากะจึงอธิบายด้วยน้ำเสียงกลั้วหัวเราะ “คุณเซเรน่าจำไม่ได้เหรอคะว่าตอนเช้าได้คุยอะไรกับคุณโนอาห์ไว้น่ะ?”

                หญิงสาวชะงักไปซักครู่ ก่อนจะนึกออกว่าได้คุยอะไรกับโนอาห์เอาไว้ เรื่องนี้ว่ากันตามตรงจะว่าเป็นเรื่องใหญ่ก็ใหญ่ เรื่องเล็กก็เรื่องเล็ก แค่บทสนทนาบทโต๊ะอาหารในช่วงเช้าเท่านั้น ที่สำคัญเรื่องนี้ยังไม่ใช่ความลับแต่อย่างใด เพื่อนของเธอคนอื่นๆก็ได้ยิน

                เริ่มต้นจากเซเรน่าหลังจากขอบคุณโนอาห์ที่ออกมาช่วยพูดเมื่อวานด้วยท่าทางไม่สมกับเป็นตัวเองเท่าไหร่แล้ว ก็เปรยเสียงเครียดถึงผลเสียที่จะตามมาว่ามันหนักหนาแค่ไหน ยังทำอะไรไม่รู้เรื่องเหมือนเดิมไม่มีผิด คนถูกว่าที่ปกติควรจะโต้เถียงกลับมาชุดใหญ่หรืออวดโอ่คุณงามความดีของตนเองเหมือนอย่างเคย คราวนี้กลับนิ่งเงียบไปซักพักจนผิดวิสัย ทำเหมือนครุ่นคิดอะไรบางอย่างก่อนจะยกยิ้มบางเบาที่ดูลึกลับกว่าครั้งไหนๆ

                 ‘งั้นเธอคอยดูแล้วกันว่าจะเป็นฉันหรือหมอนั่นที่เล่นผิดคน’

                เซเรน่าเห็นโนอาห์ยังทำปากเก่งแบบนั้นได้ก็อยากจะสวนกลับไปให้ชายหนุ่มประมาณตน แต่ว่าแววตาของเขาที่เธอเห็นทำให้หญิงสาวทำเพียงแค่นเสียงไม่พูด เพราะว่าหนึ่งขืนต่อความยาวสาวความยืดต่อไปยิ่งจะทำให้เรื่องมันแย่ลง ถึงอย่างไรเขาก็ยังเป็นคนที่ช่วยเหลือเธอเอาไว้

           มาจากอะไร แต่มีสิ่งหนึ่งที่ชี้ชัดอย่างเลี่ยงไม่ได้ เป็นบางสิ่งบางอย่างที่โนอาห์พึ่งมาตระหนักได้เมื่อไม่นานมานี้

                เหตุใดไม้เท้าจากยุทธภพของเขาถึงสามารถเป็นตัวกลางในการร่ายเวทมนตร์ได้?

        สองคือแววตานั่นเธอเคยเห็นมาแล้วในตอนที่เขากลับมา...

                เด็ดเดี่ยวเฉียบคม ไม่หยี่ระต่อปัญหาเบื้องหน้า เป็นสายตาของผู้เจนโลกอย่างจริงแท้ราวกับว่าโนอาห์คนนี้กลายเป็นใครอื่นที่เซเรน่าไม่รู้จัก แต่เมื่อดูให้ดีจะพบว่าภายในนั้นยังเป็นโนอาห์คนเดิมไม่เปลี่ยนไปไหน เพียงแค่เขาจงใจเก็บซ่อนบรรยากาศแบบนั้นเอาไว้ต่างหาก

                แววตาของเซเรน่ามีความรู้สึกหลากหลายวาบผ่าน พึมพำเบาๆเหมือนบ่นกับตัวเอง “งี่เง่า...”

