ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    Miracle Earth พิภพปาฏิหาริย์ : ปฐมบทแห่งราชันย์

    ลำดับตอนที่ #3 : ตอนที่ 2 นายวานิชจากโลกนี้

    • เนื้อหาตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 21.18K
      556
      9 เม.ย. 64

                 จนในที่สุดสกุลหลางจึงได้ถอนตัวออกจากราชสำนัก กลับไปใช้ชีวิตในบ้านเกิด นับแต่นั้นก็เริ่มมีชื่อเสียงในหมู่ชาวยุทธ์มากขึ้นเรื่อยๆ ค่ายกลแปดประตูกุญแจทองจึงถูกดัดแปลงและปรับปรุงใหม่เพื่อใช้ในการฝึกยุทธ์ ในยุคสมัยนั้นแทบจะเรียกได้ว่าค่ายกลนี้ไร้เทียมทานมองไม่เห็นหนทางในการตีแตก สร้างชื่อให้สกุลหลางมีที่หยั่งเท้าในยุทธภพจนมาถึงทุกวันนี้

    แต่สำหรับชิวหลงแล้ว...สกุลหลางในวันนี้ไม่เหมือนวันวาน ความยิ่งใหญ่ของบรรพชนสายเลือดขุนศึกแกล้วกล้าเริ่มจางหายไปตามกาลเวลา สกุลหลางตอนนี้ภายนอกดูดีแต่ข้างในว่างเปล่ามาได้ซักพัก น่าเสียดายแทนคนรุ่นก่อนจริงๆ

    ข้าน้อยชิวหลงต้องขออนุญาติสั่งสอนลูกหลานของพวกท่านหน่อยแล้ว!!

    ท่าเท้าล่องนภา เท้าที่หนึ่ง หมู่ดาวเรียงราย

    ร่างของชิวหลงพลันพร่ามัวเหมือนหมอกควัน เคลื่อนไหวไปมาเป็นมาวงกลมจนเกิดภาพติดตากลายเป็นว่ามีชิวหลงมากกว่าหนึ่งคน ท่าเท้าล่องนภาเป็นวรยุทธ์ที่ชิวหลงคิดขึ้นมาเอง ทว่าความร้ายกาจมีมากพอจะกล่าวได้ว่าท่าเท้าล่องนภาเป็นหนึ่งในวิชาตัวเบาที่พิศดารที่สุดในใต้หล้า ถ้าไม่นับเซียนดาวตกที่เป็นยอดฝีมือทางด้านวิชาตัวเบาแล้ว ท่าเท้านภาของชิวหลงก็ต้องเป็นที่หนึ่งอย่างไม่ต้องสงสัย

    จุดเด่นของท่าเท้าล่องนภาคือไม่มีกฏเกณฑ์ที่ชัดเจน ยามใช้ออกเสมือนทะยานไปบนท้องฟ้าเหมือนเดินบนพื้นดิน ในความไร้ระเบียบแฝงไปด้วยแบบแผนอันสลับซับซ้อน ผสมปนเปจนออกมาเป็นวิชาตัวเบาที่หาผู้จับทางได้ยากยิ่ง

    หมู่ดาวเรียงรายใช้การย่างก้าวช่วยเดินลมปรารและสร้างภาพลวงตา เดี๋ยวช้าเดี๋ยวเร็วก่อให้เกิดภาพติดตาที่ยากจะมองหาตัวจริงได้ในระยะเวาอันสั้น

    ท่าเท้าล่องนภา เท้าที่สาม ดาราทอแสง

    ร่างเงาทั้งหมดของชิวหลงดีดตัวออกพร้อมกันอย่างน่าตื่นตะลึง ความเร็วนั้นแทบจะหลอมรวมไปกับสายลมจนมองไม่เห็นตัวคน ไม่มีใครในค่ายกลมองเห็นการเคลื่อนไหวระดับนี้ทัน รู้ตัวอีกทีหนึ่งในยอดฝีมือของสกุลหลางก็ถูกชิวหลง’ตัวจริง’เข้าประชิดตัวอย่างรวดเร็ว

    หากแต่ยอดฝีมือเหล่านี้ก็ไม่ใช่มะพลับนิ่มที่จะให้ใครมาบีบก็แตก ยอดฝีมือผู้นั้นออกท่วงท่าหนักแน่นแต่แฝงเร้นไปด้วยความพลิกแพลงมากกว่าสองประการ เพ่งเล็งไปที่กลางอกของชิวหลงเพื่อใช้การรุกแทนการรับ

    ท่าเท้าล่องนภา เท้าที่สอง ดาราหมุนวน

    สองเท้าของชิวหลงหมุนวนเป็นวงกลม อาศัยการเคลื่อนตัวหลบหลีกไปได้อย่างง่ายดาย แถมยังใช้โอกาสนี้โจมตีตอบโต้กลับในช่วงเวลาที่ศัตรูเผยจุดอ่อนได้อย่างพอดิบพอดี ผลปรากฏก็คือยอดฝีมือแห่งสกุลหลางผู้นั้นกระเด็นพร้อมกับกระอักเลือดออกไปจากค่ายกล เรื่องทั้งหมดที่เกิดขึ้นกินเวลาไม่ถึงสองวินาทีเท่านั้น

    ใช้เวลาพอๆกับการกระพริบก็ทำลายค่ายกลมีชื่อได้อย่างง่ายดาย....

    ทำลายค่ายกลแปดประตูกุญแจทองได้เพียงการลงมือแค่ครั้งเดียว ที่สำคัญยังรวดเร็วจนคนอื่นๆในค่ายกลรุดไปช่วยไม่ทัน ทั้งนี้เพราะร่างเงาของที่เกิดจากดาราเรียงรายช่วยสร้างความสับสน อย่างไรก็ตามในตอนนี้ความกลัวเริ่มเกาะกินจิตใจของสกุลหลางช้าๆ และนี่เป็นช่วงเวลาที่ชิวหลงถวิลหามานานมากที่สุด

    ท่าเท้าล่องนภา เท้าที่ห้า ลำนำแห่งหมู่ดาว

    ร่างของชิวหลงเลือนหายไปจากสายตาจากอีกครั้ง เจ้าตัวเคลื่อนที่ไปมาด้วยความรวดเร็วราวกับประกายแสง ยอดฝีมือสกุลหลางเริ่มร่วงลงไปนอนกับพื้นบ้างก็กระเด็นไปคนละทิศละทางทีละคนสองคนอย่างช้าๆ โดยที่พวกเขาไม่ทันที่จะได้ตอบโต้เลยแม้แต่น้อย

    ในที่สุดก็เหลือเพียงผู้นำสกุลหลางที่ยังยืนอยู่ได้ เขาเหงื่อตกซึมกายเมื่อพบว่าสถานการณ์เริ่มเลวร้ายเกินกว่าที่ได้คาดการณ์เอาไว้ ในใจลอบคิดแล้วว่าชิวหลงถือเป็นตัวอันตรายสำหรับยุทธภพอย่างแท้จริง ที่เขามีความกล้าเข้าต่อกรซึ่งหน้ากับคนผู้นี้เนื่องด้วยหวังว่าชื่อเสียงเล่าลือจะเป็นเรื่องเกินจริงไป นึกไม่ถึงว่าสิ่งที่ตนได้เห็นในวันนี้กลับทำให้หนึ่งในคนที่เคยดูถูกชิวหลงไว้ เป็นต้องพูดไม่ออกแม้แต่คำเดียว

    ฝ่ามือนวดารา ฝ่ามือที่สาม ฟ้าดินตาลปัตร

    ฝ่ามือของชิวหลงหมุนวนอย่างพิศดารพลิกร่างของผู้นำสกุลหลางหมุนตีลังกาหนึ่งตลบก่อนจะตกลงมานอนสลบเหมือดแน่นิ่งอยู่กับพื้น ชิวหลงมองดูภาพเบื้องหน้าด้วยสีหน้าไม่คล้ายคนเหนื่อยล้าจากการต่อสู้กับคนนับสิบคนเลยแม้แต่น้อย

    เขาถอนหายใจเบาๆคล้ายจะขอโทษ แต่ท่าทางไม่เหมือนเลยซักนิด “พวกท่านพักผ่อนกันให้สบายเถิด สมบัติของพวกท่านรับรองว่าข้าผู้นี้จะเก็บรักษาไว้ให้เป็นอย่างดี”

                ไม่ว่าเปล่าเจ้าตัวยังยกมือคารวะเหล่าคนที่นอนแน่นิ่งอยู่บนพื้นจากการสลบไสล ชิวหลงไม่ต้องการให้มีผู้เสียชีวิตหรือบาดเจ็บกันตั้งแต่ทีแรก จึงออมมือไว้หลายส่วนกะเวลาว่ากว่าคนพวกนี้จะฟื้นขึ้นมา เขาในตอนนั้นก็คงรุดหน้าไปไกลแล้ว

                ชิวหลงดีดตัวด้วยวิชาตัวเบาทะยานออกไปจากบริเวณนี้ในทันที เมื่อคิดว่าเดินทางมาได้ไกลพอสมควร ชิวหลงก็มองหาที่เหมาะๆแก่การนั่งพัก จนพบเข้ากับต้นไม้ใหญ่ต้นนึงที่มีขนาดลำต้นพอเหมาะพอดีเป็นอย่างยิ่ง ไม่รอช้าเขารีบทิ้งตัวลงนั่งลงนั่งสมาธิโคจรลมปราณฟื้นฟูสภาพร่างกายให้กลับคืนมาในระดับหนึ่ง

                เมื่อชิวหลงแน่ใจแล้วว่าบริเวณนี้ไม่มีใครอีก เขาจึงค่อยๆนำสิ่งที่เป็นสาเหตุให้เขาถูกตามล่าในวันนี้ออกมาจากข้างในอกเสื้อ เป็นม้วนคัมภีร์สีทองอร่ามดูไม่คล้ายคัมภีร์ที่ผู้ฝึกยุทธ์มีในครอบครองกันเสียเท่าไหร่ แต่ในเมื่อมีข่าวลือว่าข้างในนี้มียอดวิชาที่ยอดคนยุคก่อนได้บันทึกเอาไว้

                ว่ากันว่าเนื้อหาคัมภีร์ฉบับนี้ไม่เพียงแต่จะมีวรยุทธ์ล้ำเลิศเก็บซ่อนอยู่ ยังรวมไปถึงวิชาความรู้ของสกุลหลางในตอนนี้ที่ได้รวบรวมบันทึกไว้ในคัมภีร์ฉบับนี้เพียงแค่ฉบับเดียว ชื่อของมันก็คือคัมภีร์วณิพกพเนจร

                เป็นเรื่องปกติในยุทธภพที่จะมีการแย่งชิงตำรามีค่าหรือของวิเศษ สำหรับสกุลหลางเองก็ไม่เว้นเช่นเดียวกัน แต่ด้วยชื่อเสียงในกาลก่อนที่มากพอจะสยบพวกกิ๊กก๊อกไม่ให้มาลองดี รวมถึงยอดฝีมือคนอื่นๆก็ใช่ว่าอยากจะสร้างความบาดหมางกับสกุลหลาง เพราะถึงอย่างไรสกุลหลางก็ยืนอยู่ในฝ่ายธรรมมะ ต่อให้คนรุ่นนี้จะตกต่ำแต่คุณธรรมประจำใจไม่ได้ต่ำลงไปด้วย อีกทั้งยังมีมิตรสหายมากมายในแผ่นดิน ต่อให้เป็นพรรคมารที่ต้องการมีเรื่องด้วยก็ต้องคิดตรองดูให้ดีเสียก่อน

                ดังนั้นก็คงจะมีแต่ชิวหลง...ที่สามารถมีเรื่องกับสกุลหลางโดยไม่ต้องกังวลเรื่องราวใดๆที่จะตามต่อมาในภายหน้า ทั้งนี้สาเหตุหลักเป็นเพราะความต้องการส่วนตัวของเขาเอง ไม่กี่เดือนก่อนวรยุทธ์ของเขาเริ่มก้าวมาถึงทางตัน ประจวบเหมาะกับที่ไปได้ยินเรื่องเล่าลือกึ่งตำนานของคัมภีร์วณิพกพเนจรขึ้นมา ชิวหลงเลยลองไปเดินเล่นในจวนสกุลหลางดูซักพัก ไม่นึกว่าคัมภีร์วณินกพเนจรจะมีอยู่จริงๆ

                ชิวหลงแทบจะไม่รอช้ารีบกางคัมภีร์ขึ้นมาตรวจสอบ ในหัวของเขาเริ่มคาดคิดถึงเรื่องราวในอนาคตที่ต้องสวยสดงดงามต่างๆนาๆ แต่นึกไม่ถึงว่าแค่คลี่ม้วนคัมภีร์ก็สร้างความประหลาดให้กับชิวหลงจนเจ้าตัวมีสีหน้าที่เรียกได้เต็มปากว่าตกใจตาตั้งแล้ว

                ทันทีที่ม้วนคัมภีร์ถูกคลี่ออก วินาทีนั้นเองที่ภายในม้วนคัมภีร์ทอประกายแสงสีเหลืองทองราวกับจะประชันขันแข่งกับดวงตะวัน ชิวหลงไม่ทันขบคิดอะไรรอบบริเวณก็เต็มไปด้วยความพร่ามัว ทุกอย่างมันเกิดขึ้นอย่างรวดเร็วยิ่งกว่าการลงมือของยอดฝีมือคนไหนๆในยุทธภพ หลังจากแสงสีทองเริ่มจางลง ชิวหลงที่เคยนั่งอยู่ตรงนั้นก็ได้อันตรธานหายไปอย่างสมบูรณ์