                ระหว่างที่ใครบางคนกำลังรำลึกความหลัง โนอาห์ก็ขึ้นไปประจัญหน้ากับหลี่เจิ้งหมินท่ามกลางเสียงเชียร์เบาๆจากเพื่อนร่วมชั้นเรียบร้อย คนทั้งสองมีอะไรหลายๆอย่างที่คล้ายกันในสายตาคนอื่น ทำให้การต่อสู้ครั้งนี้เป็นที่จับตามองของใครต่อใครยิ่งนัก

                “ครั้งสุดท้ายที่พวกเราประมือกันก็ผ่านมานานมากแล้ว...นึกไม่ถึงว่ามาวันนี้จะได้มีโอกาสแลกเปลี่ยนความรู้กันอีก ทั้งยังในสถานที่ที่ค่อนข้างพิเศษเช่นนี้ด้วย” น้ำเสียงหลี่เจิ้งหมินดูผ่อนคลาย หากคนไม่รู้ภูมิหลังของคนทั้งสองมาได้ยินคงนึกว่าพวกเขาเคยต่อสู้กันมาแล้วในซูหมิง

                จริงก็ใช่ตามนั้น แต่ว่าสถานที่กลับไม่ใช่โลกใบนี้ ย้อนกลับไปตอนที่ชิวหลงหรือโนอาห์เริ่มสร้างชื่อในยุทธภพ คนหนุ่มมักเลือดร้อนไม่สนใจใครหน้าไหน ชิวหลงในวันนี้กระทำการอุกอาจกว่านี้ชนิดที่ว่าเทียบไม่ติด แต่แล้ววันหนึ่งโชคชะตาพลันชักนำให้ชิวหลงไปพบเจอกับคนผู้หนึ่งด้วยเรื่องเข้าใจผิด

                แน่นอนว่าคนผู้นั้นก็คือหลี่เจิ้งหมินซึ่งในขณะอยู่ในทำเนียบเจ็ดยอดฝีมืออย่างเต็มภาคภูมิ เคล็ดวิชาเปิดสวรรค์ระบือไกลไปทั่วหล้า ชื่อชั้นจอมปราชญ์ไม่ใช่สิ่งที่ชิวหลงในวันนั้นจะเทียบติด ในสายตาของผู้เห็นเหตุการณ์ ชิวหลงยังไม่พร้อมที่จะปะทะกับหลี่เจิ้งหมินจริงๆ

                แต่แล้วชิวหลงกลับกระทำเรื่องที่สร้างความประหลาดใจให้คนทั้งใต้หล้าตราบจนมาถึงวันนี้ เขาไม่เพียงหลีกทางให้คนที่ได้ชื่อว่าเป็นยอดฝีมืออันดับหนึ่งในตอนนั้น เดินหน้าเข้าต่อกรกับเจ้าของฉายาจอมปราชญ์อย่างไม่กลัวเกรง การต่อสู้ในวันนั้นยังคงเป็นที่เล่าขานมาจนถึงวันนี้ เพราะว่านั่นเป็นวันเดียวกับที่ชิวหลงได้ฉายาเมฆาพิสดารมาครอบครอง

                น่าเสียดายที่บทสรุปของการต่อสู้เมื่อผ่านปากหลายคน เนื้อหาย่อมต้องถูกบิดเบือนไปจากความจริงอยู่มากโข ไปๆมาๆรายละเอียดก็เริ่มเลอะเลือนจนใกล้เคียงตำนานเข้าไปทุกที แต่ที่ยังเป็นความจริงคือในวันนั้นทำให้ยุทธภพต้องทำความเข้าใจชิวหลงเสียใหม่ คนที่เคยต่อสู้กับจอมปราชญ์แล้วยังเอาตัวรอดมาได้นับว่าควรค่าแก่การเรียกขานเป็นยอดฝีมือ

                แต่เมื่อกาลเวลาเปลี่ยนผ่าน ทั้งคู่กลับไม่เคยได้ประลองฝีมือกันอีกเลยไม่ว่าจะเป็นในรูปแบบทางการหรือลับหลัง ทำให้ผู้คนที่อยากเห็นเมฆาพิศดารกับจอมปราชญ์แลกเปลี่ยนความรู้กันอีกเป็นต้องผิดหวังไปตามๆกัน