                พร้อมกับคัมภีร์วณิพกพเนจรด้วยเช่นกัน

                ในวันนั้นถือว่าผู้นำสกุลหลางไม่ได้พูดโกหก เขาสามารถทำให้ชิวหลงหายไปจากในยุทธภพได้จริงๆ แถมเป็นการหายตัวในชนิดที่ว่ากระทั่งเขาเองยังไม่รู้ว่ามันเกิดอะไรขึ้น แต่ที่สำคัญเหนือสิ่งอื่นใดสมบัติประจำตระกูลยังไม่ได้คืนกลับมา การตามล่าชิวหลงจึงได้เริ่มต้นขึ้นตั้งแต่นั้น ทว่าเมฆาพิสดารกลับเริ่มทำตัวเหมือนฉายามากขึ้นทุกที ไม่ว่าจะเป็นแห่งหนตำบลไหนล้วนไม่พบเจอร่องรอยของชิวหลงเลยแม้แต่น้อย ราวกับว่าเจ้าตัวได้หายสาบสูญไปจากยุทธภพแล้วจริงๆ

                ตำนานของชิวหลงได้จบลงราวกับถูกตัดบท แต่บทบาทของเขาในโลกอีกใบกำลังจะเริ่มต้นขึ้น และเรื่องราวต่อจากนั้นจะเป็นตำนานไม่ต่างไปจากวีรกรรมที่ชิวหลงเคยสร้างไว้ในยุทธภพ หรือบางทีอาจจะเหนือล้ำยิ่งไปกว่านั้น

    สามสิบนาทีก่อนหน้านี้ ในโลกอิซซูมีล

              ทวีปไอช่ามีอยู่สองเหตุการณ์ ที่พอจะเรียกได้ว่ามีความสำคัญสำหรับประชาชนในแดนดินแห่งมนตราผืนนี้ หนึ่งคือพิธีราชาพิเษกขององค์จักรพรรดิซึ่งเป็นพิธีการสำคัญของราชวงศ์รวมทั้งทวีปแห่งนี้ด้วย เพราะถือว่าเป็นหน้าเป็นตาให้กับไอช่าอย่างยิ่ง แต่จะมีจักรพรรดิไม่กี่พระองค์เท่านั้นที่พอจะเรียกความสนใจไปให้อีกสี่ทวีปที่เหลือตื่นตัวได้

                หนึ่งในนั้นคือจักรพรรดิอัลเครอซ จอมราชันคนล่าสุดของไอช่า ว่ากันว่าเมื่อครั้งที่อัลเครอซเข้าพิธีเถลิงราชขึ้นสู่บัลลังค์ สัตว์วิเศษนับพันนับหมื่นแห่แหนเข้ามานอกกำแพงเมือง ในครั้งนั้นสร้างความตื่นตระหนกให้คนชาวอัลเทร่าเป็นอย่างมาก แต่เมื่อสังเกตดูๆดีจะพบว่าสัตว์วิเศษเหล่านั้นต่างไม่ได้มาเพื่อโจมตีเมืองเหมือนที่พวกเขาคิดในตอนแรก

                แต่ล้วนมาเพื่ออัลเครอซในเวลานั้นโดยเฉพาะ...

                ลางมหามงคลเช่นนี้ไม่ว่าจะมองในทางไหนก็เป็นนิมิตหมายอันดี ตัวแทนจากทวีปทั้งสามขาดแค่ทริสแทนจึงพากันสงบเสงี่ยมไม่กล้าทำอะไรวุ่นวาย ต่อมาอัลเครอซก็ไม่ทำให้ผู้คนต้องผิดหวัง อัลเทร่าในการปกครองของเขามีแต่คำว่าเจริญยิ่งขึ้นไม่มีถดถอย หัวเมืองรอบนอกมีชีวิตความเป็นอยู่ที่ดีไม่แพ้เมืองใหญ่ การทหารและเศรษฐกิจรุ่งเรืองถึงขีดสุด อีกทั้งยังยุติปัญหาที่มานานหลายร้อยปีกับซูหมิงลงได้ แม้จะไม่ถึงขั้นเรียกว่าพันธมิตร แต่ความสัมพันธ์ก็ดีกว่าที่เคยเป็นมามากนัก

                จนกระทั่งอยู่มาวันหนึ่ง...อัลเครอซได้ทำเรื่องที่แผ่นดินต้องสั่นสะเทือนอีกครั้ง!!

                เป็นครั้งแรกหลังจากมหาสงครามต่อต้านทริสแทน อัลเครอซทำในสิ่งที่ไม่เคยมีใครทำได้ตลอดเกือบพันปีที่ผ่านมาได้สำเร็จ นั่นก็คือการเชื่อมสัมพันธไมตรีกับทวีปอีเดน นำไปสู่การแลกเปลี่ยนทางการค้าและความร่วมมือในอีกหลายๆด้านของสองทวีป ผลที่ตามมาทำให้ศาสตร์เวทมนตร์ที่มีอยู่แต่เดิมของไอช่าได้รับการปรับปรุงขนานใหญ่ แต่ผลลัพธ์ที่ได้ทำให้ไอช่าสามารถคงสถานะทางการเมืองเช่นนี้ไปได้อีกหลายร้อยปี

                เหตุการณ์แรกเป็นจุดเริ่มต้นแห่งยุคทองของไอช่าในสมัยนี้...

                หากแต่เหตุการณ์ที่สองกลับเป็นอะไรที่พบเห็นได้ทุกปี ถึงกระนั้นก็ไม่อาจทำให้ความสำคัญและความคึกครื้นของเหตุการณ์ที่ว่าจะลดลง เพราะมันก็คือวันที่โรงเรียนเวทมนตร์อันดับหนึ่งของไอช่าเปิดรับสมัครนักเรียนใหม่

                โรงเรียนที่ผู้คนทั่วหล้าทราบดีว่าได้รวบรวมความรู้ทั้งมวลในไอช่าเอาไว้

                สรวงสวรรค์ของเหล่าจอมเวท...อวาลอน

                แต่เมื่อโรงเรียนมีชื่อเสียงมากเท่าใด การแข่งขันก็ยิ่งสูงขึ้นตาม จำนวนคนที่มาสอบนั้นมีมากซะยิ่งกว่าฝูงมด และมีที่ท่าว่าจะมากขึ้นเรื่อยๆในทุกๆปี อย่างไรก็ตามหากจบการศึกษาจากโรงเรียนอวาลอนไปได้ หนทางการงานในภายภาคหน้าย่อมวางใจได้ ต่อให้อยู่เฉยๆก็ยังคงไว้ซึ่งชื่อเสียงและเกียรติภูมิของสถาบัน และด้วยเหตุผลนี้จึงเป็นต้นตอที่ช่วยดึงผู้คนมากหน้าหลายตาให้หลั่งไหลมายังนครอัลเทร่าได้อย่างไม่ยากเย็น

              ถึงแม้หนทางจะยากลำบากขนาดไหนก็ตาม

              แน่นอนเป็นที่สุดว่าการสอบเข้าโรงเรียนเวทมนตร์ที่มีชื่อเสียงมากที่สุดนั้นยากซะยิ่งกว่ายาก แต่เส้นทางที่จะเดินทางมายังเมืองหลวงของทวีปนั้นยากลำบากไม่แพ้กัน นั้นเป็นเพราะการก่อตั้งเมืองยึดชัยภูมิพื้นที่เพื่อความได้เปรียบทางการรบ พื้นที่โดยรอบแต่ละด้านของกำแพงมีความอันตรายแตกต่างกันคนละแบบ คำนวณรวมๆแล้วก็ถือว่ายากอยู่ดีถ้าจะฝ่ามาไม่ว่าจะทิศทางใดๆก็ตาม

              ทิศตะวันออกเป็นแม่น้ำแห่งความหลงลืม สติกซ์ หากอำนาจมนตราไม่กล้าแข็งพอ ต่อให้ข้ามลำธารสายนี้มาได้ก็ย่อมต้องลืมเลือนทุกสิ่งอย่างอยู่ดี ทิศใต้เป็นทะเลทรายสองขั้ว ซาฮาร่า ยามพระอาทิตย์ขึ้นความร้อนจะเทียงเคียงมหาขุมนรกชั้นที่ลึกที่สุด ในขณะที่ตอนตกดึกนั้นหนาวเย็นยิ่งกว่าความหนาวใดๆบนดินแดนแห่งนี้ ทิศตะวันตกเป็นดินแดนแห่งความว่างเปล่า ไอรูน ทุ่งร้างอันเงียบเหงาที่ไม่มีสิ่งมีชีวิตใดอาศัยอยู่ เต็มไปด้วยภาพหลอนคอยลวงหลอกนักเดินทางให้หลงทิศจวบจนวาระสุดท้าย

              และทิศเหนือ พงไพรมนตรา มอนเธล สถานที่ซึ่งมีความปลอดภัยมากที่สุดเมื่อเทียบกับอีกสามทิศ แต่กลับแฝงความลึกล้ำชวนให้น่าค้นหามากกว่าอันตรายที่จะคร่าชีวิต อันตรายเพียงไม่กี่อย่างของป่าแห่งนี้เห็นจะมีแต่กลุ่มโจรทั่วไป หรือสัตว์กินเนื้อขนาดใหญ่ ถึงอย่างนั้นป่ามนตรามอนเธลยังนับว่าเป็นสถานที่ที่เพียงไม่กี่แห่งในไอช่าที่มีมานาชุกชุมในปริมาณมาก และบางสิ่งบางอย่างที่ว่ากันว่าซ่อนอยู่ในส่วนที่ลึกที่สุดของป่ามอนเธล

              เส้นทางที่ใครต่อใครมักใช้เดินทางหากจะเข้ามาในเมืองอัลเทร่า

              เช่นเดียวชายประหลาดผู้นี้

              ชายหนุ่มผมสีเขียวยาวประบ่า แววตาสีฟ้าใส หน้าตากลับใสนวลซะยิ่งกว่าสีตา รูปร่างสูงโปร่งจนมองผิวเผินมีแต่กระดูก เสื้อผ้าถูกถักทอมาจากเนื้อผ้าชั้นดีในไอช่า สะพายกระเป๋าหนังใบใหญ่ซะจนไม่สมตัวเอาไว้ข้างหลัง พลางฮัมเพลงไปมาอย่างสบายอารมณ์ ไม่ได้สนใจซักนิดว่าโดยรอบตนนั้นเวลากลางวันหรือกลางคืน

              ป่ามนตรามีจุดเด่นตรงที่เวลากลางวันนั้นเดินทางง่ายแสนง่าย

              แต่เวลากลางคืนกลับทวีความลำบากจนน่าใจหาย

              และนี่คือห้วงเวลาอย่างหลัง

              นอกจากข้อดีเพียงข้อเดียวที่ไม่ต้องอ้อมไปเดินตรงถนนใหญ่ ข้อเสียอื่นๆกลับมีมากนับพันทวี แต่ปัญหาใหญ่สุดเห็นจะเป็นโจรป่าที่นิยมออกหากินในเวลากลางคืน ไม่มีใครรู้ว่าทำไมพวกโจรถึงเลือกใช้เวลานี้ในการทำงาน ในขณะเดียวก็ไม่มีใครอยากรู้

              และตอนนี้บุรุษปริศนาผู้นี้กำลังโดนลองดีเข้าให้แล้ว

              “ว่าไงน้องชาย” เสียงๆหนึ่งดังแว่วขึ้นมาในความมืด ก่อนจะปรากฏตัวคนพูดซึ่งเป็นชายฉกรรจ์อายุอานามย่างเลขสามสิบ ถืออาวุธมีคมกวัดแกว่งไปมา หน้าตาปะยี่ห้อเพียงอย่างว่าต้องเป็นขุนโจรอย่างแน่แท้ พร้อมกับคนอื่นๆที่มีลักษณะการแต่งกายคล้ายคลึงกันก้าวย่างออกมาล้อมชายประหลาดผู้นั้นเอาไว้อย่างแน่หนา

               แต่สิ่งที่คนถูกล้อมจะกระทำก็มีเพียงแต่มองไปรอบๆ

               แล้วหัวเราะออกมาเบาๆ

               “ขำอะไรวะ ไม่เห็นเหรอว่าพวกข้าเอาจริง” คนที่ดูเหมือนเป็นหัวหน้ากลุ่มเริ่มมีปากเสียง ถึงเขาจะเป็นโจรแต่ก็ใช่ว่าจะโปรดปรานเหยื่อทุกรูปแบบเสียเมื่อไหร่ โดยเฉพาะพวกคนหน้าตาดีทำเป็นวางมาดอยู่สูงกว่าคนอื่นซะเต็มประดาแบบนั้นยิ่งไม่ชอบใจ

                “ถ้าฉันเป็นพวกนาย คงฆ่าฉันให้ตายแล้วค่อยเอาสมบัติมีค่าไป ทำตัวแบบนี้เสียสถาบันโจรหมดรู้ไหม” ชายปริศนาหัวเราะเสียงใส ยิ่งสร้างความขุ่นเคืองใจให้กับกลุ่มโจรมากยิ่งขึ้นไปอีก

               โทสะมักมาพร้อมกับความขาดสติ

               และการขาดสติ ไม่เป็นมิตรสำหรับใครซักเท่าไหร่

               “เฮอะ! เมื่อกี้นี้พวกข้าจะถือว่าเป็นเสียงนกเสียงกา อย่าพูดมากแล้วรีบส่งเงินมา!!” โจรหน้าเหี้ยมใจหาญพูดพลางกวัดแกว่งมีดในมือไปมาสื่อให้ว่าตนเอาจริง สาเหตุที่เขาไม่ลงมือนั้นก็เพราะเล็งเห็นว่าผลที่ตามมานั้นวุ่นวายเกินไป ถ้ามีคนตายเหล่าญาติพี่น้องย่อมส่งทหารมาช่วยดำเนินการให้ แล้วเมื่อมองคร่าวๆแล้วเหยื่อรายนี้ก็ดูเป็นคนมีฐานะในระดับหนึ่ง แต่คงจะไม่เก่งกาจในด้านการรบเสียเท่าไหร่ เนื่องจากหน้าตามันให้ซะขนาดนั้น