                “แล้วท่านจำได้หรือไม่ว่าผลลัพธ์ในครั้งนั้นเป็นเช่นไร” โนอาห์เองก็ยังจำการต่อสู้ในครั้งนั้นได้ฝังใจไม่มีลืม

                หลี่เจิ้งหมินหัวเราะเบาๆ “แน่นอนว่าต้องจำได้ ข้ายังคิดอยู่ว่าเจ้าต้องการแก้มือหรือไม่อยู่เลย”

                “เช่นนั้นข้าคงได้แต่บอกว่าขอคำชี้แนะแล้ว” โนอาห์เองก็ไม่พูดให้มากความ ประสานมือไปข้างหน้าโค้งตัวลงเล็กน้อย หลี่เจิ้งหมินก็ประสานมือคารวะกลับเช่นเดียวกัน

                “เช่นกัน” สิ้นเสียงหลี่เจิ้งหมิน สายลมรอบข้างราวกับกรรโชกขึ้นอีกครั้ง จุดที่คนทั้งสองยืนอยู่กลับกลายเป็นความว่างเปล่า ทั้งสองต่างเป็นยอดฝีมืออันดับต้นๆในยุทธภพ ระยะห่างเพียงเท่านี้ไม่มีทางเป็นอุปสรรค เสียงการปะทะไม่ดังสนั่นแต่ก็มากพอจะทำให้คนรอดูโนอาห์กลิ้งตกเวทีเป็นต้องคิดทบทวนใหม่

                แขนของคนทั้งคู่ประสานไขว้กันกลางลานประลอง มืออีกข้างไพล่หลังเหมือนกันราวกับนัดกันมา สิ่งที่อยู่ในดวงตาของคนทั้งคู่ไม่ใช่ประกายยียวนมากด้วยอารมณ์ขันเหมือนเดิมอีกต่อไป

                การต่อสู้ที่ครั้งหนึ่งเคยสะเทือนเลือนลั่นไปทั้งใต้หล้า...

                ตอนนี้ได้อุบัติขึ้นอีกครั้งแล้ว!!!

     เคล็ดวิชาเปิดสวรรค์และลมปราณมหาเมฆาโคจรพร้อมๆกัน จนละอองมานาในอากาศยังมีปฏิกิริยาสอดรับเปล่งแสงนวลเห็นได้ด้วยตาเปล่าแม้ในตอนกลางวัน การโจมตีครั้งแรกแน่นอนว่าทั้งคู่ไม่หวังให้บังเกิดผล จะบอกว่าเป็นแค่การทักทายเฉยๆก็ยังได้

                ฝ่ามือนวดารา ฝ่ามือที่หนึ่ง ดาวหางทรงกลด

                อีกมือที่ซ่อนอยู่ด้านหลังซัดเข้าไปที่หัวไหลของหลี่เจิ้งหมินที่เปิดกว้าง สีหน้าของจอมปราชญ์ไม่แม้แต่จะขยับเขยื้อน ถึงหลี่เจิ้งหมินจะไม่เคยใช้วิชาฝ่ามือออกมาต่อหน้าผู้คน ก็ไม่ได้หมายความว่าวรยุทธ์สายนี้ของเขาจะอ่อนด้อย

                และก็ไม่ได้หมายความว่าหลี่เจิ้งหมินจะไม่มีกระบวนท่าฝ่ามืออยู่กับตัว

                เคล็ดวิชาเปิดสวรรค์ กระบวนท่าที่สี่ กระเรียนเบิกฟ้า

              ฝ่ามือที่ดูร้ายกาจไม่แพ้ดาวหางทรงกลดถูกซัดออกโดยหลี่เจิ้งหมิน หนนี้โนอาห์จะไม่ตกใจคงเป็นไปไม่ได้ ก็ในเมื่อเขาไม่เคยเห็นหลี่เจิ้งหมินใช้กระบวนท่านี้มาก่อน หรืออีกนัยหนึ่งก็คือไม่เคยมีผู้ใดรู้ว่าเคล็ดวิชาเปิดสวรรค์มีอะไรบัญญัติไว้บ้าง