               น่าเสียดายที่สำนวนเลื่องชื่อยังใช้ได้ดีเสมอไม่ว่าในสถานการณ์ไหนๆ

               อย่ามองคนแค่ภายนอก

               “เงิน...เอาสิ” ชายหนุ่มกลายเป็นคนนอนสอนง่ายจนพวกโจรต้องเลิกคิ้วสงสัย แต่ก็ไม่ได้ซักไซร้อะไรมากเพราะนั้นถือว่าทำให้งานของพวกตนง่ายขึ้น เสียงกระแทกจากการมีอะไรบางอย่างตกลงสู่พื้นดังไปทั่วบริเวณ เพียงแต่สิ่งๆนั้นไม่ใช่ถุงเงินอย่างที่พวกโจรตั้งใจให้มันเป็น

                แต่กลับเป็นม้วนกระดาษสลักลวดลายอะไรบางอย่าง

                ลวดลายที่ชี้ชัดว่าเป็นคัมภีร์เวท

                เวทไร้ธาตุระดับ 3 หมอกควันพรางตา

                พริบตานั้นเองหมอกปริศนาได้คละคลุ้งไปทั่วบริเวณ โดยมีจุดศูนย์กลางอยู่ที่ม้วนคัมภีร์เวทฉบับนั้น ภายใต้สภาวการณ์ที่ไร้ทิศทางแบบนี้ พวกโจรที่ขาดซึ่งประสบการณ์ย่อมตื่นตระหนกจนทำตัวไม่ถูก แต่ยังนับว่ามีสติอยู่ไม่น้อยที่ไม่ทำอะไรบ้าๆอย่างการฟาดฟันไปรอบๆตน เพราะนั้นอาจทำให้พรรคพวกบาดเจ็บโดยไม่จำเป็น

                จังหวะนั้นเองชายปริศนาก็ได้ออกมาจากหมอกควันเสียตั้งนานแล้ว

                 โดยเขานั้นได้ทิ้งม้วนคัมภีร์เวทไว้อีกสองฉบับ

                 เวทธาตุน้ำระดับ 1 ละอองวารี

                 นอกจากกลุ่มควันยังเพิ่มไอน้ำเข้าไปจนภายในเริ่มเปลี่ยนไป และภายใต้อากาศที่แปรเปลี่ยนอย่างไม่ทันตั้งตัว สัญชาติญาณการป้องกันตัวก็ยิ่งส่งผลมากขึ้น กลุ่มโจรตาลีตาเหลือกวิ่งพล่านเผื่อที่จะหาทางออกจากหมอกควันมรณะนี้ได้ พลางตะโกนด่าทอคนที่น่าจะเป็นเหยื่อของพวกเขาไปมาอย่างไม่รู้จักเหน็จเหนื่อย

                 เวทธาตุสายฟ้าระดับ 1 ประจุเทพอัศนี

                 ก้อนพลังงานสายฟ้าขนาดเท่ากำปั้นปรากฏขึ้นกลางหมอกควัน ก่อนที่มันจะส่งประกายสีเหลืองเจิดจ้าจนคล้ายกับแสงแดดในยามเช้า บดบังทัศนวิสัยของพวกโจรไปอีกระดับ จนในที่สุดก็ได้แต่ปิดตาส่ายหน้าไปมา บ้างก็ยังหลับตาปี๋วิ่งหาทางออกต่อไป

                แน่นอนว่ามันช้าเกินไปเสียแล้ว

                ประสานมนตราระดับ 3 อาณาเขตเทพสายฟ้า

                         จากอาณาเขตหมอกควันธรรมดากลายเป็นเขตแดนที่เต็มไปด้วยประจุสายฟ้า รวดเร็วและรุนแรงเกินกว่ากลุ่มโจรจะได้ป้องกันตัวหรือหลบหนีพ้น ปริมาณและแรงของสายฟ้าเวทมีมากพอจะทำให้คนสลบได้จนถึงวันใหม่ และเมื่อผลของเวทมนตร์สงบลง ชายปริศนามองสิ่งที่ตนทำช้าๆพลางยิ้มอย่างพึงพอใจ

                 ไม่นึกเลยว่าจะมีคนมาประเคนทุนรอนให้เขาถึงที่

                 “ถือซะว่าพวกท่านโชคร้าย” ชายหนุ่มยักไหล่พลางเดินไปริบอาวุธตลอดจนข้าวของที่พอจะมีค่าจากพวกโจรที่นอนสลบเหมือดอยู่ ถึงแม้ราคาค่างวดมันจะไม่ได้สูง แต่ก็ถือว่าเป็นค่าแรงตอบแทนสำหรับม้วนคัมภีร์เวทสามฉบับได้เป็นอย่างดี

                   ม้วนคัมภีร์ที่เขานั้นประกอบพิธีขึ้นด้วยตัวเอง

                   การใช้เวทมนตร์ในโลกอิซซูมีลนั้นมีอยู่หลักๆสองวิธี วิธีแรกคือร่ายผ่านสื่อกลาง ไม่ว่าจะเป็นไม้เท้า ยันต์ อุปกรณ์เวทมนตร์ หินอัญมณี หรืออื่นๆเท่าที่จะหาได้ วิธีที่สองคือการใช้ผ่านม้วนคัมภีร์เวทย์ ซึ่งมีความสะดวกกว่ามาก แต่มีความนิยมน้อยกว่าวิธีแรก นั้นก็เพราะวัตถุดิบที่ใช้กับคนประกอบพิธีจะต้องเป็นจอมเวทที่มีความเชี่ยวชาญในด้านนี้โดยเฉพาะ หาไม่แล้วคัมภีร์เวทที่ออกมาไม่แสดงผลผิดพลาดก็ใช้การไม่ได้เลย

                   ชายปริศนาตรวจตราความเรียบร้อยอีกครั้ง ก่อนจะเดินจากไปด้วยรอยยิ้ม ของที่เขาได้จากพวกโจรมีเยอะกว่าที่เขาคิดไว้ แต่นั้นก็ไม่ใช่ปัญหาเพราะกระเป๋าที่เขาแบกมันเป็นกระเป๋าเวทมนตร์ ภายในสลักอาคมเวทมนตร์สายมิติแบบง่ายๆเอาไว้ นั้นทำให้เขาสามารถยัดข้าวของลงในกระเป๋าใบนั้นได้อย่างไม่รู้จบ

                   แน่นอนว่าถ้าให้เขาสู้กับโจรพวกนั้นตรงๆบั้นปลายสุดท้ายไม่ตายก็พิการ ดังนั้นการใช้เครื่องทุ่นแรงทุกสิ่งเท่าที่ย่อมเป็นเรื่องที่ใครๆต่างก็พึงกระทำ สาเหตุที่เขาเลือกใช้เส้นทางนี้ในการเดินทางไม่ใช่เพราะว่าทิศอื่นๆมีความอันตรายจนตัวเขาเองยังเข็ดขยาด แต่เพราะป่ามนตรามอนเธลเป็นสถานที่แห่งเดียวในทั้งสี่ทิศ ที่สามารถเพิ่มมูลค่าให้กับเขาได้ก่อนจะไปถึงตัวเมืองอัลเทร่า

                   น่าเศร้าที่มีคนติดกับแค่กลุ่มเดียว

                   เขาเดินไปซักพักจนเกือบถึงชายป่า ก่อนจะแหงนหน้ามองหมู่ดาวบนท้องฟ้า แล้วจึงค่อยๆเลิกคิ้วประหลาดใจเพียงชั่วครู่ ก่อนจะยักไหล่ทำทีเป็นไม่สนใจ และลงมือตั้งแคมป์ไฟด้วยคัมภีร์เวทธาตุไฟขึ้นมา ชายหนุ่มนั่งเอกเขนกซักพักก่อนจะเริ่มหยิบเนื้อหมูป่าที่เก็บเอาไว้ในกระเป๋าออกมารับประทาน แน่นอนว่าต้องผ่านการย่างไฟระยะเวลาหนึ่ง

                   และนั้นเองเรื่องสุดประหลาดก็ได้บังเกิดขึ้นกับตัวเขาเอง

                   แสงสว่างวาบสีเหลืองทองปรากฏขึ้นใกล้ๆกับบริเวณที่เขานั่งอยู่ ทุกอย่างเกิดขึ้นรวดเร็วเกินกว่าจะได้ขยับตัว สิ้นแสงสว่างนั้นไปไม่มีความว่างเปล่าอย่างที่เขานึกไว้แต่แรก แต่กลับปรากฏชายหนุ่มสวมใส่เสื้อผ้าที่ไม่คุ้นตา เรือนผมสีดำ ดวงตาสีดำเช่นกัน รูปร่างสันทัด มือข้างหนึ่งถือม้วนไม้ไผ่ซึ่งหาได้ยากในทวีปไอช่า ชายคนนั้นแสดงท่าทีแปลกๆก่อนจะชะเง้อชะแง้มองรอบๆ และท้ายที่สุดชายปริศนาจึงชี้นิ้วมายังที่อารันพร้อมกับพูดบางอย่างกับเขา

                   “เจ้า...เป็นใคร?” ชายผมดำพูดด้วยน้ำเสียงที่เหมือนกับคนในไอช่าไม่ผิดเพี้ยน ข้อสันนิษฐานว่าน่าจะเป็นคนจากต่างถิ่นจึงตกไปโดยปริยาย

                    ชายปริศนาไม่รู้จะแสดงท่าทียังไงเพราะคนดังกล่าวก็ดูไม่แสดงท่าทีเป็นศัตรู แต่ก็เร็วเกินไปที่จะถือว่าเป็นมิตร อีกทั้งปริมาณคำถามภายในหัวยังมีมากเกินไป ดังนั้นหนทางที่เขาเลือกเดินจึงมีแต่ถามกลับไปตามน้ำก็เท่านั้น

                    “นายนั้นแหละเป็นใครกัน...?” ชายผมเขียวถามทั้งที่ในมือยังถือไม้เสียบเนื้อหมูป่าที่พร้อมจะยัดเข้าปากได้ทุกเมื่อ

                     ความเงียบเข้าปกคลุมอีกครั้ง แต่ดูเหมือนว่าจะเป็นความเงียบที่ผ่านมาแล้วก็ผ่านไป ชายทั้งสองตะโกนลั่นพร้อมกันโดยมิได้นัดหมายกันมาก่อน เสียงนั้นดังพอที่จะเหล่าบรรดาวิหคทั้งหลายที่อยู่รอบๆบินแตกฮือกันออกไปโดยพร้อมเพรียง

                   “นี่มันเรื่องบ้าอะไรกันเนี้ย!!!”

               

     

               เรื่องทั้งหมดเกิดขึ้นโดยกินเวลาไม่ถึงหนึ่งกระพริบตา ชายหนุ่มทั้งสองต่างรับสถานการณ์ที่เกิดขึ้นแทบไม่ทันแม้ว่าจะมีความเชี่ยวชาญในด้านนี้มาไม่น้อย ชิวหลงเองก็ไม่ได้ตีค่าวิชาวณิพกพเนจรไว้สูงส่งเลิศล้ำตั้งแต่แรก ที่อยากเห็นเป็นซักครั้งในชีวิตก็เพราะความลึกลับและชื่อเสียงเล่าลือของมันมากกว่า

    จนในที่สุดวิชาที่เขาไม่คิดว่าจะมีดีอะไรเท่าไหร่นัก กลับมีความสามารถได้ถึงเพียงนี้ นับว่าเรื่องทั้งหมดอยู่นอกเหนือขอบเขตการคำนวณของเขาโดยแท้

    ในขณะที่อารันก็ไม่ได้คาดคิดไว้ตั้งแต่แรกว่าเขาจะต้องมาเจอเรื่องอะไรแบบนี้ ถึงแม้จะได้วางแผนการเดินทางเอาไว้ตั้งแต่แรก คาดคะเนถึงความเป็นไปได้หลายๆทางที่น่าจะเกิด แต่นั้นก็ไม่ได้แปลว่าผลของแผนการจะครอบคลุมไปถึงการปรากฏตัวของชายปริศนา ที่เขาเองยังไม่รู้ซักนิดว่าเป็นมิตรหรือศัตรู

    อารันคิดแค่ว่าขออย่าเป็นศัตรูกันก็เพียงพอแล้ว

    เนื่องจากเขาไม่สามารถจับละอองมานาที่เกิดขึ้นจากเหตุอัศจรรย์เมื่อซักครู่ได้แม้แต่นิดเดียว นั้นคืออารันย่อมไม่รู้ขีดความสามารถและที่มาของชายผู้นั้นจากสิ้นเชิง เขาพอได้ยินมาบ้างว่าพวกบาเยนไฮด์ได้ทำการคิดค้นเครื่องร่นระยะทาง ซึ่งหลักการทำงานคล้ายคลึงเวทมนตร์สายมิติ และถ้านี่เป็นผลพวงที่เกิดจากเครื่องร่นระยะทางที่ว่าเห็นทีจะดูผิดแปลกเกินไป

    ก็เสื้อผ้าของชายผู้นั้นดูยังไงก็ไม่เหมือนชาวบาเยนไฮด์ซักนิด

    “ที่นี่ที่ไหน...” ชิวหลงเป็นฝ่ายเริ่มบทสนทนาขึ้นมาอีกครั้ง ในตอนนี้เขาทำอะไรไม่ได้นอกจากถามคนที่อยู่ใกล้ที่สุด ซึ่งนั้นก็คืออารันที่นั่งอยู่ข้างหน้าเขา

    “ดินแดนไอช่า ชายป่าเลธาน เมืองอัลเทร่า” อารันนิ่งเงียบไปซักพัก ก่อนจะตอบกลับไปโดยเรียงลำดับความสำคัญของสถานที่เป็นฉากๆ แต่ก็ดูเหมือนไม่ช่วยอะไรซักเท่าไหร่

    เพราะอีกฝ่ายดูเหมือนเพิ่มระดับจากงงเป็นไก่ตาแตก มาเป็นงุนงงเป็นมังกรตาระเบิดเข้าให้แล้ว