                แต่จะมีคนส่วนน้อยซึ่งระลึกอยู่เสมอว่าเคล็ดวิชาเปิดสวรรค์จะบันทึกอะไรไว้นั้นไม่สำคัญ ประเด็นอยู่ที่ตัวหลี่เจิ้งหมินในยามนี้ต่อยอดเคล็ดวิชานี้ไปถึงระดับไหนแล้วต่างหาก และจากที่ชิวหลงหรือโนอาห์เห็น เขากล้าพูดว่าวรยุทธ์ของหลี่เจิ้งหมินก้าวหน้าขึ้นไปอีกขั้นแล้ว

                เป็นโนอาห์ที่ถอยร่นทั้งด้วยจำใจและเจตนา ในเมื่อรู้เชิงกันเบื้องต้นเขาก็ไม่ดึงดันปะทะซึ่งหน้ากับจอมปราชญ์ แต่ถ้าสังเกตให้ดีจะพบว่าตัวหลี่เจิ้งหมินเองก็เขยิบถอยไปเล็กน้อยเหมือนกัน

                ท่าเท้าล่องนภา เท้าที่หนึ่ง หมู่ดาวเรียงราย

              ท่าเท้าล่องนภา เท้าที่สาม ดาราทอแสง

              โนอาห์เลือกที่จะใช้วิชาตัวเบาสองกระบวนท่าพร้อมกันเหมือนเมื่อตอนปะทะกับบาฮามุทอีกครั้งโดยไม่ลังเล เงาร่างเลือนรางพร่ามัวราวกับหมอกควัน ในอีกทางกลับรวดเร็วยากที่จะมีผู้ใดจับตามองทัน สองประสานรวมเป็นหนึ่งเข้าด้วยกันต่อให้เป็นหลี่เจิ้งหมินยังไม่อาจหาตัวโนอาห์ได้ในทันทีทันใด

                ลำนำจันทรา

              กระบี่ลมปราณผสานไปด้วยมานาจนออกมาเป็นรูปแบบเฉพาะที่มีแค่โนอาห์เท่านั้นที่จะทำได้ จำนวนคราวนี้ไม่ได้มีแค่เล่มสองเล่มเหมือนวันวาน แต่กลับเพิ่มมาถึงสิบเล่มซึ่งผิดวิสัยของโนอาห์มากแล้ว แต่ละเล่มมีรูปแบบเวทมนตร์ที่ผสมเข้าไปแตกต่างกัน มองดูแล้วให้ภาพชวนฝันสวยงามราวกับศาสตราจากสรวงสวรรค์

                หลี่เจิ้งหมินเห็นกระบี่มนตราทั้งสิบเพียงคลี่ยิ้มออกมาเล็กน้อย

                เคล็ดวิชาเปิดสวรรค์ กระบวนท่าที่หก ค่ายกลเทพกระบี่

              กระบี่ปราณสิบเล่มเป็นจำนวนเท่ากันปรากฏที่ด้านหลังของหลี่เจิ้งหมินในทันที อานุภาพจากพลังวัตรต่อให้ไม่หลากหลายเท่าการนำลมปราณกับพลังเวทมาผสมรวมกันเหมือนอย่างที่โนอาห์ทำ แต่ถ้าพูดเรื่องอานุภาพยังพูดยากว่าฝ่ายหลี่เจิ้งหมินจะไม่เหนือกว่า ทั้งสองฝ่ายไม่รีรอแม้เพียงเสี้ยววิ พุ่งเข้าโรมรันนำพากระบี่ที่สร้างขึ้นจากพลังงานสองรูปแบบเข้าห้ำหั่นกันอีกรอบ