    ชิวหลงมั่นใจว่าสติของตนยังครบสามสิบสอง แต่ชื่อเมื่อซักครู่ที่เขาได้ยินอย่าว่าแต่ความคุ้นเคย เขาแทบไม่เคยอยากนึกเลยว่ามีชื่อพรรค์นั้นอยู่ในยุทธภพ ทว่าถ้าชายที่นั่งอยู่ข้างหน้าเขาไม่ได้พูดโกหก เห็นทีเรื่องสวรรค์คงกลั่นแกล้งเขามากเกินไปแล้ว

    “นายไม่ได้ฝันอยู่” อารันเอ่ยทักขึ้นมาอีกคำรบ เมื่อเห็นชายปริศนาตบหน้าตัวเองเบาๆราวกับว่าอยากตื่นจากฝันนี้เต็มแก่

     “ข้าก็อยากจะคิดว่าเรื่องทั้งหมดมันเป็นแค่ฝันเหมือนกัน ช่างมันเถอะ...ไหนๆก็ไหนล่ะ ข้ามีนามว่าชิวหลง หรือจะเรียกว่าอาหลงก็ได้ข้าไม่ถือ” เขาเกาหัวแกรกๆก่อนจะคลี่รอยยิ้มกว้าง รอยยิ้มที่ถึงกับทำให้อารันชะงักไปชั่วครู่ ภายในใจปนเปไปด้วยความรู้สึกหลายอย่างที่ประดังประเดเข้ามาในเวลาเดียวกัน

    อย่างแรกคือสรรพนามคนเรียกที่ชายผู้นั้นเลือกใช้ มันเป็นสรรพนามเก่าแก่ที่น้อยคนนักมักใช้ ซึ่งได้เปลี่ยนมาเป็นอีกแบบก็เมื่อสมัยสองร้อยปีก่อน ส่วนมากถ้าไม่เป็นพวกยามาไทที่ยึดติดขนบธรรมเนียมดั้งเดิม ก็พวกขุนนางชั้นสูงตลอดจนพ่อค้าเก่า ถึงกระนั้นก็ยังมีชาวบ้านบางคนที่ยังใช้คำเรียกแบบนั้นอยู่ อันเป็นผลมาจากความเคยชิน

    อย่างที่สองก็คือการตีสนิทที่เร็วซะยิ่งกว่าสายฟ้าฟาด ตั้งแต่เกิดมาอารันเจอคนประเภทนี้มามาก แต่ยังไม่เคยพบใครที่สามารถตั้งสติและกล่าวคำทักทายราวกับเป็นเรื่องปกติได้เช่นนี้ ถ้าอีกฝ่ายไม่ใช่คนโง่เง่าเต่าตุ่นที่ซื่อจนไม่รู้ความ ก็คงเป็นคนบ้าที่ตีซี้กับทุกคนไปทั่วโดยไม่เกรงกลัวถึงผลจะตามมา

    และคนบ้ากับอัจฉริยะมีความแตกต่างกันอยู่แค่นิดเดียวเท่านั้น

    “น่าสนใจจริงๆ....อารัน อลันเทียร์ ยินดีที่ได้รู้จัก” อารันแนะนำชื่อของตนกลับไปบ้าง ในเมื่อฝ่ายตรงข้ามดูเหมือนจะพูดความจริง เขาก็ไม่มีเหตุผลที่ต้องโกหก

    ชิวหลงได้ยินดังนั้นพลันพยักหน้าหงึกๆ ในใจทวนคิดอยู่เงียบๆว่าชื่อแบบนี้ถ้าไม่ใช่คนจากแดนตะวันตก ก็คงเป็นขอบเขตอื่นที่เขาไม่อยากจะนึกถึง แต่ถ้าจะสืบเสาะว่าในตอนนี้เขาอยู่ส่วนไหนของโลกหรืออยู่ที่ใดนั้น ก็คงมีแต่ต้องไล่ถามผู้ชายหัวสีประหลาดที่นั่งยิ้มอยู่ข้างหน้าเขาเท่านั้น

    “ข้าขอไปนั่งด้วยได้หรือเปล่า” ชิวหลงถามหยั่งเชิง ไม่ใช่ว่าเขาไม่ไว้ใจ แต่มันเป็นเรื่องของมารยาทที่สมควรทำ ภายนอกชิวหลงอาจจะเป็นคนกักขฬะไม่น่าคบหาในสายตาของคนภาพนอก ใครเล่าจะรู้เนื้อแท้บุรุษผู้นี้มีความเป็นคนมากแค่ไหน

     “ตามสบาย เพราะทางนี้ก็มีเลือกต้องให้ถามอยู่เยอะเหมือนกัน” ชายหัวเขียวยักไหล่วืด ก่อนจะผายมือไปทางพื้นที่ตรงข้ามตน ในเมื่อชิวหลงไม่ได้แสดงท่าทีเป็นศัตรู เขาเองก็ต้องตอบสนองด้วยท่าทีฉันท์มิตร

    เพราะจิตใต้สำนึกบางอย่างในตัวเขามันกำลังส่งเสียงร้องอยู่รำไร ว่าการคบหากับคนประหลาดผู้นี้ต้องนำพาเรื่องสนุกๆมาให้ในภายภาคอย่างแน่นอน

    “นายคงไม่รู้จักซูหมิง” อารันเปิดบทสนทนขึ้นอีกครั้งหลังจากชิวหลงหาพื้นที่ว่างๆลงนั่งแล้วเรียบร้อย ที่เขาถามแบบนี้เพราะเนื่องจากว่าความเป็นไปได้ที่ชายตรงหน้าจะมีความเป็นไปมาพิสดารในระดับหนึ่ง

    “พูดให้ถูกคือไม่รู้อะไรเลยมากกว่า” ชิวหลงหัวเราะนิดๆ การสังเกตพื้นที่โดยรอบซึ่งไม่ใกล้เคียงกับบริเวณที่เขาจากมา และลักษณะการแต่งกายของอารันที่แตกต่างไปจากที่เขารู้จัก ไหนจะกำแพงเมืองที่เขาเห็นอยู่ไกลๆลิบนั้นแล้ว เห็นทีจะฟันธงได้อย่างไม่ยากเย็นว่าตัวเขานั้นไม่รู้เลยอะไรจริงๆ

     “ก็คิดเอาไว้แล้ว” อารันพยักหน้าหงึกๆ “ถ้างั้นฉันจะเล่าเรื่องที่ทางนี้รู้ให้ฟัง พอฟังจบนายคงได้ข้อสรุปแล้วล่ะว่าตัวเองตอนนี้อยู่ที่ไหนกันแน่” อารันยิ้ม ก่อนอื่นเขาต้องทำให้ชิวหลงรู้เสียก่อนว่าที่นี้คือที่ไหน เพราะจะบอกว่าเป็นสปายจากดินแดนอื่นก็ดูจะสรุปเร็วเกินไป แต่อารันเองก็ยังไม่อยากฟันธงในหัวข้อนั้นซักเท่าไหร่