                ไม่อาจปฏิเสธได้ว่าภาพที่เห็นช่างงดงามและตระการตาเหนือไปกว่าความคาดหมายของผู้ชมมากนัก คนที่ไม่ได้รู้จักมักคุ้นโนอาห์ดีพอเป็นต้องคิดทบทวนถึงความสามารถของคนผู้นี้กันใหม่ เทียบกับพวกอารันแล้วยังเก็บอารมณ์ได้ดีกว่ามากนัก แต่ถึงอย่างนั้นก็ใช่ว่าจะไม่มีคนกังวลอยู่บ้างเลย

                “นี่มันบ้าไปแล้วชัดๆ สองคนนั้นมันไม่กลัวตายกันหรือไง!” เซเรน่าแทบจะตะโกนออกมาสุดเสียงถ้าไม่ติดว่าตอนนี้มีคนอยู่เยอะเกินไป มองการต่อสู้ตรงหน้าด้วยความรู้สึกหลากหลาย พลังระดับนี้ชัดเจนแล้วว่าทะลุขอบเขตของคนในวัยเดียวกันไปหลายช่วงตัว แต่หญิงสาวก็ยังไม่เจ้าใจว่าสองคนนี้ต้องการอะไรอีกกันแน่ถึงได้ลงมือกันใหญ่โตถึงปานนี้

                ซายากะเอ่ยเสียงเครียดอย่างที่ไม่ค่อยจะเห็นได้บ่อยนัก “คุณบาฮามุทคะ…”

                เธอเลือกที่จะถามบาฮามุทซึ่งกำลังกินขนมอยู่ใกล้ๆ ในตอนแรกมังกรโบราณก็สนใจเพียงแต่ขนมที่พวกเธอนำติดตัวมาด้วย แต่พอการต่อสู้ผ่านไปซักพัก บาฮามุทถึงได้เงยหน้าขึ้นมาหรี่ตามองสิ่งที่เกิดขึ้นบนลานประลองด้วยแววตาที่ไม่อาจคาดเดาความรู้สึกได้

                “ข้าไม่รู้ เจ้านั่นทำอะไรแล้วเคยบอกข้าเสียที่ไหนกัน” บาฮามุทไหวไหล่ เดิมทีนางก็ไม่อยากจะญาติดีกับพวกมนุษย์ซักเท่าไหร่ แต่สตรีพวกนี้ช่างรู้จักเอาอกเอาใจยิ่งนัก ทำให้บาฮามุทรู้สึกถูกชะตากับพวกซายากะไม่เลว ความสัมพันธ์จึงเพิ่มขึ้นมาไม่น้อยเมื่อเทียบ คำถามแค่นี้นางจึงตอบไปด้วยความสัตย์จริง

                แต่ยังมีสิ่งหนึ่งที่นางไม่ได้บอก และคาดว่าคนพวกนี้คงรู้สึกได้แล้วเช่นเดียวกัน

      ทั้งหลี่เจิ้งหมินและโนอาห์ภายนอกดูเหมือนห้ำหั่นสุดกำลัง ใครเล่าจะรู้ว่าแท้จริงแล้วพวกเขายังออมแรงไว้หลายส่วนอย่างมีจุดหมาย หนึ่งในคนที่รู้ดีที่สุดก็คือบาฮามุทซึ่งเคยประมือกับคนทั้งสองมาแล้ว นอกเหนือไปจากนั้นนางยังจับจิตสังหารจากสองคนนั้นไม่ได้ เป็นหลักฐานว่าอย่างน้อยๆพวกเขาก็ไม่ได้ต้องการฆ่าแกงกันแต่อย่างใด

                น่าแปลกที่บาฮามุทรู้สึกว่ามีอะไรบางอย่างไม่ชอบมาพากล แต่นางก็ยังนึกไม่ออกว่าคือเรื่องอะไรกันแน่ “พวกเจ้าก็อย่ากังวลให้มันมากนัก บุรุษสองคนนั้นเป็นเช่นไรพวกเจ้าน่าจะรู้ดีกว่าข้า ที่สำคัญมีข้ายืนอยู่ตรงนี้รับรองได้ว่าเพื่อนของเจ้าไม่มีทางบุบสลาย”

                ประโยคสุดท้ายนางจงใจให้พวกซายากะได้ยินเท่านั้น ด้วยพลังเวทที่ฟื้นคืนมาได้เท่านี้แน่นอนว่าเพียงพอจะหยุดการต่อสู้ครั้งนี้ลงได้ตามปากพูด เซเรน่าและซายากะเองก็หวังว่าจะเป็นเช่นนั้น ส่วนยูกิแม้จะมีความรู้สึกไม่ดีต่อโนอาห์อยู่บ้างก็ตาม แต่ก็ใช่ว่าจะต้องการให้อีกฝ่ายมีอันเป็นไป อย่างน้อยๆเธอหวังว่าการกระทำครั้งนี้คงผ่านการนึกคิดมาแล้วอย่างดีก็แล้วกัน

                    การพูดคุยนอกลานประลองไม่มีทางที่หลี่เจิ้งหมินและโนอาห์จะได้ยิน หลังจากผ่านพ้นช่วงชุลมุนจนมองไม่เห็นเดือนตะวัน กระบี่ที่สร้างขึ้นของทั้งสองฝ่ายสลายหายไปจากการปะทะจนหมด ทั้งสองฝ่ายร่อนกายกลับไปยืนอยู่ที่เดิมอีกครั้ง เพียงแต่ว่าครั้งนี้มีบางสิ่งบางอย่างที่ไม่เหมือนเดิม

                โนอาห์ได้รอยบาดบางเบาบริเวณแก้มข้างซ้าย

                หลี่เจิ้งหมินพบว่าชายเสื้อของตัวเองขาดวิ่นเล็กน้อย

            

    แววตาของโนอาห์ทอประกายหลากหลายในเวลาเดียวกัน ท่าร่างเมื่อซักครู่ใกล้เคียงกับมังกรล้อคลื่นของลู่ชิงจนแทบจะเป็นอันหนึ่งเดียวกัน ขาดก็แต่หลักการสำคัญที่หลี่เจิ้งหมินเลือกเดินในอีกสาย คาดว่าในระยะเวลาไม่กี่เดือนที่ผ่านมา วรยุทธ์ของจอมปราชญ์คงรุดหน้าไปมากกว่าที่เขาคาดไว้

    แต่ถ้าเขาจะมาถอยหนีกับเรื่องแค่นี้...เห็นทีฉายาเมฆาพิสดารคงต้องเปลี่ยนผู้ถือครองกันแล้ว!!

    เวลาที่ผ่านมาไม่ใช่แต่อีกฝ่ายจะก้าวหน้าอยู่คนเดียว ถึงแม้วรยุทธ์ของโนอาห์หรือชิวหลงจะถึงทางตันก็ไม่ใช่หมายความว่าเขาจะหยุดฝึกฝนแต่อย่างใด โนอาห์ใช้วิชาตัวเบารั้งให้ตัวเองลอยหยุดนิ่งกลางอากาศรอรับการโจมตี แม้ว่าทักษะวิชาตัวของเขาจะไม่ถึงขั้นเดินเหินบนท้องนภาได้ราวกับพื้นปฐพีเหมือนกับหลิ่งเหวิน แต่แค่ตั้งหลักอยู่กับที่ยังไม่ถึงกับเป็นเรื่องยากจนเกินไป ถัดจากนั้นโนอาห์กลับกระทำในสิ่งที่ชวนให้ผู้คนตกตะลึงกันถ้วนหน้า

    เขาโยนไม้เท้าสยบมังกรเข้าหามังกรปราณขนาดใหญ่ที่กำลังพุ่งเข้ามา เสียงร้องคำรามดูเหมือนจริงประดุจมันเป็นมังกรจริงๆไม่ได้ถูกเสกสรรค์มาจากเคล็ดวิชาเปิดสวรรค์ ในขณะที่ไม้เท้าสยบมังกรกำลังจะปะทะเข้ากับมังกรปราณ โนอาห์ก็เริ่มมีการเคลื่อนไหวอีกครั้ง

    ฝ่ามือนวดารา ฝ่ามือที่ห้า หมู่ดาวเคลื่อนวิถี

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×