    เพราะถ้าความคิดของเขาเกิดถูกต้องขึ้นมา

    ผลที่ตามมาย่อมไม่ใช่เรื่องจิ๊บจ๊อยระดับมดเดินสวนสนามเป็นแน่

    หวังว่ามันจะไม่ก่อเรื่องในวันแรกที่เข้าเมืองมาเลยเถอะ

    อย่างแรกคือสำเนียงการพูด ลักษณะการแทนตัวของชิวหลงดูสะดุดตามากเกินไป ถึงจะน่าเหลือเชื่อไปบ้างที่หน้าตาของโนอาห์แทบจะไม่แตกต่างจากชาวไอช่า แต่นั้นเองก็ไม่ใช่ประเด็นที่ต้องนำมาถกเถียงกันในตอนนี้ เพราะฉะนั้นผลสรุปสุดท้ายก็คือให้ชิวหลงเปลี่ยนสรรพนามที่ใช้ให้มีกลมกลืนกับคนหมู่มากเข้าไว้

    ถึงจะยังแปลกว่าทำไมชิวหลงถึงพูดภาษาของพวกเขาได้รู้เรื่องก็ตาม ยิ่งไปกว่านั้นยังอ่านออกหมดทุกตัวอักษรจากการทดลองเมื่อคืน คงต้องหาข้อสรุปอีกทีในกาลถัดไป

    “ล้างหูพร้อมรับฟัง” ชิวหลงตอบรับด้วยความยินดี ไม่มีเหตุผลอะไรที่เขาต้องปฏิเสธ อีกทั้งฝ่ายตรงข้ามเองก็ดูเหมือนจะไม่ได้โกหกเขา การที่ได้มารับรู้ข้อมูลเพิ่มขึ้นเป็นผลตอบแทนที่มีค่าไม่น้อย

    “ถ้างั้นก็เริ่มต้นจาก….” อารันค่อยๆขยับปาก ทำท่าทีเหมือนกวีเร่ร่อนที่พบเห็นได้ชั่วไปตามหัวเมืองใหญ่

    นักกวีที่กำลังเล่าเรื่องเล่าสุดตระการตา

    และผู้ฟังที่กำลังจะตระหนักรู้ได้ว่าชีวิตของเขาจะไม่เหมือนเดิมอีกต่อไป

    “ก็คงประมาณนี้ล่ะนะ” อารันจบเรื่องเล่าด้วยพลางปาดเหงื่อลงเล็กน้อย หลังจากที่พึ่งรู้ว่าเรื่องที่เล่าไปนั้นกินเวลามากกว่าที่คิด

    ในขณะที่ชิวหลงได้แต่นิ่งเงียบไม่พูดไม่จา

    อันเนื่องจากสมองกำลังทบทวนถึงเนื้อความที่ได้รับอย่างหนัก

    เริ่มแรกผืนแผ่นดินที่เขาเหยียบอยู่ไม่ใช่ยุทธภพที่เขารู้จักแน่นอน ประเด็นแรกที่เขารู้เลยก็คือโลกใบนี้มีชื่อว่าอิซซูมีล ปัจจุบันประกอบไปด้วยทวีปทั้งห้า และที่ชิวหลงกำลังยืนอยู่คือดินแดนที่เรียกว่าไอช่า ทวีปแห่งมนตราและคาถาอาคม ศาสตร์วิชาที่ชิวหลงไม่เคยรู้จักมาก่อน ส่วนทวีปที่เหลือมีความน่าสนใจแตกต่างกันออกไป โดยเฉพาะกับทวีปซูหมิงที่ดูเหมือนจะคล้ายยุทธจักรที่ชิวหลงจากมามากที่สุดแล้ว

    แต่อย่างน้อยสิ่งที่อารันเล่าให้เขาฟัง ก็พอจะสรุปความได้อย่างหนึ่ง ว่าที่แห่งนี้คือคนละโลกกับที่เขารู้จักอย่างแน่นอน

     “ฉันว่านายเพลาๆอาการลงหน่อยก็ดีนะ เดี๋ยวคนอื่นมองเป็นผู้ต้องสงสัยเข้าล่ะมันจะยุ่งไปกันใหญ่” อารันเตือนชายที่อยู่ข้างๆตน ซึ่งมีแสดงออกถึงความเป็นบ้านนอกเข้ากรุงอย่างออกนอกหน้าเสียเต็มประดา แต่จะโทษอีกฝ่ายข้างเดียวก็ไม่ถูก ก็ในเมื่อเขาเองยังมีความรู้สึกไม่แตกต่างไปจากเพื่อนของตนเลยซักนิด

    เพียงแต่มันแสดงอาการออกนอกหน้าจนบดบังเขาไปซะมิดก็เท่านั้น

    “ได้ยินใช่ไหม...โนอาห์” อารันเริ่มยิ้มเจื่อนๆหลังจากสังเกตได้ว่าเริ่มมีคนมองมาเรื่อยๆ โดยเฉพาะทหารยามที่จ้องเขม็งราวกับจะฆ่าพวกเขาผ่านทางสายตา

    “อ๊ะ! โทษที พอดีเผลอหลุดฟอร์มมากไปหน่อย” ชายผมดำขานรับตามชื่อแปลกประหลาดที่ไม่น่าจะใช้ชื่อเขาแต่อย่างใด นั้นก็เพราะว่าเมื่อคืนวานพวกเขาสองคนได้ทำข้อตกลงบางอย่างเอาไว้แล้วเรียบร้อย

     

    เพื่อความปลอดภัยทั้งชีวิตและทรัพย์สิน อารันได้ลงความเห็นว่าชิวหลงควรปกปิดที่มาของตนเอาไว้ อย่างน้อยๆก็ในตอนนี้ เพราะเรื่องที่มีคนหลุดมาจากอีกโลกนั้นอันตรายและน่ากลัวเกินไป อิซซูมีลไม่ได้เป็นดินแดนหอมหวญตั้งอยู่กลางทุ่งดอกไม้ ป้องกันไว้ก็ดีกว่าไม่ทำการสิ่งใดเลย ซึ่งในข้อนี้โนอาห์เองก็เห็นด้วย

    นั้นนำมาซึ่งการปรับแก้ไขอะไรบางอย่าง

    ต่อมาก็คือเรื่องของชื่อ ชิวหลงมองยังไงก็ดูสะดุดตาและไม่ค่อยเป็นธรรมชาติซักเท่าไหร่สำหรับดินแดนไอช่า จริงอยู่ว่าชื่อในลักษณะนี้มักมีปรากฏให้เห็นในยามาไท ซึ่งนั้นก็เป็นเพียงชนกลุ่มน้อย หนำซ้ำยังได้รับการขึ้นทะเบียนประชาราษฐ์แทบทุกปี ดังนั้นเพื่อหลีกเลี่ยงความวุ่นวายในภายหลัง ชื่อใหม่จึงจำเป็นยิ่งสำหรับชายต่างโลกเฉกเช่นชิวหลง

     

                  

     

               

     

               

     

     

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